เรื่องรักเล็ก...เล็ก
เรื่องสั้นเกี่ยวกับความรักซึ่งเมื่อใดที่ได้รับแรงบันดาลใจก็จะลงมือเขียนค่ะ ความถี่ห่างขึ้นอยู่กับอารมณ์'ติสต์ ของผู้เขียน ฮ่าๆๆ
Tags: เรื่องสั้น ความรัก

ตอน: ตอน :ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งหลัง)

==========================
เรื่องรักเล็กๆ : ช่องห่างระหว่างใจ
==========================

(ครึ่งหลัง)

เมื่อบานประตูปิดลงปรีติมาลย์ก็คลานเข้าไปใกล้กับกรวิชญ์ทั้งที่เท้าสองข้างนั้นถูกพันธนาการไว้ หญิงสาวคุกเข่าใกล้กันกับร่างสูงสองมือดึงทึ้งโซ่เหล็กที่คล้องด้วยแม่กุญแจซึ่งมัดผู้เป็นสามีอยู่สุดแรง


“คุณจะสู้เหล็กได้อย่างไรปริม” ชายหนุ่มหัวเราะขัน พยายามสร้างความผ่อนคลายให้กับภรรยาสาว


“กรเป็นอย่างไรบ้างคะ? เจ็บมากหรือเปล่า? ไม่น่าตามปริมมาเลย” ปรีติมาลย์ยกมือลูบไล้ร่องรอยที่โหนกแก้มซึ่งเริ่มบวมขึ้นอย่างแผ่วเบา


“ไม่เจ็บหรอกจ้ะ” สามีหนุ่มยิ้มให้กับภรรยา เป็นยิ้มที่สร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับหญิงสาวอย่างที่สุด


ผู้เป็นภรรยาปาดเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมาเป็นพัลวัน น้ำตาซึ่งรวมทั้งความหวาดกลัว หวั่นไหว และตื้นตันระคนปนเป


“ปริมพอเถอะไม่ร้องแล้วนะ มาใกล้ๆ ผมนี่ ผมมีอะไรจะบอก” ชายหนุ่มกระซิบกระซาบ หญิงสาวจึงถัดตัวไปใกล้จนชิดอย่างว่าง่าย “ผมซ่อนโทรศัพท์ไว้ที่ถุงเท้า ปริมหยิบออกมาโทรหาคุณพ่อเร็ว”


ปรีติมาลย์ลนลานหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกผูกรองเท้าแล้วตลบทับด้วยถุงเท้าสีดำซึ่งกรวิชญ์นั้นสวมอยู่ ความหวังที่จะรอดพ้นจากภยันตรายที่คืบคลานใกล้เข้ามานั้นเรืองรองสดใส หญิงสาวจรดนิ้วลงกดหมายเลขของผู้เป็นบิดาอย่างว่องไวแม้นิ้วเรียวจะสั่นระริกอยู่ก็ตามที รอไม่เท่าไรปลายสายก็รับ


“คุณพ่อคะ คุณพ่อ” ปรีติมาลย์กรอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างร้อนรน


“ปริม ลูก...” ถ้อยคำต่อจากนั้นไม่อาจได้ยินอีกแล้ว เพราะเครื่องมือที่จะช่วยทั้งเธอและผู้เป็นสามีได้นั้นถูกกระชากออกไปทางด้านหลังทันทีที่ประตูเปิดออก


“จะทำอะไรน่ะ! “ ใบหน้าโกรธเกรี้ยวถมึทึงของคนร้ายจ้องเขม็งมายังเหยื่อทั้งสอง


มือกร้านดำกำของที่ฉวยไว้แน่นก่อนจะเขวี้ยงลงที่พื้นไม้ขัดเงาอย่างแรงจนโทรศัพท์เครื่องเล็กนั้นแตกกระจาย ไม่เท่านั้นเขายังกระทืบเท้าลงบนเศษซากชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับครั้งไม่ถ้วนจนมันบี้แบนไม่มีชิ้นดี


ปรีติมาลย์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้องจากความตกใจ ความหวังของเธอนั้นมลายหายไปพร้อมกับกองวัตถุที่แหลกละเอียดจนมองแทบไม่ออกว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน


“นี่ผมยังปรานีให้ไอ้หมอนี่อยู่เป็นเพื่อนคุณในคืนนี้ แต่ผมเตือนไว้ก่อนนะ ถ้าคุณยังจะเล่นตุกติกอีกล่ะก็ ผมจะส่งไอ้นี่ไปเฝ้ายมบาลตอนนี้เลย“ ว่าจบชายคนร้ายก็วางจานข้าวกระแทกลงบนพื้น และหยิบปืนออโตเมติกสีดำด้านออกมาจากเอว ขึ้นลำแล้วจ่อปลายกระบอกไปใกล้กับศีรษะของกรวิชญ์ที่นั่งหลังตรง


“อย่า! “ หญิงสาวผวาไปกอดร่างของผู้เป็นสามีไว้แนบแน่นราวกับจะใช้ตัวของเธอเป็นเกราะกำบังให้แก่เขา


“กินข้าวซะ แล้วอย่าทำให้อะไรๆ มันยุ่งยากไปกว่านี้อีก” เขาลดนกและเข้าเซฟก่อนจะเก็บมัจจุราชร้ายไว้ที่เดิมแล้วผละไป


“กรคะปริมขอโทษ” ปรีติมาลย์ร่ำไห้สะอึกสะอื้น ทั้งเสียใจและละอายใจที่ตนเป็นต้นเหตุให้อับจนหนทางทุกอย่างแล้ว


“ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยปริม โชคดีแล้วที่มันไม่ได้ทำร้ายคุณ กลัวมากไหม? แล้วปริมเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? “ ผู้เป็นสามีถามอย่างห่วงใยนึกขัดใจที่ตนไม่สามารถกอดปลอบร่างกายอันสั่นเทาของผู้เป็นดั่งดวงใจได้
“ปริมกลัวค่ะกร กลัวว่าพวกเขาจะทำอะไรคุณ” ปรีติมาลย์สารภาพพร้อมกับสะอื้นฮั่กๆ จนตัวโยน


“ไม่ต้องกลัวนะ เราจะต้องรอดไปด้วยกัน ตอนนี้คุณพ่อกับท่านผู้บัญชาการคงพยายามหาทางช่วยพวกเราอยู่ โทรศัพท์เมื่อสักครู่น่าจะบอกจุดที่อยู่ของพวกเราได้ ปริมใจเย็นๆ นะ” กรวิชญ์พยายามปลอบใจแม้แท้ที่จริงแล้วความเชื่อมั่นนั้นจะริบหรี่สักเพียงใดก็ตาม


“เพราะปริมแท้ๆ กรถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ ปริมขอโทษนะคะ” ภรรยาสาวก้มหน้าซบหน้าผากลงบนบ่าของสามีอย่างจะขอพึ่ง


“อย่าโทษตัวเองอีกเลย บางทีหากผมไปที่เขตเร็วกว่านี้คุณอาจไม่ถูกจับตัวมาก็ได้” สิ้นถ้อยคำของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ชะงักถอยออกมาราวกับคิดอะไรได้ อะไรบางอย่างซึ่งเขากำลังจะบอกว่าพร้อมที่จะสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เร็วขึ้นกว่าเดิม


ปฏิกิริยาที่แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันของผู้เป็นภรรยาทำให้กรวิชญ์รู้ว่าเธออาจตีความหมายในคำพูดของเขาผิดไป แท้ที่จริงแล้วเขาพร่ำโทษตนเองมาตลอดการเดินทางว่า หากเขาไม่มัวอ้อยอิ่งอยู่คงไม่มีโอกาสที่เหล่าคนร้ายทั้งหลายจะจับตัวเธอมาได้ เธออาจรอดพ้นเมื่อไม่ได้อยู่ตามลำพัง หรือหากคนเหล่านั้นยังคิดการอันอุกอาจเขาก็จะใช้ทั้งชีวิตปกป้องเธอ แต่ถึงกระนั้นการแก้ต่างจะสำคัญอะไรในเมื่อเขายอมแล้วที่จะปล่อยเธอไปให้เป็นอิสระ


ปรีติมาลย์ถดตัวออกห่างร่างใหญ่ของกรวิชญ์อีกเล็กน้อย แม้เธอจะคิดว่าชายผู้กำลังจะเป็นเพียงอดีตนั้นไร้ซึ่งความผูกพันต่อตัวเธอแล้ว แต่ทว่าไออุ่นที่แผ่ออกมาจากเนื้อตัวที่เธอแสนคะนึงหาก็ยังจำเป็นต่อเธอดุจดั่งอากาศที่หากจะขาดไปคงต้องแดดิ้น ร่างบางที่ไหวเพราะแรงสะอื้นบางเบานั่งกอดขาวางคางของตนเกยไว้บนหัวเข่า นัยน์ตาเหม่อลอยสิ้นหวังมีม่านน้ำตาฉาบคลออยู่


“ทานข้าวเถอะปริม คุณจำเป็นต้องมีเรี่ยวแรงเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ชายหนุ่มเตือนเสียงเรียบ


หญิงสาวหยิบจานข้าวขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย ดวงตาฉ่ำน้ำก้มมองอาหารตรงหน้าอย่างชั่งใจ มือบางจับช้อนตักไข่เจียวที่โปะอยู่บนข้าวให้พอดีคำ ก่อนที่จะยกขึ้นไปจ่อที่กลีบปากของผู้เป็นสามีแทนที่จะเป็นตัวเธอเอง


“ปริมทานเถอะผมไม่หิวหรอก” กรวิชญ์หันหน้าหนีแม้หัวใจนั้นจะเต็มตื้นไปด้วยความซาบซึ้งในความอาทรที่ผู้เป็นภรรยานั้นมอบให้


“กรเป็นโรคกระเพาะอย่าอดข้าวเลยค่ะ” ปรีติมาลย์ยื่นช้อนเข้าใกล้ปากของเขามากขึ้น


สามีหนุ่มอ้าปากรับอาหารที่ภรรยาสาวบรรจงป้อนให้โดยไม่เกี่ยงงอนอีกต่อไป เขาค่อยๆ บดเคี้ยวคลุกเคล้าข้าวที่อยู่ในโพรงปากอย่างละเมียดละไม ปลายลิ้นรับรู้รสชาติอันแสนจืดชืดทว่ากลับสัมผัสได้ถึงความหวานล้ำอุ่นซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย


กรวิชญ์กลืนกินความปรารถนาดีจากปรีติมาลย์ลงไปทีละคำๆ จนกระทั่งข้าวในจานนั้นพร่องไปเกือบครึ่ง เขาจึงเม้มปากไว้แล้วส่ายหน้า


“อิ่มแล้วเหรอคะ? กรเพิ่งทานไปได้นิดเดียวเอง” ผู้เป็นภรรยาข้องใจ


“ปริมเองก็ต้องทานบ้าง ว่าแต่...นานเท่าไรแล้วนะที่ปริมไม่ได้ป้อนข้าวให้ผมทานแบบนี้? ” ชายหนุ่มหลุดปากรำลึกถึงความหลังอันหวานชื่นซึ่งแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าล่วงเลยมาขนาดไหน


“คงนานพอๆ กับที่กรไม่แตะต้องปริมกระมังคะ” ถ้อยคำประชดประชันที่กลั่นออกมาจากความน้อยใจทำให้รอยยิ้มที่เพิ่งแย้มพรายบนใบหน้าของกรวิชญ์นั้นเปลี่ยนเป็นเครียดขึงขึ้นมาในบัดดล


ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีเสสายตามองไปทางอื่น ภรรยาสาวค่อยๆ ตักข้าวขึ้นรับประทานบ้างอย่างเงียบงัน ความห่างเหินอันเย็นเยียบค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่เมื่อครู่เสียสนิท ความเหว่ว้าเปลี่ยวเหงาทิ่มแทงทำร้ายปรีติมาลย์อีกครั้ง หญิงสาวกลืนอาหารลงคอพร้อมกับก้อนสะอื้นคำแล้วคำเล่า หยาดน้ำตาร่วงหล่นหยดแล้วหยดเล่าโดยไร้การปลอบประโลมจากผู้เป็นสามี


“กรคะ กรบอกปริมทีว่าปริมทำผิดตรงไหนกรถึงได้ทอดทิ้งปริมอย่างนี้? และอะไรที่ทำให้เราห่างเหินกัน? ” ผู้เป็นภรรยาทิ้งจานข้าวแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า ความเปล่าเปลี่ยวไม่อาจเก็บงำไว้อีกต่อไปแล้ว


“กรก็เป็นอย่างนี้เรื่อยเลย ไม่เคยบอกให้ปริมได้รู้แม้กระทั่งในวันนี้ วันที่เรากำลังจะหย่ากัน” หญิงสาวพูดเสียงเบาด้วยความระทดท้อ เหนื่อยล้าเหลือเกินกับการพยายามเข้าไปถึงก้นบึ้งในหัวใจของผู้เป็นสามี


“ปริมน่ารังเกียจขนาดที่คุณยังไม่ยอมมองหน้าเลยเหรอคะ? “ ปรีติมาลย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วง


“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยปริม ผมต่างหากที่น่ารังเกียจ” กรวิชญ์แทรกขึ้นก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะโทษตัวเองไปมากกว่านี้


“หมายความว่าอย่างไรคะกร? “ หญิงสาวสงสัย ดวงตาสุกใสจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีดำนิลอย่างจะค้นหาความจริงที่ซุกซ่อนอยู่


“ผมต่างหากที่น่ารังเกียจ เป็นคนเดินดินไม่เจียมตัวริไปดึงปริมมาตกระกำลำบากด้วย ผมมันน่าสมเพช น่าสมเพชแม้กระทั่งตอนนี้ ดูสิ แค่จะพาปริมหนีไปผมยังไม่มีปัญญาเลย” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะขื่นขมแล้วหลบสายตาด้วยความละอายใจอีกครั้ง


“กรกำลังพูดถึงอะไรอยู่คะปริมงงไปหมดแล้ว? “ ปรีติมาลย์มึนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังพูด


“ผมเคยเชื่อว่าสองมือและสองขาของผมจะตะเกียกตะกายไปจนทัดเทียมกับคุณโดยที่คุณไม่ต้องยอมละทิ้งชีวิตสวยงามแล้วลงมาเพื่อให้พอดีกับผม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ทำให้ผมตระหนักแล้วว่าเราแตกต่างกันเกินไป และแม้ว่าผมจะตรากตรำทำงานมากขึ้นขนาดไหนผมก็ไม่มีทางมอบข้าวของสวยหรูที่อาจเป็นเพียงเศษเงินสำหรับพวกคุณเพื่อเป็นของกำนัลแด่คุณได้ ผมเจ็บปวดเสมอที่เห็นว่าปริมต้องอดทนทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อผม แล้วมันก็น่าเศร้าเหลือเกินที่ผมไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำได้เลย สิ่งที่ดีที่สุดซึ่งผมจะทำเพื่อปริมได้อาจเป็นการปล่อยคุณไปตามเส้นทางที่สวยงามอย่างวิถีเดิมของคุณ” ความคิดที่กัดกร่อนจิตใจซึ่งกักเก็บไว้พรั่งพรูออกมาจากปากของกรวิชญ์โดยไม่ปิดบังอีกต่อไป หากว่าชีวิตของเขาจะหาไม่แล้ว เขาก็ลาจากโดยที่ไม่ทำให้ภรรยาต้องค้างคาในสิ่งใดอีก


“แค่รักที่กรมีให้ก็มากมายและมีค่าที่สุดสำหรับปริมแล้ว ปริมไม่เคยอยากได้สิ่งของใดจากกร กรก็น่าจะรู้ดี” หญิงสาวพยายามบอกกล่าว


“ใช่ผมรู้ แต่มันไม่พอหรอกปริม ถึงผมจะรักคุณสุดหัวใจและพยายามเท่าไรมันก็ไม่อาจถมความต่างระหว่างเราให้เท่ากันได้”


“แล้วปริมล่ะ ปริมที่รักกร กรก็สามารถทิ้งไปได้โดยไม่ใยดีอย่างนั้นเหรอ? “ ปรีติมาลย์ตัดพ้อ


“ผมยอมเฉือนเนื้อตัวเองเพื่อความสุขในวันข้างหน้าของคุณ หากการที่คุณไปจากผมจะทำให้ชีวิตของคุณสุขสบายกว่าที่ต้องทนทุกข์อยู่ในบ้านหลังเล็ก ได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศไม่ใช่ฝืนกินข้าวแกงถุงจากตลาดในแต่ละมื้อ และเพราะอย่างนั้นถึงผมต้องกลืนเลือดผมก็จะทำ” กรวิชญ์ยังคงยืนกรานเหตุผลของเขา


“ทำไมกรถึงไม่เข้าใจสักที? ปริมตัดสินใจแต่งงานกับกรเพราะสิ่งที่กรเป็น ทุกสิ่งที่กรว่ามันสวยหรูดูดีนั้นกลับว่างเปล่าสำหรับปริมหากไม่มีความรักจากกร”


“ปริมจะต้องมาทนทรมานอยู่กับผมทำไม? หากคุณมีทางเลือกที่ดีกว่าก็จงทิ้งผมไปเถอะ”


“ก็ในเมื่อปริมเลือกกรแล้ว แล้วทำไมกรถึงยังจะผลักไสปริมไปอีก? “ ผู้เป็นภรรยาเริ่มเสียงดัง


“เพราะผมไม่คู่ควร ตลอดเวลาที่คุณทำหลายสิ่งเพื่อผมมันก็มากมายเกินกว่าที่ผมจะรับไหวแล้ว” ความรู้สึกต่ำต้อยยังไม่อาจจางลงได้โดยง่าย


“ท้ายที่สุดแล้วกรรักหรือเกลียดปริมกันแน่คะ? “ ภรรยาสาวฝืนข่มอารมณ์แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอีกครั้ง


“ผมรักคุณปริม รักมากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งหมด แต่ผมไม่อาจทนเห็นคุณต้องฝืนอีกต่อไปแล้ว...”


“พอแล้วค่ะกร เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” ปรีติมาลย์วางสองมือนุ่มประคองใบหน้าของชายที่รักยิ่งก่อนจะบดกลีบปากของตนลงบนริมฝีปากของผู้เป็นสามีเพื่อหยุดยั้งถ้อยคำที่วนเวียนอยู่เพียงความแตกต่างระหว่างเขาและเธอ คำพร่ำรำพันซึ่งเธอไม่อยากได้ยินอีกต่อไป


รสจุมพิตที่หวานกำซาบซึ้งตราตรึง รอยสัมผัสที่นุ่มนวลละมุนละไม พาเอาดวงใจที่กำลังจะแตกสลายสองดวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กรวิชญ์และเล็มชิมความหวานที่แสนคิดถึงอย่างอ้อยอิ่ง รสจูบที่โหยหาจนสุดชีวิตซึ่งไม่ว่าเท่าไรก็ไม่มีวันพอ


เป็นหญิงสาวที่ถอนกลีบปากออกโดยที่ริมฝีปากของผู้เป็นสามียังคงติดตามไปไม่ลดละ เธอจุมพิตเขาอีกหนแต่เป็นจุมพิตที่แตะต้องเพียงบางเบาก่อนที่ปรีติมาลย์จะซุกหน้าลงบนอกของชายหนุ่ม สองแขนที่ไร้พันธนาการของเธอโอบกอดร่างใหญ่ที่ถูกตรึงไว้กับต้นเสาด้วยโซ่เหล็ก กรวิชญ์เอี้ยวคอมากดปลายจมูกลงบนเรือนผมหอมจรุงใจ


“ทั้งๆ ที่เราต่างก็รักกันขนาดนี้แล้วเราจะหย่ากันทำไมคะ? “


“ปริมก็รู้เหตุผลของผมแล้วไงล่ะคนดี” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงนุ่มหวาน


“เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย และเป็นเรื่องที่ใจร้ายมากสำหรับปริม” ปรีติมาลย์ทำเสียงกระเง้ากระงอด


“ผมขอโทษ แต่คนต่ำต้อยอย่างผมก็มีเหตุผลเพียงเท่านี้”


“เราเสมอกันค่ะกร ความรักทำให้เราเท่าเทียมกัน” หญิงสาวยื่นหน้าขึ้นจูบที่แก้มสากจากไรหนวดของผู้เป็นสามีอย่างออดอ้อน เรียกรอยยิ้มชื่นหัวใจให้ผุดพรายกลบเกลื่อนร่องรอยบอบช้ำที่อยู่บนใบหน้าแทบหมดสิ้น


เมื่อเข้าใจถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำไว้ ความห่างเหินเย็นชาที่เคยกางกั้นก็พังทลายลง ความห่างไกลนั้นถูกบีบกระชับเข้าหากันจนไม่อาจมีสิ่งใดมาแทรกกลาง คู่ชีวิตพูดจาออดอ้อนออเซาะกันอีกคราราวกับว่าจะชดเชยที่ปล่อยให้ความหมางเมินเข้ามาหยิบฉวยเวลาอันแสนสุขไปจากดวงใจทั้งสอง


แม้รัตติกาลอันมืดมิดจะทำให้ภายในห้องพักของคนทั้งคู่เหลือเพียงแสงแห่งจันทร์เดือนหงายที่เล็ดลอดมาทางหน้าต่างบานกระทุ้งที่ถูกแง้มไว้ ทว่าเสียงจำนรรจาเจื้อยแจ้วผสานกับเสียงหัวเราะของคู่รักกลับดังแว่วออกมาเป็นระยะโดยราตรีที่ไร้ซึ่งแสงไฟหาได้มีความหมายแต่ประการใด


บรรยากาศอันน่าหวาดหวั่นถูกปัดเป่าออกไปด้วยไอรักที่แผ่ขยายรายล้อมสองร่างที่อิงซบกัน ก่อนที่ความสงบเงียบซึ่งมีเพียงเสียงจิ้งหรีดกรีดปีกดังอยู่ ณ ที่ไกลๆ จะมาเยือนอีกครั้งเมื่อเวลาดึกดื่น


ใต้ต้นไม้ใหญ่หนาแน่นใกล้กันกับบ้านไม้ที่ขังคู่สามีภรรยาทั้งสองไว้ กองไฟที่เริ่มมอดส่องแสงแดงวาบๆ ตามแรงลมเอื่อยที่พัดผ่าน เปลญวนซึ่งผูกโยงที่โคนต้นยางพารากำลังแกว่งไกว ร่างใหญ่ที่เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ในชุดพรางนอนอยู่โดยใช้ผ้าขาวม้าปัดไปมาตามลำตัวเพื่อขับไล่ยุงร้าย บนใบหน้านั้นเหยียดยิ้มกว้าง


“...ความรักศักดิ์ศรี รักไม่มีพรหมแดน รักไม่มีศาสนา แม้นใครบุญญา ได้ครองกันมา พรหมลิขิตพาชื่นใจ...”[๑] ริมฝีปากหนาขยับเป็นเพลงบุพเพสันนิวาสเพียงแผ่วๆ ให้ได้ยินแต่ผู้เดียวอย่างอารมณ์ดี


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

รุ่งเช้าที่นกน้อยบินมาขับขานบทเพลงเสนาะหูที่ริมหน้าต่างปลุกปรีติมาลย์ที่นอนคุดคู้หนุนศีรษะอยู่บนตักของผู้เป็นสามีให้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ พื้นกระดานแข็งๆ ซึ่งใช้เป็นที่นิทราตลอดทั้งคืนทำให้เธอนั้นปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวเขย่าที่ขาของกรวิชญ์เพื่อเรียกให้เขารู้สึกตัว


“กรคะ ตื่นเถอะค่ะ” ผู้เป็นภรรยาเรียกเสียงเบา


แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะหายจากความง่วงงุนบานประตูก็ถูกเปิดออกเสียงดัง ชายฉกรรจ์ร่างทะมึนสี่คนตรงรี่เข้ามาถึงตัวคู่สามีภรรยาทั้งสอง ชายคนหนึ่งฉุดร่างของปรีติมาลย์ให้ลุกขึ้นในขณะที่ชายอีกคนย่อลงไขกุญแจที่คล้องกับโซ่ซึ่งพันอยู่กับข้อเท้าของเธอออก ส่วนชายอีกสองคนที่เหลือคนหนึ่งสาดน้ำจากกระบอกโลหะเข้าใส่ใบหน้าของกรวิชญ์โดยที่อีกคนหนึ่งจับศีรษะของเขาให้เงยขึ้น


“เอ้า! มีอะไรจะสั่งเสียไหม? “ ชายที่ในมือถือกระบอกน้ำแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม


กรวิชญ์ทอดสายตามองนวลหน้าของภรรยาสาวที่ซีดขาวราวกับกระดาษและมีหยาดน้ำเต้นระริกฉาบอยู่บนดวงตาที่ตื่นตระหนก


“ขอให้ปริมมีชีวิตที่งดงามตลอดไปนะจ๊ะ“ กลีบปากที่เอ่ยเอื้อนคำลาแด่ผู้เป็นที่รักยิ่งคลี่ยิ้มอย่างที่จะให้เธอนั้นตราตรึงไว้ ว่าภาพสุดท้ายในความทรงจำคือใบหน้าอิ่มเอมสุขใจของเขา


“ไม่ยักกะบอกรักแฮะ” ชายคนร้ายที่คุกเข่านั่งบนส้นเท้าใกล้กับกรวิชญ์พูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ


สามีหนุ่มหลุบตาลงซ่อนแววอันขื่นขมที่กำลังจะพรากจากภรรยาสุดที่รักโดยไม่มีวันหวนคืน ริมฝีปากขบเม้มแข็งใจกักเก็บความในใจไว้จนแน่น หากปาฏิหาริย์ที่เขาภาวนาขอตลอดทั้งคืนไม่อาจเป็นจริงได้ คำรักที่เป็นบ่วงร้ายซึ่งจะผูกมัดเธอไปจนชั่วชีวิต เขานั้นไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดรอดออกจากปากไป


“ไปได้แล้ว! “ ชายสองคนที่คุมตัวตัวปรีติมาลย์ลากร่างบางให้ตามติดออกไป


“ไม่นะ! ปล่อยเขาด้วย ปล่อยเขาออกไปกับฉันด้วย ได้โปรด อย่าฆ่าเขาเลย ได้โปรดเถิดนะ” หญิงสาวกรีดร้องอ้อนวอนพร้อมกับร่ำไห้อย่างน่าเวทนา หญิงสาวดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดออกจากการรัดรึง แต่เรี่ยวแรงของเธอก็หาอาจต่อกรกับชายกำยำทั้งสองที่ตรึงลำแขนของเธอไว้ได้ไม่


ปรีติมาลย์ถูกหิ้วลอยออกมาจากบ้านไม้ที่เธอถูกกักขังไว้ทั้งคืน พ้นมาได้ไม่เท่าไรพญามัจจุราชก็ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ราวกับจะหยุดนิ่ง ความว่างเปล่าขาวโพลนบังเกิดอยู่ในหัวสมองของหญิงสาว ร่างบางเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งที่พร้อมจะแตกหักสูญสลายเพียงแค่แรงกระทบบางเบา ความหนาวเหน็บสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ก้อนเนื้อที่กลางอกดั่งถูกปลิดออกไปพร้อมกันกับเสียงปืนที่แผดปะทะโสตประสาท


เสียงฝูงนกตีปีกโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าฉุดหญิงสาวให้หลุดออกมาจากภวังค์ ปรีติมาลย์สะบัดแขนทั้งสองข้างสุดแรงและก็เป็นผลเมื่ออุ้งมือกร้านนั้นเผลอปล่อยให้เธอหลุดออกจากการเกาะกุม สองเท้าของเธอวิ่งกลับไปยังบ้านไม้ที่เพิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต มือบางผลักบานประตูเข้าไปอย่างแรง แล้วภาพที่ปรากฏให้เห็นก็ทำให้เธอรู้ซึ้งว่าหัวใจสลายนั้นเป็นเยี่ยงไร


กรวิชญ์ที่ก้มหน้าคอพับคออ่อนและมีชายคนหนึ่งย่อตัวอยู่ด้านข้างโดยมือหนึ่งเอียงศีรษะของเขาไปมา ภาพชายตัวใหญ่อีกคนยืนค้ำหัวผู้เป็นสามีของเธอโดยในมือนั้นกำปีศาจร้ายสีดำด้านไว้ก่อนจะเก็บเข้าที่เอวทำให้น้ำตาของเธอไหลทะลัก ปรีติมาลย์หวีดร้องพร้อมกับกระโจนเข้าหาร่างไร้สติของชายอันเป็นที่รักในเวลาเพียงเสี้ยววินาที


“ฆ่าเขาทำไม!? ฆ่าเขาทำไม!? “ ผู้เป็นภรรยากอดรัดร่างที่ยังคงถูกตรึงอยู่กับต้นเสาไว้แน่น


ชายทั้งสองไม่เสวนาด้วยแต่ต่างคนก็ต่างผละจากไป


“ฆ่าฉันด้วย ยิงฉันให้ตายอีกคน ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ได้โปรด...ฆ่าฉันที ฆ่าฉันสิ กรฟื้นสิ ตื่นมาคุยกันก่อน กรคะเรายังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้ทำร่วมกันนะคะ ไหนคุณบอกกับปริมเมื่อคืนว่าจะชดเชยเวลาที่เสียไปให้กับปริมไม่ใช่เหรอ กร กรอย่าทิ้งปริมไปแบบนี้...กร” ปรีติมาลย์เปลี่ยนน้ำเสียงที่กล่าวหาเป็นอ้อนวอนโหยไห้ ร่างบางสั่นไหวจากการสะอื้นที่รุนแรง ฝ่ามือบางเขย่าร่างที่แน่นิ่งอย่างจะให้ฟื้นคืน


เสียงฝีเท้ากระทบลงบนพื้นไม้ซึ่งไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ราวกับจะปิดตายความหวังที่จะได้ติดตามไปพบเจอกับชายผู้เป็นดั่งดวงใจของเธออีกหน ภรรยาสาวคู้ตัวซบลงที่หัวเข่าที่พับกึ่งขัดสมาธิของสามีร้องไห้โหยหวน สองแขนโอบรอบเอวของชายคนรักซึ่งไร้การไหวติง


สรรพสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุดลงด้วยความร้าวรานที่ปรีติมาลย์ต้องเผชิญในการจากไปของกรวิชญ์ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงย่างก้าวของคนสองคนใกล้เข้ามาอีกครั้ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยหัวใจที่เริงร่าอย่างยินดี ความหวังที่กำลังดับแสงนั้นคุโชนขึ้นอีกหน แม้ว่าเป็นความปรารถนาอันน่าสิ้นหวัง ที่เธอจะวอนขอให้ถูกคร่าชีวิตตามผู้เป็นสามีไปก็ตาม


“ปริม” น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เธอคุ้นเคยทำให้ปรีติมาลย์ต้องเหลียวหลังไปหาอย่างรวดเร็ว


“คุณพ่อ... พี่ปราบ...” หญิงสาวครางราวกับละเมอเมื่อพบกับผู้เป็นบิดาและพี่ชายซึ่งเดินเข้ามาหาช้าๆ พร้อมๆ กัน


ความรู้สึกที่ตีวนราวกับพายุร้ายอย่างไม่ปรานีภายในกายจนร่างบางแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นไม่อาจเปิดปากให้เอ่ยถ้อยคำใดออกไปได้ ปรีติมาลย์ทำได้เพียงโหยไห้ปริ่มจะขาดใจต่อหน้าบุคคลทั้งสองพร้อมกับฟุบตัวลงบนตักของผู้เป็นสามีอีกครา...

(จบ)
===========================================
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จบไม่ได้สินะคะ


กรวิชญ์ฝืนปรือหนังตาอันหนักอึ้งลืมขึ้น ดวงหน้าหวานซึ้งที่พบเจอเป็นสิ่งแรกนั้นสร้างรอยยิ้มอิ่มเอมให้ประทับอยู่บนใบหน้าของเขา ความตายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมาน ความกลัวที่บังเกิดเพียงวูบเดียวก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับมืดลง และเมื่อตื่นขึ้นเขาก็ได้พบกับภรรยาที่รักยิ่งชีวิต นี่เขากำลังอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าใช่ไหม? สรวงสวรรค์อันมีแต่ความสุข


ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้ได้แลเห็นนวลหน้าตรึงใจนั้นชัดตามากยิ่งขึ้น กลีบปากจิ้มลิ้มที่คลี่ยิ้มช่างน่าโน้มให้ก้มลงมารับจุมพิตจากเขาเสียนี่กระไร


“ฟื้นแล้วเหรอคะ? “ ปรีติมาลย์ทักผู้เป็นสามีที่ดูเหมือนจะเริ่มได้สติแล้ว “ลุกไหวไหมคะกร? “ เธอถามอย่างห่วงใย


กรวิชญ์พยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะพยายามหยัดตัวลุกขึ้นจากตักของภรรยาโดยมีมือบางของเธอช่วยประคองหลัง อาการปวดมึนที่ยังคงค้างคาอยู่ทำให้เขาต้องตบฝ่ามือไปที่ข้างขมับของตนไม่เบานักสองสามที แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องผวาคว้าร่างของปรีติมาลย์มาซุกอกไว้อย่างจะปกป้อง


ทั้งเขาและภรรยานั้นอยู่บนพื้นหินอ่อน ผู้เป็นบิดาของภรรยานั่งอยู่บนโซฟาหนังตัวยาวสีครีมสะอาดตาโดยมีพี่ชายของเธอนั่งอยู่ที่โซฟาสีเดียวกันซึ่งตั้งอยู่ด้านข้าง ส่วนด้านหลังคนที่เขาคุ้นเคยทั้งสองกลับมีชายฉกรรจ์ทั้งหมดที่ร่วมกันลักพาตัวปรีติมาลย์ยืนเรียงแถวยิ้มเผล่น่าขนลุก


“มันจบแล้วค่ะกร ไม่มีอะไรแล้วนะคะ” ผู้เป็นภรรยาบอกกล่าวด้วยรอยยิ้ม ฝ่ามือน้อยดันอกของชายหนุ่มออกอย่างขวยเขิน


“พวกเราต้องขอโทษนะครับที่ทำรุนแรงกับคุณกรวิชญ์ไปบ้าง แต่อย่าถึงกับต้องตามเช็คบิลกันเลยผมไหว้ล่ะ” ชายในชุดพรางยกมือไหว้ปลกปลกแล้วพวกที่เหลือก็ทำตามอย่างถ้วนทั่ว


“ไปพักผ่อนกันได้แล้วล่ะ ขอบใจพวกนายมาก” ผู้อาวุโสสูงสุดโบกมือให้ก่อนที่ชายคนร้ายทั้งหมดจะกล่าวลาแล้วเรียงแถวกันเดินจากไป


“นี่มันอะไรกันครับคุณพ่อ? “ กรวิชญ์ละล่ำละลักถามด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก


“พวกนั้นเป็นคนดูแลสนามกอล์ฟกับสวนยางของเจ้าปราบนี่ล่ะ ไหว้วานมาสร้างสถานการณ์เล็กน้อยหวังว่ากรจะไม่ถือโทษโกรธอะไรพวกเขานะ” นักธุรกิจใหญ่เฉลย


“เอ่อ...เพื่ออะไรครับคุณพ่อ? “ ผู้เป็นลูกเขยทำหน้าประหลาดอย่างยากจะแปลความ ทั้งสนเท่ห์และโล่งใจในขณะเดียวกัน


“เจ้าปราบเขาท้าให้พ่อพิสูจน์ใจของเราทั้งคู่ว่าจะหมดรักต่อกันแล้วจริงๆ หรือเปล่า? ซึ่งสิ่งที่พ่อได้รู้คือต่างคนต่างก็ยังรักกันจนแทบแยกจากกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องหย่าก็เลิกพูดไปได้เลย” ชายสูงวัยบอกเสียงเฉียบ


“ผมคิดว่าจะตายไปแล้วเสียอีก” กรวิชญ์คราง


“ไม่ตายหรอกแค่โดนยาสลบเท่านั้น” พี่ภรรยาบอกด้วยยิ้มมุมปากขบขัน


“แต่อีกสิ่งที่พ่อไม่เข้าใจ ทำไมปริมถึงจะต้องคืนของมีค่าทุกอย่างให้กับพ่อและพี่ด้วย? อีกทั้งเงินปันผลในหุ้นส่วนของลูกที่จะได้รับทุกปีนั่นอีก เพราะเหตุใดปริมจึงไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว? “


“ปริมไม่อยากให้กรคิดมากค่ะ ปริมมีความสุขกว่าหากจะได้ใช้ชีวิตสมถะโดยมีกรอยู่เคียงข้างตลอดไป” ปรีติมาลย์ตอบฉะฉานแน่วแน่


“ปริม คุณอย่าทำแบบนี้เพื่อผม” กรวิชญ์หันไปมองหญิงที่เคียงข้างด้วยแววตากึ่งตำหนิ


“ใช่! ปริมไม่ควรทำแบบนั้น และกรก็ด้วยเช่นกัน” น้ำเสียงทุ้มน่าเกรงขามกล่าวอย่างมั่นคง


“คุณพ่อหมายความว่าอย่างไรครับ? “ ผู้เป็นลูกเขยย้อนถาม


“ที่พ่อยอมยกลูกสาวที่พ่อรักยิ่งให้กรดูแล เพราะกรแตกต่างจากบรรดาลูกเศรษฐีที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หยิบโหย่ง เสเพล และก็ไม่ได้เป็นพวกฉวยโอกาสหวังจะได้ทรัพย์ศฤงคารรวมถึงใช้ปริมเป็นบันไดให้ไปถึงดวงดาว กรรักปริมขนาดที่เสียสละได้แม้กระทั่งยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลก ยอมแบกรับทุกสิ่งไว้บนบ่าเพียงลำพัง เท่านี้ก็พิสูจน์ให้พวกพ่อเห็นแล้วว่ากรคู่ควรกับปริม” ชายอาวุโสหยุดจังหวะเมื่อเห็นว่าผู้เป็นบุตรสาวเอื้อมมือไปกุมฝ่ามือของบุตรเขยของเขาไว้


“พ่อกับกรมีบางอย่างที่คล้ายกัน เราต่างก็พร่องในความเป็นครอบครัวด้วยกันทั้งคู่ พ่อเสียอีกที่โชคดีมีคนชุบเลี้ยง ในขณะที่กรเติบโตมาด้วยตนเองจากสถานสงเคราะห์ กรมีความมุ่งมั่น ใฝ่ดีและหยิ่งในศักดิ์ศรีของตน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ได้พบกับความสำเร็จ หากแต่สิ่งหนึ่งที่เราต่างกันนั่นคือพ่อไม่เคยปฏิเสธโอกาสที่มีคนหยิบยื่นให้ กรคงเข้าใจนะว่าพ่อหมายถึงสิ่งใด” แววตาที่ผ่านโลกมาครึ่งค่อนชีวิตทอดมองชายตรงหน้าอย่างอารี


“ผมไม่บังอาจกล้ารับสิ่งที่คุณพ่อจะให้หรอกครับ เด็กกำพร้าที่มีแต่ตัวอย่างผมละอายใจเกินกว่าจะยอมรับตำแหน่งที่ไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนได้” กรวิชญ์หลุบสายตาลงมองพื้น


“กรรักปริมหรือเปล่า? แล้วการดูแลผลประโยชน์ให้ภรรยามันจะทำให้เธอเสื่อมเกียรติลงที่ตรงไหน? เท่าที่ผ่านมาทั้งเรื่องงานแต่งทั้งเรื่องเรือนหอที่กรไม่ยอมให้ฝ่ายพ่อออกสักสลึงก็น่าจะเพียงพอแล้ว เงินทองไม่ใช่น้อยที่กรทุ่มลงไปแล้วก็ต้องมาเริ่มต้นสะสมใหม่ แล้วอย่างนี้เมื่อไรถึงจะได้มีเวลาให้กับเมียเสียที? “ คิ้วหนาซึ่งมีเส้นสีเงินแซมอยู่ขมวดน้อยๆ


“คนอื่นจะครหาเอาได้ เท่าที่ผมได้แต่งงานกับปริมก็ถือเป็นความเมตตาที่คุณพ่อมีให้อย่างที่สุดแล้วครับ” ลูกเขยหนุ่มเอ่ยบอกด้วยความเจียมตัว


“คนเขาถ่มน้ำลายเราจะเอามือไปรองไว้ให้เปื้อนทำไม? เราทำอะไรเรารู้ตัวดี เรามีเจตนาที่ดีก็จงอย่าหวั่นเกรง ยอมรับตำแหน่งที่พ่อจะมอบให้แล้วพิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นว่ากรไม่ได้มายืนอยู่ที่แห่งนั้นเพราะโชคช่วย แต่มันเป็นเพราะความสามารถและความดีที่กรมีต่างหาก พ่ออยากได้กรมาช่วยกิจการของครอบครัวเรา งานบริหารอาจจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมแต่ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาคารสถานที่กรไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร ทรัพย์สมบัติเดิมหรือหากจะงอกเงยก็เป็นชื่อของปริม กรได้เงินเดือนตอบแทนตามความเหมาะสมกับแรงงานที่ทุ่มเทลงไป หาได้มาเถือแทะจากกองเงินกองทองของเมียอย่างสุขสำราญเสียหน่อย เท่านี้เพียงพอไหม? หากกรรับปากพอก็เบาใจ เผื่อว่าพ่อจะเกษียณตัวเองได้สักที”


กรวิชญ์คลานเข้าไปกราบแทบเท้าผู้มีศักดิ์เป็นพ่อตาทว่ากรุณาต่อเขาเสมือนผู้บังเกิดเกล้า ความปีติที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทั้งครอบครัวที่เขาคือสมาชิกใหม่รวมถึงความอาทรซึ่งผู้เป็นภรรยามอบให้ ทำให้เขาตระหนักชัดถึงคุณค่าแห่งความผูกพันที่ถักทอซึ่งจะต้องหวงแหนและปกป้องไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ครอบครัวอบอุ่นแสนสุขที่เขาไม่เคยมีโอกาสสัมผัสเมื่อครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองโดยมีปรีติมาลย์เป็นดั่งขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่หล่อเลี้ยงให้มีเรี่ยวแรงหยัดยืนต่อสู้ยามลืมตาตื่นในทุกเช้า


“ทั้งชีวิตนี้ผมก็ไม่อาจทดแทนบุญคุณที่คุณพ่อมีให้ได้หมด” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความสำนึก


“มีหลานตาให้พ่อสักสามสี่คนสิ เท่านี้ก็ถือว่าทำกุศลให้คนแก่วัยบั้นปลายได้ตายตาหลับแล้ว” ผู้อาวุโสยิ้มด้วยดวงตาที่มีประกายแห่งความหวัง


“ได้ครับ! “ กรวิชญ์รับคำทันควันจนปรีติมาลย์ต้องปรี่เข้ามาตีที่ต้นแขนของเขาโดยไว


เสียงหัวเราะดังขรม บรรยากาศที่รายล้อมเป็นไปด้วยความสุขสันต์ ทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนความความคิดเห็นระหว่างกัน จนกระทั่งเห็นสมควรแก่เวลาที่จะเข้าเมืองหลวงจึงชักชวนกันไปยังยานพาหนะที่จะพาทั้งหมดกลับสู่บ้านเสียที


“ยินดีด้วยนะท่านรองประธานอันดับสอง” พี่ชายของปรีติมาลย์ตบที่ไหล่ของกรวิชญ์ไม่แรงนัก


“ขอบคุณครับ แต่ผมยังต้องขอคำชี้แนะจากพี่ปราบอีกมาก หวังว่าจะไม่ว่าอะไรนะครับ” ผู้อ่อน
ประสบการณ์กว่าบอกอย่างถ่อมตน


“เอาสิ ด้วยความยินดี มีนายมาช่วยแบ่งเบาฉันจะได้มีเวลาไปหาแม่พันธุ์มาทำหลานปู่ให้คุณพ่อบ้าง” ผู้เป็นพี่ว่าด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม


“หาให้มันดีๆ หน่อยนะ ไอ้ที่ผ่านๆ มาน่ะ ทำเอาพ่อนอนสะดุ้งเพราะวิญญาณแม่แกมาโวยวายไม่เว้นแต่ละคืนเลย” บุพการีปรามติดตลก ทั้งสี่จึงประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง


สี่พ่อลูกเดินออกมาจากเรือนรับรองที่ปลูกสร้างในสนามกอล์ฟสุดหรูซึ่งมีต้นยางพาราปลูกไว้อยู่โดยรอบ กรวิชญ์หันซ้ายหันขวาเมื่อพบกับทัศนียภาพที่ตนแสนคุ้นตาพร้อมกับรอยยิ้มขัน เขาเดินทางมายังสนามกอล์ฟซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวปรีติมาลย์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดระยองแห่งนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าไม่เคยเดินเลยเข้าไปในส่วนของสวนป่าซึ่งอยู่ห่างออกไปอันเป็นจุดสิ้นสุดอาณาเขตสนามกว้างเลยสักหน และโดยเพราะทั้งเขาและผู้เป็นภรรยาต่างก็ไม่พิสมัยในกีฬาประเภทนี้จึงเอาแต่ใช้เวลาไปกับการออกกำลังกายภายในสปอร์ตคลับ โดยไม่เคยรู้เลยว่าข้างในสวนที่มองเห็นจะมีกระท่อมไม้ที่สร้างไว้ให้คนเฝ้าได้พัก บ้านไม้ที่เขาคิดว่าจะต้องถูกปลิดลมหายใจไปในเช้าของวันนี้


กรวิชญ์เอื้อมฝ่ามือไปเกี่ยวกระหวัดสอดประสานกับมือนุ่มของปรีติมาลย์อย่างแน่นแฟ้น หญิงสาวเอียงศีรษะพิงกับไหล่แกร่งของผู้เป็นสามี สองสายตาสื่อคุณค่าแห่งความสัมพันธ์ทั้งหมดเท่าที่มีให้แก่กันแล้วพากันจับจูงก้าวตามเส้นทางที่ทอดยาว ในเมื่อผู้เป็นภรรยาที่รักยิ่งยอมละทิ้งวิถีชีวิตซึ่งเธอเคยเป็นเพื่อศักดิ์ศรีที่เขาสร้างมาปิดกั้นโอกาสอันดีที่ผู้เป็นพ่อตาหยิบยื่นให้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แล้วใยเขาจะลดทอนความหยิ่งทะนงคว้ามันกลับมาเพื่อสร้างความสุขแด่เธอมิได้เลยเชียวหรือ?...


...จบจริงๆแล้วค่ะ

======================================================================

[๑] บุพเพสันนิวาส คำร้อง : สุรัฐ พุกกะเวส ,ทำนอง : เวส สุนทรจามร


งุงงิง งุงงิง งุงงิง อะไรกัน? อะไรกัน? นักอ่านดักทางกันถูกหมดเลย แง้วๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ :)



กาแฟเย็น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2555, 16:19:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2555, 16:19:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1863





<< ตอน :ช่องห่างระหว่างใจ (ครึ่งแรก)   
pattisa 20 ก.พ. 2555, 19:41:44 น.
แหมมม มีแอบแกล้งให้เราใจหายตอนบอกว่าจบ 5555


กาซะลองพลัดถิ่น 20 ก.พ. 2555, 19:55:01 น.
ความรัก ความเข้าใจ กำลังใจ มีทั้งผลเสียและผลดี ถ้าหากเราใช้เป็นและมองมันให้ลึกซึ้งด้วยใจ ....ทั้งผู้ให้และผู้รับก็มีความสุขจริงไหมคะ ขอบคุณนะคะไรเตอร์ที่มอบความสุขให้คนอ่าน


ann 20 ก.พ. 2555, 21:06:15 น.
ตกใจหมดนึกว่าจะจบเศร้าซะแล้ว


กาแฟเย็น 20 ก.พ. 2555, 22:28:21 น.
เฮะ เฮะ รักหรอกจึงหยอกเล่น
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ

คุณกาซะลองพลัดถิ่น
:ลึกล้ำจริงๆค่ะ ขอบคุณนักกอ่านเช่นกันค่ะ ที่เป็นกำลังใจให้กันเสมอมา


Auuuu 20 ก.พ. 2555, 23:15:30 น.
อ่านแล้วซึ้งงงงจัง ^^


wane 21 ก.พ. 2555, 01:13:38 น.
น่ารักมากค๊า ...ขอบคุณไรเตอร์นะค่ะ ...


ChaussonAuxPomme 26 ก.พ. 2555, 13:17:19 น.
ตอนแรกตกใจเลยอ่ะ ใจร้ายจังแกล้งกันได้ลง ><


Asian 14 พ.ย. 2555, 19:40:23 น.
อย่างน้อยไรเตอร์ก็ไ่ม่ใจร้ายให้พระเอกตายตอนจบ



เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account