ปล่อยหัวใจให้ชะตาลิขิต
เมื่อเธอเดินทางตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ โดยปล่อยให้ชะตาลิขิตเส้นทาง จนได้มาเจอเขา ชีวิตเธอกับเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
Tags: ชะตา

ตอน: Rose01

ปล่อยหัวใจให้ชะตาลิขิต ตอนที่ 1

เสียงคนนอกกระท่อมทำให้คนในกระท่อมต้องขยับตัวเล็กน้อย พยายามฟังว่าคนนอกกระท่อมต้องการอะไร และคอยระมัดระวังตัว เนื่องจากอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคยนัก

“ไม่ต้องหรอก ใครจะเข้ามาอยู่ในกระท่อมเก่าๆ นี่ แถมยังห่างจากตึกใหญ่ตั้งเยอะ เขาเอาที่นี่ไว้พักของน่า ไม่มีใครเข้ามาที่นี่นานแล้วล่ะ ไปตรวจที่อื่นเถอะ” เสียงนอกกระท่อมพากันจากไป ทำให้คนในกระท่อมค่อยโล่งใจ

ผมสีนิลยุ่งเหยิงมัดลวกๆ ค่อยๆ เปิดประตูออกมา ดวงหน้ามีแต่รอยดำเป็นจ้ำๆ เพราะนอนอยู่ไม่ห่างจากถ่านสีดำเก่าๆ เท่าไรนัก มองสภาพกระท่อมที่พักค้างคืนของเธอ ก็เชื่อว่าต้องเป็นแบบที่คนนอกกระท่อมพูด แม้เธอจะไม่เข้าใจภาษานัก หากเมื่อมองหิมะด้านนอกก็นึกหนาวขึ้นมาทันที เมื่อคนเขตร้อนต้องมาติดหิมะอยู่ในเมืองแห่งความหนาวเย็นนี้

หากเพราะชะตาล้วนๆ การสุ่มขึ้นมาจากหลายประเทศที่ไม่เคยไป ทำให้ต้องมา เพราะสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับตัวเองและแม่ หลังจากเสียแม่ไปกับโรคร้าย

หญิงสาวชาวไทยกำลังค้นหาบางสิ่งจากประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เธอถูกแม่ร้องขอให้ทำ หลังจากแม่ลาโลกนี้ไป เธอเสี่ยงกับชีวิต โดยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม

นวาระมองไปรอบๆ ก่อนจะกระชับเสื้อกันหนาวหลายชั้นที่ใส่อยู่ เพื่อกันความหนาวนอกกระท่อม เมื่อคืนเธอสุมไฟเอาไว้มาก แต่ก็ยังดับ เมื่อเธอปล่อยให้มันมอด จากการที่เธอง่วงแสนง่วง หากเพราะเธอไม่กลัวร้อน จึงซุกตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นตลอดเวลา

เธอมองท้องฟ้าอย่างมึนงง กับความหนาวเย็น หากไม่เพราะการสุ่มเดามั่วๆ ของโชคชะตา หรือไม่ก็มือเธอ เธอคงไม่ต้องติดอยู่ในประเทศที่หนาวเย็นนี้ ทว่าก็ไม่มีอะไรเลวร้าย เมื่อเธอมีข้าวของมากมายที่ต้องเตรียมการ และแบกเอาไว้บนหลัง

เธอออกเดินอีกครั้ง เพราะเมื่อคืนได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะออกเดินทางอีกครั้ง ตามทิศทางที่โชคชะตาเลือกให้เธอ แล้วค่อยเสี่ยงทายใหม่ว่าจะเดินทางอย่างไรเมื่อถึงถนน

หากท้องที่กำลังหิวก็โหยหาอาหาร เธอจึงต้องหาที่ที่เพื่อเติมเต็มอาหารให้เต็มท้อง เพื่อการเดินทางที่เธอเลือกทำ แล้วกลิ่นอาหารก็โชยมา ยามเช้านี้เธอคงได้ทำงานแลกอาหารอย่างแน่นอน

เมื่อเดินเข้าไปในห้องที่มีแต่อาหาร เธอก็มองหาคนที่ดูแล แต่แล้วสายตาก็มองเห็นทางเดินโล่งๆ ก่อนจะได้กลิ่นหอมของอย่างอื่นในห้อง คาดว่าในนั้นคงจะมีคน และไม่ผิดหวัง เพราะมีคนอยู่จำนวนมาก กำลังจัดโต๊ะอาหารอย่างเร่งรีบ แต่ก็ทำให้เธอรู้ว่า ที่เธอคิดว่าตอนเช้านั้น มันคือตอนเย็นซึ่งกำลังมีงานเลี้ยงใหญ่

“แกเป็นใคร ใครปล่อยให้ขอทานเข้ามาในนี้เนี่ย” ภาษารัสเซียที่ฟังแล้วชวนปวดหัวสำหรับ ‘ขอทาน’ ที่กำลังทำหน้าตาตื่นในเวลานี้

ขอทานกำลังหันรีหันขวาง เพราะมีชายหนุ่มผมสีต่างๆ กำลังรุมล้อมเข้ามา ทำให้เธอยิ่งตกใจหนักเข้า จึงถอยหลัง แต่กลับโดนจับเอาไว้ พร้อมทั้งต้องฟังเสียงหงุดหงิดรัวๆ จนแทบแปลไม่ออก

สุดท้ายเธอก็ไปยังห้องเล็กๆ ที่มีแต่ผนังสี่ด้าน พร้อมเสื้อคลุมจำนวนมากที่เธอใส่ไว้กันหนาว

“แกเป็นใคร” เสียงนั้นกระชากดังลั่น เป็นหนุ่มผมสีอ่อนที่ดวงตาสีฟ้า ท่าทางดุๆ

เธอส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถอดหมวก ถอดเสื้อออกมาทีละชั้น จนเหลือแต่เสื้อเสวตเตอร์สีเทาเข้มกับกางเกงยีนส์สีเดียวกัน ทำให้เธอหายใจโล่งๆ

“ฉันขอโทษ แต่ฉันฟังที่คุณพูดไม่ทัน คุณพูดอะไรนะ” นวาระเปิดดิกส์รัสเซียแล้วพยายามพูดตาม

ชายหนุ่มดุดันคนนั้นส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะมองอย่างไม่เชื่อเท่าไรนัก

“พูดช้าๆ เพราะฉันไม่เข้าใจ” นวาระพยายามสื่อสารอย่างกระท่อนกระแท่น ก่อนจะมองว่าเขาจะตอบยังไง “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”

“คุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” เขาต้องสะกดอารมณ์เพื่อถามเธอให้ชัดๆ

นวาระยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนตั้งสติพยายามเรียงคำของเขาอย่างช้าๆ ค่อยตอบ “ฉันหลงทางมาน่ะ”

แน่นอนว่าเธอไม่บอกเขาเรื่องที่เธอเสี่ยงทายมาที่นี่ แล้วบังเอิญเจ้าถนนสายนั้นก็ชักนำเธอมาที่นี่ ก่อนจะต้องโดนสอบสวนอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี่

“คุณไม่เห็น เฮ้อ คุณไม่เห็นป้ายหน้ารั้วหรือไง ที่นี่เป็นปราสาทสำหรับล่าสัตว์ของราชวงศ์ประเทศสตาสเซียนะ” เขาเปลี่ยนเป็นพูดภาษาอังกฤษแทน แล้วหวังว่าหญิงสาวต่างชาติจะเข้าใจได้มากกว่าภาษาบ้านเกิดของเขา

“โอ้! สวรรค์ คุณพูดอังกฤษได้ อืม ฉันไม่เห็นค่ะ พอดีฉันเดินมาทางกระท่อมด้านหลังโน้น ยังคิดอยู่ว่าจะของานทำแลกอาหารอยู่เลย ที่นี่มีงานเลี้ยงเหรอ” นวาระค่อยโล่งใจ หากเธอไม่ได้สังเกตหน้าตาที่ดำมอมของตัวเอง และทำให้รอยยิ้มของเธอดูแปลกๆ มากกว่าน่าไว้ใจ

“คุณชื่ออะไร” ชายหนุ่มผมสีทองถามเธอ โดยไม่สนใจเรื่องที่เธอเล่าเท่าไรนัก เขาพบความไม่ปกติของเธอมากกว่าเรื่องที่เธอจงใจเล่า

“นะ-วา-ระ ปัน-นา-อิน หรือคุณจะเรียกฉันว่า ‘โรส’ ก็ได้” นวาระตอบตามตรง ก่อนมองไปที่กระเป๋าเป้ของเธอ “ในนั้นมีพาสปอร์ตของฉัน อ๋อ ที่ฉันทำงานแลกอาหาร ไม่ใช่เพราะฉันอยากจะมาแย่งงานของคนในประเทศคุณนะ แต่ฉันมีเหตุผลของฉันน่ะ”

เขาหันไปมองเป้ของเธอ ก่อนจะพยักหน้าให้คนเข้าไปค้น ก่อนเห็นพาสปอร์ตของเธอ

“คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหมคะ ปล่อยฉันไปได้หรือยัง” นวาระผจญภัยในประเทศเล็กๆ ที่แอบซ่อนอยู่ไม่ห่างจากอดีตสหภาพโซเวียตเท่าไรนัก เพราะยังใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาประจำชาติอยู่...ประเทศสตาสเซีย

เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ อย่างใช้ความคิด “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราขอเวลาตรวจสอบเรื่องของคุณก่อน ระหว่างนี้อย่าสร้างความวุ่นวายให้กับที่นี่ เพราะที่นี่กำลังมีงานเลี้ยงฉลองพระราชพิธีสมรสของเจ้าหญิงคาทริน่ากับท่านเคานต์อเล็กเซย์”

“แปลว่าฉันต้องอยู่ที่นี่ จนกว่าทุกคนจะไปจากที่นี่เหรอคะ” นวาระทำหน้าเซ็ง แต่ก็ยากจะสังเกตได้จากคนอื่น เพราะหน้าเธอมีแต่รอยดำๆ ด่างๆ

“หรือจนกว่าจะสืบสวนได้ว่า เธอไม่ใช่สายลับที่ต้องการทำลายประเทศสตาสเซีย ด้วยการปองร้ายเจ้าหญิงรัชทายาท” เขาบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พร้อมส่งข้อมูลให้คนไปตรวจสอบ

“เดี๋ยวก่อน!! ขอฉันกินอะไรก่อนได้ไหม ฉันจะเป็นลมอยู่แล้ว” นวาระต้องยอมนั่งลงแบบไม่มีทางเลือก เมื่อเธอหิวจนตาลาย

เขาส่ายหน้าช้าๆ ก่อนหันไปทางลูกน้องแล้วออกคำสั่งเป็นภาษารัสเซีย “หาอะไรให้หล่อนทานซะ แล้วอย่าให้ออกไปจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว”

“ขอห้องน้ำด้วย ฉันปวดจะแย่อยู่แล้ว” นวาระต้องบอกอีกเรื่องที่เธอต้องการ เพราะไม่มีทางได้ออกไปจากห้องนี้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

เขากระแทกลมหายใจอย่างรำคาญ ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องสาวที่ยืนรอ แล้วออกไปร่วมงานเลี้ยงฉลองสมรส

นวาระต้องถอนหายใจเฮือก และเมื่ออาหารมา เธอก็โล่งใจ ยังดีที่ชายหนุ่มคนนั้นใจดีบ้าง ให้คนพาเธอไปเข้าห้องน้ำ แล้วค่อยพามากินอาหารในห้องควบคุม

ถ้าแม่รู้ว่าลูกสาวจะโดนจับฐานเป็นสายลับ คงไม่สั่งให้เธอออกเดินทางอย่างแปลกประหลาดแบบนี้

นวาระรออยู่หลายชั่วโมง ก่อนจะพบว่าคงไปไหนไม่ได้ เธอจึงเริ่มออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้เหนื่อยบ้าง จะได้นอนหลับสนิท ช่วงที่ถูกควบคุมตัว แน่นอนว่าเธอรู้ดีถึงความเหนื่อย

เมื่อคืนเธอทำงานหนักแลกอาหาร ก่อนจะหลับยังกระท่อมเก็บฟืนเก่าๆ ยาวจนข้ามวัน ก็ใครจะคิดว่าประเทศบ้านี่หนาวแทบจะตลอดปี ใครบอกเธอกันว่าช่วงนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว แต่ก็ยังไม่หายหนาว เพราะใกล้กับไซบีเรีย เธอก็แทบบ้าไปเลย แต่เมื่อต้องรักษาสัญญาให้แม่ เธอก็ไม่มีทางเลี่ยง

****************************************


สามวัน ปราสาทแห่งนี้ ส่งเจ้าหญิงรัชทายาทกับพระสวามีไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่เพราะเขามีตัวปัญหาที่ยังรั้งเขาเอาไว้ที่นี่ แม่สาวไทยตัวแสบที่เริ่มอะลาวาด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยเธอไปสักที

“มาก็ดีแล้ว ขอฉันเที่ยวต่อสักทีเถอะค่ะ จะจับฉันไว้ทำไมเนี่ย” นวาระจ้องเอาคำตอบจากเขา

“ก็เธอรุกล้ำเข้าเขตพระราชฐานน่ะสิ มีสิทธิถูกส่งกลับประเทศได้โดยไม่ต้องคิดเลยล่ะ ซีเซีย ช่วยบอกหล่อนหน่อยสิ” เด็กหนุ่มหันไปทางพี่ชาย เพื่อให้พี่ชายหยุดแม่ตัวดีคนนี้โดยเร็ว

“พอทั้งคู่นั่นแหละ พ่อแม่สั่งว่าให้พาหล่อนไปพักบ้านพักของพวกเราก่อน เป็นการขอโทษที่ต้องกักบริเวณเอาไว้ตลอดสามวัน จากนั้นก็จะปล่อยให้เธอเที่ยวจนกว่าจะกลับประเทศ ไปได้แล้ว” เขาต้องรีบบอกก่อนที่เจ้าหล่อนจะทะเลาะกับน้องชายเขามากไปกว่านี้

นวาระถอนหายใจยาว ก่อนจับของที่ต้องใช้ใส่เป้เดินทาง แล้วหันไปบอกเขา “ขอบคุณมากค่ะ จะให้ทำอะไรก็รีบทำๆ เข้า ฉันอยากทำภารกิจของฉํนให้เสร็จสักที”

“ภารกิจ! เชอะ เธอนี่คงบ้านะ” อูริย์ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนหันไปคุยภาษารัสเซียกับพี่ชาย “แม่นี่น่าจับส่งโรงพยาบาลจริงๆ พ่อแม่รออยู่ที่บ้านแล้วล่ะสิ”

“ใช่ ไปกันเถอะน่า” ซีเซียเดินไปช่วยถือของ แต่นวาระกลับถือเป้หลบ

“ฉันถือของฉันเองได้นะ ไม่ต้อง!” นวาระถือของเดินตามพวกเขาไปจนถึงรถ แล้วถูกพาไปยังบ้านเก่าๆ หลังกะทัดรัดในพื้นที่พอดี

เธอมองแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนถามขึ้น “ฉันขอทำงานแลกอาหารได้ไหม คืนนี้ขอนอนที่โรงเก็บฟืน พรุ่งนี้จะออกเดินเท้าไปเอง”

ซีเซียกับอูริย์หันไปมองเธออย่างแปลกๆ หลังจากจอดรถ แล้วพาเธอออกมาด้านนอก ก่อนจะมองพ่อบ้านที่มาอยู่คอยดูแลความสะดวก

“ว่าไงคะ ได้ไหม” นวาระถามขึ้นอย่างสงสัย

“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกนะ เราต้อนรับเธออย่างแขก พอดีพ่อแม่ฉันรู้จักท่านฑูตไทยประจำสตาสเซีย ท่านรับรองว่าคุณเข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย แล้วก็ไม่ได้เป็นสายลับจากจีนหรือที่ไหน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก” เขาถอนหายใจยาว เมื่อต้องบอกเธอตามนั้น

“แต่ว่าฉันมีภารกิจต้องทำ แล้วฉันก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ อืม เอายังไงดี อืมๆ” เธอพยายามหาทางแก้ ก่อนจะหยิบลูกเต๋าออกมาแล้วโยนก่อนจะมอง “โอเค ตามคุณว่าเลยค่ะ”

“นี่เธอทำอะไรของเธอน่ะ” อูริย์ถามเธอแล้วมองแบบแปลกๆ ประมาณเธอไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก

“นี่เป็นเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับคุณ” นวาระพูดขึ้นแล้วมอง ก่อนจะถาม “ให้ฉันพักที่ไหนคะ”

“มีคนจัดห้องรับรองแล้วล่ะ” ซีเซียบอก ก่อนมองน้องชายอีกคนเดินออกมา “อนาโตลีย์ นี่โรส คนที่เล่าให้ฟังว่าแปลกๆ”

“ใช่ อนา ยัยนี่บ้าแน่ๆ” อูริย์ที่ตามพี่ชายคนโตไปด้วยรีบบอก ก่อนขอตัวแยกไปพักผ่อน

“ยินดีต้อนรับ โรส” อนาโตลีย์ทักทายเพียงแค่นั้น ก็เดินสวนออกไปเพื่อฝึกขี่ม้าแล้วยิงเป้า

ซีเซียรู้ว่าน้องชายคนรองพูดน้อยต่อยหนักตลอด จึงปล่อยไป ก่อนให้พ่อบ้านพาแขกไปห้อง แล้วเขาก็แยกตัวไปทำธุระ

นวาระตามพ่อบ้านไป แล้วเริ่มเกร็งอีกรอบ เพราะไม่รู้ว่าพ่อบ้านพูดภาษาอังกฤษได้ไหม แย่หน่อยที่ประเทศแถบนี้ใช้ภาษารัสเซียแทบทุกคน เธอก็ปวดหัวได้เหมือนกัน

“เวลาอาหารค่ำคือ หนึ่งทุ่มตรง และขอให้แต่งตัวสุภาพ ชุดอยู่ในตู้นะครับ” พ่อบ้านพูดภาษาสากลทำให้เธอสบายใจขึ้น

เธอมองตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่แล้วก็ถอนหายใจ ไม่คิดว่าทหารราชองค์รักษ์จะบ้านช่องใหญ่โตแบบนี้ แล้วเธอก็ไม่คิดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเหล่านี้ เธอวางกระเป๋าเป้ลงแล้วควักเอาเสื้อผ้าเท่าที่มีออกมา จากนั้นก็หันไปถามคนที่เข้ามาในห้อง “มีผงซักฟอกไหมคะ”

“คุณต้องการอะไรนะคะ” คนรับใช้ถามกลับมาเป็นภาษารัสเซียทำเอาคนฟังงไปเลย

“พูดอังกฤษได้ไหมคะ” นวาระถามให้แน่ใจ ก่อนจะฟังภาษารัสเซียที่ฟังไม่ออก จึงโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรค่ะ”

เธอหันมาจัดการกับเสื้อผ้า พร้อมเอาผงซักฟอกที่ตัวเองเอามาด้วยออกมา จากนั้นก็เข้าไปในห้องน้ำ แล้วเอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วออกมาซัก ก่อนจะมองหาเตารีด เพื่อรีดให้แห้ง ไม่อย่างนั้นคงออกเดินทางลำบากแน่นอน แต่เมื่อไม่เห็นก็ออกจากห้อง เดินไปรอบๆ พยายามถามหาคนที่พูดภาษาอังกฤษได้จนเจอชายวัยกลางคนนั่งอยู่ในสวนกระจก

“ขอโทษค่ะ พูดภาษาอังกฤษได้ไหมคะ” นวาระถามขึ้น แม้จะเห็นเขากำลังอ่านหนังสืออยู่ก็ตาม

ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนถามขึ้น “มีอะไรเหรอ”

“ฉันอยากรู้ว่าจะหาเตารีดได้ที่ไหนคะ พอดีฉันซักผ้า แล้วประเทศนี้ก็หนาวมากจริงๆ ฉันว่าจะรีดผ้าให้แห้งค่ะ” นวาระบอก แต่ก็ยังไม่ยอมนั่งลง เพื่อรอคำตอบ

“ทำไมไม่ให้คนรับใช้เอาไปซักให้ล่ะ มีเครื่องอบผ้าแห้งอยู่นะ ดีกว่าเตารีดเยอะเลย” ชายวัยกลางคนบอกแล้วยิ้มให้ ขณะขยับแว่นตา

“ก็ไม่เจอใครพูดภาษาอังกฤษค่ะ ฉันก็เลยไม่รู้จะบอกยังไง อีกอย่างฉันคุ้นกับการทำอะไรเองมากกว่าค่ะ” นวาระพูดขึ้น ก่อนหันไปมองคนเปิดประตูเข้ามา

“มาพอดีเลย เดี๋ยวให้คนเข้าไปเอาเสื้อผ้าในห้องน้ำของผู้หญิงคนนี้ ไปซักอบแห้งแล้วคืนให้เธอด้วยนะ” เขาสั่งแล้วพ่อบ้านก็ถอยออกไปทำตามทันที ก่อนพูดกับหญิงสาวชาวไทย “เขาจัดการให้แล้วล่ะ เธอไม่ต้องหาเตารีดอีกแล้วนะ”

“คุณลุงเป็นเพื่อนของครอบครัวนี้เหรอคะ” นวาระถามขึ้น เพราะเห็นท่าทางนอบน้อมของพ่อบ้าน

“อืม จริงสิ ซีเซียบอกว่าเธอมาที่นี่ เพราะเหตุผลบางอย่างมากกว่ามาเที่ยว ไหนๆ ก็มีเวลาว่างแล้วเล่าให้ฟังทีสิ อ๋อ ฉันชื่อมิคาอิล เธอชื่อโรสใช่ไหม” มิคาอิลถามแล้วมองที่นั่งที่ไม่ห่างนักเป็นเชิงให้เธอนั่ง

“ค่ะ คุณอยากรู้จริงๆ เหรอคะ คือเรื่องมันไร้สาระสำหรับคนอื่นมากนะคะ” นวาระถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร มีเวลาอีกมากนะ” มิคาอิลพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ฉันมาตามคำสั่งของแม่ค่ะ แม่คิดว่าฉันควบคุมชีวิตมากเกินไป จนไม่ยอมหันไปมองเรื่องอะไรในชีวิตเลยนอกจากเรื่องงาน ฉันไม่มีคนรัก เกลียดการมีคนรัก จึงมุ่งทำแต่งานตั้งแต่ยังไม่เรียนปริญญาตรี เรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานที่บ้าน พอเรียนจบก็ดูแลงานธุรกิจส่วนตัว ทำแต่งานอย่างเดียว

แม่คิดว่าฉันใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า ปีที่แล้วแม่พาฉันไปไหว้พระ คือฉันนับถือศาสนาพุทธ แม่ฉันให้ฉันสาบานว่า ก่อนตาย ถ้าแม่ให้ฉันทำอะไร ฉันต้องทำตาม ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ฉันยอมสาบาน เพราะเชื่อว่าแม่ต้องไม่ส่งฉันไปทำอะไรที่เป็นอันตรายแน่นอน” นวาระพูดถึงแม่อย่างภาคภูมิ

“ดูเธอภูมิใจกับแม่เธอมากนะ” มิคาอิลมองออกอย่างคนผ่านโลกมามาก “แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง”

“เนี่ยล่ะค่ะ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาอยู่ในประเทศที่มีแต่ฤดูหนาวแบบนี้ เมื่อเก้าเดือนก่อนแม่ทรุดหนัก เข้าโรงพยาบาล ก่อนเสีย แม่ให้ฉันรักษาสัญญา แม่กำหนดทุกอย่างเอาไว้ ให้ฉันทำตาม ฉันถึงมาที่นี่ได้สามเดือนแล้วไงคะ” นวาระมีท่าทางหนักใจกับอากาศหนาว และวิธีใช้ชีวิตประหลาดๆ ของเธอ

“การมาที่นี่คือสิ่งที่แม่เธอกำหนดเหรอ” มิคาอิลฟังอย่างใจเย็น

“เปล่าค่ะ แม่ไม่ได้กำหนด แม่แค่ให้ฉันทำตามดวง ฟังแล้วตลกใช่ไหมคะ แม่บอกว่าให้ฉันออกเดินทางโดยไม่กำหนดวันเวลาและสถานที่ แต่ให้ใช้วิธีเสี่ยงทายเอา อย่างสถานที่ ฉันก็เขียนชื่อประเทศทุกประเทศลงกระดาษ ฉันถึงได้รู้ว่ามีประเทศนี้อยู่ด้วยค่ะ ขอโทษนะคะ แต่ฉันก็มีความรู้ที่จำกัดค่ะ จากนั้นก็ล้วงลงไปแล้วก็เขย่าๆ จับชื่อออกมา จนมาที่นี่ประเทศสตาสเซียเนี่ยแหละค่ะ” นวาระเล่าให้ฟังคร่าวๆ

มิคาอิลฟังแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าขันจริงๆ เด็กสาวคนนี้มาโดยไม่รู้ว่าประเทศนี้เป็นยังไงเลยหรือ...

“แล้วฉันก็ล้วงทุกอย่าง ทั้งวันเวลาและสถานที่ เฮ้อ หลังจากแม่เสียสามเดือน ฉันก็เริ่มวางแผน พอครบอีกสามเดือน ฉันก็มาที่นี่ ฉันจะจับฉลากตลอดเวลา จะกิน จะเดินทางยังไง จะไปทางทิศไหนของประเทศนี้ แล้วแต่คราวซวย แต่หวังว่าแม่จะคุ้มครองให้ฉันผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ” นวาระพูดแต่ไร้แววเศร้า

“ทำไมเธอดูไม่เศร้ากับการตายของแม่เลย” มิคาอิลถาม แม้จะรู้สึกว่าเขากำลังละลาบละล้วงก็ตาม

“เฮ้อ ชีวิตแม่ลำบากมาทั้งชีวิต แต่ก็พากเพียรทำดีให้ทาน หางานให้คนทำ บุกเบิกหลายอย่างเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ตอนตายก็เป็นมะเร็ง ฉันหวังว่าเมื่อแม่ตายจะสบายกว่าเดิม เพราะแม่เป็นคนดีมาทั้งชีวิต ทั้งสู้กับโรคอย่างสงบเสมอ ท่านทิ้งหลายอย่างเอาไว้ให้ฉัน ที่สำคัญ ท่านขอร้องไม่ให้ฉันเสียใจนานเกินไปนัก ให้ฉันคิดเสมอว่าท่านได้พ้นทุกข์และไปยังสถานที่ที่สงบสุขเสมอ” นวาระพูดตามใจคิด และรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม

มิคาอิลพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะมองคนที่เข้ามา

“พ่อคุยอะไรกับแม่คนนี้น่ะ สติไม่ค่อยดีเท่าไรนะ” อูริย์มองพ่ออย่างงงๆ และไม่พูดให้เธอเข้าใจ

“อูริย์ อย่าเสียมารยาทกับแขก พูดภาษาอังกฤษสิ” มิคาอิลสั่งลูกชาย ก่อนจะหันไปขอโทษ “ฉันเสียใจที่ลูกชายคนเล็กของฉันไร้มารยาทกับเธอนะ”

“คุณเป็นพ่อของเขาเหรอคะ” นวาระมองอย่างงงๆ

“ใช่แล้วล่ะ ผมยังเคยเป็นอดีตหัวหน้าราชองค์รักษ์ของสมเด็จพระราชาและพระราชินีด้วย ตอนนี้ผมเป็นประธานองคมนตรีประจำพระองค์ด้วย ขอโทษแทนลูกชายผมที่นิสัยเสีย” มิคาอิลแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ก่อนจะพูดขึ้น “ทางเราเสียใจที่เข้าใจผิดเรื่องคุณหลงทาง ขอให้คุณมีความสุขในฐานะแขกของที่นี่นะครับ”

นวาระนึกขนลุก ก่อนจะยิ้มแห้งๆ รู้สึกเหมือนโดนสอบสวนอย่างไม่เป็นทางการสักเท่าไร แต่ถ้าทำให้ทุกคนเข้าใจชีวิตเธอในตอนนี้ได้ ก็จะเป็นเรื่องดีมาก จะได้ออกเดินทางต่อสักที

“ที่รัก” มิคาอิลทักทายภรรยาที่เข้ามาทีหลัง ก่อนแนะนำ “นี่ท่านผู้หญิงดาเรีย คารอฟสกี้ ภรรยาของฉัน ที่รัก นี่โรส เอาล่ะ ได้เวลาอาหารพอดี เราไปร่วมโต๊ะกันเถอะ”

ซีเซียเข้ามาในห้อง เห็นน้องชายกับพ่อแม่ แล้วก็แขกชาวไทยก็มองแปลกๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่เลย พ่อได้ฟังเรื่องสนุก เราไปนั่งที่โต๊ะอาหารกันเถอะ” มิคาอิลยิ้มให้หญิงสาว ก่อนโอบไหล่พาภรรยาไปนั่งที่โต๊ะ

“คุณคุยอะไรกับพ่อผม” ซีเซียถามขึ้น เมื่อเห็นเธอยิ้มแห้งๆ

“ก็...เรื่องของฉันน่ะแหละ ฉันไม่รู้นี่ว่าพ่อคุณ” นวาระถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินตามไปเรื่อยๆ อย่างเซ็งๆ

อูริย์ส่ายหน้าแล้วรีบเดินตามพ่อแม่ไป นึกไม่ออกว่าเรื่องสนุกอะไร แต่คงไม่สร้างสรรค์เท่าไรนัก ถ้าเป็นเรื่องของผู้หญิงสติไม่ค่อยดีคนนี้

****************************************


เมื่อทุกคนพร้อมที่โต๊ะอาหาร รวมทั้งแขกพิเศษ นวาระนั่งลงพร้อมทุกคน ก่อนจะมองอาหารที่มาขึ้นโต๊ะ ค่อยยังชั่วที่เป็นอาหารที่เธอทานได้ แล้วหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี

“เจ้าหญิงรัชทายาทจะเสด็จกลับเมื่อไร” มิคาอิลถามลูกชาย

“จะประภาสน์ยุโรปจนทั่วแล้วไปอเมริกาต่อครับ” ซีเซียรายงานตามเรื่อง

“ในฐานะหัวหน้าราชองค์รักษ์ประจำพระองค์ พี่ไม่ต้องไปคอยติดตามดูแลเหรอครับ” อนาโตลีย์ถามขึ้น

“เจ้าหญิงสั่งให้พี่พักแล้วดูแลพระราชฐานส่วนพระองค์ แล้วพี่ก็จัดราชองค์รักษ์ที่ดีที่สุดให้แล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา” ซีเซียพูดเสียงขรึมกับน้องชายคนรอง ท่าทางเขาเย็นชาและไม่อยากพูดเรื่องนี้เท่าไรนัก

“ไม่คิดว่าเจ้าหญิงต้องการให้พี่อยู่ห่างๆ สักพักหรอกเหรอ” อูริย์ถามพี่ชายตรงๆ เพราะดูเป็นเรื่องแปลกที่พี่ชาย ซึ่งมักติดตามเจ้าหญิงรัชทายาทไปทุกที่ กลับถูกทิ้งไว้ที่นี่

“พี่ไม่อยากคุยเรื่องนี้ นี่เป็นเรื่องที่เจ้าหญิงทรงตัดสินพระทัย ไม่ใช่เรื่องของนักศึกษาอย่างนาย” ซีเซียพูดตรงชัด เพราะรำคาญน้องชายจอมจุ้นของตนเอง

“ถูกของซีเซียนะ แม่ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พี่ชายลูกจะได้พักผ่อนด้วย สิบปีมานี้ พี่ชายของลูกทุ่มเทชีวิตเพื่อหน้าที่มาตลอด เจ้าหญิงทรงเห็นว่าน่าจะได้เวลาพัก ก่อนที่พี่ชายของลูกจะกลับไปทำงานอีก” ดาเรียสนับสนุนลูกชายที่เป็นหน้าตาของครอบครัว

“อืม โรส คุณเที่ยวประเทศนี้แล้วได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างล่ะ” มิคาอิลเปลี่ยนเรื่อง โดยหันไปสนใจแขกของบ้านแทน

“ก็ไม่ค่อยค่ะ ช่วยเก็บพืชผักผลไม้ ออกเดินทางไปเรื่อยๆ ดูภาพสวยๆ งามๆ ทำตามความตั้งใจของแม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่กังวลอะไรค่ะ” นวาระบอกเจ้าของบ้าน

“ไม่ไปเล่นสกี ปีนเขา หรือว่าเล่นสโนว์บอร์ดเลยเหรอ ประเทศนี้อากาศหนาวเย็น จึงเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อด้านการท่องเที่ยวมากเลยนะ” มิคาอิลแนะนำ

ยิ่งทำให้ลูกๆ และภรรยาดูประหลาดใจ เพราะเจ้าของบ้านกำลังให้ความเอ็นดูหญิงสาวแปลกหน้ามากกว่าปกติ

“ไม่ค่ะ แต่ก็สนุกดี ได้รีดนมวัว ช่วยทำไร่ ตัดฟืน จัดบ้านแลกอาหารก็เป็นอะไรที่สนุกเหมือนกันค่ะ” นวาระชอบทำงานอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้เธอไม่เคยพลาด เพราะปกติไม่เคยคิดพึ่งพาคนอื่นเรื่องนี้ เธอพยายามไม่ให้ใครเข้ามาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมาก และไม่อยากเคยชินกับการที่ต้องมีคนอื่นคอยช่วยพยุง

“ไม่กลัวอันตรายบ้างเลยเหรอ” ดาเรียถามขึ้น ถึงเวลาสวมใส่เสื้อผ้าจะดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี “พ่อแม่ไม่ว่าเอาเหรอ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวเที่ยวออกเดินทางแบบนี้ ผู้ชายสมัยนี้อันตรายนะ แล้วยังโจรอีก”

“ประเทศนี้แทบไม่มีอาชญกรรมค่ะ” นวาระพูดอย่างเชื่อมั่น เพราะอยู่ในประเทศนี้มาสามเดือน

แม้จะเจอคนที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือบ้าง แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีน้ำใจนัก อาจเพราะประเทศนี้มีความเป็นอยู่ที่ดีเยี่ยม จากการค้าน้ำมันที่มีอยู่ก็ได้

“อย่าไว้ใจคนง่ายนัก ทุกที่มีทั้งคนดีและคนชั่วทั้งนั้นแหละ” อูริย์ไม่ชอบหน้าเธออยู่แล้ว จึงพูดฉะฉานให้ยอมแพ้

“แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน” นวาระไม่ใส่ใจนัก

การเดินทางครั้งนี้เธอต้องทำตามที่ให้สัญญาไว้กับแม่ และคิดว่าแม่ก็คงไม่อยากให้เธอเจอกับอันตรายแน่นอน ทุกก้าวของเธอต้องมีแม่คอยคุ้มครองเธออยู่ที่ไหนสักแห่ง

“เธอกำลังจะเดินทางไปที่ไหนอีก” มิคาอิลถามขึ้น ท่าทางของเขาเฉยๆ แต่ก็ดูมีท่าทางสนใจอยู่บ้าง

“ทิศเหนือค่ะ คิดว่าคงหนาวขึ้นไปอีก” เธอทำท่าทางหนาวสั่นก็ดูออกแล้ว คนจากเมืองร้อนจะอยู่ในที่หนาวๆ ได้แค่ไหน

“ทำไมจะขึ้นเหนือล่ะ หรือจะไปเล่นสกี” มิคาอิลถามขึ้น

“ฉันเล่นสกีไม่เป็นหรอกค่ะ แต่เพราะชะตาชี้ไปทางนั้น ก็ต้องเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างที่ฉันบอก ฉันรักษาสัญญาให้แม่ที่เสียไปค่ะ ก็คิดว่าทำงานแลกอาหาร หรือซื้ออาหารตามแต่จะจับฉลากได้ค่ะ” นวาระพูดเรื่องที่ทำให้ทั้งโต๊ะมองว่าเธอเสียสติ

“แล้วจะไปยังไง เดินเหรอ” มิคาอิลถามแล้วมองอย่างประหลาดใจ

“ยังไม่รู้ค่ะ แต่พรุ่งนี้เช้า ฉันจะเสี่ยงทายอีกครั้ง ตอนแรกอาจต้องเดินก่อน แล้วถ้าเสี่ยงทายได้โบกรถ ฉันก็จะโบกรถไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอรถ หรือไม่ถ้าบอกว่าเดิน ฉันก็จะเดินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดวัน แล้วค่อยดูว่ามีที่ไหนให้นอนได้บ้าง หวังว่าฉันจะไม่ตายกลางทางเสียก่อนนะคะ” นวาระพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

โลกไม่น่ากลัวเท่าจิตใจคน...ทุกอย่างมีทางรอดเสมอ

“ประมาทอีกแล้ว เธอไม่รู้หรือไงว่าหนทางมันไกลแค่ไหน ถ้าคืนนี้หากระท่อมไม่ได้ เธออาจจะแข็งตายที่ไหนสักแห่งนะ” ซีเซียพูดค้านขึ้น

“ฉันเขียนพินัยกรรมไว้แล้วค่ะ แต่คิดว่าแม่จะคุ้มครองให้ฉันรอดพ้นมาได้ อย่างที่เคยรอดพ้นมาหลายคืน” นวาระพูดแล้วพยายามไม่กลัวคำเตือนของเขา

ไม่ใช่ว่าไม่เคยกลัว แต่กลัวมานานแล้ว หากเพื่อรักษาคำพูด ก็คงไม่ถึงกับทำให้ใครตาย หรือถ้าถึงคราวตาย ก็คงอย่างที่แม่เคยพูดไว้เสมอ

ยามถึงที่ตาย...ไม่ตายก็ไม่ได้ เพราะงั้นอย่ากลัวตาย ขอแค่ไม่ประมาทก็พอ

เธอก็ไม่ถึงกับประมาท จึงขนผ้ามามากมาย แล้วก็คิดว่าควรเอาน้ำมันไปด้วย ซึ่งเธอก็มีพอ ระหว่างทางคิดว่าจะหาฟืนไปด้วย เผื่อไม่มีที่พัก เธอก็จะเตรียมตัวเอาไว้ ใช้เต็นท์พับได้เป็นที่พักพร้อมด้วยผ้าห่มหนา ก่อนจะรู้ตัว เธอก็ลดน้ำหนักได้มากโข เพราะแบกของหนักมานานสามเดือน

“ซีเซีย พ่อคิดว่าลูกคงอยากพักผ่อนมากนะ ทำไมลูกไม่ลางานสักหกเดือนแล้วออกไปจากการควบคุมบ้างล่ะ” มิคาอิลเสนอขึ้นทำมาทำให้สมาชิกทุกคนที่เหลือตกใจ

“พ่อพูดเรื่องอะไรครับ” ซีเซียมองพ่ออย่างงุนงง

“ทำไมลูกไม่ออกเดินทางเหมือนแม่หนูนี่บ้าง ใช้ชีวิตที่ไม่ต้องควบคุมอะไรเลย แล้วดูสิว่าชีวิตจะเป็นยังไง ไปกับแม่หนูคนนี้สิ” เขาบอกลูกชายที่คนที่เหลือพยายามแย้งกันสุดฤทธิ์

“ทำไมพี่ต้องไปกับแม่นี่ด้วย แม่นี่สมองไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกนะครับ”อูริย์พูดภาษารัสเซียแล้วค้านพ่อ

“อย่าเสียมารยาท พูดภาษาอังกฤษด้วย” มิคาอิลดุลูกชายคนเล็ก และจ้องมองอย่างเข้มงวด ก่อนจะหันไปทางนวาระ “ขอโทษแทนลูกชายคนเล็กของฉันด้วย เขาเอาแต่ใจเพราะมีแต่คนเอาใจมากเกินไปนั่นแหละ”

“พ่อ!” อูริย์โกรธมาก จึงลุกจากโต๊ะไปในทันที

นวาระมองความโกลาหลอย่างเงียบๆ ก่อนพูด “ฉันเดินทางคนเดียวได้ค่ะ ไม่ต้องให้ใครไปด้วยเลย อีกสามเดือนฉันก็จะกลับเมืองไทยแล้วค่ะ”

มิคาอิลไม่ตอบ เพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างสงบจนการทานอาหารเสร็จแล้ว เขาปล่อยแขกขึ้นข้างบน ก่อน แล้วเรียกลูกชายคนโตไปคุยด้วย

ซีเซียได้แต่เดินตามพ่อไปห้องนั่งเล่น ขณะที่แม่แยกไปที่ห้องพักผ่อนส่วนตัวแล้ว เขายังสงสัยว่าทำไมพ่อจึงอยากให้เขาไปกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้

มิคาอิลนั่งลงที่ห้องนั้น มองลูกชายแล้วถอนหายใจ ก่อนพยักหน้าให้ลูกชายนั่งลง แล้วพูดกับลูกชายตรงๆ “พ่อรู้ว่าลูกรู้สึกยังไงกับงานอภิเษกของเจ้าหญิง แต่ลูกก็รู้ว่าราชวงศ์จะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อความนิยมของประชาชน และเคาทน์อเล็กเซย์ก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด และเรื่องโรแมนติกระหว่างทหารราชองค์รักษ์กับเจ้าหญิงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น”

ซีเซียถอนหายใจ ความอ่อนหวานที่เขาเคยพบ เมื่อได้อยู่ใกล้เจ้าหญิงเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก และเจ้าหญิงก็รู้เรื่องนี้ และต่างฝ่ายต่างให้เวลากันเพียงค่ำคืนหนึ่งที่บ้านพักตากอากาศ แต่เพียงสายตาเขาในงานอภิเษก ทำให้ถูกสั่งพักงานกลายๆ ไปในตัว

“พ่อรู้ว่าลูกรู้จักหน้าที่ของตนเอง ด้วยการอยู่เฉยๆ พ่อรู้ว่าช่วงที่ผ่านมา เจ้าหญิงรัชทายาทพยายามปฏิเสธการหมั้นหมาย นั่นเพราะลูกเป็นต้นเหตุ ถึงสมาชิกคนอื่นในบ้านจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพ่อได้ พ่อจึงอยากให้ลูก ออกไปให้ห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ แล้วพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างลูกกับเจ้าหญิงรัชทายาท ทำเพื่อตัวเองสักครั้ง” มิคาอิลพูดด้วยความห่วงใย ไม่ใช่ต้องการปกป้องราชวงศ์ แต่เพื่อปกป้องลูกชายของเขา

ซีเซียได้แต่นิ่งเงียบ และตกใจที่พ่อรู้เรื่องทุกอย่าง เขาเบือนหน้าหนี แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้จักหน้าที่แล้วปล่อยให้ความรักทำให้ทุกคนเสียเกียรติ

“ผมจะไม่แสดงท่าทางแบบนั้นอีก แต่ผมคงไม่ทำอะไรแบบนั้น” ซีเซียหมายถึงให้ออกเดินทางไปกับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก เขาคิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลามากกว่า

“ลูกควบคุมชีวิต หน้าที่ กิริยามารยาท แม้แต่ความรัก ทำไมต้องทำแบบนั้น เมื่อยังไงลูกก็ไม่มีทางควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อยู่แล้ว ทำไมไม่ออกไปใช้ชีวิตที่แตกต่าง ลองใช้ชีวิตที่ไม่ต้องควบคุมดู แล้วบางทีลูกอาจเข้าใจชีวิตมากขึ้น ลูกอาจไม่ต้องควบคุมอะไร แต่ได้ปล่อยวาง ถ้าลูกยังอยู่ตรงนี้สักวัน ลูกต้องระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วนั่นจะสร้างความเสียหายกับลูกได้มากกว่าที่ลูกคิดนัก พ่อพูดด้วยความเป็นห่วง ลองคิดดูให้ดี” มิคาอิลพูดเพียงแค่นั้น

เขารู้ว่าลูกจะต้องรู้ว่าต้องทำอะไร เขาไม่ชอบพูดมากกว่านี้ จึงปล่อยให้ลูกคิดเองบ้าง แล้วเขาก็รู้จักลูกชายดีพอ

ซีเซียนิ่งคิดทบทวนทุกคำของพ่อ ก่อนถอนหายใจยาว เขาก้มลงมองพื้นอย่างหงุดหงิด ที่เขาไม่สามารถปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อได้ ถึงจะรู้ว่าหูตาพ่อในพระราชวังกว้างขวางมากแค่ไหนก็ตาม

คนที่มีประสบการณ์มากอย่างพ่อก็สามารถรู้ได้อยู่ดี...

****************************************

สวัสดีค่ะ มาโพสต์นิยายด้วยความง่วง
ขอลาไปนอนก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายมาตลอดค่ะ



เพลิงวารี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2555, 19:43:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.พ. 2555, 19:43:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 2755





   Rose02 >>
ใบบัวน่ารัก 23 ก.พ. 2555, 20:19:59 น.
ใช้ชีวิตตามโชคชะตา
ดีนะอยากทำอย่างโรส บ้าง
ขอให้มาอัพลงทุกวันนะเพี้ย!!



ใบบัวน่ารัก 23 ก.พ. 2555, 20:20:16 น.
ใช้ชีวิตตามโชคชะตา
ดีนะอยากทำอย่างโรส บ้าง
ขอให้มาอัพลงทุกวันนะเพี้ย!!



ร้อยวจี 23 ก.พ. 2555, 21:47:00 น.
น่าสนใจมากค่ะ แปลกไปอีกแบบ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเสี่ยงทาย น่าสนุกค่ะ


ตุ๊งแช่ 24 ก.พ. 2555, 15:05:39 น.
กะว่าว่างๆค่อยมานาน แต่แหม แค่เปิดเรื่องก็แปลกแหวกแนว อีกแล้ว มาจองที่ติดตามด้วยคนค่ะ

เรื่องน่าสนใจ อยากรู้ว่า นางเอกจะชิลได้แค่ไหน
แอบเสนอแนะค่ะ คนที่ปล่อยไปตามโชคชะตา จะไม่ค่อยโกรธง่าย เหมือนทุกอย่างในสายตาเป็นเรื่องธรรมดา

กำลังคิดตามว่า ผ่านมาสามเดือน นางเอกยังคุมสติและอารมณ์ ได้เรื่อยๆจริงตามที่แม่สั่งหรือเปล่า

และ ชื่อนางเอกแปลว่าอะไรค่ะ


หนอนฮับ 24 ก.พ. 2555, 19:32:35 น.
โชคชะตา? ยังไหง่หว่าาาา ต้องติดตาใแระ อิอิ


anOO 25 ก.พ. 2555, 20:25:21 น.
น่าติดตามมาก


kaeka 26 ก.พ. 2555, 13:24:56 น.
เรื่องใหม่ เรื่องใหม่ อ่านคร้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account