ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

บทนำ



บ้านอเนกคุณากร
ร.ศ. ๑๑๓



ทั้งบริเวณนั้นเงียบสงัด โคมไฟหน้าประตูใหญ่มืดมิด หากไม่ใช่เพราะแสงเดือนครึ่งดวงที่กระจ่างอยู่กลางฟ้า ใครก็ไม่มีโอกาสได้เห็นว่า ภายในรอบรั้วนี้รกร้างสักเพียงไร

เด็กชายวัยไม่เกินสิบสอง กำลังหิวโซ เสื้อผ้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางคล้ายพวกไร้บ้าน ที่ร่อนเร่พเนจรมาจนถึงหน้าประตูใหญ่

ความหิวโซนั้นทำให้ความกลัวเหือดหาย ตั้งใจจะเข้าไปขอบุญทานสักนิด แต่ครั้นจะลองกู่เรียก บ้านช่องใหญ่โตกว้างขวาง คงยากที่ใครจะได้ยิน

เขาค่อยไต่มือเลาะไปตามร่องระแนง คราบฝุ่นที่จับอยู่ตามแผงบานประตูนั้นไม่กระไร ครั้นพอจะออกแรงผลักดัน บานประตูใหญ่ก็เผยเข้าราวกับเชื้อเชิญ ปราศจากเสียงบานพับอันควรจะฝืดตามสภาพ หรือเสียงอื่นใดที่ควรจะดังขึ้นสักน้อย คล้ายกับว่าบานประตูใหญ่ที่ดูหนาหนักนักหนา เบาบางเป็นแพรผ้า ที่เมื่อถูกลมรำเพย ก็พลิ้วไหวไปได้โดยง่าย

จันทร์นวลมิได้สว่างนัก แต่ยังพอเห็นรางๆ ว่าสิ่งไรคือสุมทุมพุ่มไม้ สิ่งไรคือประติมากรรมหรือสิ่งปลูกสร้าง

เด็กชายค่อยก้าวเข้าไปตามทาง เมื่อเข้ามาอยู่ภายใน จึงเห็นว่าทั้งบริเวณกว้างขวางกว่าที่คิด

ลมพัดมาวูบหนึ่ง พาเสียงมโหรีเครื่องสาย ดังแผ่ววิเวกหวาน เด็กชายชะงักเท้า เงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นดังมาจากที่ใด พลางสายตาก็แลรอบ

รั้วสูงทึบทะมึน คล้ายตั้งใจกั้นโลกภายในนี้เสียจากภายนอก ตัวบ้านที่จริงคือตัวตึกใหญ่โต มีห้องกลางสูงกว่าปีกทั้งสองด้าน มียกพื้นที่ต้องขึ้นบันไดมาอีกหลายขั้นกว่าจะถึงพื้นหินอ่อนชั้นล่าง

เสียงมโหรีเครื่องสายยังคลออยู่ข้างหู ค่อนข้างแน่ใจว่าดังมาจากภายในตัวตึก แม้จะยังไม่เห็นว่าตรงที่ใดจะมีแสงไฟส่องสว่าง แต่เด็กชายก็ยังมั่นใจว่า มีใครอาศัยอยู่ในบ้านช่องใหญ่โตเป็นคฤหาสน์อันโอฬารหลังนี้เป็นแน่

หิ่งห้อยกลุ่มหนึ่ง พากันมาบินเวียน แต่เด็กชายไม่ใส่ใจ เพราะอาหารตรงหน้าน่าสนใจยิ่งกว่า งานเลี้ยงคงเพิ่งเลิกลา จึงยังมีโต๊ะใหญ่ตั้งวางเอาไว้ตรงเฉลียงด้านหน้า พร้อมพรั่งไปด้วยขนมนมเนย และผลไม้สารพัน

เด็กชายคว้าขนมอะไรสักอย่างยัดเข้าปาก ไม่รู้รสหรอกว่าอร่อยสักแค่ไหน นาทีนี้ของแค่ประทังความหิวได้ก็เป็นพอ

อะไรอีกสักสองสามอย่างถูกยัดตามเข้าไป จนรู้สึกว่าท้องเริ่มหนักขึ้นบ้าง สายตาจึงเริ่มสำรวจรอบตัวอีกครั้ง

นั่นไง เก่าแก่ก็แต่เฉพาะรั้วและบริเวณ เพราะใต้ร่มเฉลียงที่ต่อยื่นออกมานี่ สะอาดเอี่ยม เป็นหลังคาที่ยื่นออกไปคลุมถนน ซึ่งคงมีไว้มุงบัง ให้ร่มกับรถที่เวียนเข้ามาจอดเทียบ

ประตูใหญ่ของตัวตึก เป็นลายดัดเหล็กอ่อนช้อยประดับกระจกสี เป็นช่อพวงพฤกษา เด็กชายเห็นคล้ายมีแสงไฟริบหรี่อยู่ภายใน จึงแนบตาเพ่งเล็งจากช่องชิ้นของกระจกสีใสช่องเล็กๆ

ฝูงหิ่งห้อยยังตามวนเวียน พวกมันบินว่อนไปมาคล้ายสำรวจตรวจตราแขกไม่ได้รับเชิญ อยู่ๆ บรรยากาศก็ชวนขนลุกขึ้นมาเฉยๆ เด็กชายรู้สึกว่าพอท้องเริ่มอิ่ม ความกลัวก็เริ่มมีกำลังมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

แสงไฟที่คลับคล้ายจะเห็นอยู่ภายในวูบดับ เด็กชายจึงละสายตากลับมายังโต๊ะตัวใหญ่ ไม่ได้เฉลียวใจว่าเหตุไร อาหาร ขนม ผลไม้ ทั้งหมดยังบริบูรณ์ มีชุดกระถางธูปและเชิงเทียน ตั้งวางอยู่ด้านหนึ่ง เทียนคู่ถูกเผาไหม้ไปไม่ถึงครึ่งเล่ม แล้วลมคงเป่าให้ดับ ขณะกระถางธูปมีก้านธูปขนาดยักษ์ ปักค้างอยู่ดอกเดียว

แต่มันไม่ได้น่าสนใจไปกว่าสิ่งอื่นบนโต๊ะ เขาเริ่มเลือกหาขนมบางชนิดที่น่ากิน กับผลไม้บางอย่างที่แปลกตา การยัดเข้าปากเคี้ยวๆ แล้วรีบกลืน ครั้งต่อๆ มานี้ เพราะอาหารประดามีที่เห็นอยู่ตรงหน้า ล้วนน่าชิมน่ากินไปทั้งสิ้น

อะไรหล่นดังโครม เด็กชายผวาเฮือก คราวนี้สองมือรีบคว้าขนมอย่างละเล็กละน้อยใส่ตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง พอเต็มหมดก็ก้มหน้าก้มตายัดเข้าปากอีกเป็นพัลวัน

ต้นคอเย็นวูบเหมือนถูกลมเป่า แล้วอยู่ๆ ทั้งตัวก็กระเด็นหวือไปด้านหลัง คล้ายถูกผู้มีกำลังมหาศาลจับเหวี่ยงไปโดยแรง

เด็กชายไม่ได้แปลกใจว่า ทำไมตนถึงยังทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มคว่ำคมำหงาย

แล้วไฟก็สว่างพรึ่บ โคมระย้า ไฟช่อ ไฟหัวเสา ต่างพากันเปล่งแสงวาบขึ้น

ทั้งบ้านคงรู้แล้วกระมังว่ามีขโมยตัวน้อย

ป้ายไม้สลักแผ่นใหญ่เหนือบานประตูยิ่งข่มขวัญ มันวาวแสงคล้ายมีไฟส่อง

"บ้านอเนกคุณากร"

เด็กชายพยายามอ่าน ความรู้จากหลวงตาที่คอยบังคับให้อ่านเขียน ก่อนที่เขาจะหนีออกมาเป็นเด็กร่อนเร่ ทำให้พออ่านออกได้บ้าง

ขณะพยายามสะกด ถึงตัวอะไรที่ถัดจาก ค. ควาย สระ อุ มโหรีก็บรรเลงเพลงเร็วขึ้นที่ด้านหลัง

เด็กชายหันขวับ!

นางรำห้านางปรากฏตัวตั้งวงรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดอยู่ๆ ก็โผล่มาเหมือนภูตผี

แต่ละนางล้วนนุ่งโจงผ้าพื้นสีแดงสด ต่างกันตรงสีสไบที่คาดอกแล้วไพล่เฉียงข้ามไปหลังไหล่ข้างซ้าย ทุกนางอมยิ้ม แต่แววตาดุดันพิลึก

ฝูงหิ่งห้อยที่เคยบินอ้อยอิ่งวนเวียน ไม่รู้ไปหลบแสงอยู่ที่ไหน

เด็กชายได้แต่ตาค้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

กระทั่งนาทีต่อมาแต่ละนางเริ่มเปลี่ยนท่า ที่เหมือนเตรียมจะซ้อมรำนั่น กลับมาเป็นท่ายืนปกติ ดวงหน้ายิ่งยิ้มแย้ม จนเด็กชายโล่งใจขึ้นอีกมาก

แต่ก็วิบใจเดียว ก่อนที่พวกนางจะเข้ามารุมล้อม

"เจ้าเด็กน้อย มาทำอะไรที่นี่"

นางที่ห่มผ้าสีเขียวใบไม้เอ่ยถามขึ้นก่อน

"ก็ข้าหิวนี่นา"

เด็กชายตอบตามความเป็นจริง

"แล้วเจ้าชื่ออะไรล่ะ"

อีกนางที่ห่มผ้าสีชมพูอ่อนส่งมาอีกคำถาม

"ข้าชื่อหลง"

"เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เขาห้ามเข้ามาน่ะ"

"ที่นี่มันอันตรายไม่รู้เหรอ"

คราวนี้เจ้าหลงแทบฟังไม่ทัน เพราะหลายนางพูดพร้อมกัน พลางกระชับวงโอบล้อมเข้ามา อีกสามนางนั่น เขาเห็นว่า มีห่มผ้าสีฟ้า เหลือง และเขียวตองอ่อนอีกคนหนึ่ง

แล้วแต่ละนางก็หัวเราะกันครื้นเครง บ้างแกล้งจี๋ บางคนแกล้งทึ้งผม บางคนแกล้งกระตุกเสื้อผ้ามอซอที่เด็กชายสวมใส่

คล้ายกับเสียงดนตรีนั้นจะบรรเลงด้วยความระรื่นระเริงรมณ์ เพิ่มขึ้นตามอารมณ์ของบรรดาหญิงสาว ที่เวียนล้อมหยอกล้ออยู่รอบกาย

ส่วนแสงไฟก็ยิ่งพร่างพราว ขับไล่ความรกเรื้อมัวซัวของอาณาบริเวณออกไปจนหมดสิ้น

"รู้ไหมว่าที่นี่มันอันตราย"

"รู้ไหมว่าที่นี่เขาห้ามเข้า"

"ที่นี่อันตรายไม่รู้หรือยังไง"

หลายเสียงยังประสานเสียงบอก ขณะที่ยังวนเวียนแกล้งเย้าแหย่

"ข้าแค่หิว ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเขาห้ามเข้า..."

เจ้าหลงพร่ำร้อง รู้สึกเหมือนตัวเองเล็กลงจนกระจิริด อยู่ท่ามกลางวงล้อมของนางยักษ์รูปร่างใหญ่โต ในที่สุดเขาก็ต้องทรุดตัวลง คุดคู้เพื่อหลบหลีกจากการกลั่นแกล้ง

"อย่าตีข้าเลย ข้าแค่มาหาของกิน ข้าขอโทษ ขอโทษพี่ๆ ทุกคน"

เด็กชายใช้มือปิดหน้าปิดตา เกรงกลัวว่ามือเรียวงามที่มีเล็บเจียนปลายท่าทางคมบางนั้น จะข่วนเอาที่หน้าตา ปากก็ยังพร่ำวิงวอนขอโทษขอโพยอยู่ไม่ขาด

คล้ายใครแค่สะกิดสะเกา ยิบๆ ลิบๆ อยู่ริมผิวหนัง ระรัวต่อเนื่องอยู่อีกครู่ เจ้าหลงจึงกล้าป่ายปัดและลืมตา

แล้วก็ค่อยสบายใจ ว่าทั้งหมดที่รับสัมผัสขณะนี้ คือฝูงหิ่งห้อยที่กลับมาห้อมล้อม หรือบ้างก็แกล้งบินชน

แสงวิบวับวอบแวบยังสว่างเรือง สู้แสงไฟอันสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณ เด็กชายไม่ได้สะกิดใจในเรื่องนี้ เพราะแสงเรืองวูบวาบที่ลอยเรี่ยอยู่รอบตัวนี้ น่าสนุก น่าสนใจกว่ามากมาย

แต่แล้วเรืองแสงที่วูบวับวูบวาบไปมา ก็กลับสว่างโชน จากแสงสีเหลืองนวลก็เข้มขึ้น ทั้งยังมีกระแสร้อนผ่าวผ่านเข้ามากระทบ

เจ้าหลงสะบัดซ้ายขวา หิ่งห้อยผีสิงเป็นแน่ ที่แผ่พลังเช่นนี้ได้

"ไป! ไป! อย่ามายุ่งกะข้านะ ไป! ไปให้พ้น!"

เด็กชายปัดป่ายเป็นพัลวัน ขณะที่พยายามสั่งให้ร่างกายขยับกลับออกมาทางประตูรั้ว

ใกล้พ้นเขต "บ้านอเนกคุณากร" อีกไม่เกินสามก้าว ฝูงหิ่งห้อยผีทั้งนั้นก็ถอยทัพ บินพรูไปรวมกันอยู่ตรงช่องทางออก เป็นซุ้มเสาหินมีหลังคาคลุม ซึ่งอยู่ด้านข้างของประตูใหญ่สำหรับรถเข้าออก

เจ้าหลงฝืนใจตรงไปทางนั้น เพราะเหลือเป็นทางเดียวที่จะได้พ้นไปจากที่นี่

แล้วหิ่งห้อยก็จางแสง บินแตกฮือกระจายไป

ไม่แน่ใจว่าเพราะพวกมันตกใจหรือเพราะพี่สาวคนนั้นขับไล่

พี่สาวที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางฝูง คล้ายเพิ่งกลับมาจากข้างนอก

แต่มืดค่ำป่านนี้น่ะหรือ จะมีใครที่แต่งกายเช่นนั้นไปไหนมาไหน โดยไม่มีบ่าวไพร่ติดตาม

ที่เจ้าหลงต้องตะลึงมอง เพราะพี่สาวผู้นี้สวยงามหยาดเยิ้ม ผ้านุ่งผ้าห่มเป็นไหมทอลายอย่างเทศ เนื้อผ้ามันวาวล้อแสงไฟ งามระยับจับตา แต่ชุดสวยที่ว่า ยังไม่สามารถข่มดวงหน้าหมดจดสดใส และผิวเนื้อนวลละมุนนั้นไปได้

นางทอดตามองเด็กชาย อมยิ้มน้อยๆ พร้อมด้วยแววแห่งความปรานีในดวงตา

พอเจ้าหลงแลเลย เห็นว่าประตูด้านหลังนางยังปิดสนิท ก็แน่ใจว่านางไม่น่าจะใช่คน ถึงกับทรุดตัวลง เอามือกุมหัวหูอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้

"อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา ข้ากลัวแล้ว ข้าขอโทษ!"

ปากก็พร่ำขอโทษขอโพย เกรงกลัวอย่างที่สุด

"เจ้าหนู เจ้าหนู ไม่ต้องกลัว..."

เสียงหวานปานระฆังแก้ว ปลอบประโลมตรงข้างหู ซ้ำไปมาจนเด็กชายค่อยคลายความหวาดกลัว

ถัดมาสองมือนุ่มละมุนก็ประคองให้เขาลุกขึ้น

เจ้าหลงค่อยตั้งสติได้ คราวนี้รายรอบ นอกจากหญิงสาวกลุ่มแรกทั้งห้านางนั่นแล้ว ยังมีอีกหลายนางยืนเรียง รออยู่หลังพี่สาวคนที่ช่วยประคองให้เขาลุกขึ้นยืน

เหลียวซ้ายแลขวา คราวนี้ไม่มีใครมีแววตาอาฆาตมาดร้ายส่งมาอีกแล้ว

"เจ้าเด็กน้อย ข้าถามเจ้าหน่อย ทำไมเจ้ามาที่นี่คนเดียว"

"ก็ข้าหิวมาก แล้วก็ไม่มีที่อยู่... จริงสิ..."

เจ้าหลงหันมองไปรอบๆ มือก็ยกไหว้ไล่ไปทีละคน

"จริงสิ... พี่สาวทุกคน ให้ข้าอยู่ด้วยได้ไหมล่ะ"

ตีหน้าระรื่น เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้กลัวจนตัวสั่น

"ก็ต้องได้สิ ในเมื่อเจ้าเข้ามาได้แล้ว ในเมื่อเจ้ามาหาเรา รู้ไหม... พวกเราน่ะขับร้องฟ้อนรำเล่นกันทุกคืนเลย"

พี่สาวแสนสวยตอบง่ายจนเจ้าหลงแปลกใจ หลังจากสบตานางแล้วก็ต้องหันกลับไปมองหาความเต็มใจจากหญิงสาวคนอื่นๆ อีกครั้งให้แน่ใจ

"แต่ว่า..."

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พี่สาวคนแรกที่ห่มผ้าสีเขียวเข้ม อาจเป็นคนเดียวกับที่เหวี่ยงเขากระเด็นจากโต๊ะอาหาร ก็แย้งขึ้นจนได้

"แต่ว่าคุณแสต้องไม่ให้เขาอยู่แน่"

"นั่นซี คุณแสต้องไม่ยอมแน่ๆ เลย ทำยังไงกันดีล่ะพวกเรา"

แล้วเสียงอื่นก็ดังขึ้นสนับสนุนความคิดนั้นกันเซ็งแซ่

จนพี่สาวแสนสวยคงขัดใจ เพราะเสียงเข้มขึ้นนิดหนึ่งตอนตอบพวกที่เหลือ

"โธ่เอ๋ย! อย่าพูดอย่างนั้นสิ คุณแสใจดีกับข้าที่สุดเลย ข้าจะไปขอร้องดูเอง"




ภายในบ้านยิ่งโอฬารกว่าภายนอก ทั้งบันไดโค้งที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบน ทั้งเครื่องเรือนที่ตกแต่ง ล้วนเป็นไม้เนื้อแข็งสีเข้มขลัง สลักเสลาด้วยฝีมือช่างชั้นเอก บนพื้นเป็นกระเบื้องลายละเอียดยิบ ที่ต่อสานกันเหมือนผืนพรม แลเข้าชุดกันไปทั้งหมดตั้งแต่พื้น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ตั่ง กระทั่งกรอบภาพแขวน นี่ขนาดห้องโถงยังเยี่ยมยอด แล้วห้องอื่นๆ จะวิจิตรงดงามขนาดไหน

พี่สาวคนสวยที่แนะนำตัวเองว่าชื่อแสงเพ็ง พาเจ้าหลงกับทั้งกลุ่มมาหาผู้หญิงอีกคน ที่ตอนแรกเด็กชายคิดว่าเป็นหญิงชราผู้เป็นใหญ่ในบ้าน แต่พอเห็นหน้าก็ผิดคาด เพราะอีกคนที่พวกสาวๆ เรียกว่า "คุณแส" นี้ อายุอานามไม่น่าจะเกิดยี่สิบห้า

คุณแสแต่งตัวแปลกกว่าคนอื่น ตรงที่สวมเสื้อแขนกระบอกยาวถึงข้อมือ คอจีน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเนื้อดี ปล่อยชายทับชายพกของผ้านุ่งโจงสีม่วงมะเกลือ

"ที่พวกเจ้าพูดเมื่อกี้ ข้าได้ยินหมดแล้ว"

เสียงทุ้มทรงอำนาจนั่น เจ้าหลงมองแทบไม่ออกว่าคุณแสขยับริมฝีปากตอนไหน

"หรือว่าพวกเจ้าลืมสิ่งที่ข้าบอกหมดแล้ว ผู้ชายน่ะหาดีไม่ได้สักคนหรอกนะ เขาได้แต่หลอกเอาความรักจากเรา แล้วก็ทอดทิ้ง สุดท้ายแล้ว ที่ลำบากก็คือผู้หญิงเราทั้งนั้น"

นางพูดย้ำ คงเป็นครั้งที่ร้อยที่พันแล้วกระมัง ถ้าดูจากสีหน้าที่แสนจะเอือมระอาของทั้งผู้พูดและผู้ฟัง

"แต่ว่า... คุณแสคะ ดูสิ เด็กคนนี้ออกจะน่าสงสาร"

แสงเพ็งเป็นคนเดียวที่นอกจากจะแสดงท่าทางไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของคุณแส แล้วก็ยังกล้าเอ่ยขัดแย้ง

"ดูยังไงก็ไม่เหมือนผู้ชายหลอกลวงตรงไหน น่า... นะเจ้าคะ รับเจ้าหลงให้อยู่ด้วยเถอะค่ะ"

คุณแสปรายตามองมาทางเจ้าหลงนิดหนึ่ง สีหน้าชั่งใจนั่นทำให้เด็กชายเริ่มมองเห็นโอกาสอยู่รำไร

แต่แล้วคุณแสก็สะบัดหน้าไปอีกทาง ราวไม่ปรารถนาจะเห็นหน้าเจ้าหลงอีกต่อไป

"ผู้ชายก็เหมือนกันหมดนั่นละ"

เสียงแข็งของผู้เป็นใหญ่ในบ้าน ทำให้ใจของเจ้าหลงอ่อนยวบลงไปอีกโข

คราวนี้แสงเพ็งเป็นฝ่ายดุนไหล่ให้เด็กชายขยับเข้าไปใกล้คุณแส

"คุณท่านขอรับ รับกระผมเอาไว้สักคน กระผมไม่มีที่จะไปแล้วขอรับ"

เจ้าหลงก็พูดจาสุภาพเรียบร้อยได้เหมือนกัน หากหลวงตารู้เข้าคงดีใจไม่ใช่น้อย

แล้วบรรดาสาวๆ ก็พากันประสานเสียงสนับสนุน

"นั่นสิคะคุณแส เขาน่าสงสาร รับไว้สักคนเถิดจะเจ้าค่ะ"

บางนางถึงกับลงทุนเขย่าแขนและนวดเฟ้น

"ถือว่าทำบุญเถิดค่ะ รับเขาไว้เถิดนะคะ"

แสงเพ็งอ้อนวอนขึ้นอีก ก่อนที่นางจะทำหน้ามีเลศนัย แล้วปั้นแต่งน้ำเสียงให้เข้มข้นขึ้น

"คุณแสเจ้าคะ ถ้าไม่รับเจ้าหลงไว้ อย่าหาว่าฉันคิดอะไรพิเรนทร์นะคะ"

คนฟังงุนงงกับคำพูดนั้นไม่ใช่น้อย ขณะที่คนที่เหลือเริ่มถอยห่าง

ทั้งคุณแสและแสงเพ็งจ้องตากันไปมาอีกไม่ถึงครึ่งนาที แล้วก็เริ่มตั้งท่า

"นี่แนะ... จะยอมหรือไม่ยอม"

พร้อมกับคำขู่ แสงเพ็งก็ลงมือจั๊กจี๋คุณแสอย่างเอาจริงเอาจัง โดยมีพวกลูกมือเข้าผสมโรงอย่างนึกสนุกมากกว่าจะทำร้าย

"นะคะ ยอมรับเจ้าหลงไว้เถิดนะเจ้าคะ"

ต่างคนจี๋คุณแสไปก็ร้องขอไปด้วย

"หยุดที พอแล้วๆ ยอม ข้ายอม ในเมื่อทุกคนชอบใจกันนัก ข้าจะยกให้สักคน"

และไม้นี้คงได้ผล เพราะในที่สุดคุณแสก็เอ่ยปากออกมาดังนั้น

ทุกคนดีอกดีใจกันยกใหญ่ รวมถึงเจ้าหลงที่อยู่ๆ ก็ไม่ต้องร่อนเร่พเนจรอีกต่อไป

แล้วเสียงมโหรีก็บรรเลงครื้นเครงขึ้นอีกครั้ง สาวๆ พากันหมุนตัวซ้ายขวา วูบเดียวก็เข้าวงแล้วเริ่มฟ้อนรำเริงร่า โดยมีแสงเพ็งรำอยู่ตรงกลาง ส่วนคุณแสนั้นถอยกลับไปนั่งมองอย่างรื่นรมย์

เจ้าหลงไม่นึกว่าตนจะได้เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตเช่นนี้ แต่ก็ดีใจนัก ที่ตอนนี้ไม่มีใครมีท่าทีรังเกียจรังงอนเขาอีกแล้

ทิพย์สถานพิมานแมน ไม่เหมือนแม้นในรังนอน

อุ่นเอ๋ยเคยอาทร ยังอาวรณ์ไม่เคลื่อนคลา

รักเจ้าก็แสนรัก ด้วยใจภักดิ์จึงรอหา

รอเจ้าเจ้าไม่มา จะรอท่าจนการุณย์

ไป่เคลื่อนความอาวรณ์ คราวอาทรให้อิงอุ่น

รังนอนเคยนอนหนุน ทิพย์สถานหรือเทียบเทียม

เสียงขับเป็นทำนองพลิ้วไหว บนจังหวะที่สนุกสนาน ทำให้เนื้อร้องที่ค่อนข้างจะเศร้าสร้อย กลับชวนฟังยิ่งขึ้น

แต่แล้วสรรพเสียงทั้งนั้นก็เงียบดับ หญิงสาวที่กำลังเริงรำหันกลับไปทางคุณแส

ผู้เป็นใหญ่ในบ้านทำท่าเหมือนเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง

"มีใครเข้ามาอีกแล้ว"

คล้ายคุณแสจะรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า

พลันนั้น! ความสว่างไสวที่รายรอบก็วูบหาย เจ้าหลงเพียงแค่เหลียวมองไปรอบกาย แล้วก็นิ่งอยู่ เพราะพอจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น

แสงเดือนครึ่งดวง กลับมาทำหน้าที่ ทำให้แลเห็นความรกร้างของพื้นที่ตลอดบริเวณสนามด้านหน้านี้

แสงไฟที่ส่องแสงมาจากด้านข้างของตัวตึก ทำให้เห็นเงาของหยากเยื่อหยากไย่พาดพันกันไปมาอย่างรุงรัง

แล้วเงาของสิ่งของที่ถูกทิ้งขว้างให้ตั้งวางไปตามยถากรรม ก็ค่อยเลื่อน

นั่นเพราะแสงไฟนั่นเคลื่อนลึกเข้าไปทางด้านหลัง

ทุกคนแลตาม คุณแสลุกขึ้นก่อน พริบตาเดียวก็เคลื่อนตัวลิ่วไปถึงมุมระเบียง

แผ่วเบาและรวดเร็วราวกับถูกลมเป่า มากกว่าจะเดินด้วยสองเท้า

"ทำไมต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ"

หนึ่งในสองผู้บุกรุกคงใจคอไม่ดี เป็นเสียงของสตรีที่สั่นเครือมากกว่าจะสดใสอยู่ในอารมณ์รัก

"ก็เราอยากได้ที่เงียบๆ ไม่ใช่หรือ"

เป็นเสียงของผู้ชายที่เอ่ยขึ้นบ้าง ถึงตอนนี้ทุกคนที่สนุกสนานอยู่เมื่อครู่เห็นชัด ว่ามีคู่หนุ่มสาว ตระกองกอดกันผ่านเข้ามาจากประตูเล็กด้านข้าง ซึ่งปกติพวกบ่าวจะใช้ลัดทางไปจ่ายตลาด

"แวว... หลานสาวเจ้าคุณอเนก"

คุณแสเอ่ยขึ้นเบาๆ ไม่ละสายตาไปจากคนทั้งคู่

"ที่นี่น่ากลัวนะคะคุณหลวง ขนาดตอนกลางวันฉันยังไม่กล้าเข้ามา"

เสียงของหญิงสาวที่คุณแสออกนามว่า "แวว" แสดงให้รู้ว่าอกสั่นขวัญแขวนจากใจจริง แต่กระนั้นก็ยังเบียดตัวแนบชิดกับชายหนุ่มรูปงามที่มือหนึ่งก็โอบกอด มือหนึ่งก็ถือคันโคม คือตะเกียงเจ้าพายุที่ครอบแสงไว้ด้วยโคมกระดาษ ต่อด้ามจากหูหิ้ว ให้สะดวกในการสอดส่อง

"ในนี้อากาศเย็นยะเยือกพิกล สู้เราไปกันทางศาลาท่าน้ำไม่ดีกว่าหรือคะ"

แววคงไม่อยากจะเดินลึกเข้าไปจริงๆ จึงเสนอที่ทางแห่งใหม่ ซึ่งตรงนั้นแม้ออกจะเสี่ยงกับการถูกผู้คนพบเห็น แต่บรรยากาศก็น่านั่งพลอดรักกันมากกว่าในบริเวณคฤหาสน์หลังนี้มากมายนัก

"อยู่กับอกพี่นี่ไม่อุ่นพออีกหรือ เถอะน่า... อีกประเดี๋ยวแววก็จะอุ่นจนร้อน"

พูดจบชายหนุ่มก็ดุนจมูกตนลงที่ข้างแก้มและซอกคอ ทำให้เลือดลมในกายของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นมาได้จริงๆ

"อุ๊ย! อย่าสิคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"

แม้จะพูดอยู่อย่างนั้น แต่หญิงสาวก็มิได้เลี่ยงหลบ มือไม้ที่เริ่มซุกซนเข้าไปใต้ร่มผ้า

"น่ากลัวจริงๆ นะคุณหลวง ไปที่อื่นกันเถิดค่ะ"

"กลัวอะไรกันเล่า เดินไปอีกนิด จำไม่ได้หรือเบาะนอนที่ตรงห้องเล็กนั่นไง สวรรค์ของเราอยู่ใกล้แค่นี้เอง"

"แต่ฉันกลัว ไม่เคยชินสักหนซีน่ะ"

"จะกลัวอะไร ผู้คนแถวนี้ ไม่มีใครเข้ามาถึงนี่อยู่แล้ว"

"คนน่ะไม่กลัวหรอกค่ะ แต่กลัวผี"

"จะกลัวทำไม ได้อยู่กันตามลำพังอย่างนี้ จะกลัวนั่นกลัวนี่ ก็แค่พักเดียว อีกประเดี๋ยวก็หายกลัว เชื่อพี่เถอะ"

"แต่น้องกลัว"

"ถ้ากลัว งั้นก็รีบเดินเข้าซี มามะคนดี"

แววตาของชายหนุ่มนั่นเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ เจ้าหลงสังเกตได้เพราะมายืนดูอยู่ในระยะอันใกล้ด้วยกันทั้งกลุ่ม

สองหนุ่มสาวยังมองซ้ายมองขวา คงหวาดระแวงอยู่ไม่ใช่น้อย ดีที่มองไม่เห็นพวกของคุณแสและเด็กชาย ไม่เช่นนั้นคงขวัญกระเจิง

"พ่อรูปหล่อคนนั้นชื่อกระไรหรือคะคุณแส"

พี่สาวคนห่มสไบสีชมพูกระซิบถาม

"หลวงเซ่ง ลูกชายเจ้าคุณคหบดี"

"ก็รวยมากซิคะ"

อีกคนถามต่อ

"คนรวย ใช่ว่าจะเป็นผู้ดีกันเสียทุกคนไปเมื่อไหร่เล่า"

"อิฉันไม่เข้าใจ"

"ช่างเถอะ อย่าเพ่อซักไซ้ ดูเขาไปก่อน"

คุณแสคงรำคาญจึงเคลื่อนตัวอีกวูบ ไปอยู่ชิดหลังของหลวงเซ่ง

ความรกร้างของสถานที่แห่งนี้ แสดงให้เห็นอยู่ว่าไม่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่ใดๆ เลย ความมืดทะมึนของสุมทุมพุ่มไม้ ความตระหง่างง้ำของตัวตึก รวมทั้งกลิ่นดอกไม้กลางคืนที่หอมเย็นชวนขนพอง เหล่านี้ล้วนไม่ชวนให้ผู้ใดเข้ามาสัมผัส

กระทั่งเจ้าคุณอเนกผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ประจำตระกูลหลังนี้เองก็เถอะ นอกจากงานเซ่นไหว้บวงพลีประจำเทศกาลแล้ว ก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาสักครั้ง

กลุ่มของคุณแสและเจ้าหลงตามหลวงเซ่งและแววเข้ามาติดๆ

จนถึงวิมานเบาะนุ่นอันเก่านั่นละ คุณแสจึงให้สาวๆ ถอยห่างกันออกไป

"เขาจะเล่นบทอัศจรรย์กันหรืออย่างไร"

พี่สาวคนห่มสไบสีตองอ่อนหัวเราะคิกคัก พลอยให้คนอื่นๆ อมยิ้มเขินอายไปด้วย

"แค่บ้านโทรมๆ หลังนึง น้องแววจะกลัวทำไม"

เสียงหลวงเซ่งยังปลอบประโลม ท่าทางไม่เกรงกลัวอะไรนั้น ทำให้ทั้งกลุ่มชักไม่แน่ใจ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เจ้าหลงเห็นอาการนั้นของคุณแส จึงต้องเอ่ยถาม

"ทำไมเราต้องกลัวเขาด้วยขอรับ"

"เราอยู่คนละภพ เราเข้าใกล้พวกเขามากไม่ได้"

คุณแสตอบเรียบๆ ก่อนที่พี่คนห่มสไบสีชมพูจะช่วยเสริม

"อีกอย่างนึงนะ ถ้าโดนกลิ่นอายคน หรือปรากฏตัวต่อหน้าเขา เรื่องมันต้องยุ่งอีกมากเลย จริงไหมคะคุณแส"

เด็กชายพยักหน้าเป็นทีว่าเข้าใจ แล้วจึงหันกลับไปมองสองหนุ่มสาวนั่นต่อไป

"แวว นั่งตรงนี้นะ ไหนบอกว่าหนาว ทำไมเหงื่อซึมอย่างนี้ มามะพี่จะซับเหงื่อให้... ดูมือสิเย็นไปหมด พี่เป่าให้นะจะได้อุ่นๆ"

หลวงเซ่งยังพร่ำพรรณนาเป็นทำนองนี้อีกมากหลาย ขณะที่บรรจงวางโคมตะเกียง แล้วหันมาโลมเล้าสาวแววได้เต็มสองมือ

"เจ้าหลง หลับตาเสียก่อน"

เสียงแสงเพ็งกระซิบที่ข้างหูของเด็กชาย

"ทำไมล่ะจ๊ะ หลังวัด... ตอนที่ฉันอยู่กับหลวงตา หนุ่มๆ สาวๆ เขาทำกันยิ่งกว่านี้"

"เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าคงไม่ได้ตายดีละซี"

คุณแสหันมาเหมือนจะเอ็ด แต่เสียงนั้นยังอาทรอยู่มากกว่า

"ในวัดน่ะ เขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก แต่ตอนที่ออกมาเร่รอนนี่สิ ข้าไปแอบดูเรือที่สำเพ็ง เลยถูกเขาจับกดน้ำ"

"ถึงว่า ทำไมหน้าตาเจ้ามันเขียวๆ ซีดๆ แปลกๆ"

แสงเพ็งออกความเห็น

"พอเถอะ ดูซิว่าหลวงเซ่งจะทำอย่างไร พวกเจ้ารับกระแสวิญญาณไม่ได้หรือ ว่าในท้องนางแวว มีวิญญาณอีกดวง"

"หมายความว่า..."

"บอกว่าให้ดูกันต่อไปไงล่ะ"

คำท้ายชัดเจน จนทุกคนต้องปิดปากเงียบ

"คุณหลวง ข้ามีเรื่องจะบอกพี่"

ในที่สุดแววก็เอ่ยขึ้น ขณะมือก็กุมผ้าคาดอกไว้มั่น

"มาให้พี่ชื่นใจเสียก่อนแล้วค่อยพูดนะจ๊ะ"

หลวงเซ่งไม่ฟัง พยายามผลักหญิงสาวให้ล้มตัวลง

"อย่าเพิ่งสิคะ เรื่องนี้สำคัญจริงๆ"

"เดี๋ยวซีน่า ขอพี่ชื่นใจให้หายคิดถึงก่อนนะ"

ท่าทางหนึ่งขัดขืน กับหนึ่งคล้ายจะข่มเหงนั้น ทำให้คุณแสขัดใจนัก

"ผู้ชายชั่วๆ อีกแล้วเห็นไหมเล่า คนเขาไม่ยอมก็ขืนใจใช้กำลัง"

แววตาของผู้เป็นใหญ่ในบ้านนี้ดูดุดัน จนเจ้าหลงนึกกลัว

"คุณหลวง... ฉันมีเรื่องจะบอกพี่... คือว่า..."

ฝืนใจพูดได้แค่นั้น แววก็ถูกริมฝีปากประกบปิดถ้อยคำ

เสียงอู้อี้ไม่เป็นสรรพ ของชายหนุ่มก็คงไม่พ้น

"เดี๋ยวน่า ประเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวค่อยพูด"

จนแววต้องแข็งใจผลักหน้าเขาออกห่าง สายตาที่จ้องมองชายหนุ่ม ลึกล้ำลึกซึ้ง

"ฉัน... ฉันมีลูกของคุณหลวงอยู่ในท้องแล้ว..."

คำนี้ทำให้หลวงเซ่งถึงกับผงะ อารมณ์พิศวาสปลาสนาการไปหมดสิ้น

"จริงหรือ จริงหรือนี่"

เขาถามเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

"คุณหลวงน่าจะดีใจนี่คะ เราจะได้เป็นครัวกันออกหน้าออกตา"

ยิ่งแววย้ำเรื่องครอบครัว ชายหนุ่มก็ยิ่งทำสีหน้าไม่ถูก แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนที่เขาจะปั้นรอยยิ้มมาประดับไว้ในหน้า

"ชะ... ใช่ ดีใจ ต้องดีใจอยู่แล้วละ"

น้ำเสียงก็ถูกปรับไม่ให้สั่นเครือ พลางถอนกายออกจากอาการแนบชิดสนิทเนื้อ

"โกหก! เจ้าเชื่อผู้ชายชั่วๆ คนนี้หรือยังไง"

คุณแสเข้าไปยืนจนชิดคนทั้งคู่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่เสียงที่แสดงความโมโหโกรธาอย่างชัดแจ้งนั่น แววจะได้ยินก็หาไม่

"นี่... แล้วพี่จะมาสู่ขอน้องเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ เราจะได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือนกัน"

แววคงใจชื้นชื่นฉ่ำ จึงพยายามคลอเคลียเอาใจ เคล้าแก้มอยู่กับหัวไหล่ ไม่เห็นสีหน้าวิตกกังวลของคนที่นางรัก

"ก็... ต้องเร็วๆ นี้ซี"

"จริงๆ เหรอจ๊ะพี่ น้องดีใจจังเลย"

"จริงซี่ พี่จะหลอกน้องทำไม"

สายตาของหลวงเซ่งเหม่อไกลออกไป คงเหมือนจิตใจที่ป่านนี้ไม่รู้เตลิดเปิดเปิงไปหนไหน

"ผู้ชายชั่ว! คิดจะทิ้งนางอีกละสิ!"

แล้วคุณแสก็สุดทน ฟาดฝ่ามือเปรี้ยงลงที่ใบหน้าของเขา

หลวงเซ่นหน้าสะบัด เจ็บร้าวไปทั้งแก้ม เหลียวซ้ายแลขวาเลิกลั่ก มองหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัว

ฝ่ายแววที่มัวแต่ปลื้มอกปลื้มใจ ที่ตนจะได้ออกเรือนออกหน้าออกตาเสียที หลังจากที่ตกเป็นของเขามานาน ไม่ทันเห็นอาการหน้าสะบัด จึงต้องถาม

"ทำไมหรือจ๊ะ คุณพี่เป็นอะไร"

หลวงเซ่งคงค่อยประคองสติขึ้นมาได้แล้ว ตอนที่หันไปบอกว่า

"ไม่มีอะไรหรอก ยุงน่ะ มันมาตอมอยู่ข้างหู"

กระทั่งคำต่อมา แววก็จับไม่ได้ว่าชายหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมาถึงเพียงไหน

"พี่ว่า เราไปจากที่ตรงนี้กันเถอะแวว"

"ทำไมล่ะ"

"ไม่มีอะไรหรอก ไปที่ศาลาท่าน้ำอย่างที่แววว่ากันดีกว่า"

สายตาของหลวงเซ่งยังหวาดหวั่น ไม่ยอมสบตากับแววอีกเลย

"ไปกันเถอะ นะ"

เขาเร่ง ลุกขึ้นก่อน พร้อมกับฉุดมือหญิงสาวให้ลุกตาม

แววจะเดินกลับไปทางเก่า แต่เขากลับฉุดดึงให้เดินลึกเข้าไปด้านหลัง

"ไหนคุณหลวงบอกจะไปศาลาท่าน้ำ"

"พี่เปลี่ยนใจ ตรงนั้นพวกบ่าวเจ้าคุณคอยวนๆ เวียนๆ เราไปตรงศาลาแปดเหลี่ยมดีกว่า"

หญิงสาวไม่ได้สะกิดใจเลยสักนิด ว่าหลวงเซ่งมีเจตนาแฝงเร้นอันใด ด้วยว่ามัวแต่หวาดหวั่นกับสภาพรอบตัว ที่ยิ่งเดินลึกเข้ามาทางด้านหลังคฤหาสน์ หนทางก็ยิ่งรุงรังรกเรื้อ

ด้านหลังเป็นลานกว้าง มีเขื่อนหินทิ้ง ทอดตัวยาวตลอดแนวลำคลองสายใหญ่ ตรงมุมเขื่อนแต่ละด้านมีศาลาหลังย่อมเป็นทรงลูกครึ่งกึ่งยุโรปตามสมัยนิยม

หลวงเซ่งพาแววเดินมาทางด้านในสุด ศาลาตรงนี้ มีบ่อน้ำโบราณ ไม่กว้างแต่ลึกนัก ว่ากันว่ามันลึกลงไปจนถึงโพรงถ้ำใต้น้ำ

"ต้องเข้ามาลึกขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ ตรงนี้อับสายตา อับลม เหม็นอับกลิ่นตะไคร่ดินโคลนไปหมด"

"อับสายตาก็ดีแล้วไงเล่า พี่จะได้มอบความรักให้กับแวว ให้หายคิดถึง"

"คุณหลวงละก็ พูดอะไรก็ไม่รู้ แววกำลังท้องกำลังไส้นะจ๊ะ"

ลมพัดพรูมาวูบหนึ่ง กิ่งแห้งๆ ของต้นก้ามปูหักลาญลงมา นกกลางคืนคงตกใจ ส่งเสียงแควกๆ สยองขวัญ

แววยิ่งเบียดตัวเข้าแนบชิด ไม่ได้สังเกตเลยว่า หลวงเซ่งพยายามจะปลดวงแขนของนางออกจากรอบเอวอยู่ตลอดเวลา

"น่ากลัวจังเลย"

"อยู่กับพี่จะกลัวอะไร ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว"

เขาปลอบไปอย่างนั้นเอง เพราะในใจกำลังคิดแผนการร้ายกาจ และมองเห็นที่หมายอยู่ไม่ไกลเกินสิบก้าว

"แล้วคุณหลวงเมื่อไหร่จะส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ"

ส่วนในใจของหญิงสาว มัวพะวงอยู่กับเรื่องนี้ จึงเวียนถามซ้ำอยู่นั่นแล้ว

"แวว อยากจะอยู่กิน ออกเหย้าออกเรือนกับพี่จริงๆ น่ะหรือ"

คำถามผ่านน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้หญิงสาวยังไม่สะกิดใจ นั่นเพราะไม่ได้เห็นว่าสายตาของหลวงเซ่นส่งแววตาโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหนมาให้

"ฉันคิดกับพี่อย่างไร หรือว่าพี่ยังไม่รู้อีกเล่าจ๊ะ"

"ถ้าอย่างนั้น ทำอะไรให้พีสักอย่างจะได้ไหม"

หลวงเซ่นหันกลับมาตรงๆ กระนั้นสายตาและรอยยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมก็ยังถูกเงาจันทร์บดบังไว้ได้เกือบทั้งหมด ทำให้แววไม่ได้เห็นร่องรอยเหล่านั้น จึงรีบตกปากรับคำ

"มีอะไรที่ฉันจะทำเพื่อพี่ไม่ได้ล่ะจ๊ะ"

"จริงหรือ"

หญิงสาวรีบพยักหน้ายืนยัน ขณะที่เขายกสองมือขึ้นสัมผัสกับสองข้างแก้ม ราวกับกำลังจะบรรจงประกบริมฝีปาก ฝากรอยจุมพิตให้อีกสักครั้ง

"คุณแสเจ้าขา คุณหลวงคิดจะฆ่าคุณแววนะเจ้าคะ!"

หลายเสียงประสานเสียงกันเกรียวกราว เพราะกระแสอำมหิตนั้นรุนแรงจนแผ่กระจายไปทั่ว

"รู้แล้วละน่า แล้วจะให้ทำอย่างไร ผู้หญิงเขาก็เป็นใจไม่เห็นรึ"

คุณแสคงขัดใจนัก ที่เห็นผู้หญิงก็เป็นอีหรอบเดียวกันหมด คืออะไรๆ ก็ยอมไปเสียทุกอย่าง หากว่าได้เสียความเป็นสาวให้กับเขาไปแล้ว

จากนั้นบรรดากลุ่มผีสาวและผีเด็กชายก็ตั้งตารอว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป

ไม่นานเกินรอ เพราะเมื่อรังสีสังหารแผ่กระจายถึงขีดสุด หลวงเซ่งก็เลื่อนสองมือจากข้างแก้ม ลงบีบรัดลำคอของหญิงสาวเต็มกำลัง!

"คุณหลว..."

แววออกเสียงได้เท่านั้นก็ฟังไม่ได้ศัพท์ใดๆ อีก

"จะแต่งกับกูน่ะรึ! รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะน่า"

พร้อมกับที่ลงแรงให้สองหัวแม่มือ เค้นลงตรงหลอดลม อย่างจะให้ตายคามือ

"มึงเป็นใคร กูเป็นใคร ที่ลดตัวมาเกลือกอยู่กะมึง ก็บุญหัวนักแล้ว"

หญิงสาวตาเหลือก ดิ้นรนไม่คิดชีวิต แต่ร่างน้อยหรือจะสู้ความกำยำของฝ่ายอยากจะทำร้ายชีวิต

ใบไม้ต้นไม้ไหวเกรียวกราว ทั้งที่ไม่มีลม ราวกับกำลังสั่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จันทร์หลบเข้าหลังเมฆ คล้ายไม่อยากเห็นภาพอันสยดสยองนัยน์ตา

ส่วนสายตาของสองหนุ่มสาว ที่คนหนึ่งยังดิ้นรน ขณะที่อีกคนหนึ่งยิ่งเคียดเค้น ก็ยังประจัญสายตากันอยู่ตลอดเวลา แววตัดพ้อของหญิงสาวไม่ได้สื่อส่งให้เกิดความสงสารใดๆ จากชายหนุ่มเลยสักนิดในเวลานี้

แต่แล้วก็มีร่างหนึ่งซ้อนขึ้นมาระหว่างกลาง หลวงเซ่งผงะ เพราะดวงหน้าขาวซีดนั้น ส่งให้ดวงตาแดงก่ำยิ่งน่ากลัว เลือดเป็นสายรินหลั่งลงจากสองตา แล้วในวินาทีถัดมาก็ทะลักล้นทั้งจากทางปากและทางจมูก

เป็นคุณแสที่แสดงฤทธิ์ ก่อนจะค่อยเคลื่อนถอย ซ้อนกลับเข้าไปในร่างของแวว แล้วเลยไปซ้อนร่างอยู่ด้านหลัง

หลวงเซ่งแลตาม ตื่นตะลึงจะลืมใช้กำลังแขน ขณะที่ภูตสาวเริ่มกล่าววาจา

"คนทรยศ!"

คำนั้นเสียดสยองใจของชายหนุ่มยิ่งนัก หัวหมุนและเจ็บปลาบตรงช่วงราวอก เขาปล่อยมือจากลำคอของหญิงสาวทันที ตั้งใจจะเผ่นหนีไปให้เร็วที่สุด

พอหันกลับ ผีสาวอีกตนก็กางกรงเล็บจังก้า ดักรออยู่แล้ว นางคือตนที่ห่มสไบสีเขียวเข้ม

อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อมของภูตสาวทั้งกลุ่ม

หลวงเซ่งหันรีหันขวาง คิดจะกระโดดฝ่าวงล้อม แต่ตัวกลับหนักอึ้ง หันขวับไปข้างหู ก็เห็นเขี้ยวโง้งของเจ้าหลงจ่ออยู่ริมคอ

"เฮ้ยยย!!! ช่วยด้วย ช่วยด้วยโว้ยยย! ผีหลอก! ผีหลอกกูแล้ว!!!"

แล้วแสงเพ็งก็สำแดงเดชขึ้นบ้าง ทั้งแยกเขี้ยวยาวโง้ง ทั้งกางกรงเล็บอันแหลมคม

"เจ้าคนชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า"

เสียงนั้นก็กรีดแหลม ชวนสยองแสยงยิ่งนัก

หลวงเซ่งเหวี่ยวตัวเองอย่างแรง แม้บนหลังไหล่จะหนักแสนหนัก เพราะมีเจ้าหลงคร่อมคออยู่ แต่ก็ยังพยายามก้าวขา พาตัวเองถอยห่างผีแม่แสงเพ็งและคุณแสอย่างทุลักทุเล

ทั้งหมดนี้แววไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนรัก ได้แต่เห็นว่าเขากรีดร้องโหยหวน สะบัดตัวไปมา ราวกับกำลังพยายามสลัดให้หลุดจากอะไรสักอย่าง

หลังไหล่นั้นก็งุ้มงอ ค้อมลงมาจนดูคล้ายชายชราอายุแปดสิบเก้าสิบปี เขาโซเซเปะปะเหมือนคนเมาหนัก ขณะที่พยายามถอยไปด้านหลัง ก็ยังหันรีหันขวางอยู่ไม่วาย

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!

ต่อหน้าต่อตาของหญิงสาว ดูเหมือนว่าหลวงเซ่งจะหลุดจากพันธนาการที่มองไม่เห็น เขาผงะหงายหลัง ตรงที่พอดีกับขอบบ่อ แล้วล่วงลับลงไปในวินาทีถัดมา

"คุณหลวง! คุณหลวงของแวว!!!"

หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง ผวาตามไปตะโกนเรียกอยู่ซ้ำแล้ว เหมือนกับลืมไปว่าเมื่ออึดใจก่อนหน้า ผู้ชายคนที่ตนกำลังกู่เรียกหานี่ละ ที่คิดจะฆ่าตัวเธอพร้อมกับลูกในท้อง

แต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับ ถ้าแววได้มองเห็นภูตผีทั้งกลุ่ม ก็คงรู้ได้ว่า เจ้าหลงสมาชิกตนล่าสุดนั่นเอง ที่ยังตามเกาะบ่า ข่มให้ร่างของหลวงเซ่งจมหายไปขัดค้างอยู่ที่โพรงต้ำ

ตอนที่หญิงสาวถลามาตรงปากบ่อ บรรดาภูตสาวทั้งกลุ่มก็รีบเปิดทาง ให้นางได้กู่เรียกได้สมใจ

แววคงเสียใจหนักจนแทบบ้า เมื่อคนที่ตนรักมามีอันเป็นไปต่อหน้าต่อตา อะไรเล่าจะบันดาลให้เขาเป็นไปได้ดังนั้น นอกจากแรงอาถรรพ์ของภูตผีปิศาจ

เสียงสุนัขหอนโหยหวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว พอลมกระโชกมาอีกวูบ พัดพาเอาคล้ายเสียงหัวเราะเข้ามาประสม นางก็กรีดร้องขึ้นสุดเสียง

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ผีหลอก ผีหลอก!!!"

ผลักตัวเองออกจากขอบบ่อ แล้วก็เตลิดหนีกลับไปทางที่เข้ามา

ทิ้งให้ภูตสาวทั้งกลุ่มมองตามด้วยความรู้สึกสมเพชเวทนา โดยที่แสงเพ็งยังมีกระใจกระซิบถาม

"คงไม่ถึงกับเป็นบ้าเป็นบอไปหรอกนะเจ้าคะคุณแส"



**********





นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มี.ค. 2555, 13:22:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มี.ค. 2555, 13:23:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1884





   บทที่ ๐๑ >>
นวลชมพู 1 มี.ค. 2555, 13:28:30 น.
หายหน้าไปนานตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม จนน้ำจะท่วมอีกระลอก ค่อยโผล่มา ฝากนิยายพาเพลินเรื่องนี้ด้วยนะจ๊ะๆ ^_______^


gozilar 21 มี.ค. 2555, 14:56:32 น.
เข้ามาบอกว่าอ่านอยู่คะ


pseudolife 24 มี.ค. 2555, 16:56:36 น.
เห็นโพสหลายวันแล้ว แต่เพิ่งเข้ามาอ่าน
เพราะเปิดผ่านๆ เห็นว่ามันยาว ไม่อยากจ้องคอมนาน
อ่านตอนแรกจบแล้ว สนุกมากเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account