ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๐๑

บทที่ ๑


แสงแดดยิ่งจัดจ้า เพราะท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก พ้นกอไผ่หัวถนนนั่นขึ้นไปก็จะเป็นเขตกงสุลชาวยุโรป สองคนจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ด้วยว่าเดินทางข้ามฟากมาจากแถวตลาดพลูร่วมครึ่งวัน ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

สองคนที่เดินทางร่วมกันนี้ เป็นศิษย์ของสำนักมิชชันนารีมีชื่อ ที่เข้ามาตั้งหลักปักฐานในสยาม เพื่อเผยแพร่วิทยาการไปพร้อมๆ กับการเผยแผ่ลัทธิศาสนา

ชายคนหนึ่งโครงหน้าคมสัน คิ้วได้รูปสวย ขนตาดกดำเป็นแพ รับกันดีกับหน่วยตาหวานฉ่ำ ยามสบสายตากับผู้สาวนางใด เธอเหล่านั้นจะต้องเผลอคิดว่าเขากำลังหว่านเสน่ห์

จมูกที่โด่งเป็นสัน กับรูปปากอิ่มเต็ม ดูเข้ากันหมดกับทั้งหน้า ไรหนวดเคราเกลี้ยงเกลาด้วยได้รับการดูแลจากเจ้าตัวเป็นอย่างดี ขณะที่รูปร่างสูงโปร่งแต่ว่าอุดมด้วยมัดกล้ามเนื้อ ก็ทำให้การสวมชุดสากลแบบลำลองดูเหมาะเจาะมากกว่าชาวสยามอื่นๆ อีกหลายคน

โดยเฉพาะกับคนที่เดินมาด้วย ที่แม้จะสูงเพียงแค่ไหล่ของคนแรก แต่ก็ยังอุตส่าห์สวมชุดแบบเดียวกัน ทำให้แลดูหลวมโพรก เหมือนยืมเสื้อผ้าพี่ชายมาใช้ ผมยาวที่รวบเป็นหางม้าราบๆ ตรงท้ายทอย ทำให้ดูยิ่งตัวเตี้ยลงไปอีก

คนตัวเล็กนี้ผิวพรรณผ่องใสกว่าคนแรก ดวงหน้าก็หวานละมุน หากไม่ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัว ใครไม่เคยได้พูดจาปราศัย ก็คงคิดว่าเป็นพ่อหนุ่มน้อยหน้าละอ่อน

พอพ้นโค้งกอไผ่เจ้าตัวเล็กกว่าก็เร่งฝีเท้า พอเจ้าตัวใหญ่เริ่มกวด ก็เริ่มวิ่ง ในที่สุดจึงกลายเป็นวิ่งแข่งกันมายังร้านกาแฟริมทาง

เป็นร้านแบบทางยุโรป ที่ยินดีต้อนรับคนทุกเชื้อชาติ ไม่เหมือนร้านอื่นๆ ในย่านนี้ โดยเฉพาะพวกเจ๊กจีนที่ยอมตัวให้อยู่ในปกครองของชาติตะวันตก ที่บางทีก็ออกปากไล่คนหัวดำเอาง่ายๆ ขณะที่เรียก "เชิญขะ เชิญขะ เจ้านาย" กับฝรั่งตาน้ำข้าวทุกคน

เพราะฉะนั้น เมื่อสองคนที่แต่งตัวโก้เก๋ดูเหมือนผู้มีอันจะกินแวะเข้ามา เจ้าของร้านจึงรีบออกมากุลีกุจอต้อนรับ

"สวัสดีครับคุณผู้ชายทั้งสอง รับอะไรดีครับ"

เจ้าของร้านแทบจะจูงให้ทั้งคู่เข้ามานั่งในโต๊ะตัวที่ว่าง

"ข้าวผัดสองจาน แต่เอาคอฟฟี่มาก่อนสองแก้ว"

คนตัวสูงกว่าสั่งอย่างขอไปที ทำให้เจ้าตัวเล็กรีบแย้ง

"คอฟฟี่แก้วเดียว อีกแก้วขอโกโก้..."

"อะไร ไอ้อุ่น กินเป็นเด็กไปได้"

"พี่ธรรม์กินไปคนเดียวเถอะ คอฟฟี่น่ะมันบีบขมองรู้ไหมล่ะ"

"ใครเขาสั่งสอนเอ็งว่ากินคอฟฟี่แล้วบีบสมอง"

"ตอนเรียนก็แอบหลับไงล่ะ ถึงไม่รู้ว่าคอฟฟี่มีคาเฟอีน แล้วหยั่งงี้ ที่หลวงพ่อปล่อยให้กลับมาท่องตำราเตรียมสอบ จะไปได้สักกี่น้ำ"

ไอ้อุ่นลอยหน้าพูด เพราะที่ตัวเล็กกว่า ทำให้สองคนเหมือนคู่พี่ชายน้องชายที่ดูผิดฝาผิดตัวกันพิกล

"ตกลงว่าคุณท่านนี้รับข้าวแฝ่ อีกท่านรับโกโก้ แล้วก็ข้าวผัดอีกสองจาน"

"ไม่ๆ เอาข้าวผัดมาจานเดียว ถ้าพี่ธรรม์อยากจะกินก็กินไป ผมขอแฮม ไข่ดาว แล้วก็ขนมปังปิ้งกรอบๆ สักแผ่น"

"อะไรอีกเล่า ตะวันจวนจะตรงหัวอยู่แล้วยังจะสั่งเบร๊กฟรัส"

"ผมไม่ได้สั่งเบร๊กฟรัส ผมสั่งแฮม ไข่ดาวกะขนมปัง"

"เออ! นั่นแหละ"

"ไม่ใช่ ไม่ใช่!"

"เออ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่"

ที่สองคนสนิทสนมกันได้มาก นอกจากเรื่องอื่นแล้วก็เพราะเป็นเช่นนี้ คือเมื่อไอ้อุ่นจะพูดจาเลอะเทอะอย่างไร พี่ธรรม์ของมันก็ยอมเห็นดีเห็นงามไปด้วยทุกเรื่อง

สองคนเงียบไปอีกครู่ ก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะถามขึ้นว่า

"ทำไมถึงชอบเอาชนะนักล่ะอุ่น"

"ผมก็เป็นอย่างนี้ รู้จักกันมาตั้งนานพี่ธรรม์ไม่น่าจะถาม"

"งั้นก็ช่างเถอะ แต่รับรองว่า สอบคราวนี้เอ็งไม่ได้ชนะข้าแน่ๆ ถึงจะชวนให้ข้าไปค้างที่บ้าน แต่อย่าคิดว่าจะอ่อนข้อให้นา"

"แค่พี่ธรรม์มาเป็นเพื่อนก็ดีแล้ว ผมจะรับรองให้อย่างดีเลยเทียว"

ดวงหน้าละมุนของ "ไอ้อุ่น" นั้นราวกับเด็กหนุ่มยามตกอยู่ในห้วงของความรัก ขณะที่สายตาของ "พี่ธรรม์" ก็พราวพรายอยู่ตลอดเวลาที่ส่งสายตาให้กัน แล้วต่างคนก็ต้องต่างเขินอายไปเอง จนคนตัวใหญ่กว่าต้องขัดขึ้นว่า

"ขอตัวสักประเดี๋ยว ขอไปปล่อยเบาก่อนนะ"

เขาก็พยักยิ้มให้กับคนตรงหน้า ที่ตอนนี้อยู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ

"จะไปก็ไป ทำไมต้องมารายงาน"

หลังจากที่ทรงธรรมลุกจากไปแล้ว ไอ้อุ่นจึงได้แต่บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว

ในร้าน นอกจากสองคนนี้แล้ว ยังมีอีกสองสามโต๊ะที่นั่งละเลียดบรรยากาศแบบชาวยุโรป โต๊ะหนึ่งมากันห้าคน แต่สุมรุมอยู่ในโต๊ะเดียว โดยการลากเก้าอี้มาเพิ่ม ไอ้อุ่นชำเลืองมองไปแวบเดียว แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก

แต่คนพวกนั้นเฝ้ามองสองหนุ่มอยู่ตั้งแต่แรก พอทรงธรรมลุกไป ชายคนหนึ่งในกลุ่ม ที่หน้าตาสะอาดสะอ้านที่สุด ก็ลุกมาสะกิดไหล่ไอ้อุ่นเบาๆ

"น้องชายๆ ช่วยอะไรหน่อยสิ"

ไอ้อุ่นหันไปตามเสียง เห็นสีหน้าท่าทางเศร้าๆ ของคนสะกิดทักก็แปลกใจ

"มีอะไรรึ"

ชายคนนั้นเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใครมอง ก็ค่อยยกห่อผ้าที่ถือติดมือมา ออกคลี่วางลงบนโต๊ะ

ไอ้อุ่นถึงกับตาค้าง เพราะในห่อผ้าเก่าๆ มีทองคำเล็กๆ อยู่หลายแท่ง

"คืออย่างนี้นะ... ข้าจะต้องรีบขึ้นไปเชียงใหม่ ทั้งลูกทั้งเมียพากันจับไข้หนัก แต่ว่าพกของแบบนี้ไปด้วย กลัวจะเจอพวกโจรเข้าน่ะ"

"ใช่สิ เชียงใหม่ตั้งไกล ไม่รู้กี่วันกว่าจะถึง ทำไมไม่ไปที่กงสุลอังกฤษ แลกเป็นตั๋วเงินแล้วไปถอนที่เชียงใหม่ ทั้งปลอดภัยทั้งพกพาสะดวก"

ไอ้อุ่นให้ความเห็น พร้อมทั้งรู้สึกเห็นอกเห็นใจชายแปลกหน้าผู้นี้ไม่ใช่น้อย

"นั่นน่ะซี ข้ารีบมา นี่ก็ข้ามมาจากฝั่งธนบุรี มาถึงนี้แล้วก็ไม่อยากย้อนกลับลงไป"

"แล้วจะให้ช่วยอะไรล่ะ"

คราวนี้ที่ถาม เพราะยังเดาไม่ออกว่า เขาจะให้ช่วยอย่างไรจริงๆ

"ก็ดูจากการแต่งตัวของน้องชาย คงพอจะมีเงินติดตัวอยู่บ้าง ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินก็ยิ่งดี ขอแลกกับข้าหน่อยได้หรือเปล่าล่ะ มูลค่าไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ส่วนที่เกินข้าฝากเจ้าไว้ก่อนก็ได้"

"ผมมีไม่เยอะนักหรอก เดิมทีเจ้าคุณพ่อจะให้เอาไปกำนัลหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านไม่รับ ก็เลยจะเอากลับมาคืน"

พูดพลางไอ้อุ่นก็ล้วงธนบัตรออกมาปึกหนึ่ง ดูอย่างคร่าวๆ ค่าของมันก็ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของทองแท่งที่แผ่อยู่ตรงหน้า

แต่ชายแปลกหน้ากลับตาวาว ทำท่าจะตะครุบมันไว้ทันที

ทว่ามีอีกมือฉวยเอาไปเสียก่อน

เป็นทรงธรรมนั่นเอง ที่แย่งไปจากมือ พร้อมกับชี้หน้าชายแปลกหน้า อย่างคนที่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

"คิดจะใช้วิธีนี้มาหลอกคนอย่างพวกข้าได้อย่างนั้นรึ"

พูดจบก็คว้าทองมาแท่งหนึ่ง จัดวางให้เหมาะเหม็งแล้วก็เอาป้านน้ำชาทุบโครมลงไป บดๆ บี้ๆ ให้แน่ใจ ก่อนจะยกขึ้นดูผลที่เกิดขึ้น

ชายแปลกหน้าหน้าเสีย เพราะทองแท่งนั้นแทบจะป่นเป็นผง ที่แท้คือปูนปั้นชุบทองบางๆ

"เอาอีกแล้วนะไอ้ธรรม์ ทำลายแผนการพวกข้าเรื่อย"

ชายแปลกหน้าชี้หน้าโวยวาย ขณะที่เพื่อนที่นั่งคุมเชิงอยู่ไม่ห่าง ฮือกันเข้ามา

"มาซีวะ มาเลย แน่จริงเข้ามาเลย"

ปากก็ร้องท้าไปอย่างนั้นเอง เพราะพอทรงธรรมเหวี่ยงเก้าอี้เข้าใส่พวกนั้นไปสามสี่ตัว ก็ฉุดข้อมือให้ไอ้อุ่นรีบวิ่งหนีออกมาด้วยกัน

เพราะเขาชำนาญเส้นทางตรอกซอยถิ่นแถบนี้เป็นอย่างดี เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอีกสองสามครั้ง ก็พากันมาทะลุได้ถึงทางฝั่งสวนลุมพินี

ปล่อยให้จอมลวงโลกแก๊งตกทองทั้งสี่ห้าคนนั่น ได้แต่ยืนประกาศความแค้นอาฆาต หมายมั่นจะจองล้างจองผลาญ กันอยู่อย่างนั้น




พากันเดินเลาะมาทางซอยหลังสวน ที่วันนี้มีติดตลาดนัดเศรษฐี มีของใช้จากยุโรปที่เจ้าของอยากเปลี่ยนแปรเป็นอย่างอื่น วางเร่ให้เลือกชมอยู่มากมาย พอกันกับของกินที่ผู้ขายตั้งใจจะนำออกมาวางแผงโชว์ฝีมือ มากกว่าจะหวังกำรี้กำไร

"หิวนัก ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กิน ยังต้องมาวิ่งหนีไอ้พวกเวรห้าร้อยนั่นอีก"

"แล้วพี่ธรรม์ไม่สู้มันล่ะ เห็นออกปากท้าอยู่เหย็งๆ"

ไอ้อุ่นอดขัดคอไม่ได้ ก่อนที่มันจะพูดต่อไปว่า

"เข้าร้านกันเถอะ แถวนี้ไอถนนมันร้อนเหลือรับประทาน"

"แล้วแต่เอ็งสิ ใครชวนใครก็จ่ายแล้วกัน"

ที่จริงแล้วทรงธรรมก็มีแต่รูปร่างหน้าตา กับความรู้ความคิดเท่านั้นหรอก ที่พอจะเชิดหน้าชูตากับใครๆ ได้ แต่ถ้าจะพูดกันเรื่องของฐานะ เขาก็จนแสนจน อาศัยว่าได้คบหากับมิตรสหายที่มั่งมี จึงได้เป็นลูกขุนพลอยพยักไปกับเขาด้วย

ส่วนไอ้อุ่นนั้นเป็นถึงลูกพระน้ำพระยา วงศ์ตระกูลใหญ่โต มีเกียรติยศชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยต้นกรุง เมื่อมียศก็ย่อมมีลาภตามมาเป็นสาย ทำให้ไอ้อุ่นนั้น จัดอยู่ในพวกลูกผู้ดีมีอันจะกินขนานแท้และดั้งเดิม

ไอ้อุ่นพาทรงธรรมเข้ามาในร้านหนึ่งที่หรูหราโอ่โถง ที่ยิ่งน่านั่งขึ้นไปอีกก็คือทั้งร้านมีแต่พวกหัวดำ ที่พากันแต่งตัวด้วยชุดสากลสะอาดสะอ้านอย่างผู้มีฐานะกันทุกคนไป

"จะรับอะไรดีครับเจ้านาย"

บริกรเข้ามาต้อนรับอย่างนอบน้อม

ทรงธรรมหันไปพยักกับไอ้อุ่นอย่างอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก

"เอาอะไรก็ได้ที่กินแล้วไม่ตายน่ะน้องชาย"

ซ้ำยังหันไปพูดจาเล่นหัวกับบริกรหนุ่มน้อยได้อย่างเบิกบาน

"ไม่ได้นะที่ธรรม์ เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วว่าจะดูแลพี่อย่างดี เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาของที่ดีที่สุดในร้าน เป็ดร่อน หมูหันหนังกรอบ ปีกไก่น้ำแดง อะไรที่แพงที่อร่อยจัดหาออกมา"

"ไอ้อุ่น สั่งเยอะแยะขนาดนี้จะกินเข้าไปยังไงหมด"

"กินไม่หมดหรอกน่า แต่อยากชิมทุกอย่างเลยน่ะซี เถอะน่ะ พี่ธรรม์ก็ช่วยข้าชิมหน่อยก็แล้วกัน ของโปรดทั้งนั้น อยู่แต่ที่โรงเรียนของกินถูกปากค่อยมีที่ไหน"

"แล้วที่ว่ามานี่มันต่างกับของกินที่บ้านเอ็งยังไงล่ะ"

เพราะทรงธรรมรู้ฐานะของไอ้อุ่นเป็นอย่างดีจึงถามออกมาเช่นนั้น

"ก็ต้องต่างกันสิ เพราะที่บ้านผมน่ะต้องอร่อยกว่าร้านนี้แน่นอน ไม่เชื่อพี่ธรรม์ก็ต้องชิมทุกอย่าง แล้วเอาไปเปรียบเทียบกัน"

ทว่าเจตนาของทรงธรรม ไม่ได้ต้องการให้ไอ้อุ่นเลี้ยงดูปูเสื่อไปเสียทุกมื้อทุกคราว อยากจะได้ช่วยหารค่าอาหารได้บ้าง แต่ก็จนใจ เพราะอัฐในกระเป๋า มีอยู่ไม่กี่สตางค์

พอเขาแอบคลำหาดู ไอ้อุ่นก็จับสังเกตได้

"มีอะไรหรือพี่ธรรม์"

เขาเลยแกล้งเสหันไปมองทางโต๊ะหนึ่ง ที่กำลังซุบซิบกันอยู่เกี่ยวกับเรื่องผีสางที่ออกอาละวาด

"หลวงเซ่งลูกชายของเจ้าคุณคหบดีไงล่ะ เขาว่าผีจับหักคอยัดลงบ่อ นี่เพิ่งจะเอาศพออกมาจากคฤหาสน์บ้านเจ้าคุณอเนก..."

ไอ้อุ่นเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เพราะชื่อที่เอ่ยถึงเจ้าของบ้าน คือบิดาของตนเอง

"น่ากลัวจังเลย แล้วผีหลวงเซ่งจะเฮี้ยนขนาดไหนกันล่ะทีนี้"

"นั่นน่ะสิ ตึกใหญ่หลังนั้นใครๆ ก็รู้ว่าผีดุแค่ไหน"

"ก็ต้องดุซี ตายโหงอย่างนั้น"

กำลังตั้งใจฟังอยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มอีกคนเข้ามาสมทบ ท่าทางเขาเหมือนคนสติเฟื่อง แต่งขาวทั้งชุด คล้องประคำเส้นยาวไว้สายหนึ่ง กับมีเส้นเล็กอยู่ในมือ

ท่าทางเขาทรนงองอาจ ท่าเดินผ่าเผยมั่นใจอย่างยิ่ง

กลุ่มที่พูดถึงคดีการตายของหลวงเซ่งรีบลุกขึ้นต้อนรับเป็นการใหญ่

"หมอเกตุอาคม เชิญๆ เชิญนั่งก่อน คงได้ทางในมาละซี ว่าวันนี้มีผีตายโหง"

พอขยับเก้าอี้ให้ที่นั่ง รินน้ำชาให้ดื่มเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็กล่าวอีกว่า

"หลวงเซ่งทำไมไปตายในบ้านเจ้าคุณอเนกได้"

"หลายวันก่อนข้าผ่านไปทางนั้น รับรู้ว่าไอวิญญาณรุนแรงมาก เจ้าคุณอเนกถึงทิ้งร้างไม่ยอมอยู่ไงเล่า"

"แล้วหมอเกตุผ่านไปทางนั้นทำไม"

"ข้าก็คิดว่าจะหาฤกษ์หายามไปจับผีที่นั่นนะซี้ นึกไม่ถึงเลยว่า... จะสายเกินการณ์"

หมอเกตุตบโต๊ะดังปัง แสดงท่าว่าเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"หลวงเซ่งคงจะไป... เอ่อ..."

ครั้งพอจะพรรณนาต่อไป อีกคนก็แทรกขึ้น

"ท่านเคยเจอผีจริงๆ เหรอ"

คำถามเหมือนไม่เชื่อถือ ทำให้หมอผีหนุ่มถึงกับผุดลุก ชี้หน้าก่อนถามว่า

"เอ็งมันคนใหม่ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คนอย่างข้าปราบผีมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จะไม่เคยเจอผีได้ยังไง!"

ด้วยท่าทางกร้าวกราดเช่นนั้น ทำให้ทุกคนที่ห้อมล้อมยิ่งเลื่อมใส ทำให้หมอเกตุอาคมยิ่งได้ใจมาเป็นกอง

"ลองไปถามดูเถิด แถวแขวงเมืองกาญจ์เมืองสุพรรณ อ่างทอง สิงห์บุรี มีหรือที่จะไม่รู้จักชื่อข้า หมอเกตุอาคมจอมขมังเวท ตั้งแต่สมัยครั้งกรุงเก่านั่นมาแล้ว ที่พระยาละแวกต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง ย้ายไปถึงพนมเพ็ญ ก็เพราะอาคมปู่ทวดของปู่ข้า ที่ร่วมทัพไปกับพระนเรศวร หรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั่นก็..."

กำลังมันปาก ก็มีเสียงหัวร่องอหายดังขัดจังหวะขึ้นอย่างตั้งใจจะดูแคลน

เป็นเสียงหัวเราะลั่นของทรงธรรม ที่ทำให้หมอเกตุอาคมค้อนตาแทบกลับ

คนถูกขัดจังหวะ ปราดเข้ามาถึงตัว กระชากเสียงถามเอาตรงๆ

"มีปัญหาอะไร"

"ก็ข้ากำลังได้ยินไอ้บื้อคนนึง กำลังพูดจาเหลวไหลอยู่น่ะซี้"

"เอ็งกล้าด่าข้าเรอะ!"

จะไม่ให้หมอเกตุอาคมร้อนตัวก็ไม่ได้ เพราะคนที่เสียงดังที่สุดในร้านเมื่อครู่นี้ ก็คือตัวเขาเอง

"ข้าพูดชื่อเอ็งหรือไง อย่ากินปูนร้อนท้องไปเองเลยน่า โลกนี้มีผีเผอที่ไหน มีแต่พวกดักดานบางคนเท่านั้นละ ที่เอาแต่งมงาย หวาดระแวงไม่เข้าเรื่อง"

ท่าทางจะเกิดเหตุให้ร้อนใจขึ้นอีกแล้วกระมัง ไอ้อุ่นที่นั่งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ รู้สึกใจคอไม่สู้ดีนัก

"บ้านข้าเป็นหมออาคมมาตั้งแต่ต้นกรุงศรี ปราบผีมานับไม่ถ้วน ผีนางนาคที่วัดมหาบุศย์ ลุงข้าก็เป็นคนสะพายย่ามเดินตามท่านสมเด็จโต ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กวัดระฆัง"

"งั้นก็เป็นพวกต้มตุ๋นกันทั้งบ้านน่ะซี พวกนุ่งขาวห่มขาวห้อยประคำ เขาต้องตั้งใจถือศีลกินมื้อเดียว มีอย่างที่ไหน เลยเพลมาขนาดนี้ ยังมาเดินเข้าเหลา พ่นน้ำลายอยู่ฟุ้งๆ"

เสียงของทรงธรรมไม่เบาเลย ทำให้คนทั้งร้านหันมามองกันเป็นตาเดียว

"ใครสั่งใครสอนให้เอ็งทำแบบนี้"

ประโยคท้ายนั่นเองที่ทำให้หมอเกตุอาคมสุดจะทนทานได้อีกต่อไป เพราะที่ถามอย่างนี้ทั้งที่ครอบครัวเขาเป็นหมออาคม ก็หมายความว่าถูกกล่าวหาว่าบิดามารดามิได้สั่งสอน

"หนอยแน่ะ ข้าว่าเอ็งนั่นละที่ถูกผีเข้า ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้ามาลองดีกับข้า"

ว่าแล้วหมอเกตุอาคมก็ล้วงเอามีดหมอออกมาจากย่าม ท่าทางมันไม่ได้มีคมสักเท่าไร แต่ความแหลมนี่สิน่าขยาด

ไอ้อุ่นตกใจจนแทบหงายหลัง ขณะที่ทรงธรรมยังพอมีสติ ตลบผ้าปูโต๊ะตวัดพันมีดแหลมเอาไว้

แต่หมอเกตุอาคมยังไม่ยอมแพ้ ยังไสมีดเข้าใส่ทั้งที่ยังถูกพันด้วยผ้า ทำให้ทรงธรรมถึงกับต้องกระโดดหลบ พอตั้งหลักได้ก็สาดอาหารสองจานใกล้มือเข้าใส่หน้า

หมอเกตุอาคมไม่ครณา ยังตามฟาดฟัน พอทรงธรรมฉวยจานใบโตขึ้นมาป้องกัน จานนั้นก็ถูกฟันแตกออกเป็นเสี่ยง
จนไม่รู้จะหลบไปที่ไหน ทรงธรรมเลยคว้าข้อมือคนที่ยกย่องป้อยอหมอเกตุอาคมมาได้คนหนึ่ง ใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ คอยหลบอยู่ข้างหลัง ทำให้คนลงมือไม่กล้าผลีผลาม

พอได้จังหวะ ทรงธรรมก็เตะเข้าที่หว่างขา เล่นเอาหมอผีหนุ่มถึงกับหน้าเขียว กุมเป้าครวญครางอยู่ด้วยความเจ็บปวด

ทั้งที่เจ็บอยู่อย่างนั้น หมอเกตุอาคมยังใช้มือข้างที่ถือมีดพุ่งตรงเข้าใส่

แต่เรี่ยวแรงคงหายไปแทบหมดสิ้น เพราะทรงธรรมรับมีดที่ยังมีผ้าปูโต๊ะพันค้างอยู่นั้นได้ พอสองมือไม่ว่างเพราะต้องยึดมีด เขาก็งับลงตรงมือของฝ่ายตรงข้าม รุนแรงจนหมอเกตุอาคมต้องกระชากมือหนี ในจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้อุ่นก็ฉวยข้อมือของทรงธรรมให้ผลุบออกมาทางประตูด้านข้าง

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่สองคนทิ้งให้คนข้างหลังได้แต่ด่าตามหลังอยู่ปาวๆ




ที่อยู่ของเจ้าคุณอเนกคุณากรขณะนี้ อาศัยอยู่ในเรือนไทยหลังเก่า ที่สร้างตั้งแต่สมัยต้นกรุง และอยู่เกือบชิดกับ "บ้านอเนกคุณากร" ที่ลุงผู้ล่วงลับปลูกไว้ถัดกัน โดยมีถนนซอยสายเล็กคั่นกลาง

เรือนไทยหลังนี้ แม้จะเก่าแก่โบร่ำโบราณ แต่ก็โอโถงกว้างขวางสมกับการเป็นเรือนของเจ้าขุนมูลนาย ที่ครั้งหนึ่งวงศ์ตระกูลของเจ้าคุณอเนกคุณากรเคยได้พระราชทานยศเป็นถึงเจ้าพระยา

วันนี้ถึงกำหนดนัดว่าแก้วตาดวงใจของท่านเจ้าคุณ จะกลับมาพักผ่อน อ่านหนังสือทบทวนตำรับตำราเพื่อการสอบเลื่อนชั้น เจ้าคุณคิดไว้แล้วว่า อย่างน้อยถ้าได้ภาษา ก็อาจจะส่งไปเรียนต่อทางฝั่งประเทศตะวันตก อย่างที่พวกผู้ดีเขานิยมทำกันในเวลานี้

แต่ปัญหาที่ไม่น่าจะเกิด ก็ทำให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นจนได้ ไม่รู้ว่าหลวงเซ่งลูกชายเจ้าคุณเศรษฐีนั่นไปพลัดตกลงบ่อหลังเรือนตึกได้อย่างไร

ที่จริง ใจของเจ้าคุณอเนกก็คิดอยู่แล้วว่า หลวงเซ่งต้องไปล่วงล้ำก้ำเกิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อาถรรพ์ของเรือนตึกนั้นเป็นแน่

หรืออาจจะเข้าไปลองดี แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะแววหลานสาวที่คลุมโปงคลั่งเพ้อมาตั้งแต่หัวรุ่ง พอทำให้เจ้าคุณอเนกอ่านสถานการณ์ได้เป็นเลาๆ ว่า สองหนุ่มสาวจะต้องพากันไปทำอะไรพิเรนทร์เมื่อคืนนี้

ปัญหาที่หนักใจสาหัสอยู่ตอนนี้ก็คือเจ้าคุณเศรษฐี หรือที่เรียกเป็นทางการว่าเจ้าคุณคหบดีศรีรัชชูปการ จะแจ้งความเอาเรื่องเอาราวให้ถึงที่สุด กล่าวหาว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ถูกล่อลวงมาฆาตกรรม

"พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โปรดปกปักรักษา ตัวข้าพระยาอเนกคุณากร จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต้องมามัวหมองเป็นเด็ดขาด"

เจ้าคุณเป็นชายวัยใกล้ชรา ที่ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นหรือได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในแผ่นดินรัชกาลนี้ ตำแหน่งที่ได้รับก็ตกทอดมาตามธรรมเนียม จึงยิ่งวิตกหนักว่า หากมีเรื่องถึงตลาการศาลหลวงขึ้นมา ความเสื่อมเสียจะยิ่งทวีขึ้นในผู้ร่วมสายสกุล

เจ้าคุณอเนกคุณากรพนมมืออยู่นาน กว่าจะกราบลงได้

ในใจนั้นไม่เป็นสุขเลยสักนิด

"ท่านขอรับ คุณอุ่นมาถึงแล้ว"

เสียงของผู้รายงาน ดังขึ้นอย่างสุภาพ โดยคนพูดยังหมอบอยู่หลังธรณีประตู ซึ่งกั้นระหว่างหอพระกับชานโถงกลางเรือน

เจ้าคุณผู้มากวัยรีบลุกออกมาต้อนรับ ใจชื้นขึ้นอีกนิดว่าจะมีเพื่อนคู่คิดเพิ่มขึ้นอีกสักคน แต่กลับปรากฏว่ามีชายแปลกหน้าท่าทางเจ้าสำราญ ติดสอยห้อยตามมาด้วย

"เจ้าคุณพ่อ..."

ไอ้อุ่นโผเข้าหาบิดา แต่เจ้าคุณกลับประคองสองไหล่ผลักให้ออกห่าง แล้วพิจารณาการแต่งเนื้อแต่งตัว ที่ไม่เคยสบอารมณ์เลยสักครั้งที่ได้เห็น

"ให้คนไปรับก็ไม่ยอม อยากจะเดินมาเอง ตั้งครึ่งค่อนวัน รถม้ารถรางมีทำไมไม่ว่าจ้างเขาให้มาส่ง"

เพราะมีเรื่องร้อนตั้งแต่เช้า เจ้าคุณเลยไม่ได้ติดใจเรื่องที่จะส่งคนไปรับทั้งสองคนที่เพิ่งมาถึง บวกกับการแต่งกายที่ไม่สบใจ พอเอ่ยขึ้นได้ก็เลยเป็นคำพูดทำนองนั้น

"พ่อจ๊ะ นี่ไง คนที่เคยเล่าให้ฟัง"

ยิ่งพอแนะนำให้รู้จักกับทรงธรรมอย่างเป็นทางการ เจ้าคุณยิ่งส่งสีหน้าบอกบุญไม่รับมาให้

และแม้ชายหนุ่มจะนบไหว้อย่างนอบน้อมเพียงไร เมื่อเงยขึ้นมา ก็ยังเห็นสีหน้ารังเกียจเดียจฉันท์นั้น คงอยู่เช่นเดิม

"พ่อรู้ไหม อยู่ที่นั่นลำบากจะตาย แต่ได้พี่ธรรม์นี่ละที่คอยช่วยเหลือลูกทุกอย่าง"

ไอ้อุ่นก็เห็นท่าทางไม่พอใจของบิดา เลยต้องใส่สรรพคุณของทรงธรรมเพิ่มเข้าไป

"ลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะเจ้า บ้านข้าเดินทางมาลำบากลำบนซีนะ ทำไมไม่กลับเหย้ากลับเรือนไปดูแลพ่อแม่"

เจ้าคุณออกปากถามสามนัด ที่สามคำถามออกจะผิดเพี้ยนไปจากปกติ ที่ผู้ใหญ่พึงใช้ไตร่ถามผู้น้อย ยามเข้ามาพบหาอย่างมีคารวะ

ไม่ทันที่ทรงธรรมจะตอบว่าอย่างไร ก็มีเสียงกรีดร้องมาจากด้านนอก

เจ้าคุณผู้ใหญ่ผละไปตามเสียงนั้นทันที

สองคนคือไอ้อุ่นกับทรงธรรมก็ตามติดมาด้วย

มาถึงบนเรือนบริวารที่ปลูกอยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่ ก็พากันตรงเข้าไปในห้องนอนทันที

"เกิดอะไรขึ้น อาการแม่แววยังไม่ดีขึ้นอีกรึ"

เจ้าคุณตวาดถามเอากับบ่าว ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าทั้งหวาดกลัวทั้งหวั่นวิตก

แววยังกรี๊ดไม่หยุด สองมือเดี๋ยวปิดหน้าตาเนื้อตัว เดี๋ยวโบกไขว่ขับไล่ เนื้อตัวสั่นระริก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก

"นิ่งไปพักหนึ่งเจ้าค่ะ พออิฉันมาปลุกจะให้รับข้าวกลางวัน ก็เป็นอย่างนี้ขึ้นมาอีก"

บ่าวที่ช่วยกันยื้ออยู่ก็พลอยรายงานปากคอสั่นไปเหมือนกัน

เจ้าคุณไม่อยากให้เรื่องราวเช่นนี้อยู่ในสายตาของแขกแปลกหน้า เลยพยักไล่ให้ไอ้อุ่นพาทรงธรรมออกไปก่อน

"คงจะได้รับความกระทบกระเทือนอะไร จนขวัญหนีดีฝ่อแน่ๆ เลยขอรับ"

แต่ชายหนุ่มกลับทำเป็นไม่รับรู้เจตนาของผู้มากวัย แสดงความคิดเห็นออกมาจริงจัง

"พาเพื่อนของเจ้าออกไปก่อน นี่มันเรื่องในบ้าน!"

จนเจ้าคุณต้องออกปาก แต่สองคนก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่นั่นเอง

"ที่พ่อสั่งนี่ได้ยินหรือเปล่า!!"

ผู้มากวัยตวาดซ้ำ จนไอ้อุ่นหน้าเสีย เลิ่กลั่กอยู่อึดใจหนึ่งก็นึกอะไรขึ้นมาได้

"พี่ธรรม์เขาพอรู้ตำรายาอยู่บ้าง ให้เขาสั่งยาให้สักชุดดีไหม"

โดยไม่รอคำตอบ ทรงธรรมก็รีบคว้ากระดาษดินสอ เขียนสูตรยาระงับอาการยื่นให้ทันที

"ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ได้ยาหม้อนี้ อึกเดียวเท่านั้น เงียบกริบ"

สีหน้าเขายังรื่นเริง ดูๆ ก็เหมือนคนทะลึ่งทะเล้นมากกว่าจะได้การได้งาน

เจ้าคุณอเนกรับไว้อย่างเสียไม่ได้ แต่พอมาอ่านพิจารณาดู เครื่องยาที่ชายหนุ่มเขียนออกมานั้นก็ไม่ผิดพลาด แม้ไม่อยากจะยอมรับความช่วยเหลือจากคนภายนอก แต่ก็จำใจต้องให้บ่าวผู้ชายไปเจียดยาตามใบสั่ง

"พ่อจ๊ะ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับพี่แววกันแน่"

ไอ้อุ่นต้องถาม เพราะเห็นอาการของผู้เป็นญาติแล้วก็รู้ว่าอาการหนักเข้าขั้น

ผู้เป็นบิดาก็คงอยากจะบอก ติดอยู่ที่มีทรงธรรมซึ่งเป็นคนนอกยืนอยู่ด้วย เรื่องแบบนี้ คนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

"อย่างนั้นกระผมขอตัวไปเดินเล่นข้างล่างก่อนก็ได้ขอรับ"

ทรงธรรมคิดแล้วว่า ถ้าจะตื้ออยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงจำใจล่าถอย คิดว่าคงต้องค่อยวางแผนการใหม่ กับการทำให้เจ้าคุณอเนกคุณากรผู้นี้เปิดใจยอมรับตน

เดินเล่นเรื่อยมาถึงรั้วบ้านด้านหนึ่ง เขาก็นึกขัน เพราะมีเฉลวสานเป็นดาวห้าแฉก ตรงกลางปิดผ้ายันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ ปักระไว้ทั่วไปหมด

"พวกบ้านนี้ท่าทางจะกลัวผีกันจริงๆ จังๆ อยากรู้นัก ถ้าผีมาจริงๆ ไอ้ตอกจักสักแต่ว่าสานๆ เป็นดาวๆ กะรูปยักษ์พิการสามขาถือกระบองนี่จะช่วยอะไรได้"



**************





นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มี.ค. 2555, 08:08:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มี.ค. 2555, 08:09:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1747





<< บทนำ   บทที่ ๐๒ >>
pseudolife 25 มี.ค. 2555, 03:05:42 น.
อ่านฉากในเหลาแล้วคิดถึงนิยายจีนกำลังภายในดีแท้^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account