ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: การปรากฏตัวครั้งแรก

เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง เพราะมีการปรับปรุงเนื้อหาเล็กน้อย และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

ตอนที่ 1
สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ทรัพย์สิดี ดีแต่เกิดค่ะ อายุ 25 ปี อาชีพพนักงานออฟฟิศ ปัจจุบันอาศัยอยู่กับแม่สองคนในบ้านหลังเล็กๆ งานอดิเรกคือ นอน และออกไปเที่ยวกับเพื่อน...ที่สำคัญคือ โสดสนิทค่ะ!

เช้าวันนี้ของฉันเริ่มต้นด้วยการมาสมัครงานใหม่ค่ะ แต่ดันตื่นสายเสียได้ อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 7 โมงเช้า แต่ทำไมมันไม่ยอมดังเลย มารู้ตัวอีกที ฉันก็ตื่นมาตอนเกือบ 8 โมงเสียแล้ว พอไปตรวจดูที่นาฬิกาเจ้าปัญหาก็พบว่า ถ่านหมด ตั้งแต่ ตี 2....จะบ้าตาย ร้อยวันพันปีไม่เคยมีปัญหา ทำไมต้องมาเจาะจงถ่านหมดวันนี้ก็ไม่รู้!

โอ๊ะ! รถไฟฟ้ามาแล้ว...

แต่ขณะที่ฉันกำลังดีใจ กลุ่มคนจากทั่วทุกสารทิศ ก็วิ่งกรูกันมาขึ้นรถไฟ วันนี้ฉันใส่ส้นสูงมา จะวิ่งก็ไม่ถนัด เลยโดนแซง..แซงแล้ว..แซงอีก แล้วฉันก็พยายามเบียดเข้าไป เบียดแล้ว เบียดอีก....แต่ก็ถูก ดันออกมา ออกมา ออกมา...แย้กกกกกกกกกกกกกกก!!!!!! ฉันเข้าไปในรถไฟไม่ได้! ให้ตายเถอะ ฉันมีนัดสัมภาษณ์ ตอน 9 โมงเช้านะ นี่ก็แค่อีก 20 นาทีเอง โอ๊ย!!!

แรงเบียดเมื่อกี้ทำเอาร่างเล็กๆของฉันบนรองเท้าส้นเข็มล้มลง พลั่ก! แล้วฉันทับใครอยู่เนี่ย?

"ให้ตายสิ!!" เสียงห้าวๆดังมาจากข้างหลังฉัน พอฉันหันไปมองก็พบ ชายหนุ่มคนหนึ่ง ถูกฉันนั่งทับเข้าเต็มๆ กระเป๋าเอกสารของเขาเปิดออก ทำเอาของในนั้นกระจายออกมา.....โอ....แต่ว่า....ของช่างหล่อจัง....จมูกโด่ง รับกับใบหน้าเข้มคมสัน...คิ้วสีดำดกหนานั้น ขมวด จนแทบจะผูกกันได้...นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาก็...

"นี่คุณ!!!" เขาตะคอกใส่ฉัน "ลุกสักทีได้ไหม!" เขาสั่งเสียงเฉียบขาด ความหล่อเมื่อกี้กระเด็นหายไปทันที ฉันลุกขึ้นอย่างงกๆเงิ่นๆ รองเท้าบ้าเอ๊ย! ฉันจะไม่ใส่คู่นี้อีกแล้ว....ส้นดันหักเสียได้

ตานั่นยังคงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง รีบเก็บเอกสาร อย่างทุลักทุเล ไม่เหลือมาดเท่ห์ให้เห็น

เขาตวัดสายตาคมดุมองมาที่ฉันนิดหนึ่ง เหมือนจะบอกประมาณว่า ‘ยืนมองทำไมหา!...เออ...แต่ฉันก็น่าจะช่วยเขาเก็บจริงๆแฮะ

"มาค่ะฉันช่วย ว้าย ปลิวหมดแล้ว" ลมบ้าพัดมาจากไหนไม่รู้ ทำเอาเอกสารของเขาปลิวเคว้งคว้าง ฉันรีบกึ่งวิ่ง กึ่งกระโดด เก็บกระดาษเหล่านั้น แต่ทว่า แผละ! ฉันล้มลงไม่เป็นท่า นึกขึ้นมาได้ว่ารองเท้าเจ้ากรรมน่าจะถอดออก...คุณลองนึกภาพ ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง กระโดดหยองแหยง ในชุดทำงานสุดหรู โดยไม่ใส่รองเท้า ที่สถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส ตะโกนร้องโวยวายเก็บกระดาษบ้าบอคอแตก....ตาบ้าเอ๊ย...นายทำฉันอับอายชะมัด

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง" เขาพูดเสียงเรียบด้วยท่าทางพยายามข่มอารมณ์สุดขีด อีตานี่ คงเห็นท่าพิลึกกึกกือของฉันแล้วรับไม่ได้.....

ในที่สุดเราทั้งสองคน ก็เก็บเอกสารได้จนครบ เขาค่อนข้างเงียบไม่บ่นอะไรมากนัก แต่ทำหน้าราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ
ชายหนุ่มมาดนิ่งสบัดแขนเสื้อสูทเนื้อดีเพื่อดูนาฬิกา จากนั้นเขาก็ร่ายยาว

"ให้ตายสิ 8 โมงครึ่งแล้วเหรอเนี่ย ผมมีนัดตอน 9 โมงซะด้วย...แล้วมือถือผมล่ะ!!!" เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นมือถือสุดหรูของเขานอนแอ้งแม้ง สภาพไม่ต่างไปจากคำว่า....พังไม่มีชิ้นดี จะอะไรกันนักหนาล่ะ ฉันก็ตกใจเหมือนกันแหละน่า แต่จะให้ทำอย่างไรได้

“อ่า...ฉันขอโทษนะคะ” ฉันพูดเสียงแผ่วเบา ทั้งรู้สึกผิดและอาย ก็คนทั้งชานชาลาเริ่มมองเราสองคนเป็นตาเดียวน่ะสิ

เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วมองหน้าฉันนิ่งๆ ดูข่มอารมณ์สุดๆ “คิดว่าขอโทษแล้วมันจะดีขึ้นหรือไง คุณจะชดใช้เรื่องนี้ยังไง”

ห๊ะ! ตานี่ว่าอะไรนะ ชดใช้เหรอ? นี่ผู้ชายสมัยนี้เป็นอะไรกันแล้ว! อาจจะไม่ต้องผู้ชายหรอก คนสมัยนี้ต่างหาก ให้อภัยเรื่องเล็กๆน้อยๆกันได้บ้างไหม แล้วนี่หล่อนเป็นผู้ชายนะยะ สุภาพบุรุษนี่ไม่มีเลยเหรือไง ฮึ! มือถือนายจะแพงเท่าไรเชียว

“คือ...จะให้ฉันชดใช้ยังไงล่ะคะ เอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะเอามอถือคุณไปซ่อมให้” ใครกันที่สั่งสอนฉันให้ปากไม่ตรงกับใจเนี่ย

“เอาไปซ่อมเหรอ มือถือผมราคาเฉียด 30000 คุณรู้ไหม ไหนจะเสียเวลานัดสำคัญอีก”

“อะไรนะ! ราคา สาม...” ฉันยังโวยวายไม่เสร็จก็บังเอิญสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาเรือนใหญ่บนชานชาลาพอดี เกือบจะ 9 โมงแล้วเหรอเนี่ย

ให้ตายสิ...ชีวิตฉันจบสิ้นแล้ว........

ฉันหันหน้าไปมองชายผู้ซึ่งทำลายชีวิตของฉันอย่างเคียดแค้น คนทั้งสถานีจ้องมองเราสองคนแบบขำๆ มันน่าตลกตรงไหนกัน

เขาก็มองฉันแบบไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วชูเจ้า 'พังไม่มีชิ้นดี' ขึ้นมา "คุณต้องชดใช้....ทั้งหมด" เขาพูดเสียงดังน่ากลัวใส่ฉัน ต่อหน้าคนทั้งชานชาลา

ฉันรวบรวมสติ ทิ้งความโมโห ความอายทุกอย่าง พยายามทำท่าให้สง่างาม

"ฉันมีนัดตอน 9 โมง คุณก็ทำฉันสายเหมือนกัน" แล้วฉันก็นิ่งเงียบ ฉันเตรียมตัวสำหรับงานนี้มานานมาก...
บริษัทนราธร...เจ้าของเครือโรงแรมนราธรกรุ๊ปทั่วประเทศกว่า 10 สาขา แล้วตาบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ บังอาจมาทำลาย....

"ตาบ้า นายกล้าดียังไงมาทำลายชีวิตของฉัน....ฮือ" ฉันหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อาย ฟาดเขาด้วยกระเป๋าอย่างแรง เขารีบ เอามือบังตัว พยายามจับฉันด้วยความเดือดดาล แต่ฉันก็รอดพ้นมาได้ แล้วรีบวิ่งขึ้นรถไฟฟ้าที่มาเทียบชานชาลาอีกครั้ง

ฉันรู้สึกเหมือนโลกหมุนอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็มายืนอยู่หน้าเค้าเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่บริษัทนราธร เสียแล้ว

ฉันมาทำไม เลย 9 โมง ไปแล้วนี่นา

แต่จิตใต้สำนึกส่วนลึกของฉัน สั่งให้ฉันเดินหน้าต่อไป....เอาวะ สู้!

"ขอโทษนะคะ สัมภาษณ์สมัครงานที่ชั้นไหนคะ" ฉันเดินไปถามพนักงานสาวสวยที่เค้าเตอร์ หล่อนมองฉันอย่างขันๆ ฉันมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ...ทรงผมฉันมัดมาอย่างดีก็ยังเข้าที่นะ แต่งหน้าอ่อนๆ เลยไม่เลอะเท่าไร มองไปที่กระดุมเสื้อ ก็ไม่หลุด ซิปกระโปรงก็รูดสนิท...เออช่างเฮอะ...ฉันถูกมองแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก...น่าจะชินได้แล้วละ

"เชิญชั้น 15 เลยค่ะ ยังทันเวลานะคะ คุณยังไม่สาย" เธอพูดกับฉันอย่างใจดี คงสังเกตเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของฉันเป็นแน่

"เอ่อ...คุณคะ..." เสียงพนักงานที่เค้าเตอร์เรียกฉันอีกครั้ง

"คุณ...ไม่ได้ใส่รองเท้ามาเหรอคะ" สิ้นเสียงหล่อน ฉันก็รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านทั่วฝ่าเท้า
ไม่นะ!!! ฉันทำได้ยังไงเนี่ย ลืมรองเท้าไว้ที่ บีทีเอส แล้วเดินฝ่าความร้อนที่พื้นปูจนถึงความเย็นบนพื้นหินอ่อนของที่นี่....โดยไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันมองเท้าตัวเองอย่างละล่ำละลัก

"คุณรีบขึ้นไปสัมภาษณ์ดีกว่าค่ะ ถ้าบอกเหตุผลท่านประธานดีดี ท่านคงเข้าใจ...โชคดีนะคะ" พนักงานสาวให้กำลังใจฉันได้ยอดเยี่ยมที่สุด ฉันรีบขอบคุณเธอแล้วตรงดิ่งเข้าลิฟท์ สู่ชั้น 15
คนในลิฟท์มองเท้าฉันอยู่ได้ ขายขี้หน้าชะมัด
และเมื่อไปถึงที่หมายก็เห็นคนนั่งรอสัมภาษณ์กันเต็ม เออเอาเถอะ จะมองเท้าฉันก็มองไปเลย ฮี่เธ่อ มันจะประหลาดอะไรนักหนา กะอีแค่คนลืมใส่รองเท้ามา

1ชั่วโมงครึ่งผ่านไป โอย เย็นเท้าจริงๆ...

"เชิญคุณ...เอ่อ...ทรัพย์...ทรัพย์สิดีค่ะ" สาวหน้าห้องท่านประธานอ่านชื่อฉัน อย่างไม่มั่นใจ อย่ามองเท้าฉันเลยนะขอร้อง

ฉันเป็นคนสุดท้ายแล้วสำหรับการสัมภาษณ์ในวันนี้

และเมื่อเดินผ่านสาวหน้าห้องเข้าไป ใจฉันก็เต้นตูมตาม....

ท่านประธานบริษัท นราธร หรือ คุณนรินทร์ นราธร สัมภาษณ์ฉันด้วยตนเอง ฉันเคยเห็นเขาในหน้าสังคมในหนังสือพิมพ์ เขาเป็นชายสูงวัย ร่างท้วม ท่าทางใจดี แล้วฉันก็เห็นโต๊ะทำงานของท่านอยู่ไม่เกินเอื้อม โชคดีหน่อย โต๊ะทำงานสูงพอที่จะทำให้ท่านไม่เห็นว่าฉันเดินมาเท้าเปล่า

ฉันนั่งลงอย่างเรียบร้อย วางท่าทางอย่าสง่างาม

เฮ้...โต๊ะนี้มันสูงเกือบครึ่งคอฉันเลยแฮะ แล้วท่านประธานบริษัทที่นั่งหันหลังให้ฉันอยู่ ก็หมุนเก้าอี้มา สองมือของท่านประสานกันเหมือนกำลังครุ่นคิด ฉันไล่มองเขาจากมือขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้เห็นชายหนุ่มร่างเพรียวกำยำใบหน้าคมสัน อายุไม่เกิน 30

"คุณ!!!" เสียงฉันและอีตาบ้า...เอ๊ย ท่านประธาน ก็ดังพร้อมกัน

ไม่อยากจะเชื่อ คนที่เกือบจะทำลายอนาคตของฉัน นั่งอยู่ตรงหน้า ในฐานะ ของประธาน บริษัทนราธร กรุ๊ป!

เขารีบเปลี่ยนจากสีหน้าประหลาดใจให้เป็นปกติ...สายตาเขามองฉันแบบทะลุทะลวงทุกอย่าง

"อะแฮ่ม" เขากระแอมทีหนึ่ง...ส้นรองเท้าฉันมันติดคอรึไงกัน

"สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณทรัพย์สิดี ดีแต่เกิด...." แล้วเขาก็ขำเบาๆทั้งๆที่ยังพูดไม่จบ
ฉันมองหน้าเขาอย่างรังเกียจ...มาถึงตอนนี้ ฉันไม่แน่ใจแล้วว่าอยากได้งานที่นี่หรือเปล่า

"แฮ่ม...เอ่อ...จากประวัติ คุณจบจากมหาวิทยาลัยกลางๆ ด้วยเกรดเฉลี่ยกลางๆ ประสบการณ์ทำงานก็กลางๆ ถ้าเทียบกับผู้มาสัมภาษณ์ทั้งหมดของวันนี้" แล้วเขาก็ทำท่าจริงจัง...ซึ่งดูน่ากลัวสำหรับฉัน เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น แล้วเลิกคิ้วอย่างท้าทาย

"เพราะฉะนั้น อะไรในตัวคุณที่คิดว่าคุณสมควรได้รับงานในตำแหน่งเลขาของผม"

ฉันมองเขาแล้วแล้วทำหน้าอยากจะแหวะ....ลืมไป ว่าแม่กำชับแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น เพราะฉันจะดูน่าเกลียด

"ก็คงเป็นเพราะความมุ่งมั่นในการทำงานของดิฉันล่ะมังคะ ถึงแม้ประวัติการทำงานของดิฉันกลางๆ ถ้าคุณดูจากตำแหน่งที่ดิฉันได้รับ แต่ลองอ่านดูสิคะว่า ดิฉันทำให้บริษัทได้กำไรเพิ่มขึ้นแทบทุกปีนะคะ" ฉันตอบฉะฉาน ไม่ใช่การตอบที่อยากได้รับตำแหน่ง แต่ตอบเพื่อนเอาชนะ

"ถ้าอย่างนั้นทำไมบริษัทถึงไล่คุณออกล่ะครับ" ริมฝีปากบางๆของเขาเผยอยิ้มอย่างสะใจ

ฉันตาคว่ำมองเขาให้ลึกมากขึ้น "เปล่าไล่ค่ะ ดิฉันลาออกเอง...เหตุผลเพราะ...ดิฉันรู้สึกว่าทุกคนคิดว่าดิฉันเป็นตัวตลกอยู่เรื่อย เลยไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของดิฉันน่ะค่ะ"

"แล้วคุณคิดว่ามาอยู่ที่นี่แล้ว คุณจะไม่ถูกมองแบบนั้นเหรอครับ ในเมื่อคุณก็ยังเป็นตัวคุณ"

เขาถามได้สมเป็นประธานบริษัทจริงๆ "ดิฉันได้ยินชื่อเสียงบริษัทนี้มานานแล้วค่ะ ว่ามีความตั้งใจทำงานกันสูงมาก ทุกความคิดเห็นมักจะถูกให้ความสนใจ ขนาดคุณ ถวิกา รองนางสาวไทยที่ทำงานที่นี่ หลังจากได้รับตำแหน่งแล้ว คนในบริษัท ก็ยังทำงานกับเธอเป็นปกติ ไม่มีเห่อ หรือวุ่นวายจนไม่ทำงานเลยค่ะ" ฉันพูดเสร็จ เขาก็มีกิริยาแปลกๆ

"เอ่อ...ฉันอ่านเจอในนิตยสารขวัญเรือนน่ะค่ะ" ฉันรีบชี้แจงให้เขาเข้าใจว่ารู้ข้อมูลมาจากไหน
เขาเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ผมเห็นถึงความตั้งใจของคุณ ดูได้จากการที่คุณลืมรองเท้าไว้ที่ บีทีเอส แถมเลยเวลาสัมภาณ์มาแล้วแต่คุณก็ยังคงมุ่งมั่นมาสัมภาษณ์ แต่ผมว่ายังไงคุณสมบัติของคุณก็ไม่เหมาะสมกับบริษัทของผม"

ฉันเหลืออดจริงๆ ทำไมต้องมาพูดดูถูกกันแบบนี้ คนที่เป็นถึงประธานบริษัท มีทุกอย่างที่อยากได้ ทำไมต้องเอาชนะผู้หญิงที่ถูกหัวเราะเยาะมาทั้งชีวิตด้วย

ฉันลุกขึ้น เดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองฝ่ามือทุบโต๊ะเขาอย่างแรง ฉันพล่ามออกไปทั้งๆที่ตัวสั่น

"พอฉันเห็นว่าเป็นคุณก็ไม่อยากรับงานนี้เหมือนกัน คุณไม่มีคุณสมบัติมาเป็นเจ้านายฉัน คนที่เป็นถึงประธานบริษัท ทำไมถึงนั่งบีทีเอสมาทำงานล่ะ ถ้าคุณไปด้วยรถส่วนตัว ฉันก็คงไม่ต้องอับอายคนทั้งสถานี แล้วคนที่เป็นถึงประธานบริษัททำไมต้องโมโหนักกับแค่มือถือกระจอกๆ เพียงเครื่องเดียว! อีกอย่างคุณจะไม่รับฉันเข้าทำงานเพราะฉันชนคุณล้มที่สถานีใช่ไหมล่ะ" ฉันพูดเสร็จก็หอบแฮ่กๆ

"ขอโทษที ฉันขอตัว" แล้วรีบลุกเดินจากเขาไปให้เร็วที่สุด

"เดี๋ยวก่อน" เสียงห้าวๆของเขารั้งฉันไว้เช่นเคย ฉันหันไปมองทำท่านางเอกสุดๆ...หึหึ...เขาคงจะง้อฉันล่ะสิ

"เอารองเท้าไปด้วย เดี๋ยวคนเขาก็หัวเราะคุณทั้งกรุงเทพอีกหรอก" เขาลุกขึ้นเดินอย่างสง่างามถือรองเท้าของฉันที่ข้างหนึ่งส้นหัก แล้วยื่นส่งให้

ให้ฟ้าเป็นพยาน...เขาเก็บรองเท้าฉันไว้เหรอเนี่ย!!!!!! 

ฉันคว้ารองเท้ามาอย่างโมโห แล้วรีบใส่ต่อหน้าเขา พอยืนตรงๆก็รู้สึกได้ว่า ฉันยืนไม่เท่ากัน....โอ๊ย...ฉันเกลียดนายจริงจริ๊งงงงงงงงงงง

แต่ก่อนจะเดินตัวเฉียงๆ ออกจากห้องตาบ้าไป ฉันนึกอะไรได้ เลยหันไปถามเขา

"ทำไมฉันอ่านในจดหมายเชิญสัมภาษณ์ว่า คุณนรินทร์ นราธร จะสัมภาษณ์ฉันด้วยตัวเองไงล่ะ คนที่ท้วมๆ แก่ๆหน่อย ท่าทางใจดีน่ะ" ฉันนี่มันบ้าจริงๆพูดถึงประธานบริษัทนราธรกรุ๊ปอย่างนั้นได้ยังไง

ตาบ้านั่นมองฉันอย่างโมโห "ผมก็ชื่อนรินทร์ นราธร ส่วนคนที่คุณพูดถึงนั่นเป็นคุณพ่อผม"

ให้ตาย ฉันพูดถึงพ่อประธานบริษัทนราธรกรุ๊ป ว่าอ้วนแก่ อย่างนั้นเหรอ...หึ สมควรอยู่หรอก...แต่ทำไมพ่อลูกต้องชื่อเหมือนกันด้วยล่ะ?

คิดได้แค่นั้นฉันก็รีบเผ่นออกจากห้องเขาไป




ขอบคุณที่ติดตามค่ะ



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2555, 16:56:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2555, 16:59:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 2880





   เปลี่ยนใจ >>
Auuuu 19 มี.ค. 2555, 21:49:10 น.
ฮามากกกกกกกก 5555


Kapoh 19 มี.ค. 2555, 21:59:32 น.
ชอบชื่อนางเอกจัง
รอคอยนางเอกชื่อนี้มานาน subsidy เงินทองทั้งนั้น ^^


ม่านฟ้า 20 มี.ค. 2555, 09:22:55 น.
เรื่องนี้เคยอ่าน รับประกันความสนุกค่ะ
แล้วเรื่อง รักนี้ที่วังหลวง ล่ะคะ จะได้อ่านอีกไหม ^ ^'


ลายเส้น 20 มี.ค. 2555, 13:50:10 น.
สวัสดีค่ะคุณม่านฟ้า ตอนนี้ขอรีรไท์ทรัพย์สิดีก่อนนะคะ ลองอ่านดูอีกทีไหมคะ เพราะปรับเนื้อหาเล็กน้อย อยากรู้ว่าอรรถรสจะเหมือนเดิมไหม อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account