ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: เปลี่ยนใจ

ตอนที่ 2

เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำคือถอดรองเท้าไม่รักดีออก กะว่าจะปาทิ้ง แต่นึกขึ้นมาได้ว่านี่เป็นของดีราคาแพงที่แม่ซื้อให้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ แต่ฉันคงไม่ได้ใส่มันแล้วล่ะ ก็ส้นมันหักไปข้างหนึ่งน่ะสิ...ตาบ้านะตาบ้า อุตส่าห์เก็บรองเท้ามาแล้ว จะเก็บส้นมันมาด้วยไม่ได้หรือไง

ขณะที่ฉันมองรองเท้าอย่างครุ่นคิด แม่ก็ออกมาต้อนรับฉันพอดี ฉันรีบซ่อนรองเท้าเอาไว้ข้างหลังอย่างเร็วที่สุด

“สิดี กลับมาแล้วเหรอ สัมภาษณ์เป็นไงบ้างลูก” แม่พูดด้วยสีหน้าดูมีความหวังมาก

ฉันพูดอึกอักโกหกออกไปหน้าด้านๆ “เอ่อ....เดี๋ยวทางบริษัทจะติดต่อมาทีหลังค่ะ” คิดในใจว่าถ้ามีใครสักคนโทรมาก็คงจะเป็นท่าน นรินทร์ นราธร senior ‘นังหนู ฉันไม่ได้อ้วน แค่ท้วมเฟ้ย!’ อะไรแบบนั้น

รอยยิ้มของแม่ยังคงปรากฏอยู่ แต่ฉันรับรู้ได้ว่า ในแววตาของแม่มีความผิดหวังอยู่ลึกๆ
“เดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาจริงไหมลูก มาๆ เข้าบ้านมาทานขนมก่อน วันนี้แม่ทำบราวนี่ด้วย”

แล้วฉันก็ยิ้มออก ฉันชอบบราวนี่ที่สุดในสามโลก

ฉันอาศัยอยู่กับแม่ 2คนที่บ้านหลังเล็กๆรายล้อมไปด้วยแปลงดอกไม้ขนาดย่อม บริเวณบ้านของเราไม่กว้างขวางนัก แต่ก็สามารถปลูกผักสวนครัวได้ หลังบ้านของเรามีต้นมะม่วงต้นใหญ่แผ่ให้ร่มเงาตลอดปี ใต้ต้นมะม่วงมีชิงช้าสีเขียว ซึ่งปัจจุบันนี้คงกลายเป็นสีเขียวทึมๆไปแล้ว พ่อของฉันสร้างให้ฉันตั้งแต่ 5 ขวบ พ่อเสียไปแล้ว เมื่อ 10 ปี ก่อน...

แม่เป็นผู้หญิงร่างเล็ก แม้อายุจะ 50 กว่าๆแล้วก็ยังหุ่นดี อาชีพของแม่คือนักเขียน ฉันเห็นนิยายของแม่ได้ตีพิมพ์มาแล้วประมาณ 5-6 เล่ม แต่งานที่ทำแล้วได้เงินประจำคือคอลัมนิสต์ นิตยสารผู้หญิงที่ไม่ดังเท่าไร อ้อ แม่ชอบทำขนมส่งร้านเบเกอรี่ของเพื่อนด้วย

จริงๆ แล้วฉันรู้สึกว่าฉันไม่น่าจะเป็นลูกแม่เลย ถ้าเทียบกับตอนที่แม่อายุเท่าฉัน แม่สวยกว่าฉันมาก มีหนุ่มๆมารุมตอมเยอะไปหมด ส่วนฉัน ไม่เคยมีคนมาจีบแม้แต่นิดเดียว แม่สูง หุ่นดี ส่วนฉัน ก็ไม่อ้วนหรอก แต่เตี้ยชะมัด แถมหน้าอกก็ไม่ใหญ่เท่าที่ควร ไม่ใช่ว่าฉันยึดติดกับของแค่นั้นหรอกนะ แต่แหม ฉันอยากมีสัญลักษณ์ของความเป็นหญิงบ้างนี่นา!!!

ข้อต่อมาคือ แม่เรียนเก่งมาก จบอักษร เกียรตินิยมอันดับ 1ประสบการณ์ทำงานของแม่ก็โชกโชน เคยเป็นล่าม ภาษาเสปน ทำงานแปลนิยายฝรั่งดังๆ แต่สิ่งที่แม่ชอบที่สุดคือ งานที่ได้แสดงความคิดของตัวเอง แม่เลยมาเป็นนักเขียนนี่แหละ ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันจบบริหารจากมหาวิทยาลัยกลางๆ เกรดเฉลี่ยกลางๆ ประสบการณ์ทำงานกลางๆ...จริงแล้วๆ อีตา นรินทร์ juniorพูดถูกเกือบหมด ฉันไม่เหมาะสมกับบริษัทใหญ่ๆหรอก

แต่ถึงแม่จะเป็นอย่างที่ฉันบอก แต่ก็ไม่เคยคาดหวังในตัวฉันมากมายแม่ขอแค่ฉันมีความสุขนั่นก็เพียงพอแล้ว แต่ฉันรู้ บริษัทนราธรกรุ๊ปให้สวัสดิการดีมาก แถมได้ไปดูงานต่างประเทศบ่อยอีกต่างหาก ที่สำคัญ เขาไม่เลิกจ้างพนักงานง่ายๆ ทุกอย่างดูมั่นคงหมด แถมท่านประธานบริษัทก็เป็นคนใจดี(สงสัยแม่พูดถึงคนพ่อ) ฉันเข้าใจ แม่หวังอย่างมากให้ฉันได้ทำที่นี่...

  ฉันก็อาจจะได้นะ ถ้าไม่ชนเจ้าของบริษัทหกล้มเสียก่อน เพราะฉันว่าฉันตอบคำถามได้ดีทีเดียวเอ่อ...ไม่ใช่แค่ชนสิ ฉันทำมือถือเขา ‘พังไม่มีชิ้นดี’ แล้วยังทุบเขาด้วยกระเป๋าอีก และที่สำคัญที่สุดคือ...ให้ตาย!!! ฉันไม่ได้ขอโทษเขาเลย เวรกรรมจริงๆ…

  นึกได้เท่านี้ แม่ก็เดินยกบราวนี่เนื้อเค้กสีน้ำตาล ราดด้วยช็อคโกแล็ต โรยท็อปปิ้งสีสวย มาวางตรงหน้าฉันมองหน้าแม่อย่างขอโทษสุดซึ้ง โถ่...หนูไม่ได้ผิดเลยนะคะแม่ แต่แม่ยังมีหวังนะคะ บริษัท สิทรา ไงคะ ใหญ่พอพอกัน คู่แข่งสำคัญของ นราธรเลย แต่ฉันคงได้แต่คิดในใจ บอกแม่ไปก็เท่านั้น....

“มองอะไรล่ะลูก ทานเสียสิ แล้วบอกด้วยนะว่าใช้ได้ไหม แม่จะได้ไปส่งที่ร้านวิภา” แม่รีบคะยั้นคะยอ

“ค่ะๆ” ฉันรับคำอย่างขะมักเขม้นแล้วตักบราวนี่เข้าปากทันที...โอ้วววววว ทำไมอร่อยอย่างนี้ล่ะ!!!.เอาแฮมเบอร์เกอร์มาแลกก็ไม่ยอม!!!!

“แม่คะนี่มันอร่อยสุดๆ ไม่หวานเกินไป ขมนิดๆ ทำให้มีเสน่ห์ แถมเนื้อเค้กก็ไม่ร่วน”

แม่ยิ้มอย่างดีใจ “ดีจัง แม่จะได้โทรไปบอกที่ร้านให้เขามารับ”

ฉันก็ยิ้มอร่อยไปกับขนมของแม่ด้วย แต่แล้วฉันก็คิดว่า นี่แม่อายุ 50 กว่าหาเงินเลี้ยงฉันอายุ 25อย่างนั้นเหรอ ฉันนี่มันอกตัญญูจริงๆ ฉันจ้องแม่อย่างตั้งใจ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉันก็ต้องได้งานสักที่ให้ได้

“แม่คะ พรุ่งนี้หนูจะไปสมัครงานที่บริษัทสิทรานะคะ คราวนี้ ไม่พลาดแน่ค่ะ” ฉันโพล่งออกไปทั้งๆที่ปากยังไม่หยุดเคี้ยว

แม่มองฉันงงๆ “บริษัทนราธร ลูกก็ยังไม่ได้รับการปฏิเสธเลยนี่จ๊ะ อย่าคิดมากสิ”

ฉันก้มหน้าแล้วรีบๆกลืนบราวนี่ที่เหลือลงไปทั้งก้อน คือแม่คะ หนูจะบอกแม่ยังไงดี

“เอ่อ หนูสมัครเผื่อๆไว้น่ะค่ะ”
 
  เช้าวันต่อมา ฉันตื่นขึ้นทันทีหลังจากได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก อืม…เป็นวันเริ่มต้นที่ดีจริงๆ…

  ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัว เลือกใส่รองเท้าส้นธรรมดา ไม่ใช่ส้นเข็ม ก่อนจะออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพราะกลัวการจราจรที่ติดขัด และแล้วเมื่อถึงสถานีบีทีเอสจึงได้เห็นว่าคนไม่เยอะ แถมไม่เจอ นรินทร์ junior อีก หึหึ ฉันได้งานที่บริษัทสิทราแน่ๆ

  ไม่นานนักในที่สุด ฉันก็มายืนผงาดอยู่หน้าตึกสูง 25 ชั้น (บริษัทนราธรแค่ 15 ชั้น ) ที่สิทรากรุ๊ป เจ้าของเครือโรงแรม สิทรา กว่า10 สาขา ทั่วประเทศ ฉันยืนหลับตาดื่มดำกับความสำเร็จ ที่จะได้มาในไม่ช้า....

  แล้วฉันก็เดินพาร่างเล็กแสนจะสง่างาม เข้าไปอย่างมาดมั่น หึหึ วันนี้ ฉันคงสวยน่าดู เพราะยาม 2 คนมองฉันเป็นตาเดียว ปึ้ก!!!

“โอ๊ย!” ฉันล้มลงอย่างไม่เหลือมาด ฉันชนอะไรเข้าเนี่ย ตายาม 2 คนนั่นก็เลิกหัวเราะสักทีได้ไหม เจ็บหัวจังเลย

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงใครน่ะหล่อจัง ฉันคิดในใจ

พอฉันลืมตาขึ้นก็มองเจ้าของเสียงไล่ตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ อา...รองเท้าหนังสีดำอย่างดี กางเกงแสล็ค สีน้ำเงินเข้ม
แล้วนี่อะไร? เฮ้ๆ กระบองนี่นา ตายามนี่เสียงหล่อจริงๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันพยายามลุกขึ้นอย่างผู้ดีที่สุด

“คุณชนประตูหมุนเข้าน่ะครับ” พี่ยามผู้หวังดีพูดแบบขำ

ฉันยืนขึ้นปัดกระโปรงให้เข้าที่ ยิ้มแหยๆ แล้วรีบตั้งสติเดินฝ่าประตูหมุนเข้าไป คราวนี้ไม่มีอะไรหยุดฉันได้แล้ว! ฉันรีบขึ้นลิฟท์ตรงดิ่งสู่ชั้น 25และแล้วกลับพบว่าคนมาสมัครงานเยอะจริงๆ ฉันรีบยื่นแฟ้มประวัติให้พนักงานหน้าห้องทันที

“เอ่อ...สัมภาษณ์วันนี้เลยหรือเปล่าคะ หรือว่าต้องรอให้โทรแจ้งก่อน” ฉันถามพนักงานอย่างกระตือรือร้น

“สัมภาษณ์วันนี้เลยค่ะ เชิญคุณนั่งรอก่อนนะคะ ท่านประธานกำลังประชุมอยู่” พนักงานสาวสวยแจ้งพร้อมกับยิ้มหวาน

ว้าว...ดีอะไรอย่างนี้ ทีบริษัทนราธรยังต้องรอให้โทรมาแจ้งเลย นี่ล่ะ เค้าเรียกว่าความเมตตาต่างกัน ชิ!
แต่แล้วสองชั่วโมงผ่านไป ผู้สมัคร 30 คน ยังไม่มีใครได้สัมภาษณ์เลย นายจิทัศน์ สิทรา นี่เป็นคนยังไงกัน แต่ไม่นานนักก็มีเสียงคนคุยกันกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากห้องประชุมข้างๆ คนสองคนในกลุ่มนั้นจับมือกันพร้อมเขย่าเบาๆ แล้วทั้งสองคนก็เดินจากกันไปด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรนักพร้อมด้วยลูกน้องติดตาม ตลกจริงๆ อย่างกับพวกมาเฟีย

“ท่านประธานเชิญเลยค่ะผู้สมัครมากันครบแล้ว” นั่นเป็นเสียงพนักงานสาวคนเดิม พูดกับคนไหนก็ไม่รู้ในกลุ่มนั้น

“อืม...” เขาคนนั้นตอบสั้นๆ แล้วเดินล้วงกระเป๋าด้วยมาดเท่ห์ เข้าห้องทำงานไป สงสัยจะเป็นคุณจิทัศน์ สิทรา ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งตระกูลสิทรา....อืม...เขายังหนุ่มแถมหน้าตาดีมาก สายตาของฉันจับจ้องร่างสูงๆของเขาที่เดินลับเข้าห้องทำงานไปอย่างไม่อาจละสายตาได้

“คุณมาทำอะไรที่นี่” จู่ๆเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นข้างๆ พอฉันหันไปก็เจอกับ แว้ก!!! ตานรินทร์ junior!!!????สงสัยเขาคงมาประชุมเมื่อกี้แน่ๆ

ฉันอ้าปากค้างอย่างไม่ตั้งใจ ตาบ้าทำหน้าไม่พอใจสุดฤทธิ์ เฮ้ๆ นายไม่มีสิทธิ์มาทำหน้าแบบนั้นนะ

“ผมถามว่าคุณมาทำอะไรที่นี่” เขาพูดเสียงแข็ง จะโมโหทำไมกัน หรือว่าฉันต้องชดใช้ ค่ามือถือของเขา ไม่นะ!!! มือถือรุ่นนั้นแพงหูฉี่จะตายไป

“ฉันก็มาสมัครงานน่ะสิคะ ถามได้” ฉันตอบเบาๆแบบไม่อยากให้เขาได้ยิน

  คราวนี้เขาตีหน้านิ่ง “อืม พยายามดีนี่ คุณยังไม่ได้ชดใช้ค่ามือถือผมเลยนะ” แต่พูดได้แค่นั้นเขาก็ยิ้มเย้ยหยันแล้วจากไป คนอะไร หน้าเหมือน แบรด พิทท์ เอ๊ย คนอะไรแย่ที่สุด!!!! เขามาทำแบบนี้เพื่ออะไรกันเนี่ย
หลังจากอีตานรินทร์จากไปเกือบชั่วโมง ในที่สุดฉันก็ได้เข้าไปสัมภาษณ์เสียที

  ภายในห้องทำงานของท่านประธาน จิทัศน์ สิทรา ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีตู้เอกสาร 2 ตู้ โซฟาน่านั่ง วางติดริมหน้าต่าง ตรงกลางห้องคือ โต๊ะทำงาน มีโน้ตบุ๊กตั้งประกอบฉาก...แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ข้างหลังท่านประธาน ติดรูป วาดของนักเขียนชื่อดังClaude Monet.....

“เชิญนั่งครับ” เขาสั่งฉันเรียบๆ ท่าทีของเขาสุขุมแต่ดูสบายๆกว่าคุณนรินทร์ แล้วฉันก็นั่งลงอย่างว่าง่าย

“คุณทรัพย์สิดี ดีแต่เกิดสินะครับ” เขาเรียกชื่อฉันเพื่อความแน่ใจ น่าแปลก เขาไม่แสดงอาการขำเลยสักนิด

“ค่ะ” ฉันตอบเขาไปอย่างฉะฉานที่สุด

คุณจิทัศน์ยิ้มจางๆให้อย่างมีมารยาท ยิ่งทำให้เขามีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกเป็นกองจากที่ของเดิมก็มีมากอยู่แล้วน่ะนะ
พลางพลิกแฟ้มประวัติของฉัน “คุณจบจากมหาวิทยาลัยกลางๆ เกรดเฉลี่ยกลางๆ ประสบการณ์การทำงานกลางๆ” เฮ้อ...ให้มันได้อย่างนี้สิน่า

“แต่ผมว่าคุณทำงานมีประสิทธิภาพนะครับ ดูได้จากที่คุณทำกำไรให้บริษัทเก่าได้ทุกปี แถมไม่เคยมีประวัติหยุดงาน แล้วก็มาตรงเวลาทุกครั้ง”

เยี่ยม...เยี่ยมที่สุด!!!

คุณจิทัศน์ยังคงพล่ามต่อไป “ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณถึงออกจากบริษัทมาล่ะครับ คุณถูกไล่ออกหรือว่ายังไง”
นี่คือรูปแบบการสัมภาษณ์ตามตำราหรือเปล่า ใครก็ได้บอกฉันที “ดิฉันขอลาออกเองน่ะค่ะ เพราะที่นั่น คิดว่าดิฉันเป็นตัวตลกอยู่เรื่อย เวลาแสดงความคิดเห็นจึงไม่ค่อยมีใครยอมรับน่ะค่ะ”

คุณจิทัศน์ มองฉันแล้วยิ้มอย่างใจดี “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าที่นี่ จะไม่เป็นแบบนั้นล่ะครับ” อย่าบอกนะว่าจบที่เดียวกับเจ้าของบริษัทนราธร ฉันจะได้ไม่ส่งลูกไปเรียน

เอาล่ะสิ ฉันจะไม่ตอบแบบที่บริษัทนราธรอีกแล้วเพราะที่นั่นฉันรู้ระบบการทำงานของเขาจริงๆ แต่ที่นี่ ฉันไม่เคยรู้เลย ใช้สีข้างไถไปก็เท่านั้น แล้วฉันก็มองข้ามไหล่ของท่านประธานทะลุกระจกบานใหญ่จากห้องทำงานของเขาออกไปเผื่อว่าจะคิดอะไรออก ภายนอกที่เห็นเป็นวิวของตึกระฟ้าในกรุงเทพ แล้วฉันก็นึกอะไรได้ทันที

  “ท่านประธานลองหันหลังไปดูตึกสีขาวริมขวาสุดสิคะ นั่นแหละค่ะ ตึกที่ทำงานเก่าดิฉัน”
พอฉันพูดจบ คุณจิทัศน์ก็มองฉันอย่างสงสัย

“ที่นั่นสูงแค่ 13 ชั้น แต่ที่ตึกสิทรา สูง 25 ชั้น เมื่ออยู่สูงแล้วมองต่ำก็จะได้เปรียบเห็นอะไรหลายๆอย่าง แต่สิ่งที่ท่านเห็นแล้วไม่ใส่ใจนั่นก็คือกองอิฐจากการต่อเติมอาคารที่อยู่พื้นล่างสุดนั่นใช่มั้ยล่ะคะ มันดูไม่สวยจริงๆ ประธานบริษัทของตึกนั้นเห็นแล้วคงโวยวายเพราะตึกเขาไม่สูงเท่าไร แต่ท่านประธานของบริษัทสิทราเห็นแล้วคงไม่ใส่ใจ เพราะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ใช่ปัญหา” พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดขัดฉันเลย ฉันก็งงเหมือนกันว่าตัวเองต้องการจะสื่ออะไร...

“เอ่อ นี่ล่ะค่ะ เหตุผล” ให้ฟ้าเป็นพยาน ฉันจบลงดื้อๆแบบนั้นได้อย่างไร

แต่แล้ว จิทัศน์ สิทรา ประธานบริษัทสิทรากรุ๊ปก็อ้าปากกว้างหัวเราะอย่างพอใจ ฉันมั่นใจว่า เขาอุดฟัน 2 ซี่

“เอาล่ะคุณทรัพย์สิดี คุณเริ่มมาทำงานพรุ่งนี้เลยแล้วกัน”

  ฮะ? อะไรนะ? เขาพูดว่าให้ใครมาทำงานนะ?

“ฉะ ฉันน่ะเหรอคะ” ฉันพูดตะกุกตะกัก

คุณจิทัศน์พยักหน้าแล้วยิ้มอย่างใจดี “ครับ วันนี้คุณก็กลับไปเตรียมตัวก่อนแล้วกัน”

ไชโย!!! ฉันได้เป็นเลขาหน้าห้องของท่านประธานบริษัท สิทรากุร๊ป!!!

“ฉัน...ขอบคุณ ขอบคุณมากค่ะ!” ฉันพูดขอบคุณไม่หยุดปาก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องท่านประธานด้วยความรู้สึกประหนึ่งเป็นผู้ชนะในรายการ The Star แม้ว่าฉันจะร้องเพลงไม่เป็นก็เถอะ ฮ่าๆๆๆ

“อุ้ย!” ฉันเกือบเดินชนใครคนหนึ่ง เมื่อเดินพ้นออกจากห้องทำงานได้นิดเดียว พอเงยหน้ามองเป็นต้องทำตาโตเท่าไข่ห่านทีเดียวเมื่อเห็นเต็มสองลูกกะตาว่าอีตานรินทร์จอมหยิ่งผยองยืนขวางทางฉันอยู่!

“คุณนรินทร์! หึหึ มารอทวงค่ามือถือเหรอคะ เอ้านี่เลย820 ชั้นมีทั้งตัวแค่นี้แหละ ไม่ต้องทอน!” ให้ตายตานี่มารอทวงถึงนี่เลยหรือ ฉันรีบควักเงินให้เขาอีกครั้ง โถ่ เงินแค่นั้นน่ะจิ๊บจ๊อย ต่อไปฉันจะได้เงินเดือนเป็นหมื่น

แล้วเขาก็มองฉันอย่างงงๆ ไงล่ะ เจอมุกไม่ต้องทอนอึ้งไปเลยล่ะสิ!

“คุณได้งานที่นี่เหรอ” เขาถามน้ำเสียงประหลาดใจ

ฉันพยักหน้าตอบอย่างมั่นใจ

“นึกแล้วเชียว มานี่ซิ” ตาบ้า...เขาพูดเสร็จก็ลากฉันเข้ามาในห้องทำงานคุณจิทัศน์ มือเขาบีบแขนฉันแทบหัก

“แฮ่ม...จิทัศน์ ขอโทษนะ แต่มีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง คุณคนนี้ไอรับเข้าเป็นเลขาของไอเรียบร้อยแล้ว แต่โทรไปแจ้งเธอที่บ้านไม่ทันน่ะ ขอโทษด้วย แต่นายคงต้องหาเลขาใหม่ซะแล้ว ขอตัว” เขาพูดเสร็จก็ลากฉันออกมาอีกเช่นเคย ฉันสังเกตเห็นหน้าคุณจิทัศน์สงสัยไม่แพ้กัน เขาพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ตาบ้าก็ปิดประตูหนีออกมาก่อน

ช่วงเวลานั้นฉันสับสนไปหมด พูดอะไรไม่ออก ทั้งหมดหมายความว่ายังไงเนี่ย...

“ปล่อยนะ!!! ตาบ้า ฉันบอกให้ปล่อย!!!” ฉันโวยวายอยู่ในลิฟท์ที่มีแค่ฉันกับตานรินทร์ 2 คน ฉันกระหน่ำฟาดกระเป๋าใส่เขาไม่ยั้ง แต่คราวนี้เขาจับฉันไว้ได้ แล้วฉันก็ร้องไห้ เขารวยขนาดนั้นแค่ค่ามือถือก็ต้องทำร้ายฉันขนาดนี้เลยเหรอ ฮือ...รู้อย่างนี้ฉันให้เขาไป 870 ก็ดี หรอก

“ทำไมๆ ฉันได้งานที่นี่แล้วจะใช้เงินคุณให้ยังไงล่ะ แล้วนี่ฉันก็ไม่มีงานทำอีกน่ะสิ...ตาบ้า ฮือ...” ฉันร้องไห้ไม่หยุดเขาทำแบบนี้แล้วได้อะไรอย่างนั้นเหรอ คนใจร้าย! แต่แปลกมากทีเดียว เขาสงบนิ่ง จับมือฉันไว้ ไม่พูดอะไรเลย ฉันมารู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในรถหรูคันใหญ่ของเขาแล้ว

“เอ้านี่เช็ดให้เรียบร้อย” เขาพูดเสียงอ่อนโยนกว่าที่เป็น แล้วยื่นทิชชู่ให้ ฉันรับมาแล้วสั่งขึ้มูกชุดใหญ่ อืม สีขาว แสดงว่าไม่ติดเชื้อ

แล้วฉันก็เงยหน้ามองเขาอย่างเคียดแค้น เขา...ทำลายอนาคตฉันอีกแล้ว....

“เอาละ จะมองผมแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่ฟังผมให้จบแล้วกัน ตอนนี้ คุณได้งานเป็นเลขาหน้าห้องผมแล้ว เอ้านี่ 820 เอาคืนไป อ้อนี่ด้วย” แล้วเขาก็ล้วงอะไรกุกกักที่ด้านในเสื้อสูทก่อนจะยื่นออกมาให้ฉัน

นี่มัน ส้นรองเท้าฉันนี่นา!!!!!



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2555, 12:04:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2555, 12:04:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 2072





<< การปรากฏตัวครั้งแรก   ทำความรู้จัก >>
เดิมเดิม 20 มี.ค. 2555, 12:37:29 น.
นางเอกน่ารักดีค่ะ


ลายเส้น 20 มี.ค. 2555, 12:44:14 น.
ขอบคุณค่ะ


konhin 20 มี.ค. 2555, 13:45:23 น.
นางเอกตลกขำๆ คิดเองเออเองด้วย พระเอกก็กวนโอ๊ยใช้ได้ น่าสนใจค่ะ


Kapoh 20 มี.ค. 2555, 14:25:21 น.
พระเอกออกจะมีน้ำใจ เก็บส้นรองเท้าให้ด้วย 555


ling 20 มี.ค. 2555, 17:31:48 น.
ตลกดีค่ะ ชอบๆ


Auuuu 20 มี.ค. 2555, 20:22:29 น.
55555555 ส้นรองเท้า กร๊ากกกกกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account