หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ
วันที่สายน้ำถูกเรียกตัวกลับมาเมืองไทยเพื่อรับรู้เรื่องพ่อถูกฟ้องล้มละลาย เป็นวันที่ราวกับฟ้าผ่า โลกถล่มทลาย

หากทว่าวันที่ถูกแม่ เรียกร้องให้เธอต้องชดเชยวันคืนเก่าๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างคุณหนูบนพรมแดงมากว่า 17 ปี ด้วยการให้เธอ ไปตีสนิทกับย่าเศรษฐีนีบ้านนอก เป็นวันที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่า

ด้วยที่นั่น ทำให้คุณหนูอย่างเธอ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นสาวติดดินเพื่อให้เข้ากับคนชนบท และร้ายยิ่งกว่านั้น เธอต้องพบเจอกับ “เพลิง” ผู้ชายกักขฬะดิบเถื่อนเสียยิ่งกว่าใครๆ ที่เคยพบมา

หาก “เพลิง” กลับเป็นด่านอรหันต์ที่จะทำให้เข้าถึงผู้เป็นย่าได้ หนทางเดียวที่จะเอาชนะใจย่าได้ คือต้องชนะใจเขาด้วย

เรื่องราวความรักของสาวน้อยที่ใช้ชีวิตอย่างคุณนู้คุณหนู กับหนุ่มนักเรียนนอกที่ใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับคนในท้องถิ่น กระทั่งถูกสาวชาวกรุงมองว่าเป็นคนไร้อารยะธรรม บนดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผู้คนใช้ชีวิตโดยยึดหลักความพอเพียง ภายใต้โครงการชั่งหัวมันและเกษตรทฤษฎีแนวใหม่

รักวุ่นๆ ของสาวนักเรียนนอกแต่ยังเรียนไม่จบ กับหนุ่มบ้านนอกที่มีดีกรีดอกเตอร์จากต่างประเทศ จะจบลงอย่างไรเมื่อรักครั้งนี้เริ่มต้นด้วยคำว่า “หลอกลวง”


Tags: คีตฌาณ์ หากจะรัก...ก็ช่างมันเถอะ

ตอน: ตอน 2 ดัดหลัง

“พุทโธ่ พุทถัง...ทำไมหลานถึงมอมแมมเป็นลูกแมวคลุกฝุ่นอย่างนั้น”

กอบกาญจน์ หรือที่คนงานกว่า ๑๐๐ ชีวิตเรียก แม่นาย จัดการเปลี่ยนสำนวนจากลูกหมาตกน้ำเป็น ลูกแมวคลุกฝุ่นเสร็จสรรพ เมื่อเห็นสภาพของหลานรักที่ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าลูกหมา เนื่องจากหัวเหอยุ่งเหยิงไม่ต่างจากหัวสิงโตและหน้าตามอมแมม กอบกาญจน์เดินเข้าไปลูบหลังลูบไหล่หลานรักอย่างต้องการเรียกขวัญกลับคืนในทันทีที่ฝ่ายนั้นก้าวลงจากรถปิ๊กอัพ

ใบหน้าของเด็กสาว แม้จะเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่ไม่อาจปกปิดความงามหวานละมุน และความไร้เดียงสาภายใต้เครื่องหน้าที่จิ้มลิ้มนั้นได้ หลานสาวของนางเติบโตขึ้นมาก จากเด็กหญิงที่ไม่ประสีประสา กลับกลายมาเป็นสาวน้อยที่สวยโสภา และยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นเดิม ต่างเพียงว่าหนนี้รอยยิ้มที่ส่งกลับมา แม้จะแย้มกว้างจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม แต่ก็ไม่สดใสเท่าที่ควร

สายน้ำกอดตอบคนเป็นย่า ก่อนว่า “น้ำก็คิดถึงย่ามั่กมาก การเดินทางแม้จะเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน แต่ก็คุ้มค่าและรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อน้ำมาเห็นหน้าย่า”

น้ำเสียงออดอ้อนฉอเลาะของหลานสาว ทำให้กอบกาญจน์ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู สายน้ำมีศักดิ์เป็นหลานสาวคนโต แต่กลับอายุน้อยสุด เหตุนี้จึงมีความเป็นเด็กในตัวอยู่มาก

“ปากหวานจริงๆ หลานย่า ย่าก็คิดถึงน้ำ ว่าแต่สภาพหนู ทำไมถึงดูไม่ได้แบบนี้ล่ะลูก”

“ก็นายเพลิงของคุณย่าสิคะแกล้งน้ำ” แล้วภาพการปะทะกับ หมีป่า เมื่อครู่ก็ย้อนสู่ความทรงจำ ภายหลังเธอตื่นขึ้นมาเห็นชายสวมหมวกปีกกว้างในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนอย่างหนุ่มคาวบอยในเท็กซัส ชะโงกเข้ามาใกล้และจดจ้องเธอด้วยแววตาที่คมกริบ ก็ทำให้เธอหวีดร้องด้วยความตกใจกลัวทันที ด้วยเขารูปร่างสูงใหญ่ แถมยังคล้ำ และอะไรก็ไม่ร้ายเท่าหนวดเครารกรุงรังซึ่งเป็นส่วนที่เธอขยะแขยงที่สุดในตัวผู้ชาย รู้สึกว่าสกปรก เห็นแล้วพานนึกถึงสัตว์มีขนดุร้ายอย่างหมีป่า

ฉะนั้นวูบแรกที่ตื่นมาเห็นและอารามตกใจกลัว จึงทำให้เธอพุ่งเข้าไปรัวกำปั้นใส่เขา แล้วก็เกิดการต่อสู้กันรุนแรงเมื่อเขาพยายามพลิกกลับมาคร่อมเธอ และรวบมือทั้งสองข้างไปไพล่ไว้เหนือศีรษะ กว่าเธอจะรู้ว่า หมีป่า ที่เธอต่อสู้ด้วย คือ นายเพลิงของบุญคำ ไม่สิ...เด็กสาวนึกแก้ความคิดของตัวเองอยู่ในใจ กว่าที่เธอจะหยุดปะทะกับนายเพลิง ก็เมื่อคนงานไร่และเพื่อนของคนงาน ย้อนกลับมาพร้อมด้วยรถปิ๊กอัพ และเข้ามาห้าม ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นเธอกับนายเพลิง ก็สะบักสะบอมไปพอๆ กันแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีสภาพไม่ต่างจากลูกแมวคลุกฝุ่น ดั่งที่กอบกาญจน์ว่า

เจ้าของอาณาจักรดิสกร ขมวดคิ้วมุ่น นางเริ่มคิดว่าชักจะเชื่อคำของหลานรักไม่ได้แล้ว จึงหันไปทางบุญคำ ซึ่งลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องลงจากหลังรถปิ๊กอัพพอดี

“เกิดอะไรขึ้นคำ ทำไมสภาพของหลานฉันถึงเป็นแบบนี้”

“นังสวยเกนะครับแม่นาย ตอนแรกว่าจะรอให้รถในไร่ผ่านมา แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มี เลยตัดสินใจเดินเข้าไปในฟาร์มเพื่อหารถ แต่รถก็ยังไม่กลับมาจากในเมือง เลยต้องเดินเข้าไปในไร่ ถึงเพิ่งมาได้นี่แหละครับ” บุญคำตอบด้วยท่าทีนอบน้อม

ในไร่ลึกกว่าฟาร์ม สวนเกษตรดิสกรของกอบกาญจน์ ประกอบด้วย สวน ไร่ นา ฟาร์ม และแปลงเกษตรทดลอง แต่ละส่วนมีรถใช้ประจำ ๑-๒ คันแล้วแต่ความจำเป็น และมีรถส่วนกลางอีกจำนวนหนึ่งไว้สำหรับบรรทุกผลผลิตทางการเกษตรเพื่อนำไปส่งขายในตัวเมือง

“นี่เอาอีแต๋นออกไปวิ่งถึงสนามบินเลยหรือ” กอบกาญจน์ถามอย่างคาดไม่ถึง ก่อนกล่าวต่อว่า “นังสวยพากลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยนี่ ก็ถือว่าบุญแล้ว แล้วทำไมถึงเอานังสวยออก ในเมื่อรถในไร่มีตั้งมากมาย”

“คุณเพลิงให้เอานังสวยออกครับ เพราะรถคันอื่นไม่ว่างเลย”

“ดูนะนายเพลิงของย่า แกล้งน้ำ” สายน้ำสบโอกาส โวยกึ่งฟ้องขึ้นทันที

คนเป็นย่า ปรายตาไปมอง “ก็คำบอกอยู่ว่าพี่เขาไม่ได้แกล้ง แต่รถคันอื่นไม่ว่าง”

คำอธิบายของกอบกาญจน์ ทำให้บุญคำลอบยิ้มขำทันที เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่คนงานว่าใครมาแตะต้องเพลิงไม่ได้ กอบกาญจน์เป็นต้องออกหน้ารับแทนโดยพลัน

คนเป็นหลานสาวกล่าวเสียงสะบัดๆ ว่า “แต่นายเพลิงแกล้งทำให้น้ำตกใจ” แล้วสายน้ำก็ฟ้องเรื่องที่ปะทะกับเพลิงให้คนเป็นย่าฟัง

กอบกาญจน์ฟังแล้ว จะเห็นใจคนเป็นหลานก็หาไม่ นางกลับอุทานอย่างตกใจว่า “คุณพระคุณเจ้า! ทำไมหลานถึงไปทำร้ายพี่เขาอย่างนั้น พี่เพลิงอุตส่าห์หวังดีตามไปดูเรา แต่ดู๊ดูสิ่งที่น้ำตอบแทนพี่เขา เดี๋ยวเจอพี่เพลิง น้ำต้องขอโทษนะลูก เราเป็นเด็กเป็นเล็กต้องให้ความเคารพผู้ใหญ่ พี่เพลิงเขาแก่กว่าน้ำมาก”

สายน้ำนิ่วหน้า เธอไม่ทันแย้ง เสียงคนเป็นย่าก็เทศน์ต่อไปว่า

“แล้ววันหน้าวันหลัง น้ำต้องเรียกเขาว่าพี่เพลิงนะลูก ไม่ควรเรียกว่านายเพลิง”

“แต่ลุงคำก็เรียก”

“ปล่อยให้ลูกน้องกับนาย เรียกของเขาอย่างนั้นไป แต่น้ำเป็นหลานย่า ควรต้องเรียกว่าพี่เพลิง”

“แต่นายหมีป่านั่น...” เธอพูดไม่ทันจบ กอบกาญจน์ก็ถามทะลุกลางปล้องอีกว่า

“ใครหมีป่า?” ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจนัก ต่างกับคนข้างหลังที่ฟังแล้วลอบยิ้ม บุญคำ กำลังนึกอยากรู้ว่าถ้านายเพลิง มาได้ยินคำเรียกขานของหลานแม่นายเข้าให้ นายเพลิงจะว่าอย่างไร เชื่อว่าหนวดคงกระดิกแน่... คิดแล้ว บุญคำก็ได้แต่ยิ้มขำอยู่คนเดียว

“ก็นายเพลิง”

“ย่าบอกแล้วว่าหลานต้องเรียกพี่เพลิง”

สายน้ำกัดริมฝีปาก สุดท้ายก็ตอบอุบอิบอย่างไม่เต็มใจนักว่า “ค่ะพี่เพลิงก็พี่เพลิง”

กอบกาญจน์พยักหน้าอย่างพอใจ “ดีแล้ว อย่าลืมเสียล่ะเจอหน้าพี่เพลิงต้องขอโทษเขาแล้วก็หยุดเรียกเขาว่าหมีป่าด้วย”

สายน้ำเปลี่ยนเรื่องเพื่อผลักให้ไกลตัว เธอกล่าวว่า “ว่าแต่ย่าไม่คิดซื้อรถเก๋งมาใช้บ้างหรือคะ หนูว่ามันสะดวกสบายกว่าปิ๊กอัพเป็นไหนๆ”

“ไม่ได้หรอกหลาน ขืนเอาเก๋งมาใช้งานในไร่ เครื่องยนต์ก็สึกหรอพอดี งานไร่สมบุกสมบันเหมาะกับปิ๊กอัพมากกว่าลูก”

“แต่เราไม่ต้องใช้ในไร่สิคะ ใช้เวลาขับเข้าเมืองพอ”

กอบกาญจน์ส่ายหน้า “ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นลูก รถที่มีอยู่ก็ใช้งานได้ดีแล้ว” พูดจบเห็นหน้ามุ่ยของหลานสาว กอบกาญจน์ก็รีบเปลี่ยนเรื่องว่า “ย่าว่าหนูเข้าไปพักผ่อนในบ้านเถอะ มาถึงเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวกินปลา จะได้ขึ้นไปนอนพักผ่อน ย่าให้เด็กๆ ทำความสะอาดห้องหับเตรียมไว้ให้แล้ว” แล้วกอบกาญจน์ก็หันไปทางบุญคำ กล่าวว่า “คำ ยกกระเป๋าของคุณน้ำขึ้นไปไว้บนชั้นสองเลยนะ เอาไปไว้ในห้องที่ติดกับพ่อเพลิง”

..........................


พ่อเพลิง ของกอบกาญจน์ กำลังรู้สึกแสบๆ คันๆ หน้า เมื่อฟอกสบู่ไปทั่วแล้วรู้สึกราวกับเล็บทั้งสิบยังคงจิกอยู่บนหน้า แล้วบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็ย้อนเข้ามาในความทรงจำ

‘หยุดนะ ยายเด็กบ้า ใครเป็นหมีป่ากัน!’

ราวกับฝ่ายนั้นไม่ได้ยินเสียงของเขา เพราะยังรัวกำปั้นทุบอกเขาปั๊กๆ

‘ฉันบอกให้หยุด!’

ฝ่ายนั้นยังไม่ฟัง ยังคงรัวกำปั้นต่อไป ทั้งที่มีเสียงตะโกนของบุญคำดังขึ้นไม่ไกลออกไปนักว่า

‘คุณหนูน้ำ นั่นทำอะไรนายเพลิงครับ?’ บุญคำร้องอย่างตกอกตกใจ

เช่นเคย ยายหนูน้ำ ของบุญคำ ไม่ได้ยินอีกตามเคย ด้วยยังคงรัวกำปั้นกระแทกลงมาบนอกเขาพลั่กๆ ก่อนจะแถมด้วยข่วนตามใบหน้าของเขา เพลิงสะดุ้งโหยง เขาพยายามปัดมือออก แต่ฝ่ายนั้นยังคงตามมาข่วนซ้ำจนได้ เพลิงยอมแพ้ เขาจำต้องรวบมือบางทั้งสองข้างไปไพล่ไว้ข้างหลังของเด็กสาว พลางขู่ว่า

‘ถ้าเธอยังทุบฉัน ยังข่วนฉันอีกครั้งเดียว สาบานเลยว่าฉันจะจับแขนเธอหักเป็นสองท่อนเลยทีเดียว’

ได้ผล...ฝ่ายนั้นเบิ่งตาโต ดูจะได้สติกลับคืนมา เพราะหล่อนจ้องหน้าเขาอย่างอึ้งๆ พักหนึ่ง ก่อนจะหลุดเสียงครางราวกับปลาถูกทุบหัว ออกมาว่า

‘นายเป็นคนเหรอ?’

เพลิงแสยะยิ้ม ‘แหงสิ...ถ้าฉันเป็น สัตว์มีขน ประเภทนั้น เธอก็คงถูกเขมือบไปแล้ว’

ฝ่ายนั้นทำหน้าสยอง ‘ก็ถ้าคิดว่าจะขู่ฉันละก็ ลองปล่อยฉันสิ ดูสิว่าใครจะเขมือบใครก่อน’

เพลิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างดูถูก ก่อนว่า ‘ทำเป็นอวดเก่ง ตัวเล็กเท่ากะเปี๊ยกอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้’

ฝ่ายนั้นชะงักเพียงชั่วอึดใจ ก่อนที่จะทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงด้วยการใช้ตัวเองกระแทกลงมาบนอกเขาพลั่กใหญ่ ตามมาด้วยการงับชนิดจมเขี้ยวบนซอกคอเขา

ชั่วขณะนั้นเพลิงจำได้แม่นว่าเขาร้องเสียงหลง ก่อนจะไล่พลิกตัวเด็กสาวให้อยู่ใต้ร่าง หากฝ่ายนั้นกลับโต้ตอบกลับมาด้วยการข่วนใบหน้าเขา


สวรรค์ช่วย...แม่เสือสาวตัวจิ๋ว เล็บคมเหลือร้าย เธอตะกุยหน้าเขาเสียยับในจังหวะที่เขาพยายามจับมือเธอไปรวบไว้เหนือศีรษะ เจ้าหล่อนสู้ยิบตาทั้งข่วนและเตะ ขณะที่ปากร้องตะโกนปาวๆ ขอความช่วยเหลือ... เขาล่ะอยากจับหักคอนัก โชคดีที่บุญคำเข้ามาห้ามไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้น เขาอาจจะพลั้งมือจัดการหลานของผู้มีพระคุณไปแล้ว เพราะเธอแสบเหลือร้าย เพลิงคิดด้วยความรู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางจดจ้องกระจกเบื้องหน้า ซึ่งสะท้อนภาพผู้ชายหนวดเครารกรุงรัง ที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแดงๆ จากเล็บของเด็กสาวนั่น

ใช่...เธอร้ายปานเสือสาว สู้ไม่ถอยยังกับกระทิงบ้า...มันน่านัก

หนุ่มชาวไร่ วักน้ำล้างสบู่ ก่อนจะกระตุกผ้าขนหนูผืนเล็กจากราวมาซับหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังระเบียง ที่บรรดาลูกน้องกำลังรอประชุมเตรียมแผนรับมือกับลูกน้องของเสี่ยเม้ง หากพลันที่ทุกคนเห็นเขา ก็เกิดอาการอมยิ้ม

“ยิ้มอะไรกัน”

“เปล่าครับ” คนงานต่างพร้อมใจกันก้มหน้างุด ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน เรื่องที่เพลิงถูกหลานสาวของกอบกาญจน์ตะกุยหน้า มีการพูดปากต่อปากจนขยายวงกว้าง ตอนนี้รับรู้กันโดยทั่วในหมู่คนงาน

ผู้จัดการสวนเกษตรกวาดตามองทุกคนโดยรอบ เมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ เขาจึงกระแทกเสียงว่า “ดี” จากนั้นก็เข้าเรื่อง ชายหนุ่มชี้ไปที่แผนที่บนโต๊ะไม้ตรงหน้า พลางว่า

“จับตาฝั่งนี้เป็นพิเศษเพราะอยู่ใกล้ที่ดินของเสี่ยเม้ง ใครเจออะไรที่ผิดสังเกตให้ ว.บอกทันที” แล้วจากนั้นก็เป็นการซักซ้อมแผนการรับมือ มีการแบ่งเวรเป็นสองผลัด เพื่อเฝ้าระวังตลอดคืน การวางแผนกินเวลาเกือบชั่วโมง จากนั้นจึงแยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เพลิงยืนเท้าศอกกับราวระเบียง ทอดตามองผ่านความมืดอย่างไร้จุดหมาย ด้วยบัดนี้เรือนพักของคนงามเริ่มทยอยดับไฟกันแล้ว ในสวนเกษตรฯ แบ่งเรือนพักเป็นห้องย่อยๆ และปิดเปิดไฟเป็นเวลา เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ด้วยอยู่กันหมู่มาก กอบกาญจน์จึงวางกฎกติกาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สายตาคมกล้ายังคงทอดยาวไปในความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้น ขณะที่ในใจกำลังนึกสงสัยถึงการมาปรากฏตัวของหลานสาวของกอบกาญจน์ในช่วงนี้ ด้วยร้อยวันพันปีไม่เคยย่างกรายมาที่นี่ และผิวพรรณของเด็กสาวคนนั้น ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นคนรักธรรมชาติชอบป่าชอบเขา

นั่นสิเพราะอะไร เธอถึงมาชนบทในช่วงนี้ ทั้งที่ในช่วงซัมเมอร์อย่างนี้ กิจกรรมช็อปปิงเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ในห้างหรูๆ ดูจะเหมาะกับชีวิตคุณหนูอย่างเธอมากกว่า?... ผู้จัดการหนุ่มเฝ้าวนเวียนถามตัวเองกลับไปกลับมา




คนที่เพลิงกำลังคิดถึง กำลังนั่งจ้อถึงวัตถุประสงค์การมาอย่างออกรสออกชาติกับกอบกาญจน์

สายน้ำเล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ในปารีส ก่อนจะสรุปตบท้ายว่า “เพราะเหตุนี้พอพ่อถามว่าปิดเทอมซัมเมอร์นี้ น้ำอยากไปเที่ยวไหน น้ำถึงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าอยากมาที่นี่ เพราะน้ำไม่ได้เจอย่าหลายปีแล้ว น้ำล่ะคิดถึงย่ามั่กมาก วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์เจอข่าวว่าประเทศไทยยังคงรักษาแชมป์ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลกได้ ทำให้น้ำนึกถึงที่นี่ เพราะจำได้เลาๆ ว่าที่สวนเกษตรของย่า มีนาข้าวเยอะมาก”

“ใช่...ย่ามีนาข้าว ๓๐ ไร่ ส่วนหนึ่งย่าให้ชาวบ้านทำกิน ปล่อยให้เขารับผิดชอบคนละแปลง ส่วนอีก ๖๐ไร่ ก็เป็นไร่กับสวนที่ปลูกพวกไม้ผลพืชผักซึ่งย่าก็แบ่งส่วนหนึ่งให้ชาวบ้านทำมาหากินเหมือนกัน อีก ๓๐ ไร่ ก็เป็นบ่อน้ำซึ่งย่าใช้เลี้ยงพวกกุ้ง หอย ปู ปลา นอกจากนั้นก็เป็นฟาร์ม และแปลงเกษตรทดลอง”

“แล้วย่าได้อะไรตอบแทนกลับมาคะกับการแบ่งที่ดินให้ชาวบ้านทำมาหากิน” สายน้ำถามอย่างพาซื่อ พลางเปลี่ยนท่านั่ง การนั่งขัดสมาธิกินข้าว แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสายน้ำ ทำให้เกิดอาการเมื่อยและเป็นเหน็บเร็วกว่าคนทั่วไป เธอจึงอาศัยการเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ

ภายหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนลายลูกไม้น่ารักโดยมีเสื้อคลุมสวมทับอีกชั้น เด็กสาวก็ลงมากินข้าวกับกอบกาญจน์ แวบแรกที่เห็นกอบกาญจน์นั่งพับเพียบโดยมีสำรับวางบนพื้น เด็กสาวก็ทำหน้าเหยเกไปหนหนึ่งแล้ว เพราะไม่ชินกับการนั่งพับเพียบเหมือนอีกฝ่าย ฉะนั้นเธอจึงนั่งเลียนแบบได้เพียงสองสามรอบ ก็ยอมแพ้หันมานั่งสบายๆ ในท่าขัดสมาธิ โดยทำทีไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาที่มองมาแทบตาถลนของคนเป็นย่า

กอบกาญจน์ตอบว่า “ย่าไม่ได้หวังอะไร แต่ชาวบ้านพวกนี้มักคืนข้าวเปลือกกลับมาครึ่งหนึ่งที่เขาเกี่ยวได้”

สายน้ำพยักหน้ารับรู้ ขณะที่พริ้ง คนรับใช้ส่วนตัวของกอบกาญจน์เสริมว่า

“แม่นายเน้นการทำเกษตรทฤษฎีใหม่น่ะค่ะคุณหนู”

“อีกคนแล้วที่ชอบพูดคำศัพท์เข้าใจยาก เมื่อตอนบ่ายลุงคำก็พูดคำนี้หนหนึ่งแล้ว เกษตรทฤษฎีใหม่ที่ป้าพริ้งว่า แปลว่าอะไรคะย่า แล้วเป็นยังไงคะ”

กอบกาญจน์ยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนตอบว่า “เกษตรทฤษฎีใหม่ มักมาคู่กับเศรษฐกิจพอเพียง เพราะหลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ ประยุกต์มาจากเศรษฐกิจพอเพียง คือการผลิตที่พึ่งตนเองได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ค่อยเป็นค่อยไป ให้พอมีพอกินไม่อดอยาก มีการผลิตข้าวกินพอเพียงในแต่ละปี ย่ายังจำพระราชดำรัสของในหลวงที่ทรงให้ไว้ในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ ได้ว่า ทฤษฎีใหม่นี้มีไว้สำหรับป้องกัน หรือถ้าในโอกาสปกติ ทำให้ร่ำรวยขึ้น ถ้าในโอกาสที่มีอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวได้ โดยไม่ต้องให้ทางราชการไปช่วยมากเกินไป ทำให้ประชาชนพึ่งตนเองได้อย่างดี นี่คือพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน”

“ยังไงคะย่า น้ำฟังแล้วไม่เข้าใจ”

เจ้าของไร่ยิ้มด้วยแววตาปรานี ก่อนขยายความว่า “หลักการของเกษตรทฤษฎีใหม่ คือ การทำไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสาน ทุกอย่างพึ่งพากันและกัน เราจึงเรียกว่าเกษตรผสมผสาน และเพื่อให้ทุกอย่างสมดุล จึงมีหลักการว่าต้องแบ่งพื้นที่สำหรับทำนาประมาณ ๓๐% พื้นที่สำหรับปลูกผลไม้พืชผักต่างๆ ประมาณ ๓๐% บ่อน้ำหรือแหล่งน้ำประมาณ ๓๐% และที่เหลืออีก ๑๐% ใช้สำหรับปลูกบ้านที่อยู่อาศัย”

“น้ำเห็นมีม้าในสวนเกษตรแห่งนี้ด้วย เห็นนายเพลิงขี่ เอ้อ...เห็นพี่เพลิงขี่ม้าด้วย” สายน้ำรีบแก้คำพูดโดยพลัน เมื่อเห็นกอบกาญจน์จ้องมาอย่างดุๆ ก่อนถามต่อว่า “ม้าละคะ มันช่วยในการทำการเกษตรยังไงคะ”

“เรื่องนี้เป็นแนวคิดของพี่เพลิง เขาเห็นว่าย่าต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากในการเดินใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักตามใต้ต้นยาง ใต้ต้นปาล์ม แล้วก็สวนผลไม้ต่างๆ เมื่อ ๕-๖ ปีก่อนเขาก็เลยลองเอาม้ามาเลี้ยงเพื่อให้คนงานขี่ใส่ปุ๋ย”

“แล้วมันได้ผลหรือคะ” สายน้ำถาม ไม่ตั้งใจจะขัดคอ แต่อยากรู้จริงๆ เพราะเธอไม่เคยได้ยินเรื่องม้าช่วยทำการเกษตรมาก่อน

“ก็เห็นผลอยู่นะ อย่างน้อยก็เรื่องที่คนงานไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินใส่ปุ๋ยตามโคนต้น กับเรื่องช่วยกำจัดวัชพืชตามโคนต้นไม้ เพราะม้าพวกนี้คอยกินเมล็ดยางที่ร่วงโคนต้น แล้วก็กินวัชพืชที่ขึ้นแถวโคนต้น ก็ถือว่าช่วยคนงานได้อีกแรง ปีถัดมาเพลิงเลยลองสั่งเพิ่มเข้ามาอีก ๒-๓ ตัว คราวนี้เห็นผลชัดเจนขึ้น เพราะเราใช้คนงานในการเดินใส่ปุ๋ยน้อยลง แถมยังได้ปริมาณของมูลสัตว์เพิ่มขึ้น ถือเป็นปุ๋ยคอกชั้นดี จนถึงตอนนี้สวนเกษตรของย่ามีพ่อม้าพันธุ์ดีหลายตัว แถมยังมีคนมาซื้อลูกม้าถึงที่ด้วยนะ ส่วนผลผลิตทางการเกษตรก็น่าพอใจ ยางให้น้ำยางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผลไม้ก็เก็บได้เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบนิเวศน์ในสวนของย่าดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะย่าไม่เคยใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว บริเวณหน้าดินก็เลยยังคงอุดมสมบูรณ์”

“แต่เราก็ต้องใช้คนงานเพิ่มขึ้นในการดูแลม้าพวกนั้น” สายน้ำแย้งเสียงอ่อนๆ

กอบกาญจน์หัวเราะ “เรื่องดูแลม้าส่วนมากเป็นหน้าที่ของเพลิง เขารักม้าของเขาทุกตัว ฉะนั้นเขาจะดูแลด้วยตัวเองเป็นหลัก แต่มีคนงานช่วยเป็นลูกมืออยู่บ้าง ๑-๒ คน”

“แล้วย่าไม่กลัวว่าม้าจะเหยียบพืชผลของย่าหรือคะ”

“ไม่หรอกลูก เพลิงมีระบบบริหารจัดการดี ฉะนั้นม้าเหล่านี้จะวิ่งตามสวนไม้ยืนต้น จะไม่วิ่งนอกเส้นทางเด็ดขาด ว่าแต่หลานยังไม่บอกย่าเลยว่า มาหนนี้ ต้องการอะไร?”

“น้ำคิดถึงย่าก็เลยมาเยี่ยม”

“แค่นั้น?” กอบกาญจน์ดักคออย่างรู้ทัน

“ค่ะ ก็น้ำไม่ได้เจอย่านานแล้ว” คนเป็นหลานก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบตาด้วยนัก

กอบกาญจน์พยักหน้า “ย่าก็คิดถึงหลาน แล้วหลานจะมาอยู่กับย่ากี่วัน”

สายน้ำอึกอัก จะตอบว่าแค่ ๑-๒ วัน ก็รู้สึกละอายใจ ที่สุดจึงตัดสินใจขยายเวลาออกไป เธอตอบว่า “ก็คงสัก ๑-๒ อาทิตย์แหละค่ะ”

“แค่นั้นเองหรือลูก น้ำน่าจะอยู่ที่บ้านสวนนานๆ อากาศที่นี่บริสุทธิ์ ย่ารับรองว่าหลานจะหลงรักที่นี่และไม่อยากกลับไปฝรั่งเศสอีกเลย”

“น้ำก็ว่างั้นแหละค่ะ ว่าแต่...”

“ว่าแต่อะไรหรือหลาน?” กอบกาญจน์ถามต่อ เมื่อเห็นคนเป็นหลานหยุดพูดไปเฉยๆ

คนถูกถามก็เลยได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยน เพราะไม่รู้ว่าจะเกริ่นเข้าเรื่องที่ต้องการอย่างไรดี... ย่าคะเมื่อไหร่ย่าจะยกที่ดินให้พ่อคะ? ย่าคะย่าแบ่งมรดกให้ลูกๆ หรือยังคะ? ขืนถามโต้งๆ ออกไปอย่างนั้น เธอนึกเดาอนาคตตัวเองได้เลยว่าคงถูกไล่กลับบ้านแทบไม่ทัน ที่สุดเด็กสาวจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปฏิเสธเสียงเอื่อยๆ ว่าไม่มีอะไร แล้วจึงหันเหไปคุยเรื่องอื่น

สรุปคืนนั้นจนแล้วจนรอดสาวน้อยจากแดนไกล ก็ยังหาโอกาสในการเกลี้ยกล่อมคนเป็นย่าให้โอนโฉนดที่ดินให้กับพ่อของเธอไม่ได้...




เป็นเวลาเกือบรุ่งสางเมื่อสายน้ำรู้สึกปวดท้องเบา เธอเดินสะลึมสะลือลงไปชั้นล่างโดยไม่ทันได้คว้าเสื้อคลุมมาสวมทับ ถ้าถามว่าบ้านสวนแห่งนี้ เธอไม่ชอบใจอะไรมากที่สุด เห็นจะเป็นห้องน้ำที่แยกจากห้องนอน แถมยังเป็นห้องน้ำรวมที่อยู่ชั้นล่างด้วย ใครต้องการทำธุระส่วนตัว ก็ต้องลงไปชั้นล่าง โชคดีหน่อยเดียวตรงที่ไม่เป็นเอกเทศอยู่นอกบ้าน ไม่อย่างนั้นเธอคงอยากเผ่นหนีกลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่มาถึง

เสียงหมาเห่าด้านนอกบ้าน ทำให้เด็กสาวสะดุ้ง รีบทำธุระส่วนตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำโดยพลัน เธอจัดการปิดไฟแล้วเพ่งมองลอดแผ่นไม้ที่ประกบกันไม่สนิทจนเห็นเป็นช่องเล็กๆ นั้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรมากนักในความมืด เด็กสาวจ้องมองได้เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเดินสวบๆ ดังใกล้บ้านเข้ามาทุกขณะ จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงเห่า

“จุ๊ๆ ไอ้เสือ เดี๋ยวฉันก็จับเจี๋ยนซะเลย หน็อยแน่...จำนายตัวเองไม่ได้”

สักพัก ไอ้เสือ ก็ครางหงิงๆ อย่างสงบลงทันที เธอนึกเดาท่าทางของสุนัขได้เลยว่าบัดนี้มันคงเดินไปพันแข้งพันขาเจ้านายของมันอย่างประจบ พลางกระดิกหางไปมา ส่วนคนเป็นเจ้าของ ด้วยความเอ็นดูก็คงยอบตัวให้มันใช้ลิ้นที่เต็มไปด้วยน้ำลายไหลยืดเลียแผล็บๆ ไปตามใบหน้าและลำคออย่างไม่รังเกียจ จินตนาการของเด็กสาวยังเพริศแพร้วไปไกลกว่านั้นว่า น้ำลายของ ไอ้เสือ คงเป็นฟองฟอดเต็มใบหน้าของหมีป่า คิดแล้วเด็กสาวก็ส่ายหน้าหวือด้วยความขยะแขยง

แล้วเสียงคุยก็ดังขึ้นว่า “ต้องอย่างนี้สิไอ้เสือ ฉันไม่ใช่ศัตรูแกสักหน่อย เอาล่ะ...หลีกไปได้แล้วฉันจะไขประตู ฉันง่วงอยากนอนเต็มทีแล้ว”

สายน้ำละจากการเอาหูแนบผนัง เธอถอยห่างออกมาอย่างหมดความสนใจแค่นั้น เมื่อนึกเดาได้รู้ว่าเจ้าของเสียงคือ นายหมีป่า ตั้งใจจะรีบสาวเท้าขึ้นบ้านก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา ทว่าเสียงดังคลิกจากการไขประตู ตามมาด้วยเสียงบิดลูกบิดที่ติดกลอนประตูดังตามมา ทำให้สายน้ำหยุดกึกอยู่กับที่อย่างชั่งใจ

เปิด...ไม่เปิด เปิด...ไม่เปิด ภายในใจของเด็กสาว ระหว่างธรรมะกับอธรรมสู้กันอยู่แบบนั้น

“เปิดประตูหน่อยครับป้าพริ้ง” จากนั้นเสียงทุบประตู พร้อมด้วยเสียงเรียกก็ดังขึ้น แต่ก็เบาอย่างฟังออกว่าคนหลังประตูคงเกรงใจ ไม่อยากทำเสียงรบกวนให้คนในบ้านต้องตื่น

สายน้ำลังเล เธอย่องกลับมายืนหลังประตู มองรอบตัวเลิ่กลั่กด้วยหวั่นว่าจะมีใครตื่นลงมาเห็น เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เธอคงไม่แคล้วถูกตำหนิว่าใจร้ายใจดำ ไม่ยอมเปิดประตูให้เขาง่ายๆ

“ป้าพริ้งๆ เปิดประตูให้ฉันหน่อย” เสียงทุบประตูดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เลยไปถึงชั้นสอง

ดีสมค่าที่แกล้งเราเมื่อบ่าย แถมเป็นต้นเหตุให้ย่าดุเราด้วย... สายน้ำนึกอย่างสาแก่ใจหน่อยๆ

ชะรอยเพลิงคงเริ่มเอะใจว่าคนหลังประตูไม่ใช่พริ้ง เพราะเสียงพูดในประโยคถัดมากลับกร้าวขึ้นอย่างคนที่ชินกับการออกคำสั่งว่า

“ใครอยู่หลังประตูน่ะ เปิดประตูให้ฉันหน่อย”

สายน้ำย่นจมูก พลางแลบลิ้นใส่ประตู นึกในใจว่า... ฝันไปเถอะ

“ฉันรู้นะว่าเธอยังอยู่หลังประตูแม่หนู เมื่อกี้ยังเห็นเปิดไฟ เปิดประตูให้ฉันเร็วๆ”

เขาไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าเธออยู่หลังประตู เขาไม่ใช่พ่อมดหมอผีสักหน่อยจะได้หยั่งรู้... สายน้ำโต้เขาในใจ แต่นายหมีป่านั่นเหมือนผีจริงๆ เพราะเขาตอบกลับมายังกับนั่งอยู่ในใจเธอว่า

“ฉันรู้นะว่าเป็นเธอที่อยู่หลังประตูแม่หนูชาวกรุง เปิดประตูให้ฉันเร็วๆ ข้างนอกนี่ยุงชุมนะ”

อีกฝ่ายจบประโยคด้วยการตบยุงดังเปาะแปะตามมาราวกับยืนยันว่าข้างนอกยุงชุมจริงๆ




เพลิงยกมือกอดอก ตาจ้องประตูเขม็งราวกับเป็นอริกันมาแต่ชาติปางไหน แล้วเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด พลางนึกว่า โบราณว่าไว้ ‘คบเด็กสร้างบ้าน’ เห็นจะจริง

ชายหนุ่มเพิ่งจะกลับมาจากการอยู่เวรเดินตรวจตราไร่สวน ซึ่งตอนนี้ทั้งเหนื่อยและง่วง เขาอยากล้มตัวลงนอนเต็มแก่ แต่กลับต้องมายืนตากน้ำค้างอยู่หน้าบ้านทั้งที่อากาศหนาวแถมยุงยังชุมด้วย

สวรรค์ช่วยด้วยเถอะ...ถ้าเข้าไปในบ้านได้เมื่อไหร่สัญญาเลยว่าจะสำเร็จโทษเด็กคนนั้นให้สาสมเลยทีเดียว เพลิงนึกคาดโทษอยู่ในใจ แต่น้ำเสียงที่ร้องออกไปกลับสงบราบเรียบราวกับไม่รู้สึกรู้สม

“แม่หนูเปิดประตูให้ฉันเร็วๆ ข้างนอกนี่มันหนาวนะ แถมยังยุงชุมด้วย” ยังคงบอกอย่างใจเย็น ทั้งที่ใจเดือดปุดๆ เพลิงไม่ใช่คนใจเย็น ตรงกันข้ามเขาเลือดร้อนด้วยซ้ำ

คนหลังประตูยังคงเงียบ เพลิงบดกรามแน่นขึ้น

“แม่หนู ฉันรู้นะว่าเธออยู่หลังประตู”

เสี้ยวอึดใจต่อมา จึงมีเสียงตอบดังขึ้น... ขอบคุณพระเจ้าที่เธอไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกต่อไป

“ใช่ฉันเอง มีอะไรมิทราบนายหมีป่า”

“เธอว่าอะไรนะ หมีป่าเหรอ?” เพลิงย้อนถามกลับไปเสียงรัวเร็วราวกับปลาสำลักน้ำ ทั้งที่เคยได้ยินมาแล้วหนหนึ่ง แต่ให้อย่างไรเขาก็แทบไม่เชื่อหูอยู่นั่นเอง

“ใช่ นายหมีป่า”

“เธอว่าใครหมีป่า ยายเด็กชาวกรุง”

“ก็ว่านายนั่นแหละตาลุงชาวไร่ ทั้งหนวดเครา ทั้งขนเต็มตัวออกอย่างนั้นไม่ใช่หมีป่าแล้วจะให้เรียกว่าอะไรมิทราบ”

เด็กบ้านั่นกวนประสาทดีแท้... เพลิงบดกรามแน่นขึ้น เขาพยายามนับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ พยายามท่องว่าอดทนเข้าไว้ ขอให้เข้าไปในบ้านได้ก่อนเถอะ...

“ฉันจะไม่เถียงกับเธอนะแม่หนู จะหมีป่าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เธออยากจะเรียก แต่ตอนนี้เปิดประตูให้ฉันหน่อย หรือถ้าไม่อยากเปิด ก็รบกวนย้ายก้นสวยๆ ของเธอไปปลุกป้าพริ้งมาเปิดให้ฉันที”

“ฉันไม่ใช่แม่หนู ฉันมีชื่อ”

เพลิงบดกรามแน่นขึ้นเมื่อได้ยินฝ่ายนั้นตั้งแง่กลับมา เขาแทบจะได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ ของตัวเองเลยทีเดียว

“แม่หนู ฉันจะไม่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อให้เสียเวลาเราทั้งคู่ไปมากกว่านี้นะ ฉันบอกว่าเปิดประตู”

“ฉันก็บอกว่าฉันมีชื่อ”

เพลิงต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจอีกครั้ง เขาท่องในใจว่าต้องเย็นให้มากกว่านี้ “ก็ได้...น้ำ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

“พูดดีๆ ด้วย ไม่ใช่วางอำนาจบาตรใหญ่ยังกับคนเป็นนายอย่างนั้น ฉันไม่ใช่ลูกไล่หรือลูกน้องของนายนะ รู้ไว้ด้วย”

เจ้าหล่อนจะรู้ตัวไหมว่าน้ำเสียงของตัวเองข่มและวางอำนาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก... เพลิงนึกพลางกัดฟันกรอดๆ เขานึกภาพคนพูดออกเลยว่าตอนนี้เจ้าหล่อนคงกำลังเชิดคางขึ้นสูง พลางพูดด้วยท่าทางหยิ่งๆ ใส่ประตู...

ก็สาวชาวกรุงมักทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ เชิดหน้าใส่คนอื่นอย่างไม่เห็นหัวใคร... เพลิงนึกอย่างเขม่นในใจ

คนที่ถูกหาว่า วางอำนาจ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากความรู้สึก ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ เป็นร้อยเป็นพันเท่าว่า “ก็ได้...หนูน้ำ ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อย”

“ครับด้วยสิ เป็นคนป่าคนดอยหรือไง ถึงพูดครับไม่เป็น”

ชักจะมากไปแล้ว ได้คืบจะเอาศอก... เพลิงนึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขากัดฟันกรอดขณะพูดตามยังกับนักเรียนท่องอาขยานว่า “ช่วยเปิดประตูด้วยครับ”

“ใช้ได้นี่ เวลาพูดครับ นายก็พูดเพราะดี วันหลังน่าจะหัดครับให้บ่อยๆ นะนายหมีป่า”

เล่นกับหมาๆ เลียปาก...สุภาษิตโบราณว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ เพลิงบังคับตัวเองให้ใจเย็นอีกครั้งเมื่อตอบว่า “จะเปิดประตูให้ฉันได้หรือยังแม่หนูน้ำ ข้างนอกนี่มันหนาวแล้วก็ยุงชุมด้วยนะ”

“เฮ้...นายกลับมาออกคำสั่งอีกแล้วนะ ฉันบอกแล้วไงไม่ชอบคนวางอำนาจ พูดหวานๆ ครับ น่ะไม่เป็นหรือไง”

เพลิงหมดความอดทนแค่นั้น เขาพูดเสียงต่ำในลำคอว่า “หนูน้ำ...ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอนะ ถ้าฉันเข้าไปได้เมื่อไหร่ เธอโดนดีแน่”

“ถ้าขู่อย่างนั้น ก็อย่าคิดเข้ามาเลย ยืนให้ยุงหามแบบนั้นต่อไปเถอะ”

โธ่เอ๊ย น่าจับหักคอเสียจริง... เพลิงนึกสบถในใจ หากปากกลับตอบไปเสียงอ่อนหวานว่า “หนูน้ำ ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ข้างนอกนี่หนาวแล้วก็ยุงชุมด้วย เธอคงไม่อยากให้ฉันเป็นปอดบวมหรือเป็นไข้เลือดออกหรอกใช่ไหม”

“นายแข็งแรงออก ไม่มีทางล้มนอนเสื่อง่ายๆ แบบนั้นแน่”

เพลิงกลอกตาขึ้นลงอย่างอ่อนใจ แต่ก็อดแก้คำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ “เขาเรียกว่า ล้มหมอนนอนเสื่อ”

“ก็นั่นแหละความหมายเครือๆ กัน”

“เปิดประตูให้ฉันได้หรือยัง”

“งั้นเดี๋ยวฉันไปตามป้าพริ้งมาเปิดให้ก็ได้”

เพลิงถอนหายใจอีกคำรบ เป็นครั้งที่เท่าไหร่ในคืนนี้เขาก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าเขาทั้งเหนื่อยใจและอ่อนใจไปพร้อมๆ กัน ด้วยรู้สึกไม่ต่างจากกำลังพูดกับเด็ก ๗ ขวบ ที่ใช้คนละภาษาสื่อสารกัน




“โอ๊ย...”

สายน้ำชะงักเท้าที่กำลังจะผละห่างจากประตู เมื่อได้ยินเสียงร้องของคนหลังประตู เธอละกลับมาแนบหูกับประตู ความรู้สึกบอกว่าได้ยินเหมือนเสียงคนล้มลงกับพื้น

“นาย...นายหมีป่า นายเป็นไงบ้าง” ถามพลางทุบประตู

“งู...ฉันถูกงูกัด”

“พระเจ้าช่วย...” สายน้ำร้องอย่างตกใจ

“รีบเปิดประตูให้ฉันเร็ว”

“แต่...งูยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า”

“มันเลื้อยหนีไปแล้ว รีบเปิดให้ฉันเถอะ”

“ไปแล้วแน่นะ?” สายน้ำคาดคั้น

หากคราวนี้ปราศจากเสียงตอบของคนหลังประตู เด็กสาวแนบหูชิดประตูมากขึ้น พลางทุบประตูปังๆ

“นายหมีป่า นายตอบฉันสิว่านายยังไม่ตายใช่มั้ย?”

“...”

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ สายน้ำก็รีบถอดกลอนประตู มือไม้สั่น

“นายเป็นยังไง...”

ทว่าเด็กสาวชาวกรุงไม่อาจพูดจนจบประโยคได้ เมื่อบัดนี้ร่างสูงใหญ่ของเพลิงยกมือดันประตู วินาทีนั้นจึงตระหนักโดยพลันว่าเธอเสียรู้เขาเสียแล้ว สายน้ำพยายามยกมือยันกลับ แต่ขืนแรงเขาไม่อยู่ สุดท้ายเขาก็พรวดพราดเข้ามาได้อย่างง่ายดาย

เพลิงใช้สองมือดันเอวบางไปติดกับประตู ก่อนจะยกขึ้นเท้าแขนกับผนัง เหนือศีรษะของเด็กสาว

“นายหลอกฉัน” สายน้ำย่นหัวคิ้ว ทำเสียงราวกับไม่เชื่อว่าตัวเองถูกหลอก

“มีงูจริงๆ แต่ไม่รู้เลื้อยไปไหนแล้ว” เพลิงโกหกหน้าตาย

“แต่นายไม่ได้ถูกมันกัด”

“เล็บไอ้เสือน่ะ ฉันก็เลยคิดว่าเป็นงู”

“พระเจ้าช่วย นายนี่มัน...ฉันจะสรรหาคำอะไรมาด่านายดี” สายน้ำรัวคำด่าออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายความว่าเจ้าเล่ห์ และนั่นจุดรอยยิ้มขำให้เพลิงโดยพลัน

“ภาษาไทยเรียกว่าเหลี่ยมจัด” เพลิงช่วยแปลเป็นภาษาไทยให้

“แล้วนายก็ไม่สะดุ้งสะเทือนนี่นะ” สายน้ำแหงนหน้ามองเขาหน้าถมึงทึง ยามนั้นเด็กสาวยังไม่นึกเอะใจที่อีกฝ่ายฟังภาษาฝรั่งเศสออก อย่างเดียวที่สร้างความประหลาดใจให้เธอได้ในตอนนี้คือความสูงของเขา สายตาเริ่มชินกับความมืด เธอจึงเห็นว่ารูปร่างของเพลิงสูงใหญ่พอๆ กับหนุ่มฝรั่งเศสเลยทีเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าศีรษะของเธอสูงแค่ระดับอกเท่านั้น

“ไม่มีเหตุผลที่ต้องสะดุ้งนี่แม่หนู”

สายน้ำขมวดคิ้ว “หยุดเรียกฉันว่าแม่หนู แล้วก็หลีกทางให้ฉันขึ้นบ้านด้วย”

“ไม่ เด็กแสบอย่างเธอต้องโดนสั่งสอน”

“เอ๊ะ...นายนี่ยังไงนะ ฉันบอกว่าให้หลีกยังไงล่ะ” ไม่พูดเปล่า แต่สายน้ำยังผลักอกเขาแรงๆ ด้วย ทว่าเขาเหมือนภูผา ไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด

“เรียกฉันว่าอะไรนะเมื่อกี้”

“นาย”

“ไม่...อีกคำหนึ่ง”

“หมีป่าน่ะเหรอ” ลอยหน้าถาม แม้รู้ว่าเขามองไม่เห็น

“ถอนคำพูด เรียกฉันว่าพี่”

“อะไรนะ?” สายน้ำแทบสำลักน้ำลาย

“เรียกฉันว่าพี่เดี๋ยวนี้ยายเด็กนิสัยเสีย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยเธอขึ้นบ้านแน่”

“งั้นฉันจะตะโกนให้คนช่วย”

“ทันทีที่ขยับปาก ฉันก็จะขยุ้มเธอให้เหมือนกับหมีป่าเลยจริงๆ”

สายน้ำชะงัก เธอดันตัวเองชิดผนังมากขึ้น “นายไม่กล้าหรอก”

“ก็ลองดู”

“นายมันบ้าอำนาจนายหมีป่า ฉันไม่กลัวนายหรอก...คุณย่าชะ...” สายน้ำตะโกน

เพลิงลดมือลงหมายจะปิดปาก แต่สายน้ำหลงคิดว่าเขาจะบีบคอดั่งที่ขู่จริงๆ จึงหวีดร้อง พลางลดตัวจะมุดหนีทางซอกแขน แต่กลายเป็นว่าเธอทำพลาดเพราะเป็นการวิ่งชนแผงอกกว้างอย่างจัง เพลิงกางแขนรับอัตโนมัติ เพื่อกันไม่ให้เด็กสาวล้ม ในจังหวะเดียวกับที่ปลายจมูกโด่งก้มจดหน้าผากกลมมนโดยไม่ตั้งใจ

กลิ่นหอมของแป้งเด็กคละเคล้ากับกลิ่นเนื้อแห่งวัยสาวโชยมาเข้าจมูก พร้อมกับที่ฝ่ามือกร้านที่ช้อนอยู่ด้านหลังบอบบางสัมผัสได้ถึงผ้าไหมที่นุ่มลื่นมือ ซึ่งทำให้เพลิงนึกรู้ได้ในทันทีว่าภายใต้เสื้อนอนที่ทำจากผ้าไหมตัวนั้น ปราศจากบราเซีย และนั่นทำให้เพลิงนึกเสียใจและรู้ซึ้งถึงคำว่า ผิดพลาด จริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต

..........................................................





คีตฌาณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2555, 09:53:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2555, 09:53:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1587





<< ตอนที่ 1/2...หมีป่า   
mhengjhy 23 มี.ค. 2555, 11:34:27 น.
กรี๊ดดดด


นายหญิง 23 มี.ค. 2555, 22:15:46 น.
ตามอ่าน รอตอนต่อไป พ่อพระเพลิงเอ๋ยยยยยย


pseudolife 24 มี.ค. 2555, 08:51:06 น.
ชอบเรื่องแนวนี้ของพี่อุ๋ยจัง


tookta 25 มี.ค. 2555, 17:56:33 น.
สนุก


คีตฌาณ์ 25 มี.ค. 2555, 20:28:33 น.
คุณ mhengjhy ขอบคุณค่ะ แต่ชื่อพิมพ์ยากมากเลย ขอบคุณสำหรับการเจิมค่ะ ^^
คุณนายหญิง ขอบคุณค่ะคุณครู ^^

คุณ pseudolie : ขอบคุณมากๆๆค่ะ ว่าแต่น้อง pseudolife ใช้นามแฝงอะไรในบล็อกแก๊งพี่เวลาเมนท์เอ่ย พี่คุ้นๆ แต่นึกไม่ออกหง่า
คุณ tookta : ขอบคุณคุณตุ๊กตาค่ะ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account