ลำนำรักสายน้ำ
‘หลับตาลงครั้งใด เห็นว่ามีแต่ภาพใครบางคน
ที่กี่ครั้งก็ยังวกวน ดูไม่ชัดเจน
ได้ยินแต่เสียงเรียกของเธอ
ที่ฟังแล้วอบอุ่นและคุ้นในใจ
ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ยิ่งติดอยู่ข้างใน
ยิ่งห้ามเท่าใจเท่าไร ยิ่งใกล้เธอเข้าไปทุกที
ตามหาหัวใจ ที่ลึมไว้กับใครสักคน‘
ธารนธี ตกหลุมรักหฺญิงสาวนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ในคืนวันเพ็ญเต็มดวงของฤดูใบไม้ผลิ เป็นคืนที่ราชาแห่งขุนเขาและเทพีแห่งบุปผาจะประทานพรให้หนุ่มสาวชาวคีรีธาราสมหวังในความรัก
‘หัวใจอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม สักวันหนึ่งร่างกายจะเดินมารวมกับหัวใจ‘
เช่นเดียวกับสายน้ำและดอกบัวงาม
ฤดูใบไม้ผลิ ฤดู แห่งการเริ่มต้น ดอกไฮยาซินธ์ที่กำลังเบ่งบาน เพื่อต้อนรับแสงแดดที่อบอุ่นหลังจากที่ต้องจมอยู่ได้พื้นดินเป็นเวลานาน
เช่นเดียวกับความรักของธารนธีและกรกมล

ถึง Dream Girl
นกสีฟ้าของผมจะโบยบินอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อคุณได้ยินเสียงขลุ่ย โปรดรับรู้ว่ามันคือคำบอกรักของผม ยามคุณดื่มกาแฟ จะรับรู้รสจุมพิตของผม หากคุณเข้าไปในสวนดอกไม้ กลิ่นของมันคือกลิ่นอายความทรงจำของเราสองคน และที่ศาลากลางน้ำ หิ่งห้อย ที่ส่องแสงระยิบระยับนั่น คือรอยยิ้มที่ผมมอบให้คุณเพียงคนเดียว
จาก อาโป ธารนธี ชลธารพิทักษ์
14 กุมภาพันธ์ ในฤดูหนาว ประเทศ ออสเตรเลีย

‘ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนใด
เริ่มเพาะเหมาะกลางระหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี‘
"วันนี้ ฝนตก ได้กางร่ม เดินเคียงคู่กับพี่อาโปด้วยละ ตามตำนานเขาเล่าว่าวันไหนที่ฝนตก กามเทพจะแผลงศรรัก ทำหั้ยหนุ่มสาวตกหลุมรักกัน ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา "
"ความจริงพี่อาโปก็อยากให้ฝนตกทุกวันเหมือนกัน เพราะจะได้มีคนมาเดินกางร่มเคียงคู่กันแบบนี้ "
"ทำไมคนเราต้องจูบกัน เขาบอกว่าเพราะทั้งสองตกหลุมเสน่ห์แห่งรักกันและกัน วันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วถูกผู้ชายคนหนึ่งเบียดทำให้แทบล้มหัวคะมำ ดีแต่ว่าพี่อาโปคว้าเอวไว้ก่อนไม่งั้นได้อับอายขายขี้หน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ไม่ต้องขนาดถึงจูบ แค่ได้สบตากับพี่อาโปเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุนเลยละ"
"น้องกุ้งนางรู้ไหมวันนั้นทำให้พี่ต้องลงผิดสถานี เพราะพี่อาโป เขินอายมากๆ ผู้ชายก็อายเป็นเหมือนกันนะ ทีหลังอย่าทำให้พี่เป็นแบบนั้นอีกนะวันหลังเราไปดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอด้วยกันนะ พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางอยากจะเป็นเหมยลี่"
"วันนี้ อยากจะ ฆ่าพี่อาโปบังอาจควงสาวไปเต้นรำ โมโห อีตาบ้ารวีวิชญ์นี่ก็น่าโมโหตามตื้ออยู่ได้ ไม่ชอบๆๆๆๆๆ นี่สงสัยเราจะหึงจัด ดื่มไวน์หมดไปสามแก้ว ถูกหามกลับวังปทุมวันแทบไม่ทัน ก็มันหึงนี่คะ ก็น้องกุ้งนางอยากจะเต้นรำกับพี่อาโป อยากซบอกพี่อาโป"
"พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางจะเห็นพี่นี่คะ ก็เลยไม่ได้ไปแสดงตัวเอง แต่แหม พี่อาโปอยากเห็นหน้าผู้หญิงหึงจังเลย ไวน์อย่าดื่มมากมันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าอยากเต้นรำกับพี่อาโปเดี๋ยวจะจัดให้ ถ้าจะซบอกผู้ชายต้องเป็นพี่คนเดียวไม่งั้น ตายแน่ๆ พี่ขี้หึง หวง"
"วันนี้ อยาก จะดึงคอพี่อาโปมาถามว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ยอมพูดจา ทักทาย เดินหน้าบึ้งตึง ทำหมางเมินใส่เหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน น้องกุ้งนางเจ็บนะที่พี่อาโปทำแบบนี้นะ "
"พี่อาโปก็เจ็บเหมือนกันนะ ก็จะอะไรละก็พี่หึงจนหน้ามึดน่ะสิ เมินเรียกร้องความสนใจรู้บ้างไหม”

Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: ลำนำรักสายน้ำ

“ส่วนสายน้ำก็รับดอกบัวงามเป็นชายา” เสียงทุ้มห้าว พูดอ่อนหวาน พลางดึงมือเรียวเล็กมากุมไว้แนบหน้าอกด้านซ้าย จนสัมผัสได้กับจังหวะการเต้นของหัวใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบประสานกับเจ้าของนัยน์ตาสีดำที่มองมา หวานซึ้งตรึงใจ กรกมลเอียงอาย ใบหน้านวลผ่องแดงระเรื่อ หัวใจเต้นระรัว
ธารนธีกอดร่างบางเข้ามาแนบกาย กรกมลหลับตาพริ้ม ซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง นึกอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ เวลาที่เขาและเธอจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป
ความรักเป็นพรอันประเสริฐ และเป็นยอดปรารถนาของหัวใจ
“วันนี้ แสนสุดยินดี พระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจ เจ้าไปเที่ยวเล่น
ลมพัดเย็นเย็น หอมกลิ่นมาลี
หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสี แต่หอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจ แม้ไม่ขำคม
กิริยาน่าชม สมใจจริงเอย
ชมแต่ดวงเดือน ที่ไหนจะเหมือน ได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียว เปลี่ยวใจหม่นหมอง เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา
หอมดอกชำมะนาด สีไม่ฉูดฉาด แต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดี ปรานีปราศรัย
ผูกจิตสนิทได้ ให้รักจริงเอย “

หรีดหริ่งเรไรส่งเสียงร้องแข่งขันกันราวกันท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืนความเยียบเย็นแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของอากาศ แม้ทิวทัศน์จะงดงามจับตาหากแต่ความหนาวเย็นนี้ ทำให้ธารนธีพากรกมลกลับห้องพัก เพราะน้ำค้างเริ่มลง เขากลัวว่าหญิงสาวจะไม่สบาย (เดี๋ยวอดได้ไปเที่ยวงานประจำปีของหมู่บ้าน)
ครืด
ประตูห้องถูกเลื่อนเปิดในขณะที่กรกมลกำลังนั่งหันหลังให้ประตู มือบางแปรงเส้นผมเงางามที่ยาวถึงกลางแผ่นหลังอย่างอารมณ์ดี เธออยู่ในชุดสีชมพูอ่อนหวาน เรือนกายมีกลิ่นหอมหวานจางๆๆ
“อาโป”
“แปรงผมอยู่หรือครับ” เสียงทุ้มห้าวถาม
“ออกไปเลยนะ อย่ามาอยู่ใกล้ฉัน” กรกมลไล่ พร้อมกับขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่ม หากแต่ก็ต้องชะงักนิ่งในทันที เมื่อมือใหญ่รั้งเอวบางของเธอไว้ ก่อนจะดึงให้มาแนบชิดใกล้
“มานี่ผมจะแปรงผมให้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ดวงหน้าคมมองสบตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม
“ไม่ต้อง “ กรกมลบอก พลางทำแก้มป่องใส่ชายหนุ่ม
“แต่ผมอยากช่วยแปรงผมนี่ครับ” ธารนธีบอกพร้อมกับค่อยๆดึงหวีจากมือเล็ก มาแปรงผมลื่นนุ่มมือให้หญิงสาว กลิ่นกายหอมหวานผสมกับกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ทำให้ชายหนุ่มถึงกับหัวใจเต้นแรง
“หัวใจของคุณเต้นแรงจังเลยนะคะอาโป” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้า มองชายหนุ่ม แล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มนุ่มๆเย้าแหย่
กรกมลขยับศีรษะมาพิงซบแผ่นอกกว้าง ธารนธีใช้นิ้วม้วนผมยาวสลวยของเธอมาจรดที่ปลายจมูก สัมผัสของเธอกำลังทำให้เขาหลอมละลายอย่างแสนหวาน
“เหรอครับ “ ธารนธีตอบเขินๆ มีความสุขกับความรู้สึกแบบนี้…รอยยิ้มและน้ำเสียงหวานๆของเธอ
“หอมดอกแก้วยามเย็น ไม่เห็นใจพี่เสียเลยเอย
ดวงจันทร์หลั่นลดเกือบหมดดวง โอ้หนาวทรวงยอดชีวาไม่ปรานี
หอมมะลิกลีบซ้อน อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย”ธารนธีจรดริมฝีปากลงบนเปลือกตาคู่งามแผ่วเบา ก่อนจะไล่ลงมายังจมูก กลิ่นหอมจากเรือนกายเธอทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้
“อาโป” กรกมลหลับตาพริ้ม
“จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา แสงทองส่องฟ้าสง่าศรี
หอมดอกกระดังงา ชิชะช่างน่าเจ็บใจจริงเอย
หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี แต่ตัวพี่จำจากพรากไปไกล
หอมดอกจำปี นี่แน่พรุ่งนี้จะกลับมาเอย ฯ “
ธารนธีกอดกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นหนา พร้อมกับซุกหน้าลงกับซอกคอหอมกรุ่น
“หลับแล้วหรือครับ ถ้างั้นผมจะส่งคุณเข้านอน”
“นี่อาโป คุณจะทำอะไรน่ะ ปล่อย!ฉันเดี๋ยวนี้น่ะ ปล่อย!” มือเล็กดันแผ่นอกกว้าง เมื่อร่างบางถูกอุ้มลอยอยู่บนท่อนแขนแข็งแกร่งอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มสาวเท้าไปยังเตียงนอนกว้าง
ภายในห้องขนาดใหญ่ ตามมุมตกแต่งด้วยกิ่งไม้และดอกไม้แห้งปักไว้ในแจกันโบราณทรงสูง พื้นห้องเป็นเสื่อ ปูทับด้วยพรมนุ่มสีน้ำตาลอ่อน ด้านขวามีเตียงนอนยกระดับสูงขึ้นจากพื้นประมาณเข่าและมีผ้าม่านสีขาวสำหรับรูดปิดเวลานอน
“อาโป ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ ปล่อย! ปล่อย!สิคะ”
“ปล่อยแล้ว นี่งัย”
กว่าจะปล่อยก็ถึงเตียงนอนพอดี ธารนธีวางหญิงสาวลงบนเตียงกว้าง แล้วตะครุบร่างบางไว้เมื่อเธอขยับหนี
“อย่านะ “ มือเล็กปัดป้องคนตัวใหญ่ที่กอดอยู่ข้างหลังให้ปล่อย
“ไม่ปล่อย “ชายหนุ่มรั้งร่างบาง ล้มลงกับเตียง ก่อนจะเป็นฝ่ายขึ้นทาบทับเอาไว้
“อาโปจะทำอะไรน่ะ” กรกมลถามเสียงหลง ใบหน้างามตื่นตะหนก ธารนธีไม่ตอบ ริมฝีปากอุ่นร้อนซุกไซ้ไปทั่วซอกคอหอมกรุ่นของหญิงสาว ขบเม้มจนผิวเนียนละเอียดขึ้นรอยแดงด้วยความรัก ริมฝีปากอุ่นร้อน ไล้วนทั่วบ่าลาดจนชุดสีหวานร่นลงมา
“อาโป หยุดเดี๋ยวนี้น่ะ” กรกมลร้องห้ามเสียงหลง แต่ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ยังไล้ตามลำคอ แล้วเลื่อนต่ำลงมายังเนินอกขาว เช่นเดียวกับเสื้อคลุมสีหวานที่ถูกดึง ทิ้งไปกองกับพื้นข้างล่างเตียง อย่างไม่ใยดี ร่างบอบบางละเมียดละมุนสัมผัสเบียดใกล้กับร่างกายอุ่นของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
“คืนนี้ผมจะพาคุณเข้าหอ” ริมฝีปากอุ่นร้อนไล้วนอยู่บนเนินอก จนทำเอาร่างบางสั่นสะท้านด้วยความหวามไหวอย่างลืมตัว
“จะ จะ เข้าหอกันเหรอคะ” ร่างบางตามเสียงสั่น
“ใช่แล้วละครับ ที่รัก “ ธารนธียังไม่เลื่อนริมฝีปากออกจากเนินเนื้อนุ่ม ขณะที่มือใหญ่ไล้วนไปทั่วร่างกายอ่อนละมุนอย่างหยอกเย้า เสียงลมหายใจหอบสะท้านของหญิงสาว ทำให้เขารู้ดีว่า ยามนี้คนใจแข็งกำลังจะโอนอ่อนผ่อนตามเขาแล้ว
“อะอะ อาโปคะ คะ คุณ จะทำจริงๆๆเหรอคะ”
“จริงๆๆ”
“ไม่นะคะ คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะคะ บอกให้หยุด” เสียงหวานใสร้องห้าม มือเล็กๆผลักอกกว้างให้พ้นตัวเมื่อ ริมฝีปากนั้นเลื่อนต่ำลงไปเบื้องล่าง
“เสียใจ ที่รัก ผมไม่หยุด เข้าหอกันเถอะน่ะ นะนะ” เสียงขรึมพูดออดอ้อน ก่อนริมฝีปากจะรุกรานไปตามผิวกายอ่อนหวานอย่างไม่หยุดยั้ง
ธารนธีประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากแดงอวบอิ่มอย่างอ่อนหวาน และอ่อนโยน พร้อมกับดึงร่างบอบบางเข้ามากอดเอาไว้ด้วยหัวใจที่รักสุดซึ้ง
“ma chouchoute สุดที่รัก” ชายหนุ่มถอนจุมพิตออกแล้วพูด ดวงตาสีดำจ้องมองหญิงสาวด้วยหัวใจสั่นสะท้าน มืออุ่นประคองใบหน้านวลเอาไว้ก่อนแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง จุมพิตล้ำลึกราวกับจะจดจำความหอมหวานของค่ำคืนนี้เอาไว้
หญิงสาวรั้งต้นคอของธารนธีไว้แน่น ริมฝีปากอวบอิ่มหวานตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความรัก ใบหน้าคมคายเลื่อนมายังซอกคอขาว มืออุ่นถอดชุดสีหวานออกจากร่างบอบบางอย่างใจเย็น
ในหูของกรกมลได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของธารนธีและคำพร่ำรักแสนหวานที่พูดกับเธอไม่ขาด
ธารนธีกระชับอ้อมแขนกอดเรือนร่างบอบบางไว้ ร่างทั้งสองแนบแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ชายหนุ่มซุกหน้าลงกับอกอุ่นด้วยความรัก
ที่ตรงนี้นั้นมีแต่ความรัก฀ตั้งแต่วันที่เธอเข้ามา
ที่ตรงนี้นั้นไม่เหงา ไม่ต้องมีน้ำตา
เมื่อฉันได้พบเธอ ก็เปลี่ยนไป
เธอทำให้โลกสวยงาม฀กว่าในวันนั้น
เธอเปลี่ยนแปลงฉันมากมาย
เธอทำให้หัวใจเข้าใจความหมาย
คำว่ารักที่แท้เป็นเช่นไร
เมื่อได้รัก รักเธอถึงเข้าใจคำคำนี้
กรกมลไม่เงยหน้ามองขึ้นสบสายตากับ ธารนธีที่ยืนหน้า บึ้งตึงราว กับ ยักษ์วัดแจ้ง ดวงตาสีดำจ้องมองมาเหมือนจะบอกว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ (อดได้เข้าหออุปสรรค ขัดขวางเยอะเหลือเกิน ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เสื้อผ้าที่ หญิงสาวสวมอยู่ ตั้งกี่ชั้น กว่าจะถอดหมด เขาก็หมดอารมณ์พอดี กรกมล แกล้งทรมาน เขาหรืองัยน่ะ เซ็งๆๆๆๆค้างๆๆๆ)
หลังจากจัดแจงวางหมอนข้างไว้ตรงกึ่งกลางเตียง เป็นเขตแดน แล้วก็นอน หันหลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว
“ที่รัก ผมถามจริงๆๆเถอะ คุณคิดว่าแค่หมอนข้างนี้จะช่วยปกป้องคุณจากผมได้เหรอครับ”
บรรดาหมอนข้างทั้งหลาย ถูกธารนธีจับโยนออกไปนอกเตียงนอนอย่างไม่ใยดี ก่อนชายหนุ่มจะหยิบหมอนไปวางไว้ชิดกับหมอนหญิงสาว เอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง แล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ดึงผ้าห่มผืนเดียวกันกับหญิงสาวมาห่ม ก่อนจะคว้าเจ้าของร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นมากอดไว้ราวกับเป็นหมอนข้าง
“อาโปปล่อยน่ะคะ”
“ที่รัก คราวหน้าคราวหลัง คุณอย่าสวมเสื้อผ้าหลายชั้นแบบนี้สิ กว่าจะได้จุดๆๆ ผมหมดอารมณ์เสียก่อน” ธารนธีพูดเสียงหงุดหงิด แต่ทว่า กรกมลทำหูทวนลม(สมน้ำหน้า คิดเหรอว่าเธอจะยอมง่ายๆน่ะ เพ่อาโป)
“เอามือออกไป ฉันจะนอน “ กรกมลบอกเสียงเข้ม ปัดมือปลาหมึกออกจากเอวบาง
“นอนก็นอนสิครับ เดี๋ยวผมกล่อม” ยังไม่เลิก ใช่เพ่อาโป กรกมลคิด ตกลง จะพาเธอเข้าหอให้ได้เลยใช่ไหม
“อาโป ฉันง่วงนอนแล้ว ไม่มีอารมณ์” เธอบอกเสียงหงุดหงิด
“เดี๋ยวผมปลุกเอง “ มือใหญ่เริ่มลูบไล้แขนเรียวเบาๆอย่างซุกซน หญิงสาวหลับตา นับหนึ่งถึงร้อย ว่าจะผลักชายหนุ่มตกเตียงให้คอหักหรือว่าไล่ให้ไปนอนนอกห้องดี ให้สาสมที่ทำรุ่มร่ามกับเธอ
“อาโป”
“จ๋า มีอะไร”
“ปล่อยฉัน อย่ามากอด” ใจดีด้วยหน่อยไม่ได้ ทำเป็นได้ใจ
“ไหนว่าง่วงงัย ง่วงก็นอน ขืนดิ้นมากๆเดี๋ยวผมจะทำให้ไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่รู้ด้วยน่ะ”
“ต่างคนก็ต่างนอนสิค่ะ มากอดฉันทำไม ฉันอึดอัด”
“กรกมล”
“ไปนอนข้างล่างเลยไป๊ๆๆๆชิ้วๆๆๆ”
“ไม่ไป ไล่แบบไหนก็ไม่ไป “
“หน้าด้าน”
“จะด่าอย่างงัยผมก็ไปสนหรอกครับ เขาว่าผู้หญิงด่า แปลว่าผู้หญิงรัก “ ธารนธีไม่พูด เปล่า จมูกโด่งแอบหอมแก้มนิ่มๆ
“อาโป”
“ครับๆๆหึ มีอะไรอีกล่ะ”
“หยุด ลูบไล้ แขนฉันสักทีได้ไหม ไม่งั้นฉันโกรธ จริงด้วยๆๆ”
“ก็ได้”
“ไปนอน ข้างล่างเลยไป๊ๆๆๆ” กรกมลจัดการ ไล่ ผู้ชายหน้าด้านหน้าทน ให้ลงจากเตียงนอน อย่างโมโห ธารนธีเบ้ปาก เรื่องอะไร เขาจะไปนอนข้างล่าง ฝันไปเถอะ(อดได้เข้าหอ แล้ว ยังจะใจร้าย ไล่เขาลงไปนอนที่พื้นอีก )
“ไม่ไป “
“อาโป คุณอย่ามาเบียดได้ไหม”
“ขอกอดหน่อยน่ะ”
“ไม่ได้”
“คืนนี้แค่กอดเท่านั้นล่ะ ไม่ทำอะไรมากกว่านั้นผมสัญญา” กรกมลเม้มริมฝีปากแน่น ตากลมโตสีน้ำตาลกลอกไปกลอกมา ก่อนจะพลิกตัวหันมามอง ชายหนุ่มที่นอนตะแคง มองหน้าเธออยู่ ในเงาแห่งความมืด ได้ยินแต่เสียงของลมหายใจ ของกันและกัน จะทำอะไรกับ ธารนธีดีน่ะ
“ไม่ง่วงเหรอครับ”
“อาโปจ๊ะ”
“ครับ”
“เขยิบเข้ามาใกล้หน่อยสิค่ะ”
“มีอะไรครับ” ร่างนุ่มนิ่มเบียดเข้ามาใกล้ เสียงเล็กๆๆกระซิบลงข้างหู ลมหายใจอุ่นริดรดให้อีกฝ่ายขนลุกเกรียว ดวงตาสีดำขลับเบิกกว้าง กรกมลหัวเราะคิกคักที่อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก คำพูดของยอดยาหยี ทำให้ธารนธีแทบจะคลั่ง อยากจะคว้าร่างเล็กๆๆมาฟาดก้นสักสามสี่ที แต่ทว่ายังไม่ได้ทำอะไร เขาก็ถูกผลักลงจากเตียงซะก่อน
ตุ๊บ
“กรกมล”
“นี่ผ้าห่ม หมอน “ แม่ยอดยาหยีของเขา โยน ลงจากเตียงกว้างมาให้ อย่างใจดี แต่ทว่า ชายหนุ่มกลับ ไม่รับความหวังดี ผุดลุกขึ้นได้ ก็กระโจนขึ้นเตียงกว้าง เป็นงัยเป็นกันล่ะงานนี้ เขาไม่สนใจแล้ว จะปราบเด็กดื้อ ให้ได้เลยล่ะงานนี้ คอยดู
“อยากมีเซ็กส์กับฉันไหมคืนนี้”
คำถามเดิมเมื่อฝนโปรยมา
ห่มผ้าบ้างหรือเปล่า
เกือบทุกวันที่ถามตอนเช้า
วันนี้เธอทำอะไร

“กรี๊ดๆๆๆอาโป ฉันล้อเล่นน่ะ อย่าเข้ามาน่ะ”
“จะหนีไปไหน” ธารนธีวิ่งไล่คว้าร่างบาง ที่วิ่งพล่านไปทั่วห้อง ธารนธียืนมอง หญิงสาวที่ยืนหอบแหกๆๆด้วยความเหนื่อย ใบหน้านวลแดงระเรื่อ ดวงตาสีดำขลับหรี่มองอย่างโกรธ ฟิวส์ขาดแล้วพระเอกงานนี้ “กรกมล คุณมานี่ มาให้ผมจัดการเลยน่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ “ หญิงสาวลอยหน้าลอยตาตอบกลับไป สมน้ำหน้า แกล้งให้เข็ด รู้หรอกน่ะว่าไม่กล้าทำ
“ดี ถ้างั้นก็หนีให้รอด “
“ว้าย!!!!!อาโป” กรกมลกระโดดหนี ทันทีเมื่อธารนธีพุ่งร่าง มาคว้าร่างบอบบางไว้ได้ ตายแน่ๆๆกรกมลคิด หลับตาปี๋
“มาให้ผมลงโทษซะดีๆ”
“ไม่น่ะ ฉันไม่ยอม”
ความสุขุมเยือกเย็นที่มีหายวับไปหมดแล้ว เพราะผู้หญิงคนนี้ เขาทำหน้าบึ้ง จับร่างบางให้นอนคว่ำลงบนตัก เงื้อมือใหญ่ขึ้น จากนั้น
เพี๊ยะ!!!
กรกมลหวีดร้องสุดเสียง
“โอ้ย!!!!” เธอทั้งตกใจ และ โกรธ ผสมความน้อยใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าธารนธีจะกล้าทำกับเธอแบบนี้ “คุณตีฉันหรือ คุณกล้ามากเลยน่ะ ขนาดแม่ของฉันยังไม่เคยตีฉันแบบนี้เลยน่ะ”
“หึ เป็นผู้หญิงยิงเรือ อย่าหัดพูดจาแก่นแก้วล้อผู้ชายเล่นอย่างนี้ รู้บ้างไหม ว่ามันจะมีผลตามมาเป็นอย่างงัยบ้าง”
เพี๊ยะ!!!!
เขาตีเธอซ้ำอีกครั้ง
“โอ้ย!! เจ็บน่ะ ผู้ชายป่าเถื่อน ผู้ชายบ้า”
“จำไว้น่ะ กรกมล อย่าได้พูดแบบนี้อีก”
เพี๊ยะ!!!!!!
“น้องกุ้งนางจะไม่พูดพล่อยๆๆอีกแล้ว แง้ๆๆๆๆ” กรกมลดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักเขา อย่างโมโห
“อย่าคิดน่ะว่า ผมไม่กล้าทำอะไรคุณน่ะ”
เพี๊ยะ!!!!
ฝ่ามือหนาฟาดลงมาบนสะโพกเนียนนุ่ม ก่อให้เกิดความเจ็บร้อน
“ปล่อยฉันน่ะ ปล่อยฉัน “ กรกมลโวยวายทั้งน้ำตา “ฉัน ฮึก …ฮึก …ฮือ”หญิงสาวสะอื้นไห้ ปล่อยโฮออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลออกมา เป็นสายยาว
เสียงร้องไห้ของเธอทำให้มือใหญ่ที่เงื้อขึ้นกลางอากาศฟาดไปอีกครั้งไม่ลง ทว่าโทสะในใจยังไม่จางหาย เขาจึงดึงหญิงสาวที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าขึ้นมา จับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้
“ผมขอโทษ” เสียงทุ้มห้าวพูดอ่อนๆ ก่อนจะโอบกอดร่างบอบบางเข้ามาแนบอก นี่เขาทำอะไรลงไปน่ะเนี่ย เห็นน้ำตาของหญิงสาวแล้ว ธารนธีกลับทำอะไรไม่ถูก
“อีตาบ้า คนผีทะเล เรื่องแค่นี้ โกรธอะไรกันนักหนา ฉันเกลี……” สะดุดคำสุดท้ายไว้ในลำคอเพราะรู้ว่าพูดออกไปไม่ได้ดังใจ
กรกมลกำมัดแน่นด้วยความโกรธ แล้วระดมทุบลงไปบนอกกว้าง น้ำตาร่วงพรูลงมาหยดแล้วหยดเล่าราวกับสายน้ำ
“อย่าร้องไห้แบบนี้ครับ ผมขอโทษ “ ใครผิดใครถูกล่ะงานนี้ กรกมลเม้มริมฝีปากแน่น มือเล็กพยายามแกะมือใหญ่ที่กอดเอวบางแน่น เธอไม่เคยคิดเลยว่า ผู้ชาย ใจดีแบบธารนธีก็ ฟิวส์ขาดเป็นเหมือนกัน ภูเขาน้ำแข็งสะเทือน (ไม่น่าปากพล่อยเลย กรกมลคิด)
“กรกมล “ ชายหนุ่มเรียก ดวงตาสีดำจ้องมองหน้าเธอ “เจ็บมากไหมครับ”
หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น เขาจึงดึงร่างบอบบางให้ซบลงบนแผ่นอกกว้าง กรกมลขืนตัวหนีจนเขาจ้องตาดุ ขมขู่ด้วยสายตา
ที่รักเป็นคนผิดน่ะ เออ ใช่เธอผิดเองล่ะ
กรกมลสงบปากสงบคำเงียบไม่พูด ได้แต่นั่งนิ่งๆ ธารนธีเลยเอื้อมมือไปปัดผมที่ระหน้าเธอขึ้น อย่างแผ่วเบา และอ่อนโยน
“น้องกุ้งนางเจ็บ” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ใบหน้าแดงก่ำ ด้วยความอาย ตะโพกปวดหนึบๆๆมือหนักชะมัดเลย พ่อสถาปนิก
“ทีหลังอย่าดื้อ แบบนี้อีกน่ะครับ” ธารนธีพูดเสียงเข้ม น้ำตาของกรกมลรื้นคลอดวงตากลมโต เงยหน้ามองชายหนุ่มที่กำลังจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน “หน้าเลอะหมดแล้ว” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆๆก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มใส ซึ่งหญิงสาวก็ยอมนั่งนิ่ง
แต่โดยดี ความอ่อนโยน ที่ธารนธีมอบให้ยิ่งทำให้กรกมลรู้สึกอึดอัดท่วมท้น ขึ้นมาในจิตใจ จนไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกแล้ว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม
“เจ็บมากเลย เหรอครับ ที่รัก” ชายหนุ่มถาม อย่างตกใจ นี่เขาตีแรงขนาดนี้เลยเหรอ สุดที่รักถึงเอาแต่ร้องไห้น่ะ “ผมขอโทษ”
เขาดึงร่างบางมากอดเอาไว้ กดศีรษะเธอเบาๆให้ซบลงยัง แผ่นอกของเขาแทนการปลอบ
คำว่าห่วง คำว่าคิดถึง
ทุกชั่วโมงที่ห่างแสนไกล
เธอรู้ไหมอะไร
สร้างคำพูดเหล่านี้ให้เธอ
แม้บางคำ ฉันบอกไม่บ่อยเท่าที่ควร
อย่ากังวลหรือหวั่นใจ
รักนะคะ คนดีของฉัน
จะวันไหนก็รักเพียงเธอ
และจะบอกว่ารักเธอที่สุด
ใจดวงนี้ของฉันหยุดที่เธอ

ธารนธีดึงร่างบอบบางมากอดเอาไว้ด้วยความรักท่วมท้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงกัน อ้อมกอดยังกระชับหญิงสาวไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหนีเขาไปไกลตา
ใบหน้าคมเบียดแนบกับใบหน้าหวาน ชายหนุ่มดึงผ้าขึ้นห่มร่างทั้งสอง แต่ทว่ายังคงกอดกรกมลแน่นอย่างไม่ยอมให้แม้แต่อณูอากาศได้แตะต้องร่างกายหญิงสาว
ทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆๆ

ในห้วงความฝัน
“น้ำไหลยาวไกล ไหลไปไม่หวนคืน
ก็เหมือนรักของสองเรา เกิดขึ้นแล้วหยุดไม่ได้
ทุกๆชาติ ตราบนิรันดร์กาล
ดูแม่น้ำนั้น น้ำไหลยาวไกล คลื่นไหลลูกระลอก
ปี เดือน เคลื่อนคล้อย น้ำ แม่น้ำไหลยาวไกล
น้ำไหลยาวไกล ไหลเวียนพันๆหมื่นๆรอบ
ไม่หยุดพักตลอดกาล มีแต่เริ่มต้นไม่มีสิ้นสุดหยุดจบ
มุ่งไปสู่แม่น้ำ น้ำไหลยาวไกล แม่น้ำลึก รักยิ่งลึกซึ้ง”

ใครมาดีดพิณเปี๊ยะ แถวนี้กันน่ะ กรกมลคิด ขยับร่างบอบบางซุกลงบนอกกว้างเพื่อควานหาความอบอุ่น ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว
“กำไลทับทิมอันนี้สวยจังเลย” หญิงสาววัยแรกดรุณีเอ่ยเสียงหวาน นิ้วเรียวยาวหยิบ กำไลทับทิมขึ้นมาทว่า “ตาย ละ กำไลทับทิม หลุดจากมือ”
หญิงสาววิ่งไล่ตามกำไลทับทิม ที่กลิ้งไปตามทางเดินในตลาด
กึก
ร่างสูงใหญ่ ก้มลงหยิบกำไลทับทิมอันเล็ก ซึ่งกลิ้งมาตามทางเดิน อย่างบังเอิญ พิศดูพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็ได้เห็น สาวน้อยผู้งามพิลาสล้ำ ที่วิ่งมายังบริเวณที่เขายืนอยู่
ภาพตรงหน้า สะกดให้ชายหนุ่มต้อง ตะลึงงัน ด้วยทรงตรึงใจ คิ้วโค้งเรียว นัยน์ตาคมหวาน จมูกน้อยโด่งเป็นสัน และริมฝีปากอวบอิ่ม
ขณะเดียวกันกับ หญิงสาวก็ชะงักยืนนิ่งไปเช่นกัน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สง่า ผิวขาว ใบหน้างดงามราวกับเทพบุตร
“ขอกำไลทับทิมคืนด้วย” หญิงสาวแสนสวยเอ่ย
“ของเจ้าเหรอ” เสียงทุ้มห้าวถาม ก่อนจะยื่นกำไลทับทิมให้ หญิงสาว นัยน์ตาสีดำขลับยังคงจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา
“ขอบคุณ “ มือเล็ก รับกำไลทับทิม มาถือไว้ เพียงได้สัมผัสมือกันเล็กน้อย หัวใจของทั้งสองคนราวก็ต้องกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ใบหน้านวลผ่องแดงระเรื่อ “ข้าขอตัวก่อนน่ะ”
“เดี๋ยว แม่หญิง” เสียงทุ้มห้าวเรียกร่างบอบบางที่กำลังเดินจากไป
“มีอะไรเหรอ ค่ะ” เธอหันมาถามอย่างงุนงง
“เอ่อ ข้าอยากจะขอทราบ นามของเจ้าหน่อยจะได้ไหม “ เขาพูด ยิ้มๆๆ
“เรา ชื่อ บัวงาม แล้วท่านละมีนามว่ากระไร “
“เรา ชื่อสายน้ำ “ ชายหนุ่มตอบทันที
“สายน้ำ เราต้องขอตัวไปก่อนน่ะ “ หญิงสาวหันมาบอก ชายหนุ่มร่างสูงสง่า ที่ยืนมองด้วย ความอาลัยอาวรณ์
เมื่อเห็นร่างเหน่งน้อยวิ่งตรงไปหา หญิงสาวอีกคนที่ยืนถือร่มรออยู่ ก่อน จะพากันเดินจากไป จะได้พบกันอีกไหมน่ะชายหนุ่มคิด
“นางเป็นใครมาจากไหนกันน่ะ นางมีคู่หมั้นคู่หมายหรือยัง “ ชายหนุ่มคิด อยากจะรู้คำตอบ “เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าน่ะ บัวงาม”
สามวันต่อมา ที่ตลาด
“สายน้ำ เป็นท่านจริงๆด้วย”
“แม่หญิง ดีใจ จังเลย ที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เมื่อเห็น หญิงสาวแสนสวย ที่ติดตรึงใจเขาไม่หาย จนต้องมาเดินเล่นแถวตลาดอีกครั้ง หวังว่าจะได้พบนางในฝัน
“เราก็ดีใจ ที่ได้พบท่านอีกครั้ง “
สองหนุ่มสาว ยิ้มหวานให้กัน แล้วชวนกันเดินชมตลาด อย่างสนุกสนาน ซุกซุนตามประสา
“สายน้ำ ท่านพายเรือ เป็นไหมเนี่ย “ หญิงสาวหันถามชายหนุ่มที่ สวมชุดสีดำ ที่ตัดเย็บจากผ้าไหมราคาแพง กำลังก้มหน้าก้มตาพายเรือ อยู่ท่ามกลาง สระดอกบัวหลวง
“เป็นสิ เจ้าถามทำไม “ ชายหนุ่มตอบ เสียงขรึม
“โอ้ย!!!ท่านพายเรือดีๆสิ เราจะเก็บดอกบัว “ เสียงใสๆ หันมาเอ็ด ใส่ชายหนุ่ม อย่างงอนๆๆ พายเป็น ตายล่ะ วนไปก็วนมา
“จะเก็บ ก็เก็บสิ “ เขาพูดเสียง งอนๆๆ นัยน์ตาสีดำขลับ ทอดมองหญิงสาวที่ เอื้อมมือ ไปหัก ฝักดอกบัว มาสามสี่ฝัก ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวแกะเมล็ด ออกมาทาน
“ท่านมองหน้า เราทำไม”
“เปล่า แค่สงสัย ว่า ที่บ้านเจ้า เขาเลี้ยงไม่ดีเหรอ ทำให้เจ้าต้อง…… “ พูดยังไม่ทันจบ ฝักบัวก็ลอยมา กระแทกปากสีแดง อย่างแม่นยำ ราวกับจับวาง “ เจ้าขว้างฝักบัว มาทำไมเนี่ย”
“ท่าน จะพูดว่าที่บ้านเรา เลี้ยงเราไม่ดีงั้นสิ ถึงได้ …..” หญิงสาวไม่พูดกลับคว้า ฝักบัว ได้ก็โยนใส่ ชายหนุ่ม ปากเสีย ทันที หนอย บังอาจ หาว่าเธอตายอดตายอยาก (เขายังไม่ได้พูดน่ะ แต่สายตาที่มองมา มันบ่งบอก ยะ ) ชายหนุ่ม หลบฝักบัว ที่โยนมาได้อย่างหวุดหวิด ผู้หญิงอาไร้ ขี้งอน ชะมัดยาด
“เมื่อมีบุพเพสันนิวาสอาจจะอยู่ร่วมกันได้
แม้ต้องตายก็ไม่เสียใจอะไรเลย
ใจรักละมุนของข้า ลึกล้ำดั่งทะเล
ใจลุ่มหลงของเจ้าอาจไถ่ ถามถึงฟ้าได้
สาบานว่าจะเฝ้าอาวรณ์ถนอมรักให้ยืนนาน
ทุกๆๆขวบ ทุกๆๆปี จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ข้าจะพรากจากเจ้าไปได้อย่างไร
ข้าจะทอดทิ้งเจ้าไปได้อย่างไร
เจ้าอยู่ในก้นบึ้งใจของข้าเสมอ
เชื่อข้าเถอะอย่าระแวงสงสัย
ขอให้รักคู่เฝ้าเคียงกันเนิ่นนานวัน”
ธารนธีกอดกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นหนา พร้อมกับซุกหน้าลงกับซอกคออุ่น ร่างบอบบางยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนท่อนแขนของเขาอย่างไม่มีท่าจะตื่น
“อาโปตื่นนานแล้วเหรอ” หญิงสาวค่อยๆปรือตาขึ้น ใบหน้าหวานแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย กับเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ มือบางเลยฟาดลงที่แผ่นอกเขาเชิงต่อว่า “ปล่อยเลยน่ะค่ะ”
“อายทีไร ก็บอกให้ผมปล่อยทุกที”
“ใครอาย ฉันเหรอค่ะ” เสียงใสย้อนถามอย่างเอาเรื่อง โยนความผิดทั้งหมดให้เขารับไปคนเดียว (มันน่าจะจับมาตีก้นอีกสักรอบ)
“คำก็ปล่อย สองคำก็ปล่อย จะให้ผมซื้อเท่าไหร่ดี ถึงจะได้เลิกพูดคำนี้ได้” ธารนธีจ้องมองหน้างาม อย่างจริงจัง กรกมลแกล้งหันหน้าหนีเขา แต่ใบหน้าคมคายก็ตามแนบเข้าหาใบหน้าของเธออย่างง้องอน”หายเจ็บ หรือยัง “
“ยังเลย มือหนักชะมัด “ กรกมล พูด ก่อนจะทำแก้มป่องใส่
“คราวหลัง อย่าพูดแบบนี้อีกน่ะครับ” มือใหญ่จับคางมนส่ายไปมาเบาๆ
“คะ “ แต่อย่าได้เผลอก็แล้วกัน เธอจะแกล้งปั่นหัวเขากลับคืน เดี๋ยวคิดหาวิธีก่อน จะทำแบบไหนดีน่ะให้ ภูเขาน้ำแข็งสั่นสะเทือน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จ้องมองดวงตาสีดำขลับ อย่างคาดโทษเอาไว้
เท้าเล็ก เดินไปยังที่ประตูบ้าน ก่อนดวงตากลมโตมองไปข้างหน้า ผ่านสวนเล็กๆ ทั้งสองข้างทางลงไป ตามสะพานหิน
แสงอรุณรุ่งสีทองฉาบตรงขอบฟ้า
หน้าลานบ้านพัก ธารธนีสวมชุดขาวตัดจากผ้าไหม ปักลายมังกรทะยานฟ้า ด้วยดิ้นเงินและดิ้นทอง ยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อ แขนเสื้อยาวยามถูกลมพัดสะบัดพลิ้ว ราวกับเซียน บนสวรรค์
“อาโป”
“แต่งตัว เสร็จแล้วเหรอครับ ” ชายหนุ่ม หันมามองหญิงสาว ที่สวมเสื้อแขนยาวเปิดคอกว้าง เผยให้เห็นซับในสีขาวสะอาดตา สีฟ้าอ่อนตัดเย็บจากผ้าไหมแก้ว กระโปรงยาวสีฟ้าเข้มลายนกยูงรำแพน ผมยาวสลวยมวยขึ้นหมดก่อนจะปล่อยชายผม ลงมา คลอเคลียแก้มใส ปักด้วยปิ่นดอกไม้ธรรมดาๆ “สวยจังเลยครับ”
กรกมล ถึงกับเขินอายหน้าแดง กับคำชมของชายหนุ่ม
“ชมผู้หญิง ก็เป็นด้วยน่ะค่ะ “
“ผมก็ชมคุณ คนเดียวล่ะครับ “ เขาบอก ก่อนจะดึงร่มกระดาษที่ทำจากกระดาษสา ลายดอกเหมย มากางออก “ไปกันเถอะครับ ถ้าออกสายกว่านี้ เดี๋ยวแดดจะร้อน”
“ค่ะ “
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ พัดวนผ่านมา ใบไม้สีเหลืองเกรียมปลิวหมุนบนพื้นลานสวนหน้าบ้าน กลีบดอกท้อ สีชมพูร่วงหล่นลงมา ร่อนไปตามสายลม

งานเทศกาลวัฒนธรรมพื้นบ้าน
“คนเยอะ จังเลยน่ะค่ะ” กรกมลเอ่ยเบาๆ ผู้คนที่เดินผ่านหญิงสาว ไปมา ต่างมองเธอด้วยความสงสัย เธอเองก็ได้แต่ยืนมองผู้คนเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจไม่ต่างกัน “มองอะไร ไม่เคยเห็นคนกันหรืองัยน่ะ” (เขาสงสัยว่าพระเอกเดินมากับใครต่างหากล่ะ)
หมู่บ้าน กัชชลา ค่อนข้างเจริญ เพราะดูจากผู้คนแต่งตัวอย่างคนมีฐานะ ต่างเดินกันพลุ่กพล่าน ตลอดทางเดินกว้างนั้น มีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายอาหาร ผักผลไม้ เครื่องใช้ และผ้าทอต่างๆ
บ้านเรือนแต่ละหลัง เป็นแบบเรือนไม้ไม่มีใต้ถุนดูคล้ายกับบ้านญี่ปุ่นผสมกับจีนในสมัยก่อน บางหลังมีสองชั้นและขนาดใหญ่ (สงสัยจะบ้าน พวกเศรษฐี อันจะมีจะกิน)
บ้านแต่ละหลัง ต่างตกแต่งไปด้วยไม้ดอกและไม้ประดับ ดูร่มรื่นน่าอยู่ สองข้างทางเดินเรียงรายด้วยต้นไม้ใหญ่ คอยให้ร่มเงาแก่คนที่เดินผ่านไปมา
เมืองทัดดารา เป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมของจีนและญี่ปุ่นเอาไว้อย่างลงตัว
“อาโป ดู ตุ๊กตาแกะสลักไม้ นี่สิ น่ารักจังเลย “ กรกมลดึง แขนชายหนุ่ม ให้มาดู ตุ๊กตาแกะสลักจากไม้ ที่วางขายตามรายทางเดิน ของ”’งานเทศกาลวัฒนธรรมพื้นบ้าน”
“ชอบเหรอครับ” เขาถามหญิงสาว ที่ยืนตาแป๋ว มอง ตุ๊กตาแกะสลักรูปรูป หมีสองตัวที่นั่งกอดกันอยู่บนชิงช้า
“ค่ะน่ารักดี “ หญิงสาวตอบ
“เดี๋ยวผมซื้อให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ “
“ทำไม”
“ก็ ฉันเกรงใจ คุณน่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ หรอก คิดว่าผมขอโทษแทนเรื่องเมื่อคืน ก็แล้วกัน” เขาพูด ยิ้มๆๆ กรกมล หลุบตามองพื้น ไม่กล้าจ้องมองหน้าคมคาย ใบหน้างามแดงระเรื่อ (อาย…..คิดถึงตอนธารนธีจะทายาให้ เธอถึงกับกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ นึกว่าเขาจะทายาให้ที่ไหนได้ เขากลับพูดว่า แต่งงานเมื่อไหร่ผมจะทายาให้ ตอนนี้ทาเองก่อนน่ะครับ แล้วห้ามดื้ออีกน่ะที่รัก)
ผู้ชายคนนี้น่ะ บทใจดี ก็ดีใจหาย บทจะโกรธ ก็โกรธแบบน่าตกใจ เหมือนภูเขาน้ำแข็งทล่มทลาย
“หมู่บ้านกัชชลาตั้งอยู่กลางท้องทุ่ง ภายในอ้อมกอดของเทือกเขาบุปผาคีรี เป็นหมู่บ้านคีรีธาราโบราณ ที่ได้อนุรักษ์อาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างครบครัน
ภายในหมู่บ้านมีบ้านเรือนแบบมุมฟางหรือมุงกระเบื้อง รวมกันอยู่ราว 170 หลัง แต่ละหลังมีอายุเก่าราว 600 ปี วัสดุที่นำมาก่อสร้างก็จะเป็นพวกหิน ดินเผาและไม้ หลังคาไม่มุงฟางก็จะเป็นกระเบื้องดินเผา “ ธารนธีเล่าประวัติของหมู่บ้าน กัชชลา ให้ฟังย่อๆ ดวงตาสีดำขลับ ทอดมองคนตัวเล็กที่เดินฟังอย่างตั้งใจ ในมือถือข้าวโพดปิ้ง แทะ อย่างเอร็ดอร่อย มือขวาถือน้ำบ๊วยแช่เย็น ส่วนข้าวของที่ซื้อ ชายหนุ่มรับมาถือ(สบายเหลือเกินน่ะ ที่รัก เห็นเขาเป็น เบ๊ หรืองัยน่ะ)
“แล้วงัยต่อล่ะค่ะ” กรกมลถาม ในปากยังเคี้ยวข้าวโพดปิ้งอยู่ ธารนธีเห็นแล้ว ได้แต่ส่ายหัว กลอกตาไปมา เธอจะอยู่นิ่งๆสักครู่ไม่ได้หรืองัยน่ะ ซุกซนไปทั่ว
“ผู้คนที่นี่ยังคงประกอบอาชีพ ทำไร่ไถนา อย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมาตั้งแต่ในอดีต อาจจะมีเครื่องทุ่นแรงช่วยบ้างในปัจจุบัน แต่บางครอบครัวก็ยังมีวิถีชีวิตแบบเก่า”
“แบบไหนหรือค่ะ” กรกมลถาม ก่อนจะดูดน้ำบ๊วยเขียวแช่เย็น ข้าวโพดปิ้งติดคอ ชายหนุ่มเห็นแล้วอยากจะขำ แต่ก็ขำไม่ออก
“เช่น ใช้ฟืนในการหุงอาหาร “ ดวงตากลมโตสีน้ำตาล หันไปมองรอบๆจึงเห็นผู้เฒ่าขนฟืนใส่รถเข็นจากป่าเข้ามายังหมู่บ้าน “ในขณะที่บางครอบครัวก็ยอมรับความเจริญ แบบวัตถุนิยมเข้ามา ทั้งรถยนต์หรูและสิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านเรือน เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำความร้อน รวมทั้งจานดาวเทียม รับสัญญาณโทรทัศน์ ดูเกมส์โชว์ และละครดังจากเมืองหลวง”
กรกมลเดินมองไปรอบอย่างซุกซน บ้านหลายหลังผันตัวเองเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้ แต่ก็มีจำนวนไม่มากสักเท่าไหร่ หญิงสาวลากแขนชายหนุ่ม เดินชมบ้าน เข้าตามตรอกออกตามซอยภายในหมู่บ้านอย่างสนุกสนาน
“บ้าน คฤหาสน์หลายหลัง ซึ่งเคยเป็นบ้านของเหล่าขุนนางที่เคยรับราชการในราชสำนัก เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ เช่น หลังนี้ “ ชายหนุ่มดึงแขนหญิงสาวเดินเข้ามา ในบ้านที่ชื่อ พชร ที่แปลว่าเพชร (หมู่บ้าน กัชชลา แปลว่า แร่พลวง)
กรกมลเซถลา ไปซบกับแผ่นอกกว้างอย่างแรง ธารนธีก็เลยถือโอกาส กอดซะเลย ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมา ระยิบระยับ
“บ้านแต่ละหลังจะมีข้าวของเครื่องใช้ และประวัติของเจ้าของบ้านให้ศึกษา”
บรรยากาศโดยรอบหมู่บ้านก็ดูสวยงาม มีหน้าผาสูง และแม่น้ำ
คชารีไหลเอื่อยๆผ่านเป็นวงโค้งอ้อมหมู่บ้านทางทิศตะวันตก พร้อมกับต้นท้อ ที่ปลูกเป็นแนวบนสันคูฝั่งตรงข้ามมีวัดถ้ำเวียงสิงห์ตั้งอยู่
“อาโป ที่ลานกว้างของ หมู่บ้าน เขาทำอะไรกันเหรอค่ะ”
“ออ มีการแข่งขันยิงธนู น่ะครับ “
“น่าสนใจ ไปดูกัน “ หญิงสาวดึงแขน ชายหนุ่มให้ไปยังลานหมู่บ้าน ที่แน่นขนัด ไปด้วยผู้คน และนักท่องเที่ยว ที่มาชมการแสดงการยิงธนู ของชายหนุ่ม ที่สวมชุดสีดำ แบบ ชาวคีรีธารา
ใบหน้าคมคาย คิ้วเข้ม นัยน์ตาสีดำขลับดุดัน จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสด กำลังยืนถือคันธนู เล็งไปยังเป้าที่อยู่ห่างออกไกลประมาณ สามเมตร
“มาดู เขาประลองธนู หรือ ว่ามาดู ผู้ชายกันแน่” กรกมลวิจารณ์ออกมา เป็นภาษาไทย เพราะเธอเดาได้ว่า ในบริเวณแถวนี้ไม่มีใครฟังออกหรอก นอกจากธารนธีคนเดียว
“สาวๆเขาก็มาดูผู้ชายน่ะสิ “ ชายหนุ่มพูดเหน็บให้ อย่างหมั่นไส้ เลยถูก กรกมลค้อนให้
“แล้วหนุ่มๆละค่ะ มาดูอะไร” กรกมลแกล้งถามกลับไปคืน แบบประชดประชัน
“ถามพิลึก จังเลย เขาก็มาดูสิว่า ใครจะมีฝีมือ เก่งกว่ากัน “ ยอดยาหยี ของเขาคิดอะไรแต่ละอย่างพิเรนท์ อย่าบอกใครล่ะ
“ในที่นี่ มีใครจะท้ายิงธนูกับ พ่อหนุ่มคนนี้อีกไหม “ ท่านผู้เฒ่าอายุประมาณ หกสิบปี หันมาถามผู้ชมรอบๆๆสนามประลอง กรกมลเหล่ตามอง ธารนธีที่ยืนคลี่ยิ้มน้อยๆๆที่มุมปาก นัยน์ตาสีดำขลับมองไปยัง ร่างสูง ของชายหนุ่มที่สวมชุด สีดำ ที่หันมายิ้มให้ผู้คนรอบๆ ใบหน้าคมคายหล่อเหลา (ราวกับสวรรค์ส่งมาเกิด)
“เราอยากจะท้ายิงธนู กับ ท่านผู้นี้ “ ชายหนุ่มชุดสีดำ ชี้นิ้วมายัง ธารนธีที่ยืน ทำหน้าราบเรียบนิ่ง ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มนิดๆ(กะแล้ว ว่ามันต้องเป็นแบบนี้) ทุกคนรอบๆๆหันมามอง เขาเป็นจุดเดียว รวมทั้งกรกมล ด้วย ผู้ชายคนนั้น ท้า ธารนธียิงธนูเหรอเนี่ย
“ว่างัย ท่าน “ เสียงทุ้มห้าวถาม ริมฝีปากแดงสด ยิ้มแบบยั่ว
“อาโป” กรกมล จับแขนชายหนุ่ม เอาไว้แน่น ใบหน้างาม ซีด แต่ทว่า ธารนธีกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง นัยน์ตาสีดำขลับแอบถลึงใส่ ชายหนุ่มสวมชุดดำ
“ไม่กล้าเหรอท่าน “ ชายหนุ่มชุดดำ ถามเหมือนจะยั่วโทสะของ ธารนธีอย่างงัยอย่างงั้น กรกมลคิด
ริมฝีปากบางสีแดงคลี่ยิ้มนิดๆๆ
“ได้ ถ้าท่านอยากจะท้าประลองกับเรา”ธารนธีรับคำท้า ถ้าไม่ตกลง ชายหนุ่มชุดดำก็คง ไม่วายยั่วโมโหเขา หรอกน่ะ (กัดไม่ปล่อย ซวยที่ต้องมาเจอ )
“ตกลง “

กรกมลยืนมองชายหนุ่มสองคน ที่ยืนอยู่ริมสนามประลอง ชายหนุ่มสวมชุดดำ หันมามองหญิงสาว ก่อนจะส่งยิ้มให้อ่อนๆแต่ถูกกรกมล ถลึงตาใส่อย่างโกรธๆๆ หนอยไอ้ผู้ชายบ้า คนมีตั้งมากมายไม่เลือก ดันมาเลือกธารนธี
เชอะ อีตา ธารนธีนี่ก็อีกคน รับคำท้าไปได้อย่างงัย ยิงเป็นหรือเปล่าธนูน่ะ (เป็นแต่อย่างอื่นละมั้ง คิดเอาเองละกัน ว่าอะไร้)
ลืมไป ธารนธีก็เป็นคนชาวคีรีธารานี่หนา เรื่องยิงธนู ฟันดาบ ขี่ม้า เล่นดนตรี พิณ ซึง เป่าขลุ่ย เขาก็ย่อมต้องทำได้อยู่แล้ว อีกอย่าง อีตาธารนธี ก็เป็นถึงบุตรชายท่านทูต เรื่องพวกนี้คงจะจิ๊บๆสำหรับเขาน่ะ หวังว่าเขาคงไม่ทำให้ตัวเองต้องมาอับอายขายหน้าคนนับร้อยหรอกน่ะ บุตรชายท่านทูตแห่งประเทศคีรีธารายิงธนูไม่เป็น (เพราะว่ายิงธนูเป็นกีฬาประจำชาติ ผู้ชายคนไหนยิงธนูไม่เป็นก็สมควรไปอยู่บนเทือกเขามณฑารพซะ ยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศคีรีธารา
พ่อเลี้ยงแห่งไร่สตรอเบอร์รี่ ทำไมไม่เป็นเจ้าชายด้วยวะ กรกมลคิด เจ้าชายธารนธี โอ้…เจ้าชายสายน้ำ )
“เราจะแข่งขัน ภายใน ธนูสามดอก ว่าใครยิงเข้าเป้าได้มากที่สุด “ กรรมการตัดสินหันมาบอก เทพบุตร ชุดดำและชุดขาว ที่ยืนจ้องหน้ากัน แบบคุมเชิง
ธารนธีคลี่ยิ้มอ่อนๆให้ อย่างสบายใจ ดวงตาสีดำเหล่มองกรกมลที่ยืนทำหน้าเครียด จนเห็นได้ชัด
“เริ่มได้” กรรมการตัดสินบอกชายหนุ่มสองคน ที่ยืนถือคันธนูเล็งไปยังเป้า ที่ตั้งไว้กลางลานประลอง
ฟิ้ว !!!!
กรกมลอ้าปากค้าง เมื่อเห็น ธารนธีปล่อยลูกธนู ลูกแรก ยังไม่ทันจะถึงเป้า ลูกธนูดอกที่สองก็ตาม ไปอีก
เฮ้ย!! ผู้คนรอบสนาม เริ่มขยับตัวกันอย่างตื่นเต้น
ฟิ้ว!!!เปรี๊ยะ
ลูกธนู ดอกที่สอง สวนผ่ากลางลูกธนูดอกแรกกระเด็น
ฟิ้ว!!!!!!!!!!!!!!!!
ลูกธนู ดอกที่สาม ตามออกไป
ฉึก
ลูกธนูทั้งสองดอกปักลง กลางเป้าอย่างแม่นยำ แต่ที่สำคัญ เป้าธนู กลับขาดกระเด็นตกลง บนพื้น คงไม่ต้องบอก ก็คงจะรู้ว่าใครชนะหรือว่าใครแพ้ (ผู้ชายสวมชุดดำ แค่ยิงเข้าเป้า แต่ ธารนธีกลับยิงธนู จนเป้าธนูขาดกระเด็น ฝีมือสุดยอด) อย่าบอกน่ะว่าธารนธีเป็นนักกีฬา ยิงธนูด้วย เพ่อาโป เธอชักอยากจะรู้แล้วสิว่าตัวตนที่แท้จริง เขาเป็นใครกันแน่ เป็นผู้ชายแบบไหน ท่าทางเงียบๆทำตัวเรียบๆแต่บุคลิกท่าทาง การแสดงออกบางครั้งยามเผลอ มันชวนให้เธอสงสัยอยู่ตงิดๆ ว่าเขาจะต้องไม่ใช่แค่บุตรชายท่านทูตหรือว่าพ่อเลี้ยงแห่งไร่สตรอเบอร์รี่แน่ๆ(ผู้ชาย อย่างอาโป ถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัว ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด ว่าตัวเองเป็นใคร )
ธารนธีกระตุกริมฝีปากยิ้มน้อยๆ ให้ รวิดนัย ที่ยืนยิ้มกวนๆให้
“เราแพ้ท่านแล้วล่ะ “ รวิดนัยกล่าวจบ ก็เข้ามาจับมือกับธารนธี
อย่างมีน้ำใจลูกผู้ชาย เสียงฮือฮา ปรบมือดังกระหึ่ม กรกมลก็อดปรบมือชื่นชมเขาไม่ได้
ผู้ชายอาไร้ หล่อ เท่ห์ เก่งไปทุกอย่าง โฮะๆๆๆแฟนใครหวา
หากพอเห็นสายตาคมกริบ เจือหวานคู่นั้นเหลือบมองมา ทำให้ธารนธีอยากจะเตะร่างสูงๆให้ไปไกลสายตาของเขา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ส่งมาดูจะอ่านความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออก ธารนธีได้แต่ทำหน้าราบเรียบนิ่ง ตึง เฮ้อ!!!!!!
ซันเดย์ รวิดนัย ชลธารพิทักษ์ นายว่างมากหรืองัย หรือ ว่าที่เคียงตะวันรีสอร์ท ไม่มีอะไรให้ทำ เลยต้องมาท้าประลองธนูถึงจังหวัดธาราคีรีน่ะ(ซวยจริงๆๆต้องมาท้าประลองธนูกับลูกพี่ลูกน้องตัวเอง เซ็งจริงๆๆ)
เมื่องานจบลง ชาวบ้านที่มุงดูเริ่มทยอยออกจนโล่ง ธารนธีเดินกลับมาหากรกมล ด้วยรอยยิ้มกริ่ม พร้อมกับชายหนุ่มที่สวมชุดดำที่เดินยิ้ม หน้าระรื่น
“ไปกันเถอะครับ “ ธารนธีโอบเอวบางเอาไว้หลวมๆ
“คะ”
“เดี๋ยวสิครับ “ รวิดนัยเรียกสองหนุ่มสาวไว้
“มีอะไร” ธารนธีหันมาถามเสียงห้วน ส่วนกรกมล ก็ยืนมองตาปริบๆๆผู้ชายอาไร้ หน้าตาดี เท่ห์ เก่ง
เฮ้ย !!!นี่เธอแอบชมผู้ชายคนอื่นเหรอเนี่ย
“ใจคอจะไม่แนะนำสาวน้อย แก้มป่อง ให้รู้จัก เลยเหรอ อาโป”รวิดนัยตบไหล่ลูกพี่ลูกน้องเบาๆแล้วหันมาทางกรกมล พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หญิงสาวยิ้มตอบรับ ซึ่งเป็นยิ้มที่ค่อนข้างเหยเกพิกล
“อ้อ….”ธารนธีรับคำ” กรกมล …รู้จัก รวิดนัย เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเองครับ “
“หะหา ลูกพี่ลูกน้อง”หญิงสาวพูดเสียงดัง ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดี ก็เลยได้ “ สวัสดีค่ะ กรกมล ภัทรโยธิน” มือเล็กยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเป็นทางการ คุณกรกมล “ คนนี้น่ะเหรอทายาทวังปทุมวัน ผู้หญิงที่ธารนธียอมเสี่ยง ชีวิต ไปขออัญมณี สื่อรักแทนใจ จากเจ้าหลวงอินทร์เกษม เพื่อมา เป็นของหมั้น
ก็น่ารักดี สวยใสตามธรรมชาติ สเปคของอาโป เขาล่ะ
ชายหนุ่มสองคนเดินคุยกัน ไปตามทาง กรกมลได้รู้ว่า รวิดนัยเป็นเจ้าของเคียงตะวันรีสอร์ท อยู่ที่จังหวัด บุรินทร์รัตน์ ดินแดนแห่งแสงพระอาทิตย์ ทางตอนใต้ของประเทศคีรีธารา(ตระกูลชลธารพิทักษ์นี่ ท่าทางจะเป็นตระกูลที่รวย หรือเก่าแก่ที่สุด ของประเทศคีรีธารา แน่เลยๆๆกรกมลคิด )
“ถ้าว่างๆ ก็อย่าลืมให้อาโป พาไปเที่ยวที่เคียงตะวันรีสอร์ท บ้างน่ะครับ คุณกุ้งนาง “
“ค่ะ คุณซันเดย์”
ประเทศคีรีธารา มีงานเทศกาลมากมายที่จัดขึ้นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตรกรรม อาหาร งานฝีมือ และศิลปะต่างๆ
การจัดงานเทศกาลขึ้นตามเมืองต่างๆหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดปี ยิ่งในปัจจุบันทางรัฐบาลประเทศคีรีธารากำลังส่งเสริมการท่องเที่ยว กำหนดให้เป็นปีการท่องเที่ยวคีรีธารา ให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมตลอดทั้งปี ถ้านับกันจริงๆมีไม่ต่ำกว่า 200 กว่างาน กระจายจัดกันไปทั่วประเทศ
โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่มีเทศกาลบ่อยมาก เพราะช่วงนี้ประเทศคีรีธารา อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นสีฟ้า เหมาะแก่การท่องเที่ยวที่สุด
“เทศกาลงานHi kerethara Festival นี่จะจัดขึ้นที่เมือง หลวงเศรษฐปุระ ในเดือนพฤษภาคม เป็นงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของคีรีธารา โดยเฉพาะ หนึ่งปี จะจัด สี่รอบ ตามฤดูกาลน่ะครับ “ รวิดนัยหันมาอธิบายให้กรกมล ที่เดินอยู่ข้างๆกายของธารนธี
“น่าสนใจ น่ะค่ะ “
“ครับ มีเวทีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านจากทุกภูมิภาคของประเทศ และการแสดงจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่นจีน อินเดีย เกาหลี ด้วยน่ะครับ”
“แล้วงานเทศกาลชา ภูธาราจะเริ่มเมื่อไรล่ะค่ะ” กรกมลถาม รวิดนัย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมอง ธารนธีที่ทำหน้าบึ้งตึง ราวกับยักษ์วัดโพธิ์ (อาการหึงของอาโป เริ่มจะกำเริบอีกแล้ว)
“เดือนพฤษภาคม น่ะครับ” รวิดนัยตอบ พลางยิ้มให้แบบสุภาพ ผู้หญิงคนนี้ เหมือนดาริกา หรือหนูดาว น้องสาวเขาอย่างงัยอย่างงั้นล่ะ สดใส ร่าเริง ราวกับดอกทานตะวัน
“ก็อีกสองเดือนสิค่ะจะถึงงานเก็บใบชา” กรกมลยิ้มหวาน เพราะตอนนี้เธอมาเที่ยว อยู่ในเดือนมีนาคม ช่วงฤดูใบไม้ผลิ(งานเก็บใบชา เธอจะไปถล่มไร่ธารารินทร์ ของธารนธีให้ย่อยยับเลยล่ะ ที่บังอาจ ทำให้เธอหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ แถมยังปล่อยไก่หมดเล้า ไปกี่ตัวก็ไม่รู้ ใครจะรู้ล่ะว่าชายหนุ่มกับพ่อเลี้ยงแห่ง ไร่ชา กาแฟ เป็นพี่น้องฝาแฝดคนละฝากันล่ะ ทำการค้ากันมาตั้งนาน เพิ่งมารู้ความจริงเอาเมื่อไม่นานนี่เอง มิน่าล่ะมารดาถึงได้ยุแยงตะแคงรั่วให้เธอจีบ พี่ชายของพ่อเลี้ยงแห่งไร่ชา กาแฟ อยากได้เขาเป็นลูกเขย เรือล่มในหนองเงินทองจะไปไหน เข้าใจคิดน่ะมารดาของเธอน่ะ เฮ้อ!!!! จุดไต้ตำตอจริงๆ)
“ช่วงนี้ก็มีงานเทศกาลโคมไฟดอกบัว เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธเจ้า ในงานจะมีโคมไฟมากกว่า หมื่นดวง พร้อมกับขบวนพาเหรดที่ถนนมหาหงส์ ถนนที่จัดได้ว่าสวยที่สุดของเมืองหลวง “
ธารนธีอยากจะหัวเราะ หรือว่าจะขำดี ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่า กรกมลน่ะ นักเรียนทุนแลกเปลี่ยน เรื่องพวกนี้เธอก็รู้ กรกมลแอบถลึงตาใส่ชายหนุ่ม เป็นเชิงห้ามปราม
“เพื่อสร้างความสามัคคี และความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน”
กรกมลเดินฟัง รวิดนัยพูดเกี่ยวกับเทศกาลงานประจำปีของฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลวัฒนธรรมพื้นบ้าน หมู่บ้านกัชชลา เทศกาลวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก ที่หมู่บ้านบุญประดิษฐ์ และงานเทศกาลโคมไฟอธิษฐาน ที่จะเริ่ม ในอีกสัปดาห์หน้า
ความรักแม้ว่าใครได้ผูกพันซึ้งใจ
ซึ้งกันแม้คนนั้นอยู่แสนไกล
เฝ้าคิดถึงกัน เฝ้าฝันอาลัย
ถึงเธออยู่แสนไกลเพียงไหน
ฉันยังผูกพัน รักมั่น
“คิดถึงเมื่อก่อน ที่ไม่ย้อนหวนมา เจ็บใจที่ตัวเรา แสนเศร้าหนักหนา อาจเป็นเวรกรรม ชักนำให้รักนั้นมา แล้วก็พาดวงใจ ฉันไปพบเธอ”
คณะกายกรรมกำลังเปิดการแสดงละครเรื่องราวความรัก อันแสนเศร้าของชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งที่เล่าขาน ในคีรีธาราระหว่างเจ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรสยามกับเจ้าหลวงแห่งคีรีธารา
กรกมลคว้าแขนธารนธีไว้ก่อน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม จ้องมองหุ่นเชิดที่เป็นตัวละคร เจ้าหลวงแห่งคีรีธารา
“ช้าก่อนแม่หญิง “ ชายวัยกลางคนรับบทชายหนุ่มแห่งคีรีธารา
“มีอะไรหรือท่าน “
“ออ …ข้าขอทราบชื่อของเจ้าหน่อยจะได้ไหม”
“เราชื่อ บัวงาม แล้วท่านล่ะมีนามว่ากระไร”
“เราชื่อ สายน้ำ “
ละครเล่นต่อเนื่องไปเรื่อยๆจนถึงฉากงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง นี่ล่ะ กรกมล รู้สึกหน้ามืด ตาลาย เป็นลมล้มพับซบ กับแผ่นอกกว้างของธารนธี ไปซะก่อน ที่จะได้ทันดูละครฉากสำคัญของเรื่อง
ทำไมละครมันเหมือนความฝัน เมื่อคืนไม่ผิดเพี้ยนเลยน่ะ สายน้ำ กับ ดอกบัวงาม เรื่องราวจริงๆเป็นแบบไหนกันน่ะ ทำไม หัวใจของเธอถึงได้เจ็บปวด แบบนี้น่ะ เจ็บจริงๆเหมือนหัวใจโดนกรีดด้วยมีดนับพันเล่ม
“ ความรักเอยจงกลับมา อย่าร้างแรมราฉันยังหวังคอย”
ดวงใจที่ต้องไปไกลตา
กองทัพเตรียมพร้อมที่จะเดินทางสู่เมืองธาราคีรีแล้ว ร่างสูงใหญ่เดินออกมานอกประตูตำหนัก พร้อมกับร่างบอบบางที่เตรียมตัวเดินทางกลับแผ่นดินเกิด
ชายหนุ่มกุมมือบางเอาไว้แน่น ดวงตาคมจ้องมองใบหน้างดงามที่กำลังจ้องมองเขา ตอบด้วยความรักและห่วงหา
“อย่าทำหน้า แบบนี้สิ เจ้าต้องเข้มแข็ง “ ร่างสูงดึงร่างบอบบางเข้ามากอดอย่างปลอบประโลม มืออุ่นลูบไล้แผ่วเบาไปตามเรือนผมดำขลับซึ่งเกล้ามวยขึ้นไว้อย่างสวยงาม ปักด้วยดอกไม้ไหวสีทอง
“สายน้ำ ท่านสัญญาแล้วน่ะค่ะ ว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก” หญิงสาวเอ่ย อยากได้ยินคำสัญญาที่เขา จะพูดอีกสักครั้ง
“ข้าสัญญา” ชายหนุ่มรับคำ” เจ้าเองก็ต้องสัญญากับข้าจะไม่ร้องไห้ คอยข้ากลับไปรับ”
นัยน์ตาสีดำขลับจ้องมองนัยน์ตาหวานคม ซึ่งหม่นหมอง เสียงสะอื้นของหญิงสาวยังก้องอยู่ในใจไม่จางหาย
เวลานี้บ้านเมือง อยู่ในช่วงภาวะสงคราม เกิดการกบฎขึ้น แม่ทัพคนสำคัญถูกฆ่าตาย
วันนี้เขาต้องส่ง หญิงสาวผู้เป็นดั่งดวงหฤทัยกลับสยาม เพื่อให้เธอปลอดภัย
“สายน้ำ ท่านสัญญาแล้ว อย่าผิดสัญญากับเราน่ะ เราขอร้อง” หญิงสาวกอดร่างสูง ใบหน้างามซบลงกับแผ่นอกกว้าง ราวกับเธอกำลังจะสูญเสียเขาไปตลอดกาล
ชายหนุ่มก้มลงจูบแผ่วเบาที่เรือนผมงาม ก่อนจะผละออกมามองหน้าชัดๆ แล้วเสียงขรึมก็เอ่ยถ้อยคำที่ไม่อยากจะเอ่ย “ได้เวลาเดินทางแล้ว ท่านหญิง”
“สายน้ำ เราจะคิดถึงท่านน่ะค่ะ” เสียงหวานใสจำต้องหยุดทุกคำพูด เพราะเสียงสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่คอ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้อีก ริมฝีปากจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากสีหน้าและดวงตาคมหวานกลับเศร้าซึ่ง เกาะกุมหัวใจอย่างชัดเจน
ใจชายหนุ่มวูบไหวเจียนจะหล่นหาย เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาว ผู้เป็นดั่งดวงหฤทัย หยาดคลอไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางสั่นน้อยๆ เพราะกำลังกลั้นเสียงสะอื้น เขารู้ว่าหญิงสาวกำลังกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา เพราะไม่อยากให้เขาเห็น
หญิงสาวก้มหน้านิ่งไม่กล้ามองใบหน้าของคนที่กำลังจะจากไป ปิ่นปักผมรูปดอกบัวถูกเสียบลงบนมวยผม
“ข้าให้ เจ้าเอาไว้เป็นของที่ระลึกว่า ในใจของสายน้ำจะมีแต่ดอกบัวงาม คนเดียวตราบนานเท่านาน ชั่วนิรันดร์”
“สายน้ำ “ ดวงตาคมหวานช้อนมองหน้าคมคาย มือเล็กถอดกำไลทับทิม ออกจาก ข้อมือขวา “เราให้ มณีศิลา เป็นสื่อรักแทนใจของเรา บอกว่า ในหัวใจ ของท่านหญิงแห่งสยาม จะเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว ผู้เป็นดั่งสายน้ำ “
ชายหนุ่มผละออกจากร่างหญิงสาว มืออุ่นยังกุมมือเธอแน่นราวกับตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้นชายหนุ่มก็กอดร่างบอบบางเข้ามากอดเอาไว้แนบอกกว้าง จุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปากอวบอิ่ม ก่อนจะเดินออกห่างจากไปไกลจากสายตา อย่างตัดใจลงได้ หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น
แผ่นหลังกว้างลับหายไปท่ามกลางเหล่าทหารที่รอเคลื่อนทัพ หม่อมเจ้าประทุมวดีปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมา อย่างไม่คิดจะห้าม ร้องไห้พอสาแก่ใจ
อ้อมกอดของเจ้าหลวงภัทรธารา ร่างสูงที่เคยเคียงข้าง เมื่อไหร่เธอจะได้สัมผัสกับความอบอุ่นนั้นอีกครั้ง
“เจ้าหลวงภัทรธารา เมื่อไหร่ เราสองคนจะได้พบกันอีก “ น้ำตาใสไหลลงอาบลงสองแก้ม ในใจได้แต่พร่ำหาคนที่ห่างกาย “หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปาฎิหาริย์มีจริง เราขอแค่เพียงสักครั้ง ที่จะได้กลับมาพบกับเจ้าหลวงภัทรธารา สายน้ำ ชายสุดที่รัก อีก”
โอ้…สายน้ำเอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่า
ตัวข้า นั้นหนา เฝ้าคำนึงหา ผู้ที่เป็นที่รัก
ธารนธีเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลออกมา จากหางตาให้กรกมลที่นอนซบอยู่กับแผ่นอกกว้างของเขา ให้อย่างแผ่วเบา ใบหน้าคมคายมีแววเศร้านิดๆๆ ดวงตาสีดำขลับมีแววหม่นแสง มือใหญ่ลูบแก้มนวลเบาๆๆ
ไม่คิดเลยว่า คณะละครกายกรรม จะหยิบยกเรื่องราว ของ ลำนำรักสายน้ำ มาแสดง ชายหนุ่มกระตุกยิ้มนิดๆ
หม่อมเจ้าประทุมวดี ท่านหญิง ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนน่ะ ได้พบกับเจ้าหลวงภัทรธารา หรือยังน่ะ เจ้าหลวงกลับไปรับท่านหญิงตามคำสัญญา หรือเปล่าล่ะ
“อาโป ฉันเป็นอะไรไปค่ะ” กรกมล ถามเสียงแหบแห้ง เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา
“เป็นลม น่ะครับ “ ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบๆ
“เป็นลม น่าแปลกทำไมฉันเป็นลมไปได้” กรกมลพยุงร่างบอบบางนั่ง ธารนธีช่วยประคองร่าง แต่ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกมึนหัวขึ้นมาอีก จนต้องซบลงกับไหล่กว้างอีกครั้ง “อาโป”
“ถ้ายังไม่หาย ก็นอนหลับตาสักครู่เถอะครับ” เขาบอกเสียงอ่อนโยน
“อาโป”
“ครับ”
“ละครจบแล้วเหรอค่ะ”
“ครับจบแล้ว ถามทำไม จะไปดูเหรอครับ”
“ทำไม ฉันถึงได้รู้สึกว่า” น้ำตาเริ่มจะไหลออกมาอีกแล้ว
“ว่าอะไรครับ”
“อยากจะร้องไห้ หัวใจของฉันทำไมถึงเจ็บปวดแบบนี้ ฮือๆๆ” น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“กรกมล “
รวิดนัย ที่กำลังเดินขึ้นเข้ามาภายในศาลาริมแม่น้ำ ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ ใบหน้าคมคายเบือนหน้าหนี ภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจ แทนธารนธีเหลือเกิน เจ้าชายสายน้ำกำลังกอด หญิงสาวผู้เป็นที่รัก เอาไว้ในอ้อมกอด
ลำนำรักสายน้ำ มันเศร้าสร้อย เคล้าน้ำตา ไม่ผิดหรอกที่กรกมลจะร้องไห้จนตาบวมแบบนั้นน่ะ
คนในวังธารา ต่างก็เจ็บปวดกันทุกคนล่ะ เมื่อสายน้ำ ไม่ได้อยู่เคียงคู่กับดอกบัวงาม
เจ้าหลวงภัทรธาราไม่ได้เสด็จไปรับหม่อมเจ้าประทุมวดี ที่สยามเพราะพระองค์สิ้นพระชนม์ อยู่ที่เมือง ธาราคีรี ร่างของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่วินธัยบุรี อยู่ริมหน้าผาดอยผาภูมิ ใกล้น้ำตกทองผาภูมิ พระราชวังลอยฟ้า พนมฐิราพัชร
เจดีย์สีขาวสององค์ตั้งเคียงคู่กัน ภายใน สุสานหลวงชื่อ ปทุมธารา สายน้ำ และดอกบัว
รวิดนัยเหลือบตามอง เจ้าชายสายน้ำที่บรรจงเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา
เจ้าหลวงภัทรธารากลับชาติมาเกิดเป็นเจ้าธารนธีนรเทพหรืองัยน่ะ ชายหนุ่มคิด ถึงได้วิ่งตามสาวน้อยชาวไทย ครั้งแล้วครั้งเล่า (ถึงขั้นดักฉุดกลางสนามบินก็ยังกล้าทำ ตีตราจองหญิงสาวด้วย มณีศิลา สื่อรักแทนใจ ที่หม่อมเจ้าประทุมวดีมอบให้เจ้าหลวงภัทรารา ในยามจากกัน )
จะว่าไปแล้ว กรกมล ภัทรโยธิน ก็เป็นทายาทวังปทุมวัน ที่สืบเชื้อสายมาจาก หม่อมเจ้าประทุมวดี หรือว่า สายน้ำ กับ ดอกบัวงาม จะกลับชาติมาเกิดใหม่กันน่ะ ตามคำมั่นสัญญาที่สองพระองค์เคยให้กันไว้ รวิดนัยคิด
คนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดก็ คือ เจ้าหลวงอินทร์เกษม กับเจ้านางหลวงเรืองรำไพ เท่านั้นล่ะ(เพราะเรื่องราว ผ่านมาแปดสิบปีแล้ว คนรุ่นหลังอย่างเขา ก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรมากมายนักหรอก )
“อย่าร้องไห้สิครับ มันเป็นแค่ละครเองน่ะครับ” เขาปลอบประโลมหญิงสาวที่ยังสะอื้นไม่หาย ถ้าไม่ติดว่าเป็นละครน่ะเขาอยากจะฆ่าพวกคณะกายกรรมทิ้งซะด้วยซ้ำ (เวอร์เกินไปแค่พังเวทีการแสดงก็พอละมั้ง เพ่อาโป)
“ถ้าเป็นเรื่องจริงมันจะเจ็บปวดแค่ไหนกันค่ะ “ หญิงสาวพูด พลางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ไม่เข้าใจตัวเลยว่าทำไมจะต้อง มานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาอาบแก้มแบบนี้ ปกติแล้วเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอสักหน่อย
เฮ้อ!!!แค่ดูละครที่แสดงจากคณะกายกรรมเล่น ถึงกับร้องไห้ แทบน้ำตาจะเป็นสายเลือด น่าอายมากๆ
“คุณร้องไห้ไม่ผิดหรอก กรกมล เพราะคุณอาจจะคือ หม่อมเจ้าประทุมวดี กลับชาติมาเกิดก็ได้ “ ธารนธีคิด มือใหญ่ลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆๆ คนอื่นเขาแค่น้ำตาซึม เศร้า แต่ยอดยาหยีถึงกลับร้องไห้โฮ ออกมาเลย(ขนาดว่า ที่วังธาราเคยจัดการแสดงลำนำรักสายน้ำขึ้น มา ในงานไหว้บรรพบุรุษ เขาก็ยังไม่เห็นมีใคร ร้องไห้โฮ ออกมาสักคนเดียว เพิ่งจะมาเห็นกรกมล นี่ล่ะ มหัศจรรย์มากๆๆเลย)
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความทุกข์ถึงได้มาห้อมล้อมตัวฉัน
ทุกวันฉันเฝ้าแต่ภาวนา ความเปล่าเปลี่ยวแห่งรักนั้น เร่งขับไล่ไป
นับจากวันนั้นเธอบอกกับฉันว่า รักฉันชั่วฟ้านิรันดร์”

“พี่อาโป” หญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดชาวคีรีธารา สีฟ้า สีชมพูและสีเหลืองอ่อน สามคนตรงเข้ากอด ร่างสูงโปร่งด้วยความดีใจ
ฉิบหายละ ธารนธีสบถอยู่ในใจ ร่างสูงโปร่งเซถลาไปตาม แรงกอดของสามใบเถา
กรกมลเห็นแบบนั้น ก็เกิดอาการหึงขึ้นมาทันที อยากจะทิ้งถังหูลู่(เป็นชื่อขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง ใช้ผลไม้ เช่นสตรอเบอร์รี่ พุทธาจีน เสียบไม้ไผ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้น แล้วจุ่มลงไปในน้ำเชื่อม) กับ เซาปิ่ง (ขนมแป้งอบหรือทอด มีลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะ บ้างก็คล้ายพิซซ่า โดยมากจะโรยด้วยงา) ทิ้งทันที
“ดีใจจังเลย ที่ได้เจอพี่อาโปที่นี่” สาวชุดสีฟ้ากอดแขนชายหนุ่มแน่นใบหน้าสวยใส ยิ้มระรื่น บาดจิตบาดใจของสาวไทยที่ยืนถือ ถังหูลู่กับเซาปิ่ง เหลือเกิน
“พี่อาโปใจร้ายมากๆเลยไม่ยอมไปเยี่ยมหนูน้ำเพชร” สาวชุดสีชมพูปราดเข้ามาทักทายแบบนางงาม คือเขย่งตัวกอดเขา พลิกแก้มแนบแก้ม
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม เบิกกว้าง จ้องมองธารนธีที่กำลังยิ้มแบบแห้งๆๆให้กรมล ที่ตอนนี้กำลังหึงจัด ใบหน้างามบึ้งตึง ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มตรง
“พี่อาโปคิดถึงพวกเราบ้างไหมค่ะ “ ไผ่แก้วถามชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงใส่ นัยน์ตาสีดำขลับเหล่ไปมอง กรกมลที่ยืนเชิดหน้าใส่ ท่าทางจะหึงจัด
ธารนธี ชลธารพิทักษ์ ผู้ชายหลายใจ เจ้าชู้ กะล่อนปลิ้นปล้อน มือไว คนฉวยโอกาส ลามก ฯลฯ
กรกมล เม้มปากบริภาษชายหนุ่มอยู่ในใจ โอ้ย!!!ยิ่งมองก็ยิ่งอยากจะตั้นหน้าหล่อเหลา ที่ยืนยิ้มระรื่น น่าโมโห หงุดหงิด อยากตบหน้าคมคายสัก ผัวะสองผวะ ฮึ่ม!!!!
“ดูเหมือนคุณกุ้งนาง กำลังจะหึง อยู่น่ะครับ” รวิดนัยทอดสายตามอง สาวไทยที่กำมือแน่น เขายิ้มเล็กน้อยในแววตา
อาโป เอย งานนี้ตัวใครตัวมันล่ะ เขาไม่ช่วยหรอกน่ะ
“เหรอค่ะ ไม่รู้ตัวน่ะเนี๊ย “
อาโป กลับถึงบ้านสวนดอกท้อเมื่อไหร่ หัวแตกแน่ๆๆ จะซ้อมให้กระอักเลือด จนตายล่ะ บังอาจมาลูบคองูเห่า ให้ผู้ชายหัวพญานาค แอบมามีกิ๊กไกลถึงประเทศคีรีธาราเลยน่ะ คนเดียวมันยังไม่พอ ควบสามคนเลยน่ะ
“แม่ค้า ขอน้ำใบบัวบก สามแก้ว ด่วน” กรกมลหันไปสั่งแม่ค้า ขายน้ำผลไม้ ริมข้างทางของงาน ด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด
รวิดนัยแกล้งเมินหน้ามองไปทางอื่น เพื่อซ่อนรอยยิ้ม อยากจะหัวเราะใจจะขาด สงสารธารนธี จริงๆๆจะแก้ตัว หรืออธิบายกับสาวเจ้า แบบไหนล่ะงานนี้
“พระเชษฐา ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร “ ดาริกา เปิดประเด็นถามคนแรก หลังจากลากตัวชายหนุ่มออกมาจาก หญิงสาวชาวไทย ได้
“ใช่ บอกมาน่ะว่าพระเชษฐาว่ามาทำอะไรแถวนี้น่ะ” มณินทรก็ไม่ยอมถามไปบ้าง
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับพระเชษฐาค่ะ” ไผ่แก้วถามเสียงเข้ม
“ถามทีล่ะคำถามได้ไหมครับ “ ธารนธีพูด ก่อนจะสลัดแขนให้พ้นจากมือปลาหมึก ตุ๊กแก สามตัว (คน) ใบหน้าคมคายบึ้งตึง
“เธอคนนั้นเป็นใคร” ไผ่แก้วถามเสียงหวาน นัยน์ตาคมหวานเหล่มอง กรกมลที่ยืนถือน้ำใบบัวบก สามแก้ว ใบหน้าสวยใสบึ้งตึง ท่าทางจะหึงจัดน่ะเนี่ย ควันออกจากหูแล้วมั้ง โอ้!!!มีการเหวี่ยงค้อนใส่ด้วย
“กรกมล ภัทรโยธิน ทายาทวังปทุมวัน ว่าที่คู่หมั้นของพี่เองล่ะ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆๆ “ที่มาด้วยกันได้เพราะว่า พี่ไปดักฉุดเขามาจากสนามบินทิพย์ธาราเองล่ะ “
“พี่อาโป”
“มีอะไรอีกล่ะ สาวน้อย “ ธารนธีเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มณินทร น้องสาวคนสุดท้องของ มณีนพเก้า ที่ยืนทำหน้าเหรอเหรา ส่วนสองสาวทำหน้า แหยงๆๆ เชื่อพี่ชายของเธอเลยล่ะ กล้าดักฉุดว่าที่คู่หมั้นตัวเอง กลางสนามบิน ไม่กลัวตกเป็นข่าวเลยน่ะ เจ้าชายสายน้ำ ธารนธีนรเทพ
“พี่อาโปกล้าทำมากเลยน่ะค่ะ พวกเราสามคนคิด ว่า พี่ฟากฟ้าพูดนั่นเป็นเรื่องเล่นๆซะอีกน่ะเนี่ย “ ดาริกาพูดขึ้นเชิงตำหนิ ลูกพี่ลูกน้อง แต่ทว่าธารนธีกลับไม่สนใจอะไร แต่ที่เขาสนใจตอนนี้ก็คือว่า สามสาวจะอยู่ก่อกวนเขาไปถึงไหน
“ผู้หญิง คนนี้น่ะเหรอ ที่ทำให้พี่อาโปเกือบโดนประหารชีวิต ที่อุตริไปขอมณีศิลา จากเจ้าหลวง มาเป็นของหมั้นแทนใจ “
“หน้าตาก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลยล่ะ”
“พอๆๆหยุดวิพากษ์วิจารณ์สักทีได้ไหม พี่ปวดหัว ถ้าพวกเราสามคน ก่อกวนพอแล้ว ก็เชิญกลับวังธารากันไปได้แล้ว” ชายหนุ่มโบกมือไล่ น้องสาวสามคน ให้ไปไกลๆๆ
“ฝ่าบาท กล้าไล่พวกหม่อมฉันเหรอเพคะ “ ดาริกาเริ่ม จุดชนวนสงครามคนแรก เรื่องอะไรจะกลับง่ายๆล่ะ พี่อาโป
“นี่ ดาริกา หยุดอย่ามาเรียก พี่แบบนี้กลางงานกลางตลาดได้ไหม “ ธารนธีห้ามเสียงเข้ม มีหรือ เจ้าหญิงแห่งดวงดาวจะกลัว
“ฝ่าบาท กลัวประชาชนรู้ว่าฝ่าบาทเป็นใคร หรือกลัวว่าที่พระคู่หมั้นจะรู้ว่าฝ่าบาท คือเจ้าชายสายน้ำ กันแน่ ล่ะเพคะ” ไผ่แก้วก็ไม่ยอมแพ้ แกล้งกระตุกหนวดเสือเล่นๆ ธารนธีถลึงตามองสามสาวอย่างโกรธๆๆ
“จะไปไหนก็ไป อย่ามาก่อกวนได้ไหม พี่ขอร้อง” อยากจะสวีทหวานกับ ยอดยาหยี ทำไมจะต้องมีมารมาขัดขวางอยู่ร่ำไป
“พวกหม่อมฉันสามคน ไม่ได้มาก่อกวนสักหน่อย แค่อยากจะรู้จักกับว่าที่พระชายาของฝ่าบาท ใจคอจะไม่แนะนำให้รู้จักเลยเหรอเพคะ “ ธารนธีถอนหายใจดังเฮือก อยากจะเรียกราชองครักษ์ หรือว่าทหาร ให้นำพวกสามใบเถาไปส่งที่วังธาราเหรอเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขา กลุ่มมณีนพเก้า ทำตัวติดดินใช้ชีวิตเรียบง่าย ไปไหนมาไหน มักไม่ค่อยมีคนติดตามสักเท่าไหร่ เพราะเจ้าหลวงต้องการให้พวกมณีนพเก้าทุกคน รู้จักการใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน จะได้เข้าใจความรู้สึกของคนธรรมดา และการเผชิญภาวะกดดันสารพัดปัญหา จะได้ทำให้มณีนพเก้าทุกคน แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
การเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาบินได้สักหน่อย
“ว่างัยเพคะฝ่าบาท “ ดาริกาถาม พลางยิ้มยั่ว พี่ชาย ที่ทำหน้าเครียด ดวงตาสีดำขลับ คุกรุ่น
“พวกเรามากับใคร” ธารนธีถามน้องสาวสามคนด้วยความเป็นห่วง
“ผู้กองศิขริน” ไผ่แก้วเป็นคนตอบ
“ฉิบหายล่ะงานเนี่ย” ตัวยุ่งมาอีกคนแล้วเหรอเนี่ย พาทหารมาหมด กรม เลยหรือเปล่าน่ะ ชายหนุ่มคิด
“ใจเย็นๆๆพระเชษฐา ผู้กองศิขริน ไม่อยู่หรอก ไปด่านชายแดนน่ะเพคะ “ มณินทร ตอบ พลางปลอบใจพี่ชายที่ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินยาเบื่อ อย่างงัยอย่างงั้น
“แล้วใคร ดูแลพวกเราสามคนล่ะ” เขาถาม อดเป็นห่วงไม่ได้ คงจะหนีออกมาเที่ยวกัน ตามเคย เดือดร้อน คิรินทร ต้องตามมาดูแล สงสารคนที่มีน้องสาว ดื้อๆซนๆแบบนี้จริงๆ
“หมวด ประวิทย์ กับ หมวด ประพนธ์ ตอนนี้พวกเราให้สองคนนั้นตามกันอยู่ห่างๆๆพระเชษฐาไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเพคะ ว่า พระคู่หมั้นของพระเชษฐาจะรู้ว่าพวกเราเป็นใครน่ะ”
“ใช่ พวกเราทั้งสามคนก็ทำตัวเยี่ยงสามัญชน จนชินกันแล้วนี่ ตำแหน่งเจ้าหญิง เจ้าชายให้ ประทับอยู่ที่วังธารากันเถิดเพคะ “
“ต่อให้ใคร อยากจะค้นคว้าหาข้อมูล เจ้าหญิงเจ้าชาย ของประเทศคีรีธารา ก็หาไม่เจอหรอกเพคะ เพราะพวกเราปิดเวบไซต์หมดแล้ว ตามคำบอกของพระเชษฐา ถ้าจะหาจริงๆก็คงจะมี แต่ภาพเจ้าหลวง กับ เจ้านางหลวงเท่านั้นล่ะเพคะ สบายใจได้” มณินทร พูดยิ้มๆๆ
ภายนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิฉายแสงอบอุ่น ต้นหยางและต้นหลิวเขียวขจี
อีกด้านของหน้าต่าง สาวงามดุจเทพธิดาสามคน ที่หนีลงจากสวรรค์มาเที่ยว นั่งขนาบเคียงข้างธารนธี อยู่ในร้านอาหารริมแม่น้ำ ปล่อยให้กรกมล นั่งโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่บนหัวโต๊ะ (เธอเป็นประธาน ในงานเลี้ยงหรืองัยน่ะ เซ็ง ถ้าทำได้อยากจะเดินหนี ไปให้ไกลๆๆ ไม่อยากจะเห็นภาพบาดจิตบาดใจ ทิ่มแทงหัวใจ ฮึ่ม!!!!ธารนธี งานนี้ หัวแตก ไม่งั้นก็คางเหลือง)
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเขม็ง เป็นเชิงตัดพ้อต่อว่า (น้ำใบบัวบกสามแก้ว คงจะไม่พอ คงจะต้องเอามาอีกสัก สองโอ่งมังกรละมั้งงานนี้) หัวใจร้อนรุ่ม
“ดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้จะไม่ค่อยถูกปากคุณกุ้งนางเลยน่ะค่ะ” ดาริกาทอดสายตาคมหวาน มองมายังกรกมลที่นั่งถือช้อนนิ่ง ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มหวานหยดย้อย
“อ๊ะ…ถูกปากสิค่ะ” กรกมลตอบเสียงหวานกลับ แต่ทว่าในใจอกแทบจะระเบิดด้วยความหึง ความหวง
นางฟ้ากับนางมารกำลังแบ่งภาคอยู่ในตัวของ กรกมล ภัทรโยธิน หญิงสาวเอ่ยสนทนาอย่างยิ้มแย้มอ่อนหวาน ขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่ ริมแม่น้ำ
“ร้านนี้อร่อยออก บรรยากาศก็ดีดี๊” เจ้าของนัยน์ตากลมโตกวาดมองไปรอบโต๊ะอย่างชื่นชมจริงใจ (แกล้งทำไปอย่างนั้นล่ะค่ะ)
อีตา สายน้ำไหลลึก คุณกำลังทำให้ฉันกลายเป็นนางมารร้าย
“ก็คุณทานน้อยจังเลย” มณินทรยิ้มนุ่มนวล(แต่กรกมลคิดว่า มันเป็นการยิ้มยั่ว โมโหอย่างงัยอย่างงั้น ใครจะกระเดือกลง พวกหล่อนคว้า แฟนของฉันไปต่อหน้าต่อตา ใครทานลงก็บ้าแล้ว)
“ลองทาน หมูหม้อไฟ หรือ หมูกระทะ นี่ดูสิครับ เขาทำได้อร่อย” รวิดนัยเลื่อนจานอาหารอีกจานมาตรงหน้าหญิงสาว เพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ที่แสนจะตึงเครียด
เฮ้อ!!!น้องสาวของเขาจะแกล้ง กรกมลอีกนานแค่ไหนน่ะ น่าสงสาร หญิงสาวจริงๆ ธารนธีก็ไม่ช่วยอาไร้ได้เลย น้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก (โดนสามสาวขู่ ซะ ถ้าพระเชษฐาไม่ยอมอยู่เงียบๆ นิ่งๆจะเปิดโปง ความลับ ให้กรกมลรู้ให้หมด ว่าเป็นใครมาจากไหน อยากจะลองเสี่ยงดูไหมล่ะ )
หมูหม้อไฟหรือหมูกะทะ ประกอบด้วย เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้นบางๆแล้วนำไปหมักในน้ำมันงา ซอสถั่วเหลือง พริกไทย กระเทียม ขิงและหัวหอม จนได้ที่แล้วนำมาต้มหรือผัดในกะทะกับหอมหัวใหญ่ แครอท กระหล่ำปลีหั่นฝอย เห็ด และวุ้นเส้นจนสุก แล้วตักมารับประทานกับข้าวสวย
“ทานเยอะๆน่ะค่ะ คุณกุ้งนาง มื้อนี้พี่อาโปเป็นคนเลี้ยง น่ะค่ะ” ไผ่แก้วยิ้มให้ ( อยากจะไล่ ผู้หญิงคนนี้ไปเก็บหม่อนเลี้ยงไหมจริงๆ แม่เลี้ยงร้านผ้าไหมผาม่อนแก้ว ของจังหวัดดาราธิป อาจารย์สอนทอผ้าแห่งมหาวิทยาลัยบุรเศรษฐ์) อยากเอาหมูกะทะขว้างใส่หน้าหล่อๆเหลือเกิน กรกมลคิด อย่างโมโห ที่ไม่สามารถทำอะไรชายหนุ่มได้
“คุณกุ้งนาง ไม่ต้องกลัวว่าพี่อาโปจะหมดตัวหรอกคะ รายนี้ชอบเลี้ยงสาวๆมากกว่าเลี้ยงน้องๆอีกน่ะค่ะ “ มณินทรยิ้มให้ น้ำ
เสียงบ่งบอกว่ากำลังแขวะ ธารนธี เข้าให้อย่างจัง
คนที่กำลังหึง หน้ามืดตามัว ไม่ได้ฟัง สามสีพี่น้องพูดอะไรกัน ก้มหน้าก้มตา นั่งทานข้าวอยู่อย่างเงียบๆ รีบๆกินจะได้รีบไป ให้พ้นภาพสะเทือนใจ เสียที
มือไม่มีหรืองัยน่ะ ถึงได้ให้ยายเด็กมหาวิทยาลัยปีสี่ป้อนน้ำป้อนข้าว ทำตัวราวกับพระราชา ชิ หมั่นไส้(สงสัยสอบปลายภาคได้เอแน่ๆ ละน้องเอ๋ย ศิลปศาสตร์ สาขาไหนดีล่ะ การโรงแรมและการท่องเที่ยว ด้านการบริการ ที่แสนจะประทับใจ จริงๆ) อีตา ธารนธีคิดจะเลี้ยงต้อยหรืองัยย่ะ
“พวกเราสองคนนี่พูดจาอะไรกันเนี่ย เดี๋ยวพี่ก็ขายไม่ออกหรอก อย่ามาเผากันเองแบบนี้สิ” ธารนธี ตีหน้าเศร้า น่าเอ็นดู ดาริกาเบ้ปากใส่ เสแสร้งแกล้งทำชัดๆเลย พระเชษฐา
“ฮึ!!ขายไม่ออก” กรกมลเค่นเสียงเยาะเย้ย ถากถาง” ฉันคิดว่าสาวๆหลายคนพร้อมใจยกกายใจถวายให้ฟรีๆ แค่เพียงคุณกระดิกนิ้วเรียกแล้วล่ะมั้ง “ ไม่ใช่หมานะโว้ย!!!กระดิกหางยิกๆ
“คุณ หึงผมเหรอ” ชายหนุ่มถาม พลางยิ้มยั่ว มือใหญ่กอดร่างดาริกา กับ มณินทร แน่น ทั้งซ้ายและขวา ยกเว้น ไผ่แก้ว คนเดียวที่นั่ง ใกล้กับรวิดนัย เลยไม่โดน ลูกหลงกับความคิดพิเรนท์ของสองสาวที่คิดจะแกล้งยั่ว โมโหของกรกมล กับ พระเชษฐาให้ทะเลาะกัน
ดวงตาคมหวาน เงยหน้าสบประสานกับดวงตาสีดำคมลึก ของรวิดนัย เหมือนจะบอกว่า ปล่อยให้ทะเลาะกันไป พวกเรามีหน้าที่ ทานกันอย่างเดียว ไม่ต้องไปสนใจ
ก็ดีเหมือนกัน เรื่องของพวกเขาสองคน ไม่เกี่ยวกับเธอ ว่าแต่ว่า ไก่ตุ๋นโสม นี่น่าทานจังเลย
ยิ่งเห็นภาพบาดจิต บาดใจ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากจะแล่นไปฆ่าเขามากเท่านั้น เมื่อเช้าอยู่กับเธอบนเตียง แต่ตกเย็นกลับมากอดยายสองสาว ชาวคีรีธารา ไอ้ผู้ชายหัวงู เส็งเคร็ง
ฮะๆๆๆยอดยาหยี เขานี่หึงจัดขนาดนี้เลยเหรอ ใบหน้างามๆแดงก่ำด้วยความโมโห โกรธ ผิดหวัง น้อยใจ
ทนไม่ไหวแล้ว ทำไมเธอต้องมานั่งมองพวกเขา สามคนแสดงภาพกระหนุงกระหนิงกันด้วยล่ะ พับผ่าสิ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
เชอะ ยายวัตถุโบราณ กรกมลค้อนใส่ ดาริกา ที่ทำหน้าแอ๊บแบ๊วใสซื่อ บริสุทธิ์ (ยายนักโบราณคดี แห่ง จังหวัดศิราพัชร แถวนั้นไม่มี หนุ่มๆให้จับหรืองัยถึงได้แล่นมาจับถึงธาราคีรีน่ะ เออ ….ลืมไปแถวนั้น มีแต่ปราสาทหิน กับวัตถุโบราณ ไม่มีผู้ชาย)
“ฉันจะไปหึงทำไมล่ะค่ะ ผู้ชายอย่างคุณไม่อยู่ในสายตาของฉัน สักนิดเดียว เทียบอะไรไม่ได้กับไก่ตุ๋นโสม ชามนี้หรอก “ กรกมลกระตุกยิ้ม ขึ้นอย่างสะใส เมื่อเห็นใบหน้าของธารนธีแดงก่ำด้วยความโกรธ “เชิญตามสบาย จะสวีทหวานกันแค่ไหนก็เชิญ ฉันขอทานข้าวก่อนก็แล้วกัน”
ไผ่แก้วกับรวิดนัย ลอบยิ้มให้กัน อย่างสะใจ เมื่อละครที่สนุกสนานกำลังจะเริ่มสนุก ดาริกากับมณินทรมองหน้ากันอย่างงงๆ ทำไมไม่หึงต่อล่ะ กำลังสนุกอยู่เลย
เฮ้อ….ยอดยาหยี คุณช่วยเล่นบทหึงหวงหน่อยได้ไหม เขาไม่อยากนั่งอยู่ในร้านอาหาร บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ เซ็ง!!!จะลุกหนีก็ไม่ได้ ยายสามใบเถาคงไม่ยอมง่ายๆ
ฮึ…ทำไมไม่แสดงฉากสวีทหวานต่อล่ะ กรกมลคิด ก้มหน้ามองไก่ตุ๋นโสมที่อยู่ในชาม
“ไก่ตุ๋นโสม จะใช้ไก่ที่มีอายุ45วัน ทั้งตัว ควักเครื่องในออกแล้ว ยัดไส้ด้วยข้าว โสมอายุ สองปี เกาลัด พุทธาแห้ง กระเทียม จากนั้นก็นำไปต้มจนสุก” รวิดนัยหันมาอธิบายให้ฟัง เห็นสายตาที่จ้องมองธารนธีแล้ว เขาขยาดแทน ลมพิษรักแรงหึง
“น่าทานอร่อยน่ะค่ะ” กรกมลพูด นัยน์ตาสีน้ำตาลเหล่มองธารนธี ที่กำลังถูกสองสาวป้อน ข้าวยำผัก
ฮึ ..ทานเสร็จเมื่อไหร่ เธอจะอาละวาดให้ดู แต่ตอนนี้ขอทานข้าว เรียกพลังก่อนล่ะ (ธารนธี คืนนี้เธอจะซ้อมผู้ชายหลายใจให้ดู ยูโด สายดำได้ใช้ก็งานนี้ล่ะ)
“ถ้าไม่ปรุงจะรู้ว่ารสชาติมันจืดชืด ทางที่ดีควรจะเยาะเกลือหรือพริกไทยลงไปจะดีกว่าน่ะค่ะ จะได้ทำให้มีรสชาติขึ้น” ไผ่แก้วหันมาแนะนำให้ด้วยความหวังดี ยายผู้หญิงคนนี้นับว่าดีกว่าสองสาวนั่นมาก แถม เป็นมิตรกว่า ยายดาริกา และ ยายชะนีน้อยมณินทรเยอะ แต่แปลกทำไมเจ้าหล่อน ไม่ไปแย่งกันเอาอกเอาใจชายหนุ่ม มานั่งทานข้าวเงียบๆ กับรวิดนัยสองคนทำไม หรือว่าแบ่งตำแหน่งกันไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ(นางเอกเริ่มคิดอกุศล )
“คุณ ซันเดย์ค่ะ ไม่ทราบว่า มีอาหารจำพวก ยำเล็บมือนาง น้ำพริกแมงดา ปูผัดผงกระหรี่ ต้มเปรตปลาไหล ลาบเลือด ผัดเผ็ดนกเขา อุ้งตีนหมี แล้วก็สะตอผัดกะปิกุ้งสด บ้างไหมค่ะ “ กรกมลถาม รวิดนัยที่กำลังถือใบผักกาดแก้ว ห่อเส้นขนมจีน ที่จะทานคู่กับไก่ตุ๋นโสมอยู่ ใบหน้าคมคายอึ้ง ดวงตาสีดำขลับจ้องมองไปยังธารนธีที่กำลังยก ไวน์ที่กลั่นจากแอปเปิ้ลแคระขึ้นจิบ ถึงกับสำลัก พรวดออกมา ไอค่อกแค่ก
หากความรักคือทุกข์ในใจ หากรักมีไว้เพื่อเจ็บ
เก็บรัก ปวดร้าวเกินทน หากคนรักคนนั้นคือเธอ ก็จะยอม
ยอมเธอคนเดียวเท่านั้น ขอแค่ได้รักเธออยู่ แค่รู้ความหมายในใจ
ที่ฉันมีให้เธอไป ได้รักอย่างนี้เพียงพอ
ไม่ทำให้หนักใจ จะช้าเพียงใดก็ให้เธอ
ยอดยาหยี เล่นด่ากระทบเขาทางอ้อมเลยใช่ไหม ฮึ..หลุดออกจากบ่วงสามใบเถาไปได้เมื่อไหร่ล่ะก็ คอยดูเถอะเขาจะจัดการกับหญิงสาวให้หนำใจเลยล่ะ ไม่ช่วยแล้วยังประชดประชัด เหน็บแหนม แดกดัน อีกน่ะ เฮ้อ….
“ซันเดย์ แถวนี้มี ต้มยำกุ้ง กุ้งแช่น้ำปลา กุ้งผัดพริกไทยดำ บ้างไหม อาหารไทยน่ะ พวกนี้ทานแล้วเลี่ยน “ ธารนธี ตอกกลับคืนบ้าง รีบลุกๆออกจากร้านอาหารสักทีสิที่รัก ขอร้องเถอะ
“พี่อาโปอยากทานหรือค่ะ “ ไผ่แก้วถามพี่ชาย แกล้งช่วยรับมุข สงสาร หญิงสาวที่โกรธ หน้าแดงก่ำ พวกเธอสามคน เล่นกันรุนแรงไปหรือเปล่าน่ะ ถ้าสองคนเลิกกันจริงๆ พระเชษฐาง้อหญิงสาวไม่ได้พวกเธอสามคน คงจะโดนถูกกักขังบริเวณแน่ๆๆ
“ใช่ อยากทานมากๆ ขอกุ้งตัวโตๆน่ะ อ้อ ขอขนมข้าวเกรียบกุ้งด้วยน่ะ ถ้ามี” เขาพูดยิ้มๆ กรกมลถึงกับสะดุ้งตกใจ
“คุณซันเดย์ ค่ะ มีแห้วลอยแก้วไหมค่ะ ช่วยสั่งมาให้ อาโปทานเป็นของว่างด้วยน่ะค่ะ ท่าทางคงจะชอบ” เสียงใสไม่วาย กระแทกแดกดันกลับคืน เริ่มอิ่ม แล้ว ได้เวลาสาวไทย อาละวาดแล้วล่ะ คิดเหรอว่า เธอจะเป็นนางเอกผู้น่าสงสาร ให้รังแกได้น่ะ รักคือการแย่งชิง แค่คิดแล้วก็สนุกแล้ว
“สั่ง น้ำใบบัวบกมาให้ เลยจะดีกว่า น่ะครับ ผมกับคุณจะได้ดื่มกันสองคน งัยล่ะ “
เปรี๊ยงๆๆๆๆๆต่างฝ่ายต่างสบตากันไม่ลดละ เห็นกระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะแปลบปลาบระหว่างสายตาทั้งคู่
ฝันไปเถอะว่าเธอจะอ่อนข้อให้ ไอ้ผู้ชายใจโลเล หัวงู หลายใจ อย่างนี้มันจะต้องดัดนิสัยกันมั่งแล้ว มาสิ ตาต่อตาฟันต่อฟันกันล่ะทีนี้
กรกมลยิ้มหยันไม่ยี่หระ เพียงแค่ชายตามอง ขณะหยิบข้าวยำผัก ซึ่งประกอบไปด้วยผักสารพัดชนิด อาทิถั่วงอก ผักโขม เห็ดหอม สาหร่าย พริกแดง น้ำมันงา มีเนื้อวัว เนื้อไก่ ไข่ปนมาเล็กน้อย วางอยู่บนข้าวสวย เข้าปากอย่างไม่สนใจ
“ไม่ทราบว่า คุณสามคนจะแบ่งตำแหน่งกันอย่างงัยดีละค่ะ ใครหลวง ใครน้อย” กรกมลแกล้งถามขึ้นแบบลอย สามสาวเม้มปาก มองมาด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ “ได้ข่าวว่า ประเทศคีรีธารา ผู้หญิงจะแต่งงานกันได้ครั้งเดียวเองน่ะค่ะ”
“สามหาว พูดจาหน้าเกลียด ทหา….” ดาริกาหุบปากเงียบทันที เมื่อถูกมณินทร หยิกต้นขาเตือนสติ สาวสวยถึงกับสะบัดหน้าหนีทันที ด้วยความขัดใจ
“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนน่ะค่ะ เชิญพวกคุณทานอาหารกันตามสบาย ไม่ต้องรีบ โดยเฉพาะคุณอาโป ผัดเผ็ดนกเขาคงจะอร่อยแน่ๆ รวมทั้งลาบเลือดด้วย ฮึ….” ร่างบอบบางลุกขึ้น ยิ้มหวานเจี๊ยบให้ธารนธีที่ ยิ้มหวาน นัยน์ตาสีดำขลับเต้นระริกด้วยความดีใจ “คุณสามคน พอดี ฉันสั่งน้ำสตรอเบอร์รี่มาให้ อย่าลืมดื่มน่ะค่ะ ท่าทางจะเปรี้ยว หวาน จับใจเลยละค่ะ ส่วนน้ำใบบัวบก เชิญคุณดื่มคนเดียวน่ะค่ะอาโป”
ส่งความรักติดตามไป หมดใจทั้งใจที่มี
แค่ได้รู้ได้เห็น ความเป็นไปของเธออย่างนี้
เก็บเธอไว้ อยู่กับใจ ในความฝันยาวนานที่ฉันมี
เพราะอะไร เธอคงรู้ดี คำตอบเดียวที่ฉันพอจะมี คือรักเธอ
คนบ้า!!!!คนผีทะล!!! คนน่าเกลียด!!!ไอ้ผู้ชายกะล่อน !โฮ้ย!!ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ไม่อยากสรรหาคำมาว่าแล้ว ยิ่งคิดยิ่งแค้น
กรกมลนึกประนามตัวการพร้อมกับขยี้เท้าอย่างหงุดหงิด อยู่บริเวณเนินสูง ใกล้ๆมีต้นท้อปลูกอยู่ เพื่อระบายอารมณ์คุกรุ่น ที่ทำให้ต้องรีบออกจากร้านอาหาร มาก่อนจะระงับใจไม่ไหว
เฮ้อ…เกิดเผลอทำอะไรบุ่มบ่ามลงไป ไม่ใช่แค่ตัวเองจะได้ขายหน้า ดีไม่ดีอาจจะลามไปถึงวังปทุมวัน ว่าหย่อนการอบรมทายาทอีก ซวยกันพอดี
ไอ้ผู้ชายหลายใจ ใจโลเล นึกอยากจะทำอะไร ไม่เคยคิดถึงใจของคนอื่นบ้างเลยน่ะ นึกว่าตัวเองวิเศษวิโส จนใครๆยอมลงให้หมดเลยหรืองัย ฝันหวานไปเถอะ
แค้นๆๆๆคิดแล้วพาล โกรธ และก็นึกน้อยใจ เสียดายยังไม่ได้แก้เผ็ด ชำระแค้น
…เพล้ง!!!...
กรกมลเตะขวดเหล้าที่ถูกทิ้งไว้แถวนั้นกลิ้งหลุนๆไปกระทบเนินเขาแตกไม่มีชิ้นดี ร่างบางกระแทกตัวนั่งลงบนโขดหินอย่างหงุดหงิด
ยายสามใบเถาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ดูจากการสวมใส่เครื่องประดับและการแต่งกายแล้ว จะต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงินแน่ๆ(ดาริกา สวมอัญมณีมุกดาหาร ทั้งตัว ไผ่แก้ว บุษราคัม ส่วนมณินทร เพชรคาเทียร์ ทั้งตัว ) ดูจากลักษณะ ผิวพรรณ มีสง่า ราศี เกินกว่าคนธรรมดา รู้จักกับธารนธีได้อย่างงัย
คิดถึงอีตาบ้านั่น ขึ้นมาทีไร หงุดหงิดทุกที เกลียดจริงๆไอ้ผู้ชายเจ้าชู้ เห็นผู้หญิงสวยหน่อยก็หน้ามืดตามัว
ยังด่ายังไม่สะใจเลย คนถูกนินทาในใจก็เดินเข้ามาจากหลังพุ่มไม้
“มาอยู่ที่นี่เอง ให้ตามหาจนทั่ว “ เสียงทุ่มห้าวลอยเข้ามากระทบหู ไม่ผิดกับดุนฟืนเข้าไปในกองเพลิง ทำให้กรกมลตวัดตาเรืองโรจน์ใส่คนที่ก้าวยาวๆมาหยุดยืนตรงหน้า
“จะมาหาเรื่องอะไรกัน อีกล่ะค่ะ คุณธารนธี แล้วแม่สามใบเถาคุณเอาไว้ที่ไหนล่ะ” หญิงสาวตอกกลับอย่างเผ็ดร้อนด้วยแรงผลักดันภายใน
“ก็อยู่ในร้านนั่นล่ะ “ เขาตอบเสียงเรียบๆ หลังจากการอบรมสามสาวใบเถาจนหนำใจ ถึงได้เดินออกมาตามหาหญิงสาว (ดาริกาแทบจะกรี๊ดลั่นร้านเมื่อถูกรวิดนัย พี่ชายแท้ๆดุเข้าให้ ส่วน มณินทร ก็ถูกผู้กองศิขรินหรือคิรินทร พี่ชาย ดุอีกคนแถมถูก หักเงินค่าขนมด้วยซ้ำ คนที่สบายสุดๆคงจะเป็นไผ่แก้ว ที่พี่ชายไม่ได้มาด้วย)
“เอ้อ เหรอค่ะ ออกมาแบบนี้ไม่กลัวสามสาวโกรธบ้างเหรอคะ ทิ้งพวกเธอมาเดี๋ยวก็ร้องไห้กระซิกๆหาว่าฉันไปแย่งคุณมาจากอ้อมกอดพวกเธอหรอก “เธอประชดประชัน แดกดันไม่เลิก ธารนธีเห็นแล้วอดขำไม่ได้ ดวงตาสีดำขลับเหยียดยิ้มเช่นเดียวกับริมฝีปาก
“ผมกลัวคนตรงหน้าจะโกรธมากกว่า “ ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ
“ฉันจะไปโกรธคุณทำไมคะ คุณจะมีกิ๊กกี่คนก็เรื่องของคุณ ไอ้ผู้ชายหลายใจ ใจโลเล ผู้ชายกะล่อน”
“ผมดีใจ จังเลย ที่เห็นคุณ หึงผมแบบนี้น่ะ” เขากอดอกมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
“ใครหึง คุณ มิทราบ” เสียงหวานใส ตวาดแว๊ดๆๆกลับคืน ก่อนจะถลึงตามองอย่างดุร้าย
“ก็คุณงัย กรกมล” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ กรกมลได้ฟังถึงกับเต้นผาง มือเล็กกำหากันแน่น ไม่ให้ยกมือไปตบหน้าคมคาย ด้วยความน้อยใจแกมโมโห (เล่นบทตบจูบไม่เป็น ไม่งั้นเข้าทางธารนธี)
“ธารนธี ชลธารพิทักษ์ “ ธารนธีลอบหัวเราะแกมหมั่นไส้ในใจ มาอีกแล้ว มาดผู้หญิง ปากกับใจไม่ตรงกัน
“หึง ก็บอกว่าหึงสิครับ “
“เหอะ ใครจะหึงผู้ชายกะล่อนแบบคุณ” กรกมลเชิดหน้ากล่าวอย่างน้อยใจ หยาดน้ำตาอุ่นๆเอ่อคลอขอบตาคู่งาม หากแต่เจ้าตัวยังใจแข็งไม่ยอมให้มันหลั่งรินออกมา
“ผมเหรอผู้ชายกะล่อน “ เขาถาม ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะดึงร่างบอบบางมากอด
“ธารนธี ปล่อยฉันน่ะ อย่ามากอด ไอ้ผู้ชายหลายใจ ไอ้….”ด่ายังไม่ทันจบกลีบปากนุ่มถูกประกบโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวตาลุกโพลง ร่างกายอ่อนระทวยในอ้อมแขนแข็งแกร่ง มือของธารนธีโอบกอดเธอซะแน่นจนขยับหนีไม่ได้
“จะด่าอะไรผมอีกล่ะ”
“ไอ้…อุ้ย!!” หญิงสาวอุทานเมื่อเขาฝังจมูกลงบนพวงแก้มเนียนนุ่ม พร้อมกับสูดลมหายใจฟอดใหญ่
“แก้มฮอม หอม แถมนุ่มด้วย”
”ธารนธี” หญิงสาวเบี่ยงหลบด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่ยังไม่ทันคนฉวยโอกาสก็หอมแก้มอีกข้างของเธออย่างรวดเร็ว
กรกมลเอามือกุมแก้มตัวเองสองข้าง ค้อนจนตาคว่ำ
“คุณกล้าดีอย่างงัย มาล่วงเกินฉันแบบนี้ ไอ้ ผู้ชายเจ้าชู้”
“ทำไมผมจะทำไม่ได้ล่ะ หรือว่าคุณอยากให้ผมไปทำกับผู้หญิงอื่นล่ะ ผมจะได้ไป” เขาแกล้งพูดยั่วโทสะหญิงสาวเล่นๆ ก่อนจะรวบเอวบางอ้อนแอ้นมากอดแน่น โดยไม่สนใจอาการดิ้นขลุกขลัก แถมยังฝากจุมพิตบนหน้าผากมนอีกที
“อี๋ ปล่อยฉันน่ะ ผู้ชายหลายใจ” หญิงสาวทั้งข่วนทั้งต่อยตี หมายจะหลุดจากวงแขนปลาหมึกของอีกฝ่าย
“เวลาหึง ที่คุณ น่ารักมากเลยน่ะ” เสียงทุ้มห้าวหัวเราะในลำคอ
“กรี๊ดๆๆ อุ๊บ….” เสียงขาดหายเมื่อริมฝีปากอิ่มหวานถูกปิดสนิทด้วยเรียวปากร้อนแรง เชิงเรียกร้องกึ่งเว้าวอนกลายๆ จนกรกมลชาดิกไปทั้งร่าง
หญิงสาวพยายามหยุดทุกอย่าง หากพอเผยอปากห้าม กลับกลายเป็น เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายลิ้มรสได้อย่างเต็มที่ และเล็มเกลี่ยกล่อมเธอเสียจนอ่อนปวกเปียก ร่างบอบบางอ่อนแรงจนแทบทรุด หากไม่ใช่อ้อมแขนแข็งแรงพยุงเอาไว้
กรกมล มึนงง และมึนเมาไปกับรสสัมผัส เหมือนถูกสูบลมหายใจออกจากร่าง เนื้อตัวสั่นสะท้านเบา หวิวราวกับเป็นสิ่งไร้น้ำหนัก
ชายหนุ่มบรรเลงจุมพิตหวานเร่าร้อนนัวเนีย จนหญิงสาวครางออกมา มือบางผลักแผงอกกว้างเบาๆ แต่ทว่าเมื่อถึงตัวกลับเปลี่ยนไปขยุ้มเสื้อขาวไว้เป็นหลักโดยไม่รู้ตัว
เป็นเนิ่นนานกว่าธารนธีจะยอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาสีดำขลับพราวระยับ ริมฝีปากบางยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะใช้นิ้วหัวแม่มือไล้เรียวปากอวบอิ่มที่สั่นระริกจากรสจุมพิตดื่มด่ำ
“ไม่ต้องหึงหรอกครับ ยังงัยผมก็จูบแต่เด็กดื้อของผมคนเดียวเท่านั้นล่ะ” เขากล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงล้อๆแกมขำ
“ใครเด็กดื้อของคุณ” หญิงสาวเถียงเสียงแข็งทั้งที่หายใจหอบถี่ ใบหน้านวลแดงระเรื่อ
ทำไม ทะเลาะกันทีไร ต้องมาจบลงด้วยวิธีการแบบนี้ทุกที
เฮ้อ…แล้วก็ ยอมเขาทุกทีอีกเหมือนกัน
“ถ้าไม่ยอมรับ ถ้าอย่างนั้น ผมขออีกรอบก็แล้วกัน” เขาไม่พูดเปล่า ทำท่าจะจูบเธออีก เหมือนผึ้งเจ้าชู้ที่ไม่ยอมผละจากกลีบดอกไม้แรกแย้ม กรกมลรีบก้มหน้างุดกับแผ่นอกกว้างทันที “จะหลบหน้าทำไมละครับ มาให้ผมหอมแก้มดีๆ” ชายหนุ่มหัวเราะร่า
จำความรักเสน่หาของฉันไว้ จำให้ได้ฉันรออยู่มิเว้นว่าง
เฝ้าคอยเธอกลับมาอยู่มิรู้จาง จะลืมร้างฉันไปมิใช่เลย
จันทร์ลอยคว้างกลางฟ้า สาดแสงจ้าทั่วทุกสถาน
ณ ท่ามวิเวกแห่งวิกาล คิดถึงสาวเจ้าเนื้อนวล
“กรกมล”
ร่างบางหมุนเซจนปะทะกับแผ่นอกแข็งแรง เมื่อเขาฉวยท่อนแขนบอบบางไว้ หญิงสาวดิ้นรนขัดขืน แต่ผลก็ไม่ต่างกับที่เคยเป็น
เธอไม่เคยเอาชนะวงแขนปลาหมึกของเขาได้เลย
“ฉัน เกลียดคุณ อาโป ได้ยินไหม ฮือๆๆ”
หนอย..ไอ้ผู้ชายบ้า แกล้งเธอ ให้หน้าแตกหมอ ไม่รับเย็บ แถมยัง กลายเป็นนางมารร้าย ในสายตาของสามสาวใบเถาอีกน่ะ เกลียดๆๆๆ เธอ เกลียด ผู้ชายเจ้าเล่ห์
ฮือๆๆสามสาวใบเถา เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา อับอาย ขายขี้หน้ามากๆ นี่เธอบ้า หึงจนลมออกจากหู ตีความหมายว่าสามสาวใบเถาเป็นกิ๊กของเขาได้อย่างงัยน่ะ
อยากจะกรี๊ดๆให้มันดัง ลั่นดอยตารกา
“ผมขอโทษ อย่าโกรธเลยน่ะ”เสียงทุ้มห้าว พูดเบาๆ วงแขนอบอุ่นโอบกอดร่างบอบบางด้านหลัง ก่อนจะพาดคางลงบนไหล่มน
เขาจรดริมฝีปากลงบนแก้มนิ่มๆเบาๆ
“ปล่อยฉัน” กรกมลตวาดเสียงเกรี้ยว แก้มเนียนบุ๋มลงด้วยรอยจูบหนักๆ จมูกและริมฝีปากร้อนผ่าวเลื่อนลงมาซุกไซ้ลำคอขาวเนียนอย่างร้อนแรง ร่างบางยิ่งอ่อนระทวยสั่นเทิ้ม ทั้งตัวด้วยอารมณ์วาบหวาม ว่าจะด่าชายหนุ่มให้สาแก่ใจ กลับด่าไม่ออก เล่นแบบนี้อีกแล้วน่ะ เพ่อาโป โธ่!!!!
“ผมขอโทษ ที่แกล้งคุณ”
“สนุกมากไหมค่ะ ที่เห็นฉัน ได้กลายเป็นนางมารร้ายน่ะ “ กรกมลถามเสียงแข็ง
อยากจะต่อยหน้าให้หมดหล่อซะเลย กรกมลแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ อย่าให้ถึงตาเธอบ้างละกัน จะเล่นงานกลับคืน ให้ร้องไม่ออกเลยละ
“ก็นิดหน่อย ใครจะคิดละว่าคุณจะหึงหน้ามืดตามัวขนาดนี้ ทั้งที่พวกเรา ก็หน้าตาคล้ายกันออกจะขนาดนั้นนะ “
“สรุปว่าฉัน ผิดงั้นเหรอคะ”
“แต่ผมชอบนะ ที่เห็นคุณหึงผมนะ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าคุณเองก็แคร์ผมมากแค่ไหน “ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันมาจ้องมอง เทพบุตรชุดขาวที่ยิ้มหวาน มือบางโอบต้นคอเขาไว้หลวมๆ ธารนธีก้มลงจูบลงบนกลีบปากนุ่มอ่อนหวานอีกครั้งอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ กรกมลเผยอรับจุมพิตนั้นโดยไม่อาจขัดขืน
ธารนธี คุณ นี่มัน ผู้ชายเจ้าเล่ห์มากๆ แถมยังแสบซ่าส์ กะล่อน เจ้าชู้ นักวางแผน
จะมีสักวันไหมนะ ที่ฉันจะทำให้คุณ มาสยบอยู่แทบเท้าได้น่ะ หึ..ฉันไม่วัน ให้คุณ เล่นงานฉันอยู่คนเดียวหรอกน่ะ คอยดูสิ ฉันจะต้องหาวิธี ปั่นหัวคุณกลับคืน ไปบ้าง
กรกมลคลี่ยิ้ม อย่างหวานหยดย้อย เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถอะ พ่อ สถาปนิก คนเก่ง จะได้วิ่งเต้นผางๆบ้างละ โฮะๆๆๆ
“รักเอยเคยคู่เคียง ร่วมร้อยเรียง สำเนียงรำพัน
วันนี้จากกัน เธอแปรผัน หันห่างไป
รักเอยที่เคยรัก โปรดชักนำเธอสู่ใจ
ฉันนั้นมั่นคงมิคลาย มอบหัวใจให้แด่เธอ”
งานราตรีชมจันทร์และบุปผาจัดขึ้นในยามค่ำคืนตามชื่อเรียก เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อชื่นชมความงามของดอกท้อและดอกบ๊วยซึ่งกำลังบานสะพรั่งไปทั่วทุกสี่ทิศของ หมู่บ้าน ซึ่งอาบไล้ด้วยแสงสุกสกาวของจันทร์เพ็ญ อบอวนด้วยกลิ่นอายของบนกวี
ตรงกลางลานกว้างของหมู่บ้านมีแท่นศาลาที่สร้างจากไม้ไผ่อยู่หลังหนึ่ง ลำไม้ไผ่เขียวเรียงเป็นรั้ว ผ้าม่านทิ้งตัวพัดพลิ้วแผ่วเบา
พิณโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะซึ่งทำจากไม้ไผ่ ชายหนุ่มชุดขาวนั่งหลังตรง ดีดพิณอย่างสงบ
เสียงพิณไหลรินระเรื่อย เหมือนลำธารไหล หลั่งลงมาจากภูเขาสูง แขกในงานพากันนั่งนิ่งสงบไม่มีคำพูดใด สายตาทุกคู่ไปหยุดที่ร่างชายชุดขาวผู้นั้น
“รักเอยเคยใกล้ชิด แนบสนิทในฤทัย
วันนี้กลับมลาย สิ้นสลายหายลับตา
รักเอยเคยรักกัน ใจผูกพันเนิ่นนานมา
วันนี้กลับไร้ค่า หยาดน้ำตาไหลหลั่งริน
รักเอยเคยเสน่หา แล้วไยมากลับกลายไปสิ้น
หัวใจสลายเป็นชิ้น หล่นลงดิน เพราะสิ้นกัน”
แสงจันทร์นวลสว่าง ดาวระยิบระยับพราวพร่าง ในสวนดอกไม้ ด้านหลังของงานราตรีชมจันทร์และบุปผา ศาลากลางน้ำเงียบสงัด ใต้แสงจันทร์
กรกมลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเข้ม สายลมพัดเสื้อสีขาวของเธอให้แผ่วพลิ้วไปด้านหลัง
ดอกซิ่ง(แอปริคอท เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย(ต้นบ๊วย) ดอกสีขาว อาจจะมีสีชมพูหรือสีแดงแซม เกสรสีเหลือง) ปลิดโปรยลงมาจากกิ่งตกลงบนชุดสีขาวของเธอ
ธารนธีใช้นิ้วหยิบขึ้นมาดอกหนึ่ง เขาหมุนดอกไม้ในมือเล่นอย่างอารมณ์ดี
“เป็นอะไรครับคนดี หน้างอเชียว โกรธอะไรผมเหรอครับ“ เขาถาม สาวน้อยแก้มป่องที่หน้าหงิกใส่
“บรรเลงพิณจบแล้วเหรอค่ะ ท่านอ๋อง “ กรกมล หันมาถาม ชายหนุ่มที่ยืนยิ้ม กว้าง แสงจันทร์อ่อนละมุนสาดส่องลงมา ทำให้ธารนธีเหมือนเซียนบนสวรรค์ เทพบุตรชุดขาว
ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ดวงจันทร์อ่อนแสง เสียงพิณโบราณลอยมา นิ่มนวลระเรื่อย อ่อนช้อยนุ่มหวาน
ดอกซิ่งบานสะพรั่งอยู่ข้างตัวร่างบอบบาง เงาของดอกไม้ส่องลงบนหน้าของหญิงสาว ดูงดงามราวกับเทพธิดาน้อยๆ
“งอนอะไรอีกล่ะ” อ้อมแขนอุ่นโอบรัดร่างบอบบางเอาไว้จากด้านหลัง ชายหนุ่มแนบหน้าเข้าเคลียกับแก้มใส
“อาโป คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้น่ะ” มือเล็กจับมือใหญ่ที่โอบเอวคอดอยู่ แล้วดึงออกช้าๆ หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมโอนอ่อนตามง่ายๆ
“คุณทำแบบนี้ฉันก็แย่สิคะ คนอื่นมาเห็นเข้า ฉันจะมองหน้าเขาอย่างไร” เสียงแผ่วเบาเอ่ยราวกับขอร้อง ใบหน้าแดงซ่าน
“หึๆๆไม่ใครเขามาเดินเล่นในสวนดอกไม้ บริเวณหรอกครับ “ ชายหนุ่มพูด ดวงตาสีดำขลับจ้องมองใบหน้างามด้วยความหลงใหล ก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้แล้ว ทาบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของร่างเล็กอย่างโหยหา
“อย่า….”มือเล็กดันแผ่นอกกว้างเอาไว้ก่อน ที่ริมฝีปากจะถูกปิด กรกมล เบี่ยงกายออกจากอ้อมกอดนั้น แม้ว่าธารนธีจะขืนแรงไว้
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวเป็นกังวล มือใหญ่จึงลูบใบหน้าเนียนอย่างอ่อนโยน
“ที่รัก ผมรู้จักสถานที่สวยงามในนี้แห่งหนึ่ง จะพาคุณไปดู คุณจะได้อารมณ์แจ่มใสขึ้นบ้าง ดีหรือไม่”
“เอ๊ะ? เป็นที่ไหนหรือค่ะอาโป”
“อย่าใจร้อน สิครับ อีกสักครู่คุณก็รู้เองล่ะ”
“เอ่อ….อุ้ย” เธอยังไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มก็มาช้อนร่างเธออุ้มเสีย ทำเอาเธอตกใจ จนต้องโอบแขนรอบคอเขาไว้แน่น “อาโปคุณปล่อย ฉันลงเดี๋ยวนี้น่ะค่ะ” เธอคว้าคอเสื้อเขาไว้ “ฉันมีขาเดินไปเองได้ “
“ก็ผมอยากอุ้มคุณน่ะ ตัวเบานิดเดียว” เขาตอบ แบบไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยหญิงสาวไปแม้แต่น้อย กรกมลได้แต่เดือดดาล ได้แต่คว้าตัวเขาไว้แน่น กลัวจะหล่นจากอ้อมแขนเขา ความจริงน่าจะบอกว่าขยุ้มคอเสื้อเขา มากกว่า
“อาโป ปล่อยฉัน ได้แล้ว ปล่อย” เสียงลมกรีดผ่านหูหวีดหวิว สองมือไขว้คว้าคอเสื้อเขาแน่นยิ่งขึ้น
ธารนธีไม่พูดอะไร กลับปล่อยให้หญิงสาวร่ำร้องอยู่แบบนั้น ไม่คิดจะห้ามปราม อีกอย่างถึงห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้กรกมลร้องจนพอใจก็แล้วกัน
ชายหนุ่มพาหญิงสาว มาถึงยอดเนิน กว้าง ที่เงียบสงัดวังเวงแห่งหนึ่ง ปกคลุมไปด้วยหญ้าป่าที่สูงถึงเข่า รอบด้านห้อมล้อมไปด้วยต้นซิ่ง สูงตระหง่าน บริเวณนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ นอกจากแท่นหินใหญ่ ที่คนสามารถ ไปนั่ง หรือเอนกาย นอนลงชื่นชม บรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงัด
ลมเย็นๆพัดโชยมา เสียงใบไผ่เสียดสีกันดัง เป็นจังหวะ ประดุจดั่งเสียงดนตรีเพลงกล่อมนอน
“ที่รัก ถึงแล้วครับ”
“หึ” กรกมลหันมามองรอบๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย มีเพียงแต่ความมืดของรัตติกาล (เพ่อาโป พาเธอมาทำอะไรหรือเปล่าน่ะ คิดอกุศลแล้วล่ะ) สายตาของเธอเริ่มปรับให้เคยชินกับความมืด
ธารนธีวางร่างบอบบางลงช้าๆ ยืนเคียงคู่กัน ท่ามกลางใบหญ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม ราวกับระรอกคลื่น
“เงยหน้าขึ้นมองด้านบนสิครับ” เขาบอก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตามที่เขาบอก แล้วเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากำลังกระพริบวิบวับทักทายลงมา เหมือนดวงตานับหมื่นนับล้านคู่
“อา สวยจังเลย ฉันไม่เคยเห็นท้องฟ้ายามราตรี ที่งดงามแบบนี้มาก่อน” กรกมลมองภาพที่งดงามราวปาฏิหาริย์ นั้นด้วยแววตาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ท้องฟ้าดูโปร่งใส ไร้เมฆหมอก ทัศนวิสัยแจ่มใส ไร้สิ่งกีดขวาง ยิ่งจะขับเน้น สีสันแวววาวพราวตาของ ดวงดาราที่ลอยเกลื่อนอยู่เต็มท้องนภา
“สวยไหมครับดาวบนฟ้า “
“สวยค่ะ”
“ถึงแม้ว่าดาวบนฟ้าจะระยิบระยับจับตา แต่ว่าดาวที่สวยจริงๆ กลับอยู่บนดินนี่เอง”
“ดาวบนดิน”
“ที่รัก เคยเห็นดาวบนดินไหมครับ “ ธารนธีถาม
ลมราตรีพัดพากลิ่นหอมเข้ามาปะทะ ไม่ใช่กลิ่นหอมของดอกท้อ ไม่ใช่กลิ่นหอมของดอกซิ่ง แต่เป็นกลิ่นหอมบริสุทธิ์ผุดผ่องและสดชื่นเย็นฉ่ำ แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย กรกมล
ชายหนุ่มรั้งร่างบอบบางให้เข้ามาชิดแผ่นอกกว้าง จมูกโด่งแตะลงบนพวงแก้มนุ่มนิ่ม
“ไหนล่ะดาวบนดินของคุณ น่ะอาโป ฉันมองไม่เห็นดาวบนดินที่คุณว่าสักหน่อย” กรกมลหันมาถามชายหนุ่มอย่างุนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดจะมีลูกไม้อะไร
“อย่าใจร้อนสิครับ รอให้ผมเรียกพวกมันออกมาก่อน” ธารนธีก้มลงหยิบก้อนหินเล็กๆบนพื้นมาก้อนหนึ่ง ขว้างไปข้างหน้า
ก้อนหินนั้นตกลงในดงหญ้า อีกสักครู่ต่อมา นั้น หิ่งห้อยที่เปล่งแสงระยิบระยับ จากตัวหนึ่ง สองตัว สิบตัวค่อยๆปรากฏขึ้นในจุดที่ก้อนหินนั้นตกลงไป ค่อยๆขยายตัวออกเป็นวงกว้าง
“อา!!นี่มันหิ่งห้อยนี่ค่ะ อาโป”
“ถูกต้องครับ หิ่งห้อย”
ฝูงหิ่งห้อยขยับตัวเคลื่อนไหว โบยบิน ส่ายไหวไปมา แล้วค่อยๆลอยตัวสูง ขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเธอ ทำให้เหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางท้องทะเลแห่งดาว
กรกมลวิ่งเล่นไปมาอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งดวงดาว สลับกับวิ่งไล่จับหิ่งห้อยไปรอบๆอย่างเบิกบาน สำราญใจ
ธารนธีมอง หญิงสาวด้วยสายตารักใคร่ เอ็นดู รอยยิ้มที่เปิดเผยไร้เดียงสา ของเธอดูน่ารัก
ส่องแสงยามราตรี ส่องสีงามจับตา
หิ่งห้อยน้อยลอยไปมา
ดูเหมือนว่าจะตามหาใคร
ส่องแสงแพรวพราวไพร สดใสชวนให้ชม
หิ่งห้อยน้อยลอยเล่นลม
ดูชื่นชมน่าดู ตามหาใคร หรือตามหาคู่
สุสานหิ่งห้อย
“อาโป คุณเคยยินเรื่องสุสานหิ่งห้อยไหมคะ “ กรกมลถาม ใบหน้างามแหงนมองดวงดารานับพันล้านดวง ที่สุกสกาวบนท้องฟ้า
“ไม่เคยหรอกครับ”เขาตอบยิ้มๆ “เคยได้แต่ยินนิทานหิ่งห้อย ที่คุณเคยเล่าให้ฟังเมื่อสามปีก่อนน่ะครับ คุณบอกว่า คุณเหมือนหิ่งห้อย รักแท้ ที่ต้องแลกด้วยชีวิต “
“คุณยังจำได้อีกหรือค่ะ” กรกมลหันมามองหน้าชายหนุ่ม
“จำได้สิครับ ผมถามคุณว่า ไม่คิดจะมีใครบ้างเหรอ คุณตอบไม่คิดอยากจะมีใครเลย” ธารนธีหันมายิ้มหวานให้ มือใหญ่จับหิ่งห้อยที่บินไปมาเอามาไว้ในกำมือ ก่อนจะส่งให้กรกมล
“อาโป” เขายังจำนิทานหิ่งห้อยที่เธอเคยเล่าให้ฟังได้ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอ่อนหวาน
“ผมถาม คุณว่า คุณรอใครอยู่หรือเปล่า คุณตอบว่า คงงั้นมั้งค่ะ ฉันก็คงเหมือนหิ่งห้อยนั่นล่ะ “ ธารนธีหันมายิ้มอ่อนหวานให้ ก่อนจะดึงร่างบอบบางมากอดแนบอกกว้าง “ คนที่คุณรอคอยอยู่ เขาเป็นใครเหรอ ครับ จะใช่ผมหรือเปล่า กรกมล”
“ คือว่า “
“ว่างัยครับ ผู้ชายคนที่คุณรออยู่จะเป็นผมหรือเปล่า”
อ้อมแขนแข็งแรงกระชับเข้ามา ใบหน้าหวานซึ้งซบลงบนอกกว้างที่อบอุ่น หากแต่ธารนธีกลับเชยคางมนขึ้น ก่อนจะประทับจุมพิตดูดดื่มลงไป
ทั้งสองจุมพิตท่ามกลางหิ่งห้อยนับพัน เนิ่นนาน เป็นภาพสวยงามจับตาราวกับอมตะนิยายรักหวานซึ้ง
Dream Girl วันแรกที่เรา สองคนพบกัน ก็เหมือนคืนนี้นั่นล่ะ คุณกับผม นั่งคุยกันท่ามกลางทุ่งหิ่งห้อยนับพัน ในฤดูใบไม้ผลิ ในคืนจันทร์เต็มดวง เพียงแต่ว่าคืนนี้ผมไม่ได้เป่าขลุ่ยเรียกคุณมาหา
ราชาแห่งขุนเขา กับ เทพีแห่งบุปผา ได้นำคุณ มาให้เจอกับผม ถึงตอนนี้คุณจะยังจำผมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ผมก็จะรอ
แต่ผมมั่นใจว่า ผู้ชายที่คุณรอ ก็คือผม เจ้าชายสายน้ำ
“ตามหาฉันให้เจอนะคะ สายน้ำ ชื่อของฉันแปลว่าดอกบัว”
ธารนธีถอนริมฝีปากออก มองใบหน้าของหญิงสาวในอ้อมกอด ใบหน้าแดงระเรื่อ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน กระซิบบอกเบาๆด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงที่สุด
“Ji n’aime que toi .mon Coeur ฉันรักเพียงเธอ ดวงใจของฉัน”
“L’amour parle,meme les les levres ความรักจะเอ่ยออกมา แม้ริมฝีปากจะปิดสนิท ก็ตาม”
กรกมลตอบก่อน มือเรียวจะโน้มคอชายหนุ่มลงมาประทับกลีบปากอวบอิ่มอย่างอ่อนหวานอีกครั้ง ธารนธีหัวเราะเบาๆก่อนจะจูบตอบเธออย่างนุ่มนวล ราวกับโลกนี้มีเพียงเขาและเธอสองคน
สุสานหิ่งห้อยเป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเมืองโกเบประเทศญี่ปุ่นเหตุการณ์เกิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เซตะ โยโกกาวา ลูกชายคนแรกของนายพลทหารเรือ อายุ 14 ปี กำลังขนเสบียงลงหลุมเพื่อมีอาหารเวลาสงครามสงบ และในเวลานั้นเครื่องบินกำลังบินผ่านมายังเมืองเพื่อปล่อยระเบิดครั้งรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เซตะจึงให้แม่ของตนออกเดินทางไปยังหลุมหลบภัยก่อน เนื่องจากแม่เป็นโรคหัวใจ โดยเซตะ และ น้องสาว เซซึโกะ อายุ 4 ขวบ จะตามไปทีหลัง ซึ่งระหว่างทางไปหลุมหลบภัย ระเบิดจากเครื่องบินของทหารอเมริกาถูกทิ้งลงมา ทำให้เซตะและเซซึโกะ พลัดหลงกับแม่ของพวกเขา ทำให้เซตะพาน้องสาวไปหลบภัยอยู่หลังเนินถนนสูงเป็นกำแพงหินริมทะเล ซึ่งภายหลังพวกเขาพบว่าบ้านของพวกเขาถูกไฟไหม้หมดทั้งหลัง และรอบๆบริเวณนั้นถูกทำลายทั้งหมด
สองพี่น้องพยายามตามหาแม่ มีคนมากบอกเซตะว่าแม่ของเขาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตลงเนื่องจากถูกไฟลวก และเมื่อเวลาผ่านไปเซซึโกะถามหาแม่ของเขาแต่เซตะบ่ายเบียงไม่ยอมบอกและปกปิดน้องสาวของเขาไม่ให้รู้ว่าแม่ได้เสียชีวิตแล้ว และทั้งสองก็ได้ไปอยู่กับป้า ฮิซาโกะ ของพวกเขา ซึ่งป้าของเซตะถามถึงอาการปาดเจ็บของแม่ เซตะจึงต้องบอกความจริงไปว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว และต่อมาพวกเขาก็ทนนิสัยป้าของเขาไม่ไหวจึงออกจากบ้านป้ามาทั้งสองคน ทั้งสองพี่น้องจึงไปอยู่ในเหมืองเก่าๆ ซึ่งในสมัยก่อนใช้เป็นที่หลบภัย ภายในเหมืองมีแสงสว่างน้อยมากทำให้เซซึโกะกลัวความมืด เมื่อเป็นเช่นนั้น เซตะพี่ชายจึงไปหาหิ่งห้อยมาปล่อยไว้มากมายทำให้มีแสงสว่างมากพอทำให้เซซึโกะไม่กลัว
และเมื่อเวลาผ่านไปนาน อาหารก็เริ่มหมด และไม่มีอาหารให้แลกแล้ว และเซซึโกะก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น ซึ่งเซซึโกะป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร และเมื่ออาหารหมด ทำให้เซตะต้องขโมยของตามบ้านเมื่อมีการทิ้งระเบิดของทหารอเมริกา ผู้คนมากมายกำลังหลบหนีระเบิดอยู่แต่เซตะกลับวิ่งฝ่าระเบิดเข้าไปตามบ้านคนที่ว่างเปล่าเพื่อเข้าไปหาของกินมาให้เซซึโกะ และนานวันเข้าอาการป่วยของเซซึโกะเริ่มมากขึ้น เซตะจึงพาน้องไปหาหมอแต่หมอก็ไม่มียารักษาให้ มีวันหนึ่งเซตะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปถอนเงินก้อนสุดท้ายเพื่อเอาออกมาใช้ และเขาก็ได้ข่าวว่าญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามแล้ว เรือทุกลำจมลงทะเลหมด จมไปพร้อมกับความหวังที่จะเห็นพ่อซึ่งเป็นทหารเรือกลับมาหาตนและน้อง
เมื่อเซตะกลับมาที่เหมือง เขาเห็นน้องสาวนอนอมลูกหินอยู่ซึ่งเซซึโกะคิดว่าป็นลูกอม เซตะจึงห้ามไม่ให้น้องสาวกินลูกหินอีก และเขาจึงไปเอาแตงโมมาป้อนให้เซซึโกะกินและปล่อยให้เซซึโกะนอนพัก เมื่อเห็นน้องสาวนอนพัก เซตะจึงไปทำอาหาร และตั้งแต่นั้นมา เซซึโกะก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล ในคืนที่ฝนตกหนักและหนาวเย็นเซตะนอนกอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาวเขาทั้งคืน และพอเช้าเซตะ ก็เผาร่างของเซซึโกะและนำเศษกระดูกมาใส่ในกล่องลูกอมและเซตะก็นำกล่องนั้นติดตัวไปตลอดจนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในวันที่ 21 กันยายน ปี 1945ในตอนเริ่มเรื่องและตอนจบของเรื่อง จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองซึ่งแม้แต่เสียจะชีวิตลงไปทั้งสองคน แต่ทั้งคู่ก็เป็นวิญญาณและอยู่ด้วยกันตลอดไป หลังจากนั้น 1 เดือนหลังจากจบสงคราม จึงมีการกฎหมายบังคับใช้คุ้มครองเด็กที่ประสบในภาวะสงครามขึ้น ในเรื่องสุสานหิ่งห้อยนั้น จะเปรียบหิ่งห้อยที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน เหมือนกับชีวิตเด็กๆที่อดอยากไม่มีกิน เนื่องจากผลจากการกระทำของสิ่งใดก็ตาม และยังเปรียบแสงของหิ่งห้อยเหมือนความหวังอันริบหรี่ของเด็กๆที่สุดท้ายความหวังอันนั้นก็ดับไปพร้อมก็แสงสว่างของหิ่งห้อยยามเมื่อมันเสียชีวิตลง
คิดถึงจนใจฉันแหลกสลาย เบิ่งมองจนตาแทบทะลุทลาย
แสนลำเค็ญเฝ้าชะเง้อจนเธอกลับมา นับเป็นเวลาตั้งสามปีทีเดียว
คิดไม่ถึงพึ่งจะได้พบพานกัน พรุ่งนี้พลันจะต้องพรากจากอีกครั้ง
เธอไปคราวนี้แล้วจะมาเมื่อไหร่ คงจะใช่สามปีอีกเชียวหรือ
มีนิทานหิ่งห้อยและต้นลำพูเล่าว่า พระยาหิ่งห้อยเกิดมาหลงรักลูกสาวพระยาลำพูเข้า จึงเกณฑ์สมัครพรรคพวกยกมาเป็นขบวนเพื่อขอเจ้าสาวและ เพื่อจะให้เกิดความประทับใจ ก็เลยประดับประดาต้นลำพูให้สว่างไสวด้วยไฟในตัวของหิ่งห้อยในขบวนนั่นเอง
“ด้วยความมหัศจรรย์ของแมลงตัวน้อยที่เปล่งแสงยามค่ำคืนได้แบบนี้ แท้จริงแล้ว หิ่งห้อยจะเปล่งแสงหาคู่ “ กรกมล ก้มหน้ามองหิ่งห้อยที่อยู่ในมือของธารนธี “น่าสงสารหิ่งห้อยนะคะ จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ สี่ถึงห้าวันเท่านั้นเอง “
“มีตำนานเล่า หิ่งห้อยเป็นวิญญาณของชายที่จุดตะเกียงตามหาหญิงคนรักชื่อนางลำพูซึ่งจมหายไปในเเม่น้ำ นางลำพูได้ไปเกิดเป็นต้นไม้ชื่อลำพูส่วนชายหน่มก็ไปเกิดเป็นหิ่งห้อยที่มีเเสงที่ก้นเพื่อตามหาคนรักไปตลอดกาล “ วงแขนแข็งแรงโอบกอดหญิงสาวโดยไม่ทันตั้งตัว เธอซบหน้าลงกับอกกว้าง และยอมให้เขาโดยดี
ธารนธีจุมพิตหน้าผากมนเบาๆ แล้วค่อยแตะปลายจมูกลงบนแก้มนวลนิ่มทั้งสองข้าง
มีเรื่องเล่าถึงหิ่งห้อยกับต้นลำพูในเรื่อง คู่กรรม ของ ทมยันตี ว่า เป็นวิญญาณของนางลำพูมารอชายคนรัก
( เหตุที่หิ่งห้อยชอบมาเกาะต้นลำพูในตอนกลางคืน เนื่องมาจากบริเวณรากหายใจที่โผล่เหนือดินจะเป็นที่อยู่อาศัยของหอยทากและหอยชนิดต่างๆซึ่งเป็นตัวอ่อนของหิ่งห้อยที่อาศัยอยู่ในดินและในน้ำจะกินอาหาร ดอกลำพูจะบานในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นเวลาที่หิ่งห้อยออกหาคู่พอดี)
ทุกครั้งยามหลับตา เธอมักจะฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งอยู่เสมอ ชายหนุ่มสวมชุดขาว เจ้าของนัยน์ตาสีดำขลับราวกับนิลเนื้อดี
หิ่งห้อย แสงจันทร์ เสียงเพลงแว่วหวาน คำเรียกขานแสนไพเราะและใครคนนั้นก็จุมพิตอันแสนอ่อนหวานลงบนริมฝีปากของเธอ ใครกันนะที่ทำให้เธอต้องหลับฝันเห็นทุกครั้ง เป็นการฝันที่แสนอ่อนหวาน จนบ้างครั้งไม่อยากจะตื่นขึ้นมา เธออยากจะซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเขาคนนั้น
ความฝันซ้ำๆที่เธอเห็นในทุกค่ำคืน ทำให้เธอเลือกที่จะเดินตามหาสถานที่ฝัน รวมทั้งเขาคนนั้นที่เธอไม่รู้ว่าคือใคร แล้วทำไมจึงมีอิทธิพลต่อหัวใจเธอมากเพียงนี้
ฝากเพลงถึงเธอ
เรียบเรียงคำร้อย ฝากเพลงลอยสายลมแผ่วเบา
สื่อรักพาเอา รักแห่งสองเราที่ร้างที่ลาลับลาผ่าน
อยู่แห่งไหนขวัญใจเจ้าอย่าชัง หากได้ฟังหวังยังเมตตา
ตอบสัญญารักมากับลม ลมรักเอยจงล่องลอย
ลอยรักคืนมาร่วมทาง ฝากคำร้อง ผ่านลำคลอง ผองธารกว้างไกล
“ ชาวญี่ปุ่นมีตำนานหิ่งห้อยเล่าว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน สองฟากฝั่งเเม่น้ำอูจีเป็นที่อาศัยของนักรบสองตระกูลซึ่งเป็นคู่อริกันเเละจะต้องรบราฆ่าฟันกันอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองตระกูลตายหมด ดวงวิญญาณก็ไปเกิดเป็นหิ่งห้อยอยู่คนละฝั่งเเม่น้ำเเละยกพลเข้ารบเหมือนครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ พวกที่เเพ้ จะตกลงไปในเเม่น้ำ “ กรกมล ซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างของชายหนุ่ม ในมือยังคงมีหิ่งห้อยที่ธารนธีจับมาให้ ส่องแสงวับแวบ
“ชาวอินเดียก็มี นิทานปรัมปราเกี่ยวกับการกำเนิดหิ่งห้อยว่า ในครั้งโบราณมีเทพเจ้า3องค์ที่หวังดีต่อมนุษย์ อยากให้มีไฟไว้ใช้หุงหาอาหารจะได้ไม่ต้องทนกินแต่เนื้อสัตว์ดิบๆหรือทนอยู่ในถ้ำมืดๆอีกต่อไป เทพองค์แรกจึงปั้นเเมลงขึ้นมาจากขี้ไคลของตนเอง เทพองค์ที่สองถูวรกายจนเกิดเป็นไฟเเล้วใส่ลงไปในเเมลงตัวนั้น เทพองค์สุดท้ายก็รีบเอาเเมลงที่ติดไฟไปส่งให้มนุษย์ เเต่ระหว่างทางเปลวไฟจากตัวเเมลงก็ค่อยๆหรี่ลงจนเหลือเเสงอยู่ที่ก้นเท่านั้น “ ชายหนุ่มเล่าการกำเนิดของหิ่งห้อยบ้าง
“แต่ละประเทศมีตำนานเรื่องเล่าเรื่องหิ่งห้อยไม่เหมือนกันเลยนะคะ “ กรกมลเบี่ยงหน้าหลบ เมื่อจมูกโด่งๆแอบหอมแก้มของเธอ
“มีอีกตำนานได้เล่าว่าเทพกับอสูรได้ต่อสู้กัน โดยที่เทพเป็นฝ่ายเเพ้ เนื้อหนังเเละกระดูกของเทพถูกโยนลงไปในแม่น้ำเหลือเพียงดวงตาที่ยังส่องเเสงได้ในความมืดและกลายเป็นหิ่งห้อยในที่สุด”
“ของคุณออกแนวสยอง วิญญาณเลยนะคะอาโป “กรกมลว่า พลางทำหน้ายิ้มๆดวงตากลมโตเต้นระริก เมื่อชายหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะแกล้งกอดร่างบอบบางแน่น
“แล้วของคุณละ ไม่โหดทารุณไปเหรอ รบราฆ่าฟันกันนะ”
“ฮืม…,มีอีกตำนานนะคะเขาเล่าว่า ต้นโกงกางเป็นผู้หญิง หลงรักต้นลำพูที่เป็นผู้ชาย แต่ต้นลำพูเค้ามีคนรักอยู่แล้วก็คือหิ่งห้อย ลำพูเลยไม่สนใจโกงกาง พอลำพูจะตามหิ่งห้อยไป โกงกางเลยแผ่รากยึดไว้ ชั้นไม่ได้เธอก็ไม่ได้ เพราะว่าต้นโกงกางมีรากเยอะ” อันนี้ออกจะแนวแก่งแย่งชิงดีกัน
“แต่ยังงัยหิ่งห้อยก็ยังอยู่กับลำพูมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่เหรอครับ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ
“เพราะว่าเราคู่กัน หิ่งห้อยกับต้นลำพู มัจฉาคู่กับวารี สายน้ำคู่กับดอกบัวงาม “ กรกมลพูดเสียงใส เอียงศีรษะซบลงบนไหล่กว้างของชายหนุ่ม ก่อนจะแกล้งเอาหน้าถูเบาๆ ธารนธีเห็นแล้วเกิดอาการหมั่นเขี้ยว เลยแกล้งบีบจมูก
“ถูกต้องเพราะว่าเราคู่กัน “ ชายหนุ่มก้มลงกล่าวเสียงทุ่มนุ่มกับคนในอ้อมกอด ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ ก่อนจะเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเขาหอมแก้ม ของเธอทีละข้าง ซ้ายที ขวาที แล้วเลื่อนขึ้นมาบนหน้าผาก ก่อนจะเลื่อนลง เอาปลายจมูกแตะปลายจมูก ถูเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว และจบลงที่จุมพิตอันอ่อนหวาน
“อาโปคะ “
“หึม มีอะไรครับ”
“ละครที่เขาเล่นตอนกลางวัน ชื่อเรื่องอะไรคะ “
“ทำไมจู่ๆถึงถามขึ้นมาได้ละครับ ผมนึกว่าคุณลึมเสียแล้วนะเนี๊ย” เขาถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็ ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะสายน้ำ กับดอกบัวงามมั้ง ทำให้ฉันคิดได้นะ ความจริงแล้วฉันอยากจะถามคุณตั้งแต่เย็นแล้ว มัวแต่ ….” กรกมลไม่กล้าพูดออกไป มัวแต่หึง
“หึง หน้ามึดตามัวอยู่” เขาก็เลยตอบให้ แทนซะเลย
“อาโป คุณล้อ ฉันเหรอ” กรกมลถามเสียงเข้ม ใบหน้างามงอง้ำ ตาคมสวย ถลึงมองอย่างดุร้าย
“เปล่าสักหน่อย “ ชายหนุ่มว่า พลางคว้าข้อมือหญิงสาวไว้ ไม่งั้นได้โดนข่วน แขนลายแน่ๆ กระต่ายน้อยตัวนี้ดื้ออยู่ด้วย
ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม สบประสานกับดวงตาสีดำขลับ แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูนั้นทำให้เธอ มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ก็มีความแตกต่างปะปนอยู่
จะเป็นผู้ชายในฝันได้อย่างงัยละแววตาของผู้ชายในฝันมักจะจ้องมองมาอ่อนโยน แต่ทว่าสายตาของธารนธีแค่จ้องมาร้อนแรงราวกับเปลวไฟ แค่เขาจับจ้องมองมาชั่วพริบตาเดียวก็แทบจะเผาผลาญจิตใจของเธอให้ลุกไหม้ ทำให้เธอรู้สึก หวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
หลับตาลงครั้งใด เห็นว่ามีแต่ภาพใครบางคน
ที่กี่ครั้งก็ยังวกวน ดูไม่ชัดเจน
ได้ยินแต่เสียงเรียกของเธอ
ที่ฟังแล้วอบอุ่นและคุ้นในใจ
ธารนธีดึงร่างบอบบางมากอดแน่น ทำไมยังจำไม่ได้อีกละ Dream Girl คุณลืมผมไปแล้วจริงๆเหรอ ผมจะทำอย่างงัยนะถึงจะทำให้คุณจำผมได้สักที
ชายหนุ่มได้แต่เฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ ตอนนี้หัวใจเขาเจ็บปวด ผู้หญิงใจร้าย บอกให้เขาตามหาให้เธอให้เจอ
แล้วพอเจอ เธอกลับจำเขาไม่ได้เลย เธอทิ้งความทรงจำในค่ำคืนแห่งดวงดาวไปจนหมดสิ้น
“อาโปคุณเป็นอะไร”
“เปล่าครับ “ ผมเจ็บปวดที่หัวใจ เพราะคุณ กรกมล
“ละคร…”
“ลำนำรักสายน้ำ “
“ลำนำรักสายน้ำ “
“ครับ “ เขาต้องมาเล่า ลำนำรักสายน้ำ ให้เธอฟังอีกแล้วหรือ
“มันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องเล่า ตำนานกันคะ “
“เรื่องจริง “
“ถ้างั้นมันต้องเศร้ามากเลยสิคะ “
“ครับ เศร้ามากๆ เศร้าจนคุณต้องร้องไห้ “
“อาโป ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยเล่า ลำนำรักสายน้ำ ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ถ้าคุณอยากฟัง “
ชายหนุ่มแตะแก้มเนียนเบาๆ ถ้าเขาเล่า ลำนำรักสายน้ำจบ แล้วเธอยังจำเขาไม่ได้ เขาก็ไม่รู้จะหาวิธีเรียกความทรงจำ ของหญิงสาวกลับคืนมาได้อย่างไรแล้วละ
ทำไมดวงตาของธารนธีจ้องมองเธอเหมือน จะตัดพ้อ เจ็บปวดรวดร้าว เหมือนใครสักคนเอามีดไปกรีดหัวใจของเขา
ตามหาหัวใจ ที่ลืมไว้กับใครสักคน
จะตามจะค้นจนเจอ เธอคนนั้นในความทรงจำของฉัน
ซักครั้ง ให้หัวใจได้ตื่นขึ้นใช้ลมหายใจพร้อมกับเธอ
ไม่อยากสัมผัสรักจากเธอ อย่างไม่มีตัวตน
ตามหาหัวใจ
“กระหม่อมรักคุณกรกมล ภัทรโยธินทายาทวังปทุมวัน “ เจ้าชายหนุ่มรับสั่งความในใจต่อพระพักตร์ของเจ้าหลวงอินทร์เกษม และเจ้านางหลวงเรืองรำไพ
“ธารนธีนรเทพ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอ มณีศิลา สื่อรักแทนใจ ไปหมั้นคุณกรกมล “
“สายน้ำ” เจ้าหลวงอินทร์เกษมตรัสอย่างไม่พอพระทัย
“ได้โปรด ประทานมณีศิลาให้กระหม่อมเถิด “ เจ้าชายหนุ่มทูลอ้อนวอน
“สายน้ำ” เจ้านางหลวงโอบกอดพระนัดดาแน่น “เจ้าพี่เพคะ ประทานมณีศิลา ให้หลานเถิดเพคะ “ พระนางทูลอ้อนวอนพระสวามีอีกแรง สงสารหลานก็สงสาร
“ไม่ได้ เราบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ฝ่าบาท”
“เจ้าพี่เพคะ”
“ฟังนะ ธารนธีนรเทพ ที่เรายังไม่มอบมณีศิลาให้เจ้าก็เพราะว่า มันยังไม่ถึงเวลา “
“เมื่อไหร่ จะถึงเวลา” เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง มณีศิลาก็จะเดินทางไปสู่วังปทุมวันเองละ “
รูปที่ถ่ายจากหัวใจ รูปที่ใช้ทั้งความรู้สึก
สุดท้ายก็ต้องเลือนลางตามกาลเวลา
คล้ายภาพความทรงจำ แต่แปลกคือเธอเท่านั้น
ที่ไม่เคยลบไม่เคยเลือนจากใจฉัน
“ธารนธีนรเทพ ในเมื่อเจ้าจะต้องไปตามหาหัวใจของเจ้า ถึงประเทศไทย เจ้าจะต้องไปในฐานะ สามัญชนคนธรรมดา ในชื่อ ธารนธี ชลธารพิทักษ์ เท่านั้น”
“กระหม่อม ยินดีทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท “
“ก็ดี ตอนนี้เจ้าไม่ใช่เจ้าชายสายน้ำอีกแล้ว แต่เป็น ธารนธี ชลธารพิทักษ์” เจ้าหลวงตรัสบอก ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ “ส่วนมณีศิลา จะเดินทางไปตามหลังเองละ เจ้าไปตามหาหัวใจของเจ้าซะ อาโป”
วังธารา ฤดูใบไม้ร่วง วันที่ต้องลาจาก ไปตามหาหัวใจ
ถึง Dream Girl
วันนี้ เป็นวันแห่งความรัก วันที่หนุ่มเลี้ยงวัว กับสาวทอผ้าจะได้มาพบกันบนสะพานนกกางเขน
วันนี้เป็นวันที่เราสองคนจะได้พบกันแล้วใช่ไหม วันนี้เป็นวันเกิดของคุณด้วยนี่หนา ผมจำได้ เราสองคนเกิดในวันแห่งความรักเหมือนกัน
ของขวัญที่คุณต้องการ ผมหามาให้ไม่ได้หรอก ล้อเล่นนะ คุณบอกว่าขอผู้ชายหน้าตาดีๆ คิ้วเข้มๆตาตี่ๆแก้มขาวๆปากแดง ผมคิดว่าตัวผมก็เข้าข่าย ชายหนุ่มที่คุณต้องการนะ แล้วพบกันนะครับ
คิดถึงจังเลย ไม่ได้เจอกันตั้งห้าปี คุณคงจะน่ารักเหมือนเดิม
กรกมล ภัทรโยธิน กุ้งนาง
รักเสมอ รักที่สุด รักสุดซึ้ง รักสุดหัวใจ รักจนไม่เหลือใจจะรักใคร
จาก อาโป ธารนธี ชลธารพิทักษ์ สถาปนิก บริษัทเดอะ แกรนด์ กรุ๊ปจำกัด(มหาชน)
วันที่ 7 เดือน กรกฎาคม ร้านการ์เด้น เบอเกอรี่ @ คอฟฟี่ ประเทศไทย







ณัฏฐกมล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2555, 21:14:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2555, 21:14:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1553





<< สายธาราแห่งรัก   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account