ลำนำรักสายน้ำ
‘หลับตาลงครั้งใด เห็นว่ามีแต่ภาพใครบางคน
ที่กี่ครั้งก็ยังวกวน ดูไม่ชัดเจน
ได้ยินแต่เสียงเรียกของเธอ
ที่ฟังแล้วอบอุ่นและคุ้นในใจ
ยิ่งห้ามไม่ให้คิด ยิ่งติดอยู่ข้างใน
ยิ่งห้ามเท่าใจเท่าไร ยิ่งใกล้เธอเข้าไปทุกที
ตามหาหัวใจ ที่ลึมไว้กับใครสักคน‘
ธารนธี ตกหลุมรักหฺญิงสาวนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ในคืนวันเพ็ญเต็มดวงของฤดูใบไม้ผลิ เป็นคืนที่ราชาแห่งขุนเขาและเทพีแห่งบุปผาจะประทานพรให้หนุ่มสาวชาวคีรีธาราสมหวังในความรัก
‘หัวใจอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม สักวันหนึ่งร่างกายจะเดินมารวมกับหัวใจ‘
เช่นเดียวกับสายน้ำและดอกบัวงาม
ฤดูใบไม้ผลิ ฤดู แห่งการเริ่มต้น ดอกไฮยาซินธ์ที่กำลังเบ่งบาน เพื่อต้อนรับแสงแดดที่อบอุ่นหลังจากที่ต้องจมอยู่ได้พื้นดินเป็นเวลานาน
เช่นเดียวกับความรักของธารนธีและกรกมล

ถึง Dream Girl
นกสีฟ้าของผมจะโบยบินอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อคุณได้ยินเสียงขลุ่ย โปรดรับรู้ว่ามันคือคำบอกรักของผม ยามคุณดื่มกาแฟ จะรับรู้รสจุมพิตของผม หากคุณเข้าไปในสวนดอกไม้ กลิ่นของมันคือกลิ่นอายความทรงจำของเราสองคน และที่ศาลากลางน้ำ หิ่งห้อย ที่ส่องแสงระยิบระยับนั่น คือรอยยิ้มที่ผมมอบให้คุณเพียงคนเดียว
จาก อาโป ธารนธี ชลธารพิทักษ์
14 กุมภาพันธ์ ในฤดูหนาว ประเทศ ออสเตรเลีย

‘ความเอยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนใด
เริ่มเพาะเหมาะกลางระหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี‘
"วันนี้ ฝนตก ได้กางร่ม เดินเคียงคู่กับพี่อาโปด้วยละ ตามตำนานเขาเล่าว่าวันไหนที่ฝนตก กามเทพจะแผลงศรรัก ทำหั้ยหนุ่มสาวตกหลุมรักกัน ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา "
"ความจริงพี่อาโปก็อยากให้ฝนตกทุกวันเหมือนกัน เพราะจะได้มีคนมาเดินกางร่มเคียงคู่กันแบบนี้ "
"ทำไมคนเราต้องจูบกัน เขาบอกว่าเพราะทั้งสองตกหลุมเสน่ห์แห่งรักกันและกัน วันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วถูกผู้ชายคนหนึ่งเบียดทำให้แทบล้มหัวคะมำ ดีแต่ว่าพี่อาโปคว้าเอวไว้ก่อนไม่งั้นได้อับอายขายขี้หน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ไม่ต้องขนาดถึงจูบ แค่ได้สบตากับพี่อาโปเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุนเลยละ"
"น้องกุ้งนางรู้ไหมวันนั้นทำให้พี่ต้องลงผิดสถานี เพราะพี่อาโป เขินอายมากๆ ผู้ชายก็อายเป็นเหมือนกันนะ ทีหลังอย่าทำให้พี่เป็นแบบนั้นอีกนะวันหลังเราไปดูรถไฟฟ้ามาหานะเธอด้วยกันนะ พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางอยากจะเป็นเหมยลี่"
"วันนี้ อยากจะ ฆ่าพี่อาโปบังอาจควงสาวไปเต้นรำ โมโห อีตาบ้ารวีวิชญ์นี่ก็น่าโมโหตามตื้ออยู่ได้ ไม่ชอบๆๆๆๆๆ นี่สงสัยเราจะหึงจัด ดื่มไวน์หมดไปสามแก้ว ถูกหามกลับวังปทุมวันแทบไม่ทัน ก็มันหึงนี่คะ ก็น้องกุ้งนางอยากจะเต้นรำกับพี่อาโป อยากซบอกพี่อาโป"
"พี่ไม่คิดว่าน้องกุ้งนางจะเห็นพี่นี่คะ ก็เลยไม่ได้ไปแสดงตัวเอง แต่แหม พี่อาโปอยากเห็นหน้าผู้หญิงหึงจังเลย ไวน์อย่าดื่มมากมันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าอยากเต้นรำกับพี่อาโปเดี๋ยวจะจัดให้ ถ้าจะซบอกผู้ชายต้องเป็นพี่คนเดียวไม่งั้น ตายแน่ๆ พี่ขี้หึง หวง"
"วันนี้ อยาก จะดึงคอพี่อาโปมาถามว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ยอมพูดจา ทักทาย เดินหน้าบึ้งตึง ทำหมางเมินใส่เหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน น้องกุ้งนางเจ็บนะที่พี่อาโปทำแบบนี้นะ "
"พี่อาโปก็เจ็บเหมือนกันนะ ก็จะอะไรละก็พี่หึงจนหน้ามึดน่ะสิ เมินเรียกร้องความสนใจรู้บ้างไหม”

Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: สายธาราแห่งรัก

จากใจหวงเฝ้าห่วงหา ทุกคราเมื่อจากไกล
ฝากรักนี้จงไหล ให้เธอ ให้เธอ เหม่อมองดูสายธารหลั่งไหล
เหม่อมองไปฤทัยพร้ำเพร้อ วอนวจีฝากรักแด่เธอ
อย่าให้ฉันละเมอเศร้าเดียวดาย หากเป็นปลา ฉันคงว่ายวน
ล่องสิชลหัวใจไม่ห่างหาย ใจนะเออ อย่าเผลอกลับกลาย
อยู่แห่งไหนมิวายใจผูกพัน
สายธารรัก
บ้านสวนดอกเหมย
“อาโป” เสียงเรียกชายหนุ่มสุดที่รักของกรกมล ทำเอาบราวนี่ที่นอนเฝ้าหน้าห้อง ถึงกับกระเจิงเลยทีเดียว “ตื่นเดี่ยวนี้นะ อาโป” กรกมลเขย่าตัวชายหนุ่มที่นอนอยู่บนที่นอนของเธอ อย่างโมโห
“อะไรอีกล่ะ เพิ่งนอนได้นิดเดียวเองนะ จะต่ออีกแล้วเหรอ” ธารนธีพูดเสียงงัวเงียกะปลกกะเปลี้ยเพลียแรง
“คุณพูดอะไรของ คุณนี่ บ้าที่สุดเลย” กรกมลตีแขนคนที่พูดไม่รู้เรื่องอย่างแรง “ตื่นมาพูดกันเลยนะ คุณทำกับฉันแบบนี้ได้อย่างงัย”
“ทำอะไรละ” ชายหนุ่มถาม คราวนี้เขาตื่นขึ้นเต็มตาแล้ว”เอาละผมหวังว่ามันจะต้องสำคัญนะที่รัก เพราะตอนนี้มันก็ตีสองกว่าแล้ว เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็….” ปลายเสียงของเขาทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวไป
“คุณลงไปจากเตียงของฉันเดี่ยวนี้เลยนะอาโป “ หญิงสาวโวยวายดังลั่นห้อง
“ไม่ไป เพราะผมง่วง ไม่มีแรงเดินกลับห้องหรอก“ พูดจบชายหนุ่มก็นอนทันที ที่สำคัญเขาเอาหมอนหนุนมาปิดหูซะด้วย
“เดี่ยวอย่าเพิ่งนอน สิคุณ เฮ้ย” กรกมลส่งเสียงร้องโหวกเหวก ก่อนจะดึงหมอน ออก
“เฮ้ อย่ามานอนทับได้ไหมครับที่รัก ผมขอร้อง ล่ะ เพราะตอนนี้ผมไม่มีแรง”
“อี๋ คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย กลับไปนอนห้องของคุณเลยนะ ไป๊” กรกมล พูด ก่อนจะกระถดร่างหนีทันที
“ที่รักครับ นี่มันจะตีสามแล้วนะ อย่าได้ใจร้ายกับผมหน่อยเลยนะ “ ชายหนุ่มพูดเสียงหวาน ออดอ้อน แต่กรกมลไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
“ไม่ได้ คุณกลับไปนอนห้องคุณเลยนะอาโป ไปสิ” หญิงสาวไล่อย่างไม่เกรงใจ เผลอไม่ได้เลยนะ ออกลายทุกที
“นอนคนเดียวมันหนาวนะครับ มันไม่อุ่นเหมือนนอนห้องนี่หนา” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะกลิ้งตัวมากอดหญิงสาวที่ทำท่าจะกระโจนลงจากเตียง
“กรี๊ดๆๆๆปล่อยฉันนะอีตาบ้า” กรกมล ส่งเสียงร้องดังลั่นบ้านสวนดอกเหมย ท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
“มาต่อกันอีกรอบดีกว่า” เขากระซิบบอกเสียงหวาน ต่ออะไรอีกละ เธอคิด อีตาบ้านี่ชอบพูดจาให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆๆเลยนะ
“ปล่อยฉันนะ “ กรกมลดิ้นขัดขืนอย่างแรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ว้า …อย่ามองแบบนี้สิที่รัก เดี๋ยวผมอดใจไม่อยู่นะ” เขาพูด ก่อนก้มลงหอมแก้มหญิงสาวหนักๆๆสองที (เขาไม่ใช่พระอิฐ พระปูน นะที่จะได้ ไม่มีความรู้สึกนะ โธ่เว้ย อยากจะพาสุดที่รักเข้าหอใจจะขาด แต่ติด สัญญารับปากไว้ คุณชายแห่งวังปทุมวัน ว่า อย่าได้ทำอะไรหลานสาวสุดที่รักเด็ดขาด เฮ้อ…เแค่ขอเลื่อนฤกษ์แต่งงานมากลางปี คุณชายถึงกลับตกใจ จนแทบเป็นลม เพราะคิดว่าเขากับสุดที่รักมีอะไรกันแล้ว เซ็งจริงๆๆ )
“อี๋ ปล่อยนะอาโป ไม่งั้นฉันผลักคุณตกเตียงจริงๆๆด้วยนะ “ กรกมล ขู่พลางดิ้นขลุกขลัก ให้พ้นจากมือปลาหมึกที่เริ่มป้วนเปี้ยนแถวสาบเสื้อ จมูกโด่งแตะลงบนซอกคอขาว ก่อนจะขบกัดเบาๆๆ
“กล้าหรือครับ ผมไม่ยอมตกเตียงคนเดียวหรอกนะ รับรองได้ว่า คนที่จะตกเตียง กับผมต้องเป็นคุณแน่ๆๆที่รัก “ พูดจบ ชายหนุ่มก็แกล้งกอดร่างนุ่มนิ่มแรงๆๆ กรกมลได้แต่ส่งเสียงกรี๊ด ๆร้อง อย่างขัดใจ ที่ทำอะไรชายหนุ่มไม่ได้
โธ่ เว้ย ไม่น่าปลุกชายหนุ่มให้ตื่นเลย
“อยากจะปลุกผมมาเล่นปูไต่ก็ไม่บอกนะ” เสียงทุ้มห้าวแกล้งพูดหยอกเย้า นิ้วเรียวยาวดุจลำเทียน ไล่ไปเรียวแขน กรกมลขนลุกซู่
“พูดจา แต่ละคำฟังไม่ได้เลยนะคุณเนี่ย” กรกมล ใช้มือเล็กๆๆฟาดลงไปบนแผ่นอกกว้างอย่างแรง
แสงจาก แสงจันทร์ภายนอกสาดส่องเข้ามาในห้อง กระทบกับใบหน้ากระจ่างใสของกรกมล ซึ่งนั่งหน้าบูดบึ้งอยู่กลางห้อง เสริมให้ดูสง่างาม เหมือนเทพีแสงจันทร์ ลมหนาวพัดผ่านผ้าม่านเนื้อดีสีชมพูเข้ามาเป็นระยะๆ จิ้งหรีดเรไรต่างส่งเสียงร้องราวกับแข่งขันดังก้องไปทั่วบ้านสวนดอกเหมย
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าธารนธีที่ ก้มลงมองมาพอดี เธอยกมือขึ้นกระชับกอดตัวเองกันความหนาวเย็น
“หนาวหรือครับ” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่มๆๆ พร้อมนัยน์ตาสีดำคมหวานมีแววตาอาทร จ้องมองมา กรกมลไม่ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบอย่างง่ายๆ ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างกันลมหนาว ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าแพรผืนใหญ่สีชมพูมาคลุมร่างบอบบาง ให้ วงแขนอบอุ่นโอบกอดกรกมลเอาไว้แน่น ลมหายใจร้อนจากร่างสูงรินรดหน้าผากเธอจนทำเอาหัวใจเต้นแรง
“ผมง่วงแล้วนอนต่อเถอะ “ ธารนธีเอ่ย แล้วมือใหญ่ก็จับเอวบางของกรกมลดึงเข้ามารวบไว้ในอ้อมแขน หากแต่แรงกระชากของชายหนุ่มรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว ทำให้ร่างบางปลิวหวือไปปะทะเข้ากับอกกว้าง ทำให้ทั้งสองล้มลงไปบนเตียงกว้างทันที ใบหน้ากรกมลปะทะเข้ากับแผ่นอกของธารนธีที่ล้มลงไปก่อน เธอรีบกอดคอชายหนุ่มรั้งตัวเองไว้ เสียงหวานใสกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“คุณนี่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ” กรกมลว่า จ้องมองร่างสูง ที่รองรับร่างบอบบางอยู่ด้านล่าง วงแขนอบอุ่นนั้นโอบกอดรัดร่างของหญิงสาวแน่น
“ก็ครัย ให้คุณปลุกผม ขึ้นมาเล่นผีผ้าห่มละ” ชายหนุ่มแย้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ทำเอาคนถูกยั่วถึงกับถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“คุณอย่ามาเจ้าเล่ห์กับฉันนะ ธารนธี” ใบหน้าของกรกมลแนบอยู่กับอกอุ่น ได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นแรงไม่แพ้จังหวะหัวใจของตัวเอง หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนวาบ
“ผมเปล่าเจ้าเล่ห์อะไรกับคุณนะ ถามจริงๆเถอะไม่ง่วงหรืองัยครับที่รัก หรือว่า นอนไม่หลับเพราะ….” เขาไม่พูดต่อ กลับใช้สายตามองมา เหมือนจะบอกนัยๆๆ กรกมลเห็นแล้วเลือดขึ้นหน้า มันน่าจะจับชายหนุ่มมาเชือดเสียจริงๆ
“ปล่อยฉันได้แล้ว “ กรกมลเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน สองมือปล่อยจากต้นคอแล้วเลื่อนลงมาผลักที่อกกว้าง ให้ชายหนุ่มคลายกอดเธอ แต่ธารนธีนี่สิกลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเธอพูดซะงั้น
น่าโมโห ผู้ชายเจ้าเล่ห์ นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ กรกมลได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองด้วยความเจ็บใจ เจ้าเล่ห์อย่างงัยก็เจ้าเล่ห์แบบนั้นอยู่วันยังค่ำสินะ
“ฉันบอกว่าให้ปล่อย งัยละ อาโป พูดได้ยินไหมเนี่ย ตาบ้า ผู้ชายบ๊อง ติ๊งต๊อง” มือเรียวฟาดลงที่แผ่นอกกว้างอย่างนึกหมั่นไส้
“ผมว่าอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะที่รัก อากาศข้างนอกหนาวจะตายไป ตัวคุณอุ่นดี” ธารนธีกระชับกอดแน่น ใบหน้าคมหวานจ้องมองร่างในอ้อมแขนอย่างมีเลศนัย
“ไม่ต้องมาเจ้าเล่ห์กับฉันเลยนะ ปล่อยๆๆๆๆๆ ได้ยินไหมว่าปล่อยฉัน ผู้ชายลามก เจ้าชู้ ชอบเอาเปรียบ กะล่อนปลิ้นปล้อน ด่าไม่ถูกแล้ว” กรกมลตวาดเสียงแหลมแล้วกระหน่ำฟาดมือลงไปนับไม่ถ้วน แต่อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยังไม่มีทีท่าจะหลุดออก ตรงกันข้ามกลับยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“จะด่าอะไรผมอีกละที่รัก “ ชายหนุ่มรวบแขนทั้งสองข้างของเธอไว้
“ปล่อยฉันนะ อีตาบ้า คนผีทะเล” กรกมลกร่นด่า ใบหน้าสวยงามแดงก่ำเพราะความโกรธ
“ที่รักครับ คุณเงียบสักทีได้ไหม แล้วก็เลิกดิ้นไปมาแบบนี้สักทีเถอะ คุณจะยั่วผมหรืองัยครับ”
“ฉันไปยั่ว คุณ ตอนไหนมิทราบคะ”
“นี่ถ้ามัน ตื่นขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละ”
“กรี๊ด ๆๆๆพูดจาหยาบคายมากเลยนะอาโป ไอ้ผู้ชายลามกจกเปรต นี่แนะๆๆๆๆ ว้ายยยย” หญิงสาวร้องเสียงหลงหลังจากออกแรงดิ้นจนเกือบหลุดออกจากอ้อมกอดได้สำเร็จ ชายหนุ่มพลิกร่างเธอลงเบื้องล่างทันทีและเป็นฝ่ายทาบทับอยู่ด้านบน
ตายแน่ๆๆๆแรงดิ้นขลุกขลักทำให้ธารนธีต้องกดร่างเธอไว้ ต่างฝ่ายต่างออกแรงไม่ยอมแพ้กันจนใบหน้าของกรกมลปะทะเข้ากับใบหน้าคมหวานนั่นละ ถึงทำให้นิ่งเงียบกันไปได้
“คนฉวยโอกาส ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ “ กรกมลเอ่ยขึ้น ตากลมโตถลึงมอง อย่างเอาเรื่อง
ธารนธีจ้องมองใบหน้าอ่อนหวานที่อยู่ในอ้อมกอด ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดกันและกันทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะยิ่งกว่าทุกครั้ง เมื่อได้สัมผัสความอุ่นนุ่มและกลิ่นกายหอมหวานของเรือนกายในอ้อมกอด ยิ่งทำให้เขาหลงใหลในตัวเธอ
“ก็ที่รัก อยากจะดื้อ กับผมเองนี่ครับ ก็ช่วยไม่ได้นะครับ” ธารนธีพูดยิ้มๆๆก่อนจะถอยออกจากร่างกรกมล แต่ยังคงคร่อมร่างของเธอเอาไว้ ต้องปราบพยศยายตัวแสบให้ได้ก่อนคืนนี้ ไม่ใช่สิต้องบอกว่าวันนี้ เกือบจะตีสี่แล้วหรือนี่
“ฉันไปดื้อกับ คุณเมื่อไรยะ อีตาบ้า”
“ที่รักครับ ผมว่าเราเลิกทะเลาะกันเถอะ ผมง่วงนอนแล้วละ” ชายหนุ่มหงายหลังลงนอน แล้วดึงร่างบอบบางเข้าไปกอดไว้แน่น
“นี่อาโป คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ “ กรกมลรีบปัดมือชายหนุ่มเป็นพัลวัน แต่เขากลับยิ่งกระชับอ้อมแขนมากขึ้นพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเธอ
“ผมจะนอนแล้วนะ กว่าจะสว่างอีกหลายชั่วโมง คุณไม่ง่วงหรืองัยนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“ง่วง แต่ฉันไม่นอนกับคุณแบบนี้นะ ปล่อย” ไม่นอนกับเขา อยากจะขำ ธารนธียิ้ม อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วผู้หญิงที่ไหนละ นอนซุกอกกว้างของเขา เมื่อตอนหัวค่ำละ ไม่อยากจะพูดเลย
“คุณไม่นอนก็เรื่องของคุณ นะที่รัก”
“อาโป คุณ กลับไปนอนห้องคุณสิ อย่ามานอนอยู่ห้องของฉัน ได้ยินไหม” กรกมลกระเถิบร่างให้ออกห่างจากร่างสูง ที่แกล้งนอนหลับโดยไม่สนใจคำพูดของเธอเลย สักนิดเดียว
“บอกว่าไม่กลับ ผมจะนอนแล้วนะ อย่าได้ปลุกผมขึ้นมาอีกละ รับรองได้เลยว่า คราวนี้ผมไม่ปล่อยคุณแน่ๆๆ”
“อาโป คุณอย่าเพิ่งหลับสิ ตื่นๆๆๆ” กรกมลหยิกแก้มเนียนนุ่มของชายหนุ่มอย่างแรง ก่อนจะทุบอก ปลุกให้เขาตื่น “ ฉันรู้ว่าคุณยังไม่หลับ ตาบ้า แง้ๆๆ ฉันยังไม่ได้แต่งงานกับคุณเลยนะ ทำไมต้องมานอนบนเตียงเดียวกันด้วยโธ่ อยากจะบ้าตาย”
สรุป กรกมลต้องนอนอยู่ในอ้อมแขนของธารนธีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ริมฝีปากบางกลับแย้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
สายน้ำเจ้าเอ๋ย ไหลเลยไป เจ้าจะเลยไปที่ใด
ไกลหรือใกล้จะอยู่ที่ไหน ช่วยพาดวงใจฉันไปได้ไหมเธอ
หัวใจเจ้าเอ๋ย ล่องไปเลยไปตามสายน้ำ
ลืมทุกข์โศก สดชื่นสุขสม ล่องไปตามลำธาร สู่วิมานดวงดาว
ลืมเสียอดีต ที่กรีดรอยฝัง ลืมทุกข์ประดัง ที่สุมหัวใจ
ลืมฉันลืม ที่เคยรักใคร จำไว้ทำไมปล่อยหัวใจไปตามสายน้ำ
รุ่งอรุณยามเช้า
แสงแดดอ่อนที่ส่องเข้ามาในห้องขับไล่กลิ่นอายของความหนาวเย็นในยามเช้าให้จางลง แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในห้องรู้สึกอบอุ่นขึ้น
“ที่รักคุณเป็น อะไร ไป ทำไมวันนี้เงียบจังเลยละ ไม่สบายหรือเปล่าครับ” เจ้าของอ้อมกอดถามขึ้น เมื่อเห็นกรกมลเอาแต่เงียบทั้งที่ เพิ่งจะตื่นแท้ๆๆ
ธารนธีคลายอ้อมแขนให้หลวมขึ้นก่อนจะจ้องมองหญิงสาว
“เปล่า คะ “ กรกมลตอบ หันกลับไปมองชายหนุ่มที่กอดอยู่เบื้องหลัง เธอเกือบจะลืมไปเลยว่า เมื่อคืนคนเจ้าเล่ห์ฉวยโอกาสกอดเธอทั้งคืน คิดถึงเรื่องนี้ทีไร พานหน้าแดงทุกที หญิงสาวออกแรงดึงแขนที่โอบกอดรอบตัวออก แต่ทว่าอ้อมกอดกลับยิ่งกระชับแน่นขึ้น
กรกมลโมโหแทบเต้น เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก่อนจะหยุดความพยายามที่จะดึงมือเหนียวหนึบออก
“เมื่อคืน ผมรุนแรงกับคุณไปหรือครับ”
“ธารนธี คุณ เนี่ย พูดจา น่าเกลียดมากเลยนะ “ กรกมลหันไปตวาด พร้อมกับเตรียมจะลงมือลงไม้ใส่ชายหนุ่มต่อ
“ทำไมเช้านี้ ที่รักถึงได้หงุดหงิดจังเลย “ กรกมลอยากจะกรี๊ด ให้โลกแตก หรือโลกถล่มทลายไปเลย เธอไม่อยากจะถือสาหาความกับชายหนุ่ม สักเท่าไหร่ รู้ก็รู้ ว่าธารนธีนะเปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ขนาดไหน เรื่องที่จะไล่ต้อนเธอให้จนมุมหรือหาวิธีให้เธอทำตามที่เขาต้องการถนัดนัก
“คุณจะกอดฉันไว้ทั้งวันทั้งคืนเลยหรืองัยคะ” หญิงสาวสะบัดเสียงใส่ชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ
“ก็ดีเหมือนกัน วันนี้อากาศหนาว ผมจะได้ถือโอกาสกอดคุณให้อุ่น” ชายหนุ่มพูดออกมา พร้อมหัวเราะอย่างสำราญ ทำเอากรกมลหน้าแดงระเรื่อ ด้วยความโกรธ เมื่อคืนนี้ก็กอดเธอไว้ทั้งคืนทำมั้ย ทำไม เหน็บน่าจะกินให้กระดิกตัวไม่ได้ทั้งวัน ซะให้เข็ด โมโห ๆๆๆแค้นๆๆ
ผู้ชายบ้า เจ้าชู้ กะล่อน กรกมลได้แต่สาปแช่งธารนธีอยู่ในใจ
“นี่ ปล่อยฉันได้แล้ว”
“ ผมไม่ปล่อยคุณหรอกที่รัก ” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม แล้วกระชับอ้อมกอดแน่นหนายืนยันสิ่งที่พูดออกมา มิหนำซ้ำยังซุกหน้าลงเข้าไปในซอกคอหอมกรุ่นของเธออีก
กลิ่นกายหอมหวานของหญิงสาว ยิ่งทำให้ธารนธีไม่อยากจะปล่อยเธอ ให้ไปไหนห่างไกลสายตา
“อาโป นี่คุณเป็นผู้ชายที่เจ้าเล่ห์มากๆๆเลยนะคะ ฮึ…ท่าทางแบบนี้คงจะทำกับผู้หญิงทุกคนเลยใช่ไหมละคะ” กรกมลยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ จู่ๆๆเธอก็กลายมาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในบัญชีรายชื่อ อันยาวเป็นหางว่าว ของ ธารนธี ชลธารพิทักษ์
“ที่รัก หึงหรือครับ”
ตูมๆๆๆๆๆระเบิดลง ลูกที่หนึ่งของ วันนี้
แทนที่เขาจะตอบคำถามเหล่านั้น ชายหนุ่มกลับย้อนถามกลับคืน เลยถูกกรกมลกระแทกศอกใส่อกอย่างแรงจนเขาร้อง ออกมาเสียงดัง
“โฮ้ย..อูย ทำอะไรของคุณนะ “ ชายหนุ่มถาม หน้าตาบูดเบี้ยว
“ศอกคะ ไม่รู้จักหรืองัยคะ” หญิงสาวถามเสียงขุ่นๆ
“ศอกมาได้งัยเจ็บนะครับ ที่รัก โฮ้ย…อูย”
“สำออยไปได้น่าคุณ ฉันแค่ศอกเบาๆนะ” กรกมลว่า พลางเบ้ปาก ใส่ มารยาของผู้ชายตรงหน้า
“ศอกเบาๆๆ” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ใบหน้าคมหวานทำหน้าเหลือเชื่อ
“ไม่เจ็บแล้วเหลอคะ”
เออ....ลืม ไหนๆๆก็ถูกจับได้ว่าสำออย ชายหนุ่มจึงยักไหล่ ไม่รู้สึกเสียหน้าหรือว่าผิดอะไรอีกตามเคยละ (ไหลไปเรื่อยๆๆตามชื่อละ สายน้ำ)
“ไม่เจ็บแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า”
“ไม่ “ กรกมลปฏิเสธเสียงแข็ง เตรียมจะวิ่งหนีทันที แต่ทว่าถูก ธาร นธีคว้าร่างบอบบางไว้ได้ทัน
“จะหนีไปไหน ที่รัก “ เขาถามเสียงใส
“ปล่อยฉันนะ อีตาบ้า “ กรกมล เริ่ม ดิ้น
“ไม่ปล่อย เดี่ยวผมอาบน้ำให้ นะ“ พูดจบชายหนุ่มก็ช้อนร่างบอบบางอุ้ม พาเดินไปยังห้องน้ำทันที
“ไม่ “ หญิงสาวกรีดเสียงร้อง ดังลั่นบ้านสวนดอกเหมย มือเล็กทุบอก กว้างอย่างแรง “อาโป ปล่อยฉันลงเดี่ยวนี้นะ “
ธารนธีทำหูทวนลม ไม่สนใจเสียงเล็กๆๆที่แผดเสียงใส่ คิดว่าเขากลัวเหลอ ฝันไปเถอะ รู้จักเขาน้อยไปแล้วละ กรกมล
“กรี๊ดๆๆๆๆอาโป อย่ามาถอดเสื้อของฉันนะ “
“กรี๊ดๆๆๆอาโป คุณออกไปเลยนะ “
“กรี๊ด ๆๆๆอาโป อย่ามาแตะต้องตัวของฉันนะ “
เสียงแหลมของหญิงสาวกรีดร้องดังลั่นคาห้องน้ำสนั่นหวั่นไหว สลับกับเสียงหัวเราะ ทุ้มห้าว อย่างอารมณ์ดีของชายหนุ่ม ที่สามารถแกล้ง คนตัวเล็กให้อายได้
ไอ้ผู้ชายบ้า ไม่น่าหลงผิด มาตกหลุมรักเลย แค้นๆๆ
กรกมลนอน แช่น้ำในอ่างน้ำไม้ขนาดกลาง ที่มีดอกกุหลาบหอมกรุ่นลอยอยู่เต็ม ใบหน้าสวยงามบูดบึ้ง โมโหธารนธีแทบกระอักเลือด ที่บังอาจจับเธอหย่อนลงในอ่างน้ำที่เย็นเจี๊ยบได้ แล้วก็ปัดก้นเดินหนีจากไป ทิ้งให้เธอร้องกรี๊ดๆๆอยู่ในห้องน้ำด้วยความโมโห ผู้ชายคนนี้หนา วันๆๆหาแต่เรื่องทำให้เธอโกรธ ได้ตลอด เวลา สินะ
คอยดูนะ เธอจะโกรธ ไม่พูดด้วยแล้ว จะหนีกลับเมืองไทยให้ได้เลยละ มีปัญญาตามได้ก็ตามไปเลย ถ้าโผล่ไปที่วังปทุมวันเมื่อไรละก็ จะให้เห่าฟ้าไล่กัด งับ ขา เลยละ ฮึ คิดแล้วแค้น
โกรธ จริงๆๆนะเนี่ย แกล้งกันอยู่ได้
ครึด
“กรี๊ด อาโปคุณออกไปเลยนะ” ร่างบอบบางรีบคว้าหมอนปาเข้าใส่ผู้มาเยือนทันทีที่ ประตูถูกเลื่อนเปิดอย่างไม่มีสัญญาณเตือนบอกล่วงหน้า กรกมลตกใจ และโมโห มากๆๆ ที่จู่ๆชายหนุ่มเข้ามาในห้อง ตรงกับจังหวะที่เธอกำลังจะถอดชุดคลุมอาบน้ำตัวบางออกมา
“อาบน้ำเสร็จแล้วหรือครับที่รัก” ธารนธีถาม พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ สายตาคมมองใบหน้าหญิงสาวที่แดงระเรื่อ
กรกมลรีบหาทางหนีจากสายตาแทะโลม โดยมุดเข้าไปในเตียงนอนอย่างเร่งรีบ ก่อนจะคว้าผ้าห่มเอามาพันกาย ราวกับมัมมี่
“เฮ้….ที่รักคุณเช็ดตัวหรือยังนั่นนะ” ธารนธีเดินไปยืนอยู่หน้าเตียงกว้างอย่างพาซื่อ อันที่จริงแล้วเขาตั้งใจจะแกล้งยั่วโทสะของหญิงสาวเล่น
“นี่อาโป ฉันอุตส่าห์หนีเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว คุณจะตามมาทำไมอีกนะเนี่ย ออกไปก่อนได้ไหม ฉันจะแต่งตัวได้ยินไหม” หญิงสาวตวาดเสียงหลง
“นี่” ชายหนุ่มยังคงแกล้งเธอต่อ ด้วยการแกล้งดึงผ้าห่มเบาๆๆทำเอากรกมลต้องร้องออกมาไม่เป็นภาษา ด้วยความตกใจ
“กรี๊ดๆๆๆอาโป คุณจะกระตุกผ้าห่ม ทำไม ฉันบอกให้คุณออกไปก่อนอย่างงัย” กรกมลเริ่มกัดฟันเพราะความโมโหความเจ้าเล่ห์ของธารนธีแล้ว
“จะแต่งตัวก็แต่งไปสิ เป็นแฟนกันยังจะอายทำไม”
“กรี๊ดๆๆๆแฟนนะยะ ไม่ใช่ภรรยา กรุณาอย่าเข้าใจผิด” กรกมลตวาดเสียงใส่ อย่างโมโห
“ก็บอกให้เป็นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมไม่ยอมละ” ชายหนุ่มแกล้งพูดจา ยั่วโทสะ ของหญิงสาวเล่นๆๆ ใครจะไปกล้าทำละ(ทั้งที่ความจริง แล้ว จะทำก็ได้ )มี สัญญา ค้ำคอเขาอยู่นะสิ ข้อห้ามฯลฯ แปะอยู่เต็มหน้าผากของชายหนุ่ม เลยละ (เจ้าชายละเซ็ง)
“อาโป คุณออกไปก่อนจะได้ไหมคะ ฉันจะแต่งตัว ขอร้องละคะที่รัก อย่าได้ทำให้ฉันอายได้ไหมคะ ฮือๆๆ” กรกมลพูดเสียงหวานๆๆๆ ไม่สนใจกับคำพูดของชายหนุ่มที่มักจะพูดจายั่วโทสะ ให้โมโห หญิงสาวได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกจากห้อง เธอถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งใจ ค่อยๆๆแกะผ้าห่มที่พันตัวจนเป็นมัมมี่ออก แล้วชะเง้อหน้ามองออกไปข้างนอก ไม่อยู่แล้ว

เมื่อเราสบตา เหมือนว่าจะรู้ ทั้งที่มองอยู่ แต่ก็ดูเหมือนยังไกล
ช่วยกระเถิบมา เข้ามาฝากใจ
ซบลงตรงไหล่ แอบอุ่นไอของกายกัน
ลมหายใจอุ่นๆไอละมุนจากเธอ ใจฉันคงละเมอ ไปแสนไกล
คำรักเพียงแผ่วๆฟังแล้วยอมหมดใจ ลืมฟ้าดินไปทั้งวัน
เอ่ยคำรักกัน เมื่อเรานั้นได้อยู่เคียง
มีแต่เสียงกระซิบ กระซิบจากหัวใจ
ธารนธีพากรกมลออกมาเดินชมสวนดอกเหมย เพียงตามลำพังสองคน ทิ้งให้สุนัขโกลเด้นรีทิฟเวอร์นอนเฝ้าบ้าน
กรกมลมองมือใหญ่ซึ่งกุมมือเธอไว้ตลอดเวลาที่เดินออกมาจากบ้านสวนดอกเหมย แววตาของเขาแจ่มใสราวกับไม่เคยได้ผ่อนคลายแบบนี้มานานแล้ว
“ที่รัก อย่าทำหน้างอแบบนี้สิครับ ไม่น่ารักเลยนะ” กรกมลสะบัดหน้าหนี เมื่อถูกธารนธีถูลู่ถูกังลากเธอออกมาเดินชมสวนดอกเหมย พร้อมกับเขา
“เรื่องของฉัน “
“โกรธผม ยังไม่หายอีกเหลอครับ” ร่างสูงเดินเคียงข้างไปกับกรกมลอารมณ์ดี ในหัวที่กลัดกลุ้มอยู่กับงานถึงกับผ่อนคลายลงมาก ยามเมื่อย่างเข้าไปในสวน ลมเย็นที่ปะทะเข้ากับผิวกาย กลิ่นอายของธรรมชาติที่ไม่ได้สัมผัสเนิ่นนานนั้นราวกับจะเป็นสายน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจอันแห้งผากของชายหนุ่ม
“ใช่ “ เสียงหวานใสบอก เสียงกระเง้ากระงอด
“ที่รักจ๋า “ เสียงทุ้มห้าวเสียงหวาน มือใหญ่ยกขึ้นไล้แก้มนวลอย่างเอ็นดู ก่อนจะก้มลงจุมพิตเบาๆๆที่แก้มสองข้าง อย่างที่คนโดนขโมยจูบไม่ทันรู้ตัว
“อาโป นี่ คุณ เอาอีกแล้วนะ “ เสียงกรกมล ขุ่นๆ มือเล็กๆยกขึ้นลูบแก้มสองข้างของตัวเอง “เผลอไม่เคยได้เลยนะคุณ นี่ วันๆๆจ้องจะหาเศษหาเลย กับฉันทุกที”
“ผมหอมแก้มก็ดีแล้วไม่ใช่หรือครับ หรือว่าอยากจะให้ผมจูบคุณละที่รัก แต่ถ้าเป็นอันหลังผมชอบนะครับ” ธารนธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มือเล็กๆจึงเอื้อมมาหยิกเข้าที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างแรง (อยากจะตบ หน้ามากกว่า แต่ไม่กล้ากลัว ตบแล้ว พระเอก จูบ)
“ฉันจะทำอย่างงัยกับคุณดีเนี่ย “
“ไม่ต้องทำอะไร ทั้งนั้นละครับ ขอแค่คุณไม่หนีผมไปไหนอีกก็พอแล้ว”
“เชอะ ถ้ามีโอกาส ฉันก็จะหนีเหมือนกันละ ไม่ต้องมาชี้โพรงให้กระรอก หรอกยะ”
“ที่รัก ด้ายแดงพรหมลิขิตผูกเราสองคนไว้ด้วยกันแล้วนะ ต่อให้คุณหนีไปไกล แค่ไหนเราสองคนก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดีละครับ” ธารนธีคว้าหมับเข้าที่เอวคอดกิ่ว ก่อนจะรั้งร่างบางมาชิดใกล้ ชายหนุ่มดึงมือของหญิงสาวขึ้นมาประทับรอยจุมพิต เล่นเอาใบหน้างามแดงเรื่อ ยิ่งกว่าผลมะเขือเทศสุกอีกนะ
“คุณนี่เจ้าเล่ห์ ไม่หายเลยนะ “
“ผมก็เจ้าเล่ห์แบบนี้กับคุณเพียงคนเดียวนั่นละ กรกมล” ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าหวานที่ก้มหน้านิ่งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ฝังรอยอุ่นไอ ให้เราจดจำ แสนจะชุ่มฉ่ำ เอ่ยแต่คำที่จริงใจ
ขอจงพูดจา สัญญาออกไป ซบลงตรงไหล่ ติดตรึงใจมิลืมเลือน
ร่างสูงโปร่งเพรียวยืนพิงต้นบ๊วย นัยน์ตาสีดำคมหวานทอดมองไปยังแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ สีหน้าสงบนิ่งไม่บอกความรู้สึกและอารมณ์ใด หากแต่ดวงตากลับฉายแววแห่งความดีใจ อย่างปิดไม่มิด
มือเรียวยาวดุจลำเทียนแตะกลีบดอกบ๊วยเบาๆ ใบหน้าคมซึ่งปะทะกับไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิ กลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆๆ
“หลานสาวของผม อยู่กับเจ้าชาย ใช่ไหมครับ “ เสียงของหม่อมราชวงศ์กอบกาญจน์ ถาม เจ้าชายหนุ่ม แห่งวังธารา
“ครับ “ ธารนธีตอบ เมื่อคุณชายแห่งวังปทุมวันโทรศัพท์ทางไกลจากเมืองไทยมา เพื่อสอบถาม ข่าวคราวของ หลานสาวสุดที่รัก กรกมล ภัทรโยธิน
“ผม หวัง ว่า เจ้าชาย จะรักษาคำพูด ที่ให้ไว้ได้ นะครับ” คุณชายแห่งวังปทุมวัน ถามย้ำ คำสัญญาที่เจ้าชายหนุ่ม เคยให้คำมั่นสัญญา ไว้กับท่าน เมื่อตอน เดินทางมาสู่ขอ กรกมลที่วังปทุมวัน และได้เอ่ยความในใจ ว่ารัก หลานสาวท่าน มานาน ตั้งแต่หญิงสาวเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยน ของประเทศไทย ไปประเทศ คีรีธารา แปดปี ที่เจ้าชายหนุ่มแห่ง วังธารายัง รอ อยู่
“ผม ไม่ลืมหรอกครับ คุณกรกมล จะปลอดภัยเมื่ออยู่กับผม คุณชาย ไม่ต้องเป็นห่วง และขอให้สบายใจได้” เจ้าชายสายน้ำตรัสเสียงเข้ม
“ผมขอฝาก แก้วตาดวงใจของผมด้วยนะ เจ้าชาย ธารนธีนรเทพ”
“คุณกรกมล เป็นผู้หญิง ที่ผมรักเสมอ รักที่สุด รักสุดซึ้ง รักสุดหัวใจ รัก จนไม่เหลือใจจะรักใคร” เจ้าชายหนุ่มพูด ตามที่ใจรู้สึกออกไป นัยน์ตาสีดำ คมหวานพราวระยับ
“ผมหวังว่า หลานสาวผม จะจำเจ้าชายได้เร็ววันนะครับ “
ณ ค่ำคืนแห่งดวงดาว สวรรค์บัดดาลให้เขาได้พบ ที่สุดของหัวใจ เขาสัญญาว่า สี่ห้องของหัวใจ ของเขา จะมีเพียงเธอคนเดียวตลอดไป จะรักเพียงเธอคนเดียวตราบลมหายใจสุดท้ายในชีวิต
กรกมล ภัทรโยธิน ดอกบัวงาม
ดอยตารกา
สวนท้อ ต้นบ๊วย และ ลำธาร
ธรรมชาติในป่าข้างสวนท้อค่อนข้างสมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณ อากาศยามเช้าก็บริสุทธิ์สดชื่นมาก กรกมลจึงเดินเลียบลำธาร เสียงนกชนิดต่างๆดังเป็นท่วงทำนองน่าฟัง หญิงสาวเดินชมธรรมชาติเพลิน ยิ้มหวานกับดอกไม้ที่ขึ้นตามรายทางเดิน อย่างลืมตัว
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกลีบดอกสีชมพูคล้ายกับดอกเหมย ข้างริมลำธารน้ำ ร่างสูงเพรียวปูพรมสีอ่อน และจัดสำรับสำหรับอาหารมื้อกลางวันเอาไว้
“ที่รัก “ เสียงขรึมเรียกหญิงสาวที่เดินถือดอกไม้ป่า แกว่งไกวไปมาในมือ เดินมายังที่เขายืนอยู่
สายลมเอื่อยพัดผ่านเข้ามา หอบกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นเข้ามาด้วย กลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนกลีบหนึ่งตกลงบนเรือนผมสีน้ำตาลอมทองราวกับจงใจวาง
ธารนธีเอื้อมมือหยิบกลีบดอกไม้นั้นออกจากเรือนผมงาม หญิงสาว จ้องมองเขาอย่างตกใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ออกมา นอกจาก จะหลบสายตา เขินอาย แก้มแดงระเรื่อ
ร่างสูงเพรียวเชยคางมนขึ้นให้เธอมองสบตาเขา มือใหญ่ของธารนธีลูบแก้มเนียนแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม
“ดอกไม้ป่า ดอกนี้หอมนัก แต่ผมว่ากลิ่นกายของคุณหอมยิ่งกว่า” ลมหายใจร้อนอุ่น รินรดอยู่ที่ต้นคอขาวผ่อง ชายหนุ่มรวบร่างบอบบางมากอดแน่นไว้ในอ้อมแขน
“ปล่อยนะ คะอาโป” หญิงสาวบอก ร่างบอบบางพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนเขา ริมฝีปากอุ่นร้อนแตะลงบนกลีบปากอวบอิ่มแนบสนิท อ้อมกอดแข็งแกร่งบีบรัดร่างบอบบางปานจะกลืนกิน
ธารนธีถอนริมฝีปากออกหลังจากที่ได้สัมผัสความอ่อนหวานจากริมฝีปากของหญิงสาวจนพอใจ
“ คุณนี่หวานมาก เลยนะที่รัก เห็นเป็นม้าดีดกระโหลกแบบนี้ หวานอย่าบอกใครเชียวละ” ริมฝีปากบางยิ้มที่มุมปากนิดๆๆ
“ไอ้ผู้ชายบ้า “ กรกมลอายจนอยากจะเอา ก้อนหินแถวริมธารขว้างใส่ ผู้ชายมือไว เผลอทีไรต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลยนะ
หลงรักเธอ ฉันรักเธอ ดวงฤดีพี่นี้รักทรามวัย
ขอดวงใจโปรดอย่าเลือนร้างรา ในดวงใจพี่นี้รักบังอร
โถงามงอนโปรดอย่างอนทุกครา เพราะรักเธอ ฉันรักเธอ
โถให้คอย อีกกี่เดือนกี่ปี คอย บอกให้คอย คอยทุกนาที
“ทำไมทานน้อยจังเลยละครับที่รัก” ธารนธีถามอย่างเป็นห่วง นัยน์ตาสีดำคมหวานมองไปที่ชามและสำรับอาหาร ที่เหลืออยู่เกินครึ่ง
“ฉันไม่หิว” เสียงหวานใสตอบ หญิงสาวหยิบน้ำบ๊วย ขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด (เธอโกรธ พระเอก จน พาลทานอะไรไม่ลง )
กรกมลนั่งนิ่ง สายตาเธอสบประสานกับดวงตาสีดำคมของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม มุมปากคมเผยรอยยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นใบหน้างาม แดงระเรื่อ โกรธจริงๆๆหรือเนี่ย
“ที่รัก ไม่ทานปลาหรือ ปกติผมเห็นคุณชอบทาน” ธารนธี เลื่อนจานปลานึ่ง ให้กับหญิงสาว กรกมลเงยหน้าขึ้นมาจ้องเขาตรงๆ นี่เขาอุตส่าห์ง้อแล้วนะ อย่าโกรธ และนิ่งเงียบแบบนี้สิ เห็นแล้วไม่สบายใจเลย
“ฉันไม่ทานอะไรทั้งนั้น เอาไปไกลๆๆ”
“ที่รักครับ ทำไมต้องทำตัวเย็นชานักละ พูดอะไรกับผมบ้างสิครับ จะโกรธอะไรผมนักหนา “ เขาถาม
“ฉันไปโกรธ คุณเรื่องอะไรมิทราบคะ คุณธารนธี” ประชด แดกดันให้สะใจ เลย อยากจะเอาผลท้อ ปาแสกกลางหน้าจริงๆๆ
“ก็เรื่อง…..” ชายหนุ่มจะพูด แต่ทว่าไม่กล้าพูดเมื่อ เหลือบไปเห็นสายตาแม่เสือสาวจ้องมองวาววับน่ากลัว เขาลอบกลืนน้ำลาย คืนนี้อดได้เล่นปู่ไต่แน่ๆๆเลย ไม่ได้นะเขาไม่ยอม
ธารนธียิ้มเศร้าๆ
สวนดอกท้อ
ธารนธีกระชับอ้อมแขนกอดรัดร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนตักของเขา ใบหน้าคมอิงอยู่กับแก้มนวล สายตาทอดมองท้องฟ้าสว่างสดใส ในสวนดอกท้อ
กรกมลเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่นาน ในใจนั้นยังโกรธ ชายหนุ่มไม่หาย
“ที่รัก คุณชวนผมมานั่งชมดอกท้อ แต่ไม่เห็นคุณพูดอะไรสักคำเลยละ” ธารนธีเอ่ยถาม ใบหน้างามยังคงบูดบึ้ง
“ฉันชวนคุณมานั่งเล่นนะคะ ไม่ได้ชวนมานั่งคุยด้วยซักหน่อย “ กรกมล พูดด้วยเสียง ตีรวน
“ยังโกรธ ผมไม่หายอีกหรือครับ กุ้งนาง” ธารนธีกดริมฝีปากลงบนเรือนผมหอมละมุนด้วยความรัก
“เปล่า โกรธสักหน่อย “ ใบหน้าหวานสวยหันไปจ้องใบหน้าคม สบประสานกับนัยน์ตาสีดำคมเนิ่นนาน ธารนธีกระชับอ้อมแขนอบอุ่นแน่น
“ไม่โกรธ ทำไมหน้าบึ้งจังเลยละครับ” ร่างบอบบางหันใบหน้าอันแสนขุ่นเคืองไม่หาย จ้องมองหน้า ธารนธี
เธอลืมแล้ว ลืมคนห่วงใย ลืมรักไว้ ให้ใครหม่นหมอง
ฉันยังจดจำความหลังหวังปอง เธอมาเคียงสองครองใจรักกัน
เธอทำฉันให้ใจสับสน สู้ยอมทนข่มใจทุกครา
ใจฉันนั้นเฝ้าอาวรณ์ใฝ่หา ไยยอดชีวามาจำจากไกล
ความรักดั่งสายน้ำ
เฮ้อ…. จะมีสักวันไหมนะที่เธอจะโกรธ ผู้ชายคนนี้ได้ลงนะ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลดความโกรธกรุ่นลง
“อาโป” มือบางโอบรอบร่างชายหนุ่มเอาไว้ด้วยความรัก
“ผมขอโทษ “ เสียงทุ้มห้าวพูดอ่อย อย่างคนสำนึกผิด
“ช่างเถอะคะ คราวหลังอย่าได้ทำแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ” เพราะรักถึงยอมนะ กลัวใจตัวเองเหลอเกิน ว่าสักวันหนึ่งจะเกิดเรื่องอย่างว่าขึ้น เธอยังไม่ได้แต่งงานเลยนะ จะเข้าหอได้อย่างงัยละ จะต้องรักษาศักดิ์ศรีของกุลสตรีศรีสยาม เอาไว้ให้ได้ อย่าได้ใจง่าย แต่ดูเหมือนว่าจะทำได้ยากเหลือเกิน
“ที่รักครับ ผู้ชายเวลาอยู่ใกล้กับผู้หญิงที่ตัวเองรักนะ เขาเก็บไม้เก็บมือไว้ไม่ได้หรอกนะครับ “ วงแขนอบอุ่นสวมกอดกรกมลเอาไว้แน่น หญิงสาวซบหน้าลงกับไหล่ชายหนุ่มด้วยความรัก
“หัวใจของข้า ต้องการเพียงแต่เจ้าคนเดียว มณีหยาดฟ้ายอดรัก ความรู้สึกของข้า มันไม่สามารถซ่อนในหัวใจได้อีกแล้ว ข้าไม่สามารถอยู่ได้ ถ้าไม่มีเจ้า”
“ข้าปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้ารักท่านอยู่ และดีใจที่ครั้งหนึ่ง ได้พบกับท่าน แต่ว่า ตอนนี้หัวใจของข้ามันกำลังถูกเผาไหม้ จนแหลกสลายไปแล้ว “
“ป้อนผมหน่อยสิครับ” เสียงทุ้มห้าว ออดอ้อนหญิงสาวที่ถือพุทธาเชื่อมในมือ ขณะที่ทั้งสองคนพากันเดินเที่ยวเล่นในตลาดยามเย็น อยู่ที่ หมู่บ้านกัชชลา
“มือก็มี หยิบทานเองสิคะ” กรกมลบอก อย่างไม่สนใจ
“ก็ผมอยากให้คุณ ป้อนนี่ครับ นะครับ นะนะ” หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะ อย่างหมั่นไส้ กับ คนร่างสูงที่เดินโอบเอวอยู่ใกล้ ๆ ตากลมโตถลึงมองมาอย่างงอนๆ ก่อนจะตัดสินใจ ยื่นช้อนตักพุทธาเชื่อมส่งให้ชิดริมฝีปากแดง ที่กำลังยิ้มแย้ม อยากจะยกมือฟาด อกซักตุ๊บ
“อื้ม…ก็อร่อยดี หวาน” ธารนธีพูดหลังจากเคี้ยวพุทธาเชื่อม
“พุทธาเชื่อมก็ต้องหวานสิ” เธอชำเลืองมองเขาพร้อมกับพูดเสียงค่อย
“ไม่ใช่” สายตาที่มองมาอบอุ่นหัวใจ “ผมบอกว่าที่มันหวานนะไม่ใช่พุทธาเชื่อม แต่เป็นเพราะคนป้อนต่างหากละครับ” ชายหนุ่มยิ้มทั้งริมฝีปากและนัยน์ตา พราวระยับ กรกมลเห็นแล้วถึงกับหน้าแดงด้วยความอาย และอดโมโหกับคำพูดชายหนุ่มไม่ได้
ใครละจะเชื่อว่าสถาปนิกสุดหล่อ ผู้เคร่งขรึม จะอ่อนหวานได้เพียงนี้
“ที่รัก อยากทาน พุทธาเชื่อมไหม เดี๋ยวผมจะป้อน” ธารนธีถาม
“ไม่ต้อง ฉันมีมือ หยิบทานเองได้ อื้อ….” กรกมลว่ากำลังจะพูดประชดชายหนุ่ม แต่คิดไม่ถึงว่าริมฝีปากบางที่อมพุทธาเชื่อมลูกหนึ่งอยู่จะประทับลงบนริมฝีปากเธอเอาดื้อๆ
“อาโป” กรกมลแก้มแดงดั่งลูกตำลึง เอ็ดชายหนุ่ม ทั้งอายทั้งเคือง หน้าไม่อาย เขากล้าจุ๊บเธอกลางตลาด อายคนเขาจะแย่
“ที่รัก ดูท่าทางไม่อยากจะทานพุทธาเชื่อม ผมก็เลยป้อนให้”
“คุณ นี่นะ เผลอไม่เคยได้เลยนะคะ “ กรกมลสะบัดหน้าใส่ชายหนุ่มก่อนจะเดินหนี ธารนธีเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
ร้านอัญมณี
“กำไล อันนี้สวยจังเลย “กรกมลเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับที่ค่อนข้างใหญ่โต ด้านซ้ายมือเป็นร้านขายผ้าทอ ส่วนทางขวามือเป็นร้านขายเครื่องปั้นดินเผาและเซรามิก ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปในร้าน สาวงามและสตรีอีกหลายคนที่ยืนอยู่ในร้านต่างหันมามองเขากันเป็นตาเดียวกัน
“ที่รัก มานี่ๆๆ” ธารนธีดึงมือกรกมลให้มายืนใกล้ๆ กันสายตาของเหล่าสตรีที่พยายามส่งสายตามาให้ ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประดับโดยไม่คิดแม้จะชายตามองพวกเธอ
“อันนี้คุณว่าเหมาะกับฉันไหมคะ อาโป” กรกมลถามชายหนุ่มที่ยืน หน้าเรียบนิ่ง จะมองอะไรกันหนักหนา ผู้หญิงเหล่านี้ เขามากับเธอนะยะ หัดเกรงใจกันบ้าง
“ก็สวยดีครับ”
“แล้วถ้าอันนี้ละคะ” กรกมลหยิบกำไลที่ทำจากพลอยสีชมพูขึ้นมาพิจารณา แล้วมองธารนธีอย่างขอความคิดเห็น
“อันนี้ก็สวยครับ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะชี้ไปยังกำไลหยกเนื้อดี กรกมลมองแล้วส่ายหน้า ว่ามันไม่เหมาะกับเธอ
“ไม่เหมาะกับ ฉันหรอกคะ อัญมณีประจำเดือนกรกฎาคม ต้องเป็นทับทิม”
“ถ้าเป็นเดือนกุมภาพันธ์ละครับ” ชายหนุ่มถาม
“อะแมธิสต์ พลอยสีม่วง” กรกมลตอบเสียงหวาน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม มองหน้าชายหนุ่มที่จ้องมองมาหวานซึ้ง ท่ามกลางร้านอัญมณีไม่เกรงสายตา นับสิบคู่ที่มองมา ต่างอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
ธารนธีหยิบกำไลวงเล็กขึ้นมาสวมข้อมือเล็กให้หญิงสาว เพชรน้ำงามจรัสแสงจันทร์ ประกายระยับตามรูปทรง ลวดลายวิจิตรประณีตบรรจง เป็นงานชิ้นเยี่ยมที่ไม่ใช่สักแต่ว่ามีเงินแล้วจะได้ครอบครอง นอกจากคนในวังธาราแล้ว น้อยคนนักจะมีของมีค่าเช่นนี้ไว้ในครอบครอง ธารนธีไม่อยากจะบอกเขาเป็นสั่งทำกำไลข้อมืออันนี้ ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อมอบให้กับหญิงสาวสุดที่รัก
“อาโป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกคะ” กรกมลบอก พยายามจะถอดกำไลเพชร ที่ชายหนุ่มสวมใส่ให้จากข้อมือด้านซ้ายออก อย่างเกรงใจ
“ห้ามถอด ไม่งั้นมีเรื่องกันแน่ๆๆ” ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม นัยน์ตาสีดำจ้องมองอย่างเอาเรื่อง กรกมลมองกำไลวงเล็กที่ทำจากเพชร
ราคาแพงที่ข้อมือ “ ผมขอหมั้นคุณด้วยกำไลวงนี้จะได้ไหมครับ กรกมล ” น้ำตาอุ่นรื้นขึ้นมาคลอเต็มนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ชายหนุ่มโอบไหล่เธอเข้าซบกับอกกว้าง ปัดปอยผมให้เธออย่างปลอบประโลม ธารนธีจะรู้ไหมนะการกระทำของเขา ยิ่งทำให้เธอรัก เขามากขึ้นทุกวัน
“อาโปคะ” เสียงหวานใส สั่นและสะอื้นเบาๆ
“คุณกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ผมจะให้ท่านพ่อท่านแม่ไปสู่ขอคุณนะ ที่รัก “ ธารนธีประคองใบหน้างดงามเอาไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอมก่อนจะปาดน้ำตาออกไปจากแก้มนวล
กรกมลเงยหน้าขึ้นสบตาคมที่จ้องมองเธอ ริมฝีปากบางระบายยิ้มจางๆ ธารนธีโอบกอดหญิงสาว มือข้างหนึ่งเชยคางของเธอขึ้นแล้วประทับจุมพิตเบาๆยังริมฝีปากแดงอวบอิ่ม
“คุณรอผมอยู่ที่นี่ ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”ธารนธีบอกหญิงสาวที่กำลังหยิบกำไลที่ทำจากไพลินขึ้นมาดู ว่าจะซื้อเอาไปฝากน้องสาวคนสวย
“อาโป คุณจะไปไหนหรือคะ” กรกมลหันมาถาม ใบหน้าหวานสบตาชายหนุ่มอย่างเป็นห่วง ปกติแล้วธารนธีไม่เคยปล่อยให้เธอไว้คนเดียว
“ผมจะไปธุระสักเดี๋ยว ไม่ต้องห่วงนะ คุณอย่าไปไหนละ รอผมอยู่ที่นี่ เข้าใจไหมละ”
“คะ รีบมานะคะ จะค่ำแล้ว”เธอบอกอย่างเป็นห่วง ตอนนี้พระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศจึงเริ่มเย็นลงเรื่อยๆสายลมอ่อนพัดมาเป็นระยะ หากเดินทางกลับบ้านสวนดอกเหมยช้าเธออาจจะไม่สบายได้
ชายหนุ่มยิ้มหวานให้ นิ้วเรียวยาวดุจลำเทียนแตะแก้มนวลเบาๆ
“ครับจะรีบกลับมา” เขารับคำ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง หญิงสาวจึงก้มหน้าเลือกอัญมณีต่อ

ตัวอิจฉา ในละคร
“กำไลอันนั้นฉันซื้อแล้วนะ” เสียงแหลมปรี๊ด เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง ร่างสาวงามยืนกอดอกมองกรกมลด้วยหางตา เมื่อได้ยินเสียงคู่กรณีกรกมลหันไปด้านหลัง นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มมองเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท ดวงตาคม จมูกโด่ง และริมฝีปากแดง สวมชุดแบบชาวคีรีธารา สีเหลืองอ่อน
“ออ เหลอคะ “ กรกมลพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ นัยน์ตากลมโตจ้องมองสาวงาม นิดเดียว ก่อนจะหันไปบอกคนขาย “ถ้ากำไลอันนี้มีเจ้าของแล้ว ฉันขอดูปิ่นปักผมอันนั้นหน่อยนะคะ” หญิงสาวชี้ไปยังปิ่นปักผมที่ทำจากทับทิมน้ำงาม และไพลิน เจียระไนอย่างดีจนส่องประกายระยิบระยับ
“เครื่องประดับในร้านนี้ฉันเหมาหมด ห้ามใครซื้อ หรือว่าหยิบเด็ดขาด “ ผู้หญิงสวมชุดสีเหลืองอ่อน พูดเสียงดัง ทำให้คนในร้านเครื่องประดับหันไปมอง เป็นจุดเดียวกัน แม้แต่กรกมล ก็ยังหันไปมอง ด้วยสายตาตำหนิ เป็นใครมาจากไหน ถึงได้มาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ในร้านอัญมณีกลางตลาดนะ
“ใช่คุณหนู ของพวกเรา เหมาหมดร้านแล้ว เชิญทุกคนออกไปนอกร้านให้หมด “ นายว่า ขี้ข้าพลอย กรกมลคิด สงสารเจ้าของร้านจริงๆที่หน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าหายหมด
“เลือกได้หรือยังที่รัก ว่าจะซื้ออะไร “ ธารนธีเดินมาถามหญิงสาวที่ยืนหน้าราบเรียบนิ่ง เมื่อสักครู่เขามัวแต่ไปดูเครื่องปั้นดินเผาเลยไม่ได้เห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วผู้คนหายไปไหนหมดละ ชายหนุ่มคิด
“ไปร้านอื่นกันเถอะ อาโป ร้านนี้มีคนเขาเหมา หมดทั้งร้านแล้วละคะ ไม่รู้ว่าจะอวดร่ำอวดรวย ไปทำไม” กรกมลพูดเสียงดัง กระทบสาวงาม ชุดเหลือง ที่ยืนตาขวางใส่ หึ คิดว่ากลัวเหลอคะ
“นี่หล่อนว่าใครยะ “ เสียงแหลมปรี๊ด จากสาวงามชุดเหลืองถาม
“ก็หล่อนงัยละยะ” กรกมล บอกเสียงดัง พลางชี้นิ้วไปทางสาวงามแห่งประเทศคีรีธารา อย่างหมั่นไส้
“อี๋ ยายผู้หญิงต่างชาติ น่าเกลียด มารยาททราม ไม่มีใครสั่งสอนหรืองัยยะ” นาตยา พูด ทำหน้าขยะแขยง ริมฝีปากบางเหยียดดูหมิ่น ใบหน้างามเชิดใส่อย่างไม่เกรงกลัว ด่าเธอเป็นภาษา คีรีธารา หรือ คิดว่าฟังไม่ออกหรืองัยยะ ยายชะนีผัวหาย
“ขอโทษ นะคะ ที่พูดมานั่นนะ ว่าตัวเองหรือเปล่าคะ” นาตยาตาโตเมื่อ โดนด่ากลับคืนแบบนิ่มๆ ธารนธีลอบหัวเราะขบขัน สุดที่รักของเขาพูดภาษาคีรีธาราหรือนั่นนะ ชัดถ้อยชัดคำเชียวนะ เขาคิด ก่อนจะดึงแขนเรียวให้มาชิดใกล้ ราวกับจะเตรียมปกป้องถ้า ผู้หญิง ชุดเหลืองจะทำร้ายสุดที่รักของเขา นัยน์ตาสีดำคมกริบมองนาตยาอย่างเอาเรื่อง สาวงามแห่งประเทศคีรีธารา หันมาเจอหน้าชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก บุคลิกท่าทาง ลักษณะแบบนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก โอ้ มายก็อต
เจ้าธารนธีนรเทพ เจ้าชายสายน้ำ แห่งวังธารา ถึงพระองค์จะแต่งกายด้วยชุดสามัญชน ใช่ว่าจะปกปิดฐานะที่แท้จริงของพระองค์ได้ รัศมีเปล่งประกายเจิดจ้าเกินกว่าใคร เธอจำพระองค์ได้ เพราะเคย ตามบิดา ไปวังธารา และเคยได้พบเห็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ ทั้งหลาย รวมทั้งเจ้าชายสายน้ำด้วย ที่น้อยคนนักจะได้พบเจอ เพราะพระองค์ มักเก็บตัวเงียบ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร
“ถ้างั้น เราไปดูร้านอื่นก็ได้นะครับที่รัก “ เสียงทุ้มห้าวพูดเสียงหวานกับกรกมล มือใหญ่โอบไหล่มนให้เดินออกจากร้านขายเครื่องประดับ ไม่สนใจกับสายตาของนาตยาที่มองมา
“คะ เชิญคุณมหาเศรษฐีนีตามสบายนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินกระแทกไหล่นาตยา ที่ยืนตกใจ ตะลึง อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก ธารนธีเหลือบตามองสาวงาม ที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
เกือบไหมละ นาตยาคิด เจ้าชายมากับใครถ้า ไม่ใช่ว่าที่พระชายาในอนาคต โอ้ย…. เสียวต้นคอวาบเลย จะโดนประหารชีวิตไหมนะเนี่ย ที่บังอาจไปเถียงกับว่าที่พระชายา มีตาหามีแววไม่
บ้านสวนดอกท้อ
สายลมพัดแรงขึ้นจนทำให้กิ่งไม้ไหวไปตามแรงลม เวลาเย็นกำลังมาเยือน กรกมลมองท้องฟ้าที่ความมืดเข้ามากล้ำกราย แล้วต้องถอนหายใจอย่างเสียดาย เธอยังเดินชมตลาดไม่ทั่วเลยนะ ตะวันก็ชิงลับฟ้าไปเสียก่อน
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปทุกที พระจันทร์เสี้ยวขึ้นมาส่องแสงสว่างบางเบา ดาวนับล้านกำลังปรากฏโฉมขึ้นบนฟ้าไร้เค้าเมฆ สวยงาม จนกรกมลอยากจะขออยู่ชมดาวคืนนี้ที่ดอยตารกา
“อาโปคะ”
“มีอะไรครับ “ เสียงขรึมเอ่ยถาม ร่างเล็ก ที่เดินเคียงข้าง ส่วนสุนัขโกลเด้นรีทีฟเวอร์ ตัวใหญ่วิ่งไล่ผีเสื้อตามทาง อย่างสนุกสนาน
“คืนนี้เราพัก ค้างที่ดอยตารกาสักคืนได้ไหมคะ “
“หึ”
“คือ…ว่า น้าหนานอินทร์บอกว่า พรุ่งนี้จะมีงานประจำปีของ หมู่บ้านนะคะ “ แก้มนวลแดงระเรื่อ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลบวูบ เมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มมองมา อย่างรู้ทัน
“ผมกะว่าแล้วเชียว ทำไมคุณถึงได้ซื้อของอะไรมากมาย ที่แท้ไม่อยากกลับบ้านสวนดอกเหมยนั่นนะเอง “
“นะคะ เราค้างที่ดอยตารกาสักคืนนะคะ” กรกมลกอดแขนออดอ้อน ชายหนุ่ม
“ตามใจสิครับ “ เขาบอก ยิ้มๆๆ
“เย้ “ กรกมลกระโดดดีใจ ราวกับถูกหวย รางวัลที่หนึ่ง ธารนธีเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา อย่างเอ็นดู
“แต่ว่าไม่รู้ว่า จะมีบ้านพักหรือเปล่านะครับ เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลด้วยนะ” เขาบอก
“ไม่ต้องเป็นห่วง น้องกุ้งนางจัดการเรียบร้อยแล้วคะ” กรกมลบอกเสียงร่าเริง
“อะไรนะครับ” เขาถาม ด้วยน้ำเสียงตกใจ
“น้องกุ้งนาง จองบ้านพักไว้เรียบร้อยแล้วคะ บ้านสวนดอกท้อ บนดอยตารกางัยคะ น้าหนานอินทร์บอกว่ายังว่างอยู่ “ กรกมลพูด เสียงใส พลางยิ้มหวานให้ชายหนุ่มที่ยืนส่งสายตา ประมาณบอกว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ
“อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่บอก “ ชายหนุ่มพูดยิ้มๆๆ กรกมลตาโต ต้าย อีตาพี่อาโป วันๆๆคิดแต่เรื่องอย่างว่าเลยนะ
“ขืนบอกก็ไม่สนุก นะสิคะ ใช่ไหมบราวนี่ “ สาวสวยถามสุนัขแสนรู้ ชายหนุ่มเห็นแล้ว ได้แต่ค้อนใส่ น่าเกลียดมากเลยนะ เพ่อาโป ผู้ชายค้อนเนี่ยนะ
“โฮ่ง ๆ” บราวนี่เห่ารับ ธารนธีอยาก จะแตะ สุนัขตัวโปรดให้ไปไกลๆๆ เมื่อเช้าสงสัยทำไมกรกมล ถึงได้พาบราวนี่มาด้วย ที่แท้เจ้าหล่อน วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ธารนธีอึ้ง รอบสอง เมื่อ กรกมลลากกระเป๋าเดินทาง ออกมาจากรถจิ๊ปเข้าบ้านพัก ชื่อบ้านสวนดอกท้อ ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนคุยกับหนานอินทร์ อยู่บริเวณหน้าบ้านคนเดียว
“ตอนนี้เหลือ แค่บ้านพักหลังเดียวนะครับเจ้า “ หนานอินทร์ เจ้าของสวนท้อ สวนบ๊วย บอกชายหนุ่ม ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี
“ไม่เป็นไรหรอก หนานอินทร์ “ ธารนธีบอก ยิ้มๆๆ
“แต่ว่าเจ้า จะไปพักที่ไหนละครับ “ หนานอินทร์ถาม
“โรงเรียนดอยตารกางัยละ “ เขาตอบ แบบง่ายๆๆไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เพราะเขาเคยไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทสมัยเรียน
“อ้าว …ทำไมเจ้า ไม่ไปพักห้องเดียวกับแม่ญิงละครับ” หนานอินทร์ถามอย่างงง ก็เห็นมาด้วยกันนี่ ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มกริ่ม
“หนานอินทร์ ไม่เห็นเขา ไล่ผมออกมาจากห้องหรืองัยละ” เจ้าชายหนุ่ม พูดเสียงฉุน หนานอินทร์เห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้
“จะกลัวไปทำไมละครับ ผู้หญิงไล่เขา แปลว่ากวักมือเรียกงัยครับเจ้า “ คนมีประสบการณ์มาก่อนแนะนำ
“สวัสดีคะเจ้า” แสงจันทร์ภรรยา ของหนานอินทร์ยกมือไหว้ ชายหนุ่ม ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้า
“สวัสดีครับ น้าแสงจันทร์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ เจ้าตัวเล็กกี่ขวบแล้วละครับ” ชายหนุ่มยิ้มทักทาย เพราะคุ้นเคยกับครอบครัวของหนานอินทร์เป็นอย่างดี
“เจ็ดขวบแล้วคะเจ้า สิงโต มาไหว้เจ้าธารนธีสิลูก “ แสงจันทร์เรียกลูกชาย วัยเจ็ดขวบที่ เดินตัวลีบเหมือนคนทำอะไรผิดสักอย่าง
“สวัสดีครับ “ สิงโตยกมือไหว้ ตามคำบอกของมารดา
“สวัสดีครับ” ริมฝีปากบางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นมา เด็กคนนี้น่ารัก หน้าตาเฉลียวฉลาด ถ้าเขามีลูกกับกรกมลหน้าตาลูกของเขาจะเป็นอย่างงัยนะ น่ารักแบบนี้ไหมนะ
บัวน้อยลอยชูช่อรออรุณ เหมือนรอไออุ่นจากดวงสุริยา
เช่นเรียมหลงคอยกานดา ไม่พบดวงหน้าร้าวอุราอาวรณ์
หลงรูปหลงจูบเพียงหมอน ไม่มีชู้นอนร้าวรอนเดียวดาย
วานสายลมช่วยบอกนงพะงา ขอวอนพร่ำว่าอย่ามัวเอียงอาย
หญิงสาวนั่งพริ้มตาอยู่ที่หน้าประตูบ้านพัก ใบหน้างดงามพิงกรอบประตูไม้ บริเวณโดยรอบแวดล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาชนิดซึ่งเบ่งบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ กลีบดอกไม้สีชมพูอมขาวของต้นท้อ พลิ้วไปตามแรงลม แล้วสุดท้ายก็หล่นลงบนแก้มนวล
กรกมลสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกเลื่อนเปิด เธอหันไปมองยัง ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเข้ามายืนใกล้ๆ ธารนธียิ้มให้บางๆ
“ทำไมไม่กลับมาซะตอนสว่างเลยละคะ” เห็นหน้าเขา แล้ว อดเหน็บแหนมไม่ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองดุวาววับน่ากลัว ธารนธีแอบยิ้มอยู่ในใจ เป็นห่วงเขาด้วยหรือเนี่ย ปากกับใจไม่ตรงกันเลยนะที่รัก
“ตอนแรกก็คิดแบบนั้นละ แต่พอมาคิดได้อีกที กลัวว่าจะมีผู้หญิงบางคนอาจจะรออยู่ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆๆ “ เขาบอกเสียงใส เลย ถูก คนตัวเล็กถลึงตาใส่อย่างโกรธๆๆ และโมโห
“ใครรอ คุณกันคะ อาโป ฉันมานั่งชมดาวต่างหากละ อย่าเข้าใจผิด” กรกมลรีบแก้ผิดให้ตัวเอง ทันที แก้มนวลแดงระเรื่อ เมื่อสบประสานตากับเจ้าของตาคมพราวระยับที่มองมาอย่างรู้ทัน
“ทำไมไม่ไป นั่งรอในห้องละครับ ข้างนอกลมแรง น้ำค้างก็จะลงแล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกนะครับ” เขาบอก ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กรกมล เลยค้อนควับใส่ให้ ใบหน้างามเชิด
“ก็เพราะใครละ ที่จะต้องทำให้ฉันต้องมานั่งตากลม ตากยุง ตากน้ำค้าง แบบนี้นะ” ริมฝีปากบางเบ้นิดๆๆ ตาคมหวานมองมาตัดพ้อต่อว่า ธารนธีอยากจะหัวเราะ นับวันสุดที่รักของเขายิ่งจะน่ารัก
มือใหญ่ลูบแก้มเนียนแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม แผ่นอกกว้างเบียดร่างบอบบางจนแผ่นหลังของเธอราบไปกับผนัง
ชายหนุ่มแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากสีแดงอวบอิ่มอ่อนนุ่ม ยิ่งเมื่อร่างบางยืนนิ่งอยู่เช่นนี้ เขาก็ยิ่งประทับจุมพิตนั้นเนิ่นนานและรุนแรงกว่าเดิม มือใหญ่เลื่อนมาโอบเอวบาง
มือใหญ่ประคองใบหน้างามไม่ให้ปฎิเสธการรุกรานใดๆ ลิ้นนุ่มซอกซอนหาความหอมหวานหอมหวานที่ต้องการอย่างไม่รู้จักพอ มืออีกข้างลูบไล้ไปทุกส่วนสัดราว กับโหยหามานานแสนนาน และคืนนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดแรงปรารถนาอันโหมกระพือนี้ได้อีกแล้ว
กรกมลนิ่งเงียบ ไม่ขัดขืน และไม่ตอบรับการกระทำใดๆที่รุกรานบนร่างกายเธอทั้งสิ้น หยดน้ำใสๆร่วงรินออกมาจากนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่า
ริมฝีปากร้อนจัดลากไล้ประทับรอยเอาไว้ตามลำคอระหง แต่แล้วมือใหญ่ที่กำลังจะปลุดชุดสีหวานออกจากร่างบอบบางก็ชะงักลง เมื่อสัมผัสกับหยดน้ำตาใสๆซึ่งไหลรินอย่างไร้เสียงสะอื้น ธารนธีผละจากร่างบอบบาง เมื่อเห็นน้ำตาที่อาบแก้มนวล หัวใจชายหนุ่มก็หล่นวูบทันที
“ผมขอโทษ…ผมเพียงแต่รักคุณมากเท่านั้นเอง” ธารนธีสัมผัสใบหน้าเธออย่างปลอบประโลมและจูบซับน้ำตาให้แผ่วเบา กอดเธอเอาไว้อย่างทะนุถนอม เสียใจที่ทำอะไรลงไปโดยลืมนึกถึงความรู้สึกของเธอ
“อย่าโกรธผมนะครับที่รัก” ธารนธีจูบหน้าผากเนียนแทนการปลอบและแทนการขอโทษ กรกมลกลั้นเสียงสะอื้น เบี่ยงร่างออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินหน้าบึ้งเข้าห้องไปอย่าง โกรธ และโมโห ทำไมเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ทีไร ทำไมเธอถึงไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านอะไรเลย กลับจมดิ่งลงไปในเหวรักกับเขาทุกครั้งสิน่ะ
ดาวประดับใจ
เหม่อมองฟ้าคืนนี้ แสงดาวเรียงรายสวยเด่น
แต่ใจฉันคืนนี้ สุดแสนลำเค็ญหม่นหมาง
ค่ำคืนนั้ได้กอดกระซิบ แนบชิดเคียงข้าง
แต่คืนนี้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ระทมอ่อนใจ
ธารนธีฉุดมือของกรกมล แล้วพาเดินเข้าไปในบริเวณบ้านสวนดอกท้อ ซึ่งเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ ภายในแยกย่อยเป็นเรือนหลังเล็กๆอีกหลายหลังเอาไว้สำหรับเป็นที่พักของเหล่านักท่องเที่ยว เรือนใหญ่เป็นเรือนสามชั้น สร้างด้วยไม้เนื้อดี ขัดมันสีดำเงางาม และสร้างขึ้นอย่างประณีตบรรจง บริเวณโดยรอบตกแต่งด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งทำให้ที่นี่ร่มรื่นและน่าอยู่
ธารนธีพากรกมลเดินข้ามสะพานผ่านลำธารแคบๆและผ่านสวนแบบญี่ปุ่นสวยงามที่มีน้ำตกเล็กๆ
“นี่อาโป” ร่างบอบบางดิ้นกุกกักเมื่อใบหน้าคมกำลังจะประทับริมฝีปากลงมายังแก้มนวลของเธอ
“มีอะไรครับจ๊ะที่รัก “ชายหนุ่มถามเสียงหวาน มองร่างบอบบางในอ้อมแขนดิ้น นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง ริมฝีปากบางอวบอิ่มเม้มแน่นด้วยความไม่พอใจ
“ก็ปล่อยฉันสิคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี” กรกมลขึ้นเสียงใส่ แถมยังตวาดเสียงดังใส่หน้าชายหนุ่ม อย่างไม่เกรงกลัว
“มาเห็นก็ดีสิครับภรรยา ดึกๆๆแบบนี้ ไม่มีใครเขาเดินลง มาเล่นในสวน เพื่อชมดาว ชมจันทร์เหมือนเราสองคนหรอกครับ ป่านพวกเขาอาจจะทำกิจกรรมอะไรกันอยู่ก็ได้” เขาจ้องเธอด้วยสายตาอ่อนหวานซึ้ง เมื่อเห็นสุดที่รักสะดุ้งตกใจ แก้มนวลแดงก่ำ เพราะคำพูด ของเขา กิจกรรมยามค่ำคืนของคู่ฮันนีมูล
“นี่อาโป” มือเล็ก ฟาดลงไปบนแผ่นอกกว้างนั้นอย่างไม่ยั้งแรง อีกฝ่ายจึงรวบมันเอาไว้ “ปล่อยนะคะ”
“อะไรกันที่รัก ตัวเองซบอกเค้าอยู่แท้ ๆแล้วเรื่องอะไรมาบอกให้ผมปล่อยละ ง่ายไปหน่อยละมั้งสาวน้อย” ธารนธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ตวัดแขนรวบร่างบอบบางมากอดแน่นอย่างไม่ยอมให้ห่างกาย แถมยังซุกจมูกเข้าที่ซอกคอหอมกรุ่น
“อาโป ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” กรกมลร้องเสียงดัง ทัดทานริมฝีปากบางที่กำลังรุกรานเธอไปทั่ว และคราวนี้ก็หยุดธารนธีไม่ได้เสียด้วยเพราะจากทีแรกที่แค่อยากจะแกล้งเล่นๆ อารมณ์ของเขากลับปั่นป่วนขึ้นมาจริงๆ
ชายหนุ่มพรมจูบไปทั่วซอกคอขาวอ่อนหวาน ไล้ริมฝีปากอุ่นร้อนวนไปทั่วหัวไหล่มน
“อาโป ฉันบอกว่าให้ปล่อยงัยละ” กรกมลร้องออกมาแทบไม่เป็นคำพูด หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมเธอต้องยอมโอนอ่อนให้เขาทุกครั้งเมื่อเขากระทำในสิ่งที่เธอไม่พอใจ
เพราะอย่างนี้กระมัง คนบ้าอำนาจอย่าง ธารนธีถึงได้รังแกเธอได้ทุกวัน
“ผมขอกิน อีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็ปล่อยแล้ว”
“ไม่ได้ คุณ กินมากไปแล้วนะ” กรกมลร้องขัดขึ้น แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงเสียงหัวเราะในคอ มือใหญ่แตะคางมนให้เงยขึ้น ริมฝีปากบางแตะลงบนกลีบปากอวบอิ่มทันที ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนรัดร่างบางแน่น ลมหนาวพัดผ่านทั้งสองร่างแผ่วเบา ความเย็นเยียบจับใจนั้นทำให้ ธารนธีขยับตัวมาให้ชิดกรกมลมากขึ้นยิ่งขึ้น จนเธอชักอยากชวนเขากลับไปอยู่ในห้อง
หากแต่คืนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวพราวพร่างอวดแสงแข่งกับพระจันทร์รูปเคียวจนยากจะอดใจไหว
“หนาวมากหรือครับ” ไม่บอกก็น่าจะรู้คำตอบดี หญิงสาวได้แต่ยิ้มบางๆให้ ชายหนุ่มจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มร่างให้
“ไม่เป็นไรคะ “ กรกมลบอก อย่างเกรงใจ
“ขยับมานี่ซิ” เสียงทุ่มห้าวบอก หญิงสาว แต่กรกมลเลือกที่จะนั่งเฉยๆเหมือนไม่ได้ยินที่พูด เพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไร เมื่อต้องเข้าไปนั่งใกล้ๆกัน แค่นี้ หัวใจของเธอก็เต้นรัวจนไม่เป็นจังหวะอยู่แล้วขืนต้องไปนั่งใกล้ๆหัวใจของเธอคงจะต้องทำงานหนักเกินไปแน่ๆๆ
เมื่อไม่ได้คำตอบหรือการตอบรับจากร่างบอบบางที่นั่งนิ่ง เชิดหน้าสวย ขึ้นมองดวงดารา กับดวงแข บนท้องฟ้า
ธารนธีก็คว้าเอวคอดกิ่ว รั้งร่างบอบบางมาสู่อ้อมแขนทันที หญิงสาวหน้าแดงก่ำก้มหน้างุดแทบมุดดินหนี พยามยามดันกายออกห่างจากอ้อมกอดแสนอบอุ่น แต่ชายหนุ่มก็รั้งหญิงสาวมากอดไว้ แล้วดึงเสื้อคลุมมาห่มให้
“อยู่เฉยๆถ้าไม่อยากหนาวตาย” เสียงขู่ดังขึ้นแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆในลำคออย่างพอใจ เมื่อเห็นหญิงสาวหยุดกึกไม่ดิ้นพยศเหมือนในตอนแรก
“อยากฟังนิทานไหม เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง” คนตัวใหญ่ถามคนตัวเล็กในอ้อมแขน
“เรื่องอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามเสียงใส พลางตวัดหางตามองคนถาม ที่แย้มยิ้ม
“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า” ธารนธีกระชับอ้อมแขนให้แน่น เพื่อส่งความอบอุ่นให้หญิงสาว ก่อนจะเริ่มเล่านิทานกล่อมคนในอ้อมกอด ที่มองตาแป๋ว
“ นานมาแล้ว โลกมีพระจันทร์สองดวง เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ต่อมาพระจันทร์หญิงไปหลงใหลแสงเจิดจ้าของพระอาทิตย์ จึงเลื่อนตัวตามพระอาทิตย์ไปเรื่อยๆจนแยกจากจันทร์ชายในที่สุด เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงเหลือเพียงพระจันทร์ชายเพียงดวงเดียว พระจันทร์ชายได้ออกตามหาพระจันทร์หญิงคืนแล้วคืนเล่า แต่ก็ไม่พบ จึงได้ระเบิดตัวเองออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วจักรวาลเพื่อช่วยกันตามหา “
“น่าสงสาร พระจันทร์หนุ่มนะคะ อาโป “ เสียงหวานใสพูด
อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วและหนาวกว่าทุกๆคืนที่ผ่านมา ในบางครั้งที่ลมพัดผ่านมาแรงๆทำให้ร่างบางๆของกรกมลสั่นสะท้านทุกครั้ง ผิดกับธารนธีกลับนั่งเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สา
“ครั้นต่อมาพระจันทร์หญิงได้ประจักษ์ว่าพระอาทิตย์มิได้ส่องแสงเจิดจ้ามาเพียงเธอเท่านั้น แต่ยังส่องไปยังดาวดวงอื่นอีกมากมาย จึงได้กลับมาหาพระจันทร์ชายอีกครั้ง แต่เธอก็ไม่อาจได้พบพระจันทร์ชายได้อีกแล้ว ทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจ “ เสียงทุ้มห้าวก้มมอง ร่างบางที่ซบหน้าอยู่กับไหล่ สายลมเย็นพัดเข้ามาสู่กาย ร่างสูงใหญ่ ที่นั่งอยู่บนสะพานไม้ในสวนดอกท้อ มองพระจันทร์เสี้ยว ที่กำลังสาดแสง อีกไม่กี่วันพระจันทร์ก็จะเต็มดวง
“ พระจันทร์ชายจึงพยายามเปล่งแสงที่มีอยู่น้อยนิดให้พระจันทร์หญิงได้เห็น เป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์ จนเกิดเป็นดวงดาวและดวงจันทร์อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เพียงแต่วันไหนเราเห็นดวงจันทร์สวยสด เราก็จะไม่เห็นแสงจากดาวดวงเล็กดวงน้อย หรือวันใดที่เราเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เราก็จะไม่เห็นพระจันทร์ เพราะเขาและเธอไม่อาจพบกันตลอดกาล”
กรกมลทอดสายตามองพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องนภาสีดำสนิท ใบไม้ไหวไปตามสายลมหนาวที่พัดหอบผ่านไปมา เย็นยะเยือกกรีดผิวกายจนต้องยกมือขึ้นกอดอกไว้
“เขาเล่าว่า ดวงดาวคือรูของตาข่ายที่เทพธิดาองค์หนึ่งเหวี่ยงลงมาเพื่อดักคลุมชู้รักของตนที่หนีจากสวรรค์ลงมาเที่ยว” กรกมลเล่าขึ้นลอยๆ ธารนธีเอียงหน้าคมให้ชิดแก้มนิ่มนวล นัยน์ตาสีดำราวกับนิลเนื้อดี แหงนมองดวงดารา ที่กระพริบแสงหรี่วูบไหวราวกับเพชรเม็ดเล็กๆนับพันนับล้านแข่งขันกันอวดแสง
“ถ้าอย่างนั้นชู้รักคนนั้นก็คงต้องตัวโต น่าดูสิครับถึงได้กว้างใหญ่ไพศาลทั้งท้องฟ้าแบบนี้นะ” ธารนธีเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนหัวเราะแล้วเอ่ยปนขำว่า
“ เอ…..หรือว่า ในทางกลับกันเทพธิดาองค์นั้นอาจจะมีชู้รักหลายคนก็ได้นะครับ เลยต้องเปลืองแหผืนใหญ่ขนาดนั้นนะ”
“แหม..คุณนี่ทำตำนานเขาเสียหมดนะคะ” กรกมลค้อนให้ทีนึง ก่อนจะหันกลับไปดูดาวต่อ
“ ในตำนานโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอิศวรหรือพระศิวะได้สร้างพระจันทร์ขึ้นมาจากนางฟ้า ๑๕ นาง โดยร่ายพระเวทให้
นางฟ้าทั้ง ๑๕ นางละเอียดป่นเป็นผงแล้วห่อด้วยผ้าขาว ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระจันทร์เทพบุตรขึ้นมา มีวรกายสีขาวนวล ทรงทิพย์อาภรณ์ มีวิมานที่สถิตเป็นแก้วมุกดา ทรงอัศวราชเป็นพาหนะ สถิต ณ ทิศบูรพา (ตะวันออก) และด้วยเหตุที่พระจันทร์สร้างจากนางฟ้า ๑๕ นางนี้เอง จึงทำให้เป็นเทวะรูปงามที่มีเสน่ห์ยิ่ง และยังมีความเจ้าชู้มากรักอีกด้วย กล่าวกันว่า เทพบุตรองค์นี้นอกจากจะมีมเหสีหลายองค์แล้ว ยังมีชายาที่เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดีอีก ๒๗ องค์ด้วย “
“โคตรเจ้าชู้เลยนะคะ คุณเป็นแบบจันทร์เทพบุตรหรือเปล่าละคะอาโป” ตากลมโตหรี่มองชายหนุ่ม
“ผมรักเดียวใจเดียวนะครับ “ เขาบอกเสียงใส พลางหัวเราะเบาๆ
“หึๆ…. ดีนะคะวันนี้พระจันทร์ไม่เต็มดวง” ใบหน้าสวยยิ้มหวานให้หยดย้อย เตรียมเหน็บแหนมชายหนุ่ม
“ทำไมละครับ” เขาแกล้งถามเหมือนไม่เข้าใจ
“ก็คนบางคนอาจจะกลายร่างเป็นหมาป่านะสิคะ คิกๆๆ”
“นี่ ….คุณว่าผมเป็นหมาป่าหรือที่รัก”
“เปล่าว่านะคะ น้องกุ้งนางยังไม่ได้เอ๋ย ชื่อใครสักหน่อย ทำเป็นร้อนตัวไปได้นะคะ”
“เดี๋ยว เถอะผมจะกลายเป็นหมาป่าให้จริงๆหรอก ยิ่งลูกแกะตัวนี้น่ากินมากๆๆด้วย อ้ำ ….” ริมฝีปากบางจูบแก้มนิ่มนวลแรงๆๆกรกมลเบิกตาโต มือเล็กลูบแก้มเบาๆๆ เอาอีกแล้ว
“เจ้าชู้เหมือนพระจันทร์หนุ่มเลยนะคุณน่ะ” หญิงสาวว่า แต่ชายหนุ่ม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กลับแกล้งกอดร่างบางแน่นกว่าเก่า
“ในบางคัมภีร์ยังมี กล่าวไว้ว่า พระจันทร์ได้ลักลอบเกี้ยวพาชายาของพระพฤหัส และพานางไปเสพสมที่วิมานของตน ทำให้พระพฤหัสกริ้วติดตามไปทวงชายาคืน และก่อให้เกิดเทวะสงครามขึ้น พระพรหมผู้เป็นใหญ่ได้มาห้าม และลงทัณฑ์มิให้พระจันทร์เข้าประชุมเทวสภาอีก ในตำราบางเล่ม ได้พูดถึงการที่พระจันทร์เป็นศัตรูกับพระพฤหัสว่า เกิดจากชาติหนึ่งพฤหัสซึ่งเป็นทิศาปาโมกข์ พ่อนางจันทร์ ได้นำความลับที่จันทร์ลูกสาวเป็นชู้กับอังคาร ไปบอกอาทิตย์ลูกเขย สามีนางจันทร์ ทำให้ถูกจับได้ จันทร์เลยโกรธเกลียดพฤหัส และก็เป็นที่มาของวันคู่มิตรและศัตรูในทางโหราศาสตร์อีกทางหนึ่ง คือ คนเกิดวันจันทร์ จะไม่ถูกกับคนเกิดวันพฤหัส แต่เป็นคู่มิตรกับวันอังคาร”
“ฉันเกิดวันพฤหัสยะ” กรกมลบอกเสียงขุ่นๆ
“ของผมวันเสาร์ งั้นเราสองคนก็มิใช่ศัตรูกัน เพราะเราเป็นเนื้อคู่กันใช่ไหมครับ” ธารนธีพูด
“ตำราเล่มไหนคะ “ หญิงสาวถาม พลางกระตุกยิ้มให้อย่างหมั่นไส้
“เล่มของผมนี่ละ” เขาตอบแบบหน้าตาเฉย เลยถูก กรกมลค้อนให้
“เขาเล่ากันว่าพระจันทร์ถือกำเนิดในพิธีกวนน้ำอมฤต ซึ่งเทวดาทั้งสวรรค์มาชุมนุมกัน พระศิวะนำพระจันทร์ไปเป็นปิ่นปักผม ส่วนพระวิษณุรับพระลักษมีไปเป็นพระชายา” นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม แหงนมองจันทร์เสี้ยวบนท้องนภา





ณัฏฐกมล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2555, 21:11:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2555, 21:11:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1491





<< บ้านสวนดอกเหมย   ลำนำรักสายน้ำ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account