The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 7

บทที่ 7



ชญานิศแวะร้านขายของกระจุกกระจิกร้านหนึ่งตรงปากหมู่บ้าน ด้วยว่าจะนำสร้อยคอจี้รูปกางเขนสแตนเลสที่หล่อนมักใส่เป็นเครื่องประดับติดกายนั้นไปให้ที่ร้านเปลี่ยนสายให้ใหม่ ทดแทนสายหนังสีดำเส้นเก่าที่เปื่อยขาด

ก่อนหน้านี้วัลลภอาสาจะเอาไปเปลี่ยนสายให้ใหม่อยู่เหมือนกันแต่หล่อนเกรงใจเขา อีกอย่างสร้อยคอเส้นนี้ชญานิศสวมใส่มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว นักบวชหญิงที่สถานเด็กกำพร้าให้ไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่หล่อนจะจากมาอยู่กับครอบครัวแม็คฟาร์แลนด์ หล่อนจึงมีความผูกพันกับสร้อยคอเส้นนี้เกินกว่าที่วัลลภจะเข้าใจ...มันเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนมีไว้เก็บความทรงจำในวัยเด็ก

ชญานิศได้ยินเสียงคนขายเรียกจึงกลับไปที่เคาท์เตอร์ แต่แล้วเวลานั้นหล่อนกลับสะดุดตากับหญิงสาวคนหนึ่งผ่านบานหน้าต่างใสของร้าน

นิ่วหน้าเล็กน้อย จำได้ว่าหญิงสาวบนริมฟุตปาธฝั่งตรงข้ามนั้นคือน้องสาวของหล่อนเอง

รังสิมากำลังพูดคุยอยู่กับใครอีกคนซึ่งเป็นผู้ชายรุ่นร่าวคราวเดียวกัน ชญานิศต้องเพ่งมองอยู่ครู่ถึงเห็นว่าเป็นแฟนหนุ่มที่เรียนห้องเดียวกันกับรังสิมานั่นเอง หล่อนเคยเห็นรายนั้นขับมอเตอร์ไซค์มาส่งน้องสาวที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง นี่ปิดแทอมแล้วคงแอบนัดเจอกันตามประสา

หากรังสิมาไม่เห็นหล่อนหรอกเพราะยังคงสนใจอยู่แต่ชายตรงหน้า และดูเหมือนกำลังมีปากเสียงกันอยู่ถึงได้หน้ายุ่งกันทั้งคู่ก่อนที่รังสิมาเป็นฝ่ายสลัดมืออีกฝ่ายทิ้ง พยายามจะเดินหนี

ภาพเหล่านั้นเป็นเหมือนละครใบ้ เพราะนอกจากน้องสาวจะอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนยากที่จะได้ยินแล้วยังมีเสียงรถจอแจบนท้องถนนกลบเสียงของคนทั้งคู่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามกลับทำให้ชญานิศถอนใจออกมาอย่างปลงชีวิต มันเป็นเรื่องเคยชินสำหรับพี่สาวอย่างหล่อนไปเสียแล้ว เลยเลือกที่จะทำเฉยเสียหันกลับไปตรวจดูสภาพสร้อยคอของตัวเองแทนซึ่งยามนี้อยู่ในรูปโฉมใหม่ด้วยสายสร้อยโรเดียมไข่ปลาสีเงินพร้อมจี้รูปกางเขน

ชญานิศยิ้มกว้างอย่างพอใจในผลงานตรงหน้า ไม่ลืมจ่ายเงินให้คนขายก่อนออกมาจากร้านเพียงลำพัง

“ทำอะไรจ๊ะบัว”

“คุณนิศ !” บัวตองสะดุ้งโหยง ตกใจไม่น้อยที่เห็นลูกสาวคนโตของบ้านแม็คฟาร์แลนด์ปรากฏกายตรงหน้า

ชญานิศนั้นเพิ่งเดินกลับมาถึงบ้านจังหวะเดียวกับที่แม่บ้านสาวกำลังเปิดประตูรั้วออกมานอกบ้านพอดีจึงเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มสดใส แม้จะยังคงปาดเหงื่อที่ซึมตามหน้าผากและไรผมด้วยว่าเดินตากแดดมาตั้งแต่ปากหมู่บ้านก็ตาม

ทว่าทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็นเหล่าดอกกุหลาบแห้งเหี่ยวในมือบัวตองใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นเหรอหรา ใจเสียรีบเข้ามาหาบัวตอง เพราะจำได้ว่าเป็นดอกไม้ในห้องตัวเอง “นี่มันอะไรกันบัว เอาดอกกุหลาบในห้องฉันออกมาทำไม”

“คือบัว...” บัวตองอึกอัก

ยังไม่ทันที่แม่บ้านสาวได้อธิบาย ลูกสาวคนเล็กของบ้านแม็คฟาร์แลนด์ก็โพล่งขึ้นมาแทน “แม่คงแอบสั่งให้บัวเก็บมาทิ้งอีกตามเคยนั่นแหละพี่นิศ”

รังสิมานั้นกำลังลงมาจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เจ้าหล่อนรู้นิสัยมารดาดีจึงหันไปส่งสายตากับแม่บ้านสาวเป็นทำนองว่าจะจัดการเอง ก่อนกลับมาสนใจพี่สาวทั้งหน้ายุ่ง

“ดอกไม้พวกนี้มันเหี่ยวหมดแล้ว พี่นิศจะเก็บไว้ให้รกห้องทำไม”

“แต่พี่เคยบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าห้ามขโมยดอกกุหลาบของพี่ไปทิ้งอีก” ชญานิศหัวเสียใส่น้องสาว

คว้าดอกกุหลาบพวกนั้นจากมือบัวตองได้ก็เดินดุ่ยๆ ขึ้นบันไดบ้านเข้ามาในห้องนอน โดยมีรังสิมาตามมาไม่ห่าง หากเจ้าของห้องทำเป็นไม่สนใจน้องสาว แม้แปลกใจอยู่ก็ตามทีที่อีกฝ่ายกลับมาถึงบ้านในเวลาไล่เลี่ยกันกับหล่อนได้ ทั้งที่เมื่อครู่นี้เห็นยังทะเลาะกับแฟนอยู่เลย

“พี่นี่ก็แปลกนะ ดอกกุหลาบพวกนี้ใครให้มาก็ไม่รู้ยังจะเก็บไว้อีก”

รังสิมาถือวิสาสะนั่งลงบนเตียงพี่สาว ขณะที่ชญานิศเอาแต่หัวหมุนอยู่กับการโยกย้ายดอกกุหลาบขาวจากแจกันใบเดิมมาไว้ในแจกันใบใหม่ จัดดอกไม้สลับกับหยิบจับดอกกุหลาบแห้งเหี่ยวบนโต๊ะทำงานให้ดูวุ่นไปอย่างนั้น

ขี้เกียจตอบคำถามน้องสาวจึงพาเปลี่ยนเรื่อง “นึกยังไงเราวันนี้ถึงกลับบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินได้”

“เบื่อๆ เซ็งๆ น่ะพี่นิศ” รังสิมาตอบอย่างไร้อารมณ์ “ว่าแต่พี่ไม่คิดจะสืบหาคนที่ให้ดอกกุหลาบขาวพวกนี้กับพี่ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวบ้างเหรอ”

“ก็พี่เคยบอกแล้วไงว่าเป็นคนของที่โบสถ์” ชญานิศตอบทั้งที่ยังไม่ยอมมองหน้าน้องสาว

ใจจริงแล้วหล่อนอยากบอกรังสิมาอยู่เหมือนกันว่าเคยลองสืบหาเจ้าของดอกกุหลาบขาวปริศนาพวกนี้แล้วแต่ก็ล้มเหลวทุกที เพราะทุกเช้าหล่อนไม่เคยเห็นใครเลยนอกจากเจ้าหน้าที่ส่งดอกไม้ร้านหนึ่งที่มักนำดอกกุหลาบมาเสียบไว้ที่กล่องไปรษณีย์เสมอ

ข้อมูลที่มีอยู่ในมือตอนนี้จึงมีเพียงชื่อร้านดอกไม้กับลายมือที่เขียนไว้บนการ์ดใบเล็กที่ก้านดอกกุหลาบเท่านั้น

คิดได้เช่นนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างปลงๆ หล่อนไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้มากนักหรอก การสรุปว่าคนของที่โบสถ์ส่งมาให้จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

หากชญานิศรู้ดีว่าอีกฝ่ายเชื่อเสียที่ไหนถึงได้มองมาอยู่นั่นเอง สายตาของคนน้องที่จับจ้องมาตลอดเวลาแต่ยังคงเงียบไม่พูดไม่จาทำให้คนพี่รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

“นี่เรา มีอะไรก็พูดมาจ้ะ มัวแต่มองพี่แบบนี้มันไม่ได้คำตอบหรอกนะ”

“เปล๊า” รังสิมาแกล้งร้องเสียงสูงกลบเกลื่อน “น้องก็แค่กำลังคิดว่าเจ้าของดอกกุหลาบขาวพวกนี้อาจเป็นคุณหมอของพี่ก็ได้ที่ส่งมาให้ เอ...ชื่ออะไรนะ ที่พี่พามาบ้านเราเมื่อวันก่อนน่ะ สารภาพมาซะดีๆ นะพี่นิศว่าระหว่างพี่กับคุณหมอคนนั้นเป็นไงมาไง แล้วจู่ๆ ทำไมพี่ถึงพาเขามาบ้านเราได้”

“นี่แม่เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังด้วยเหรอ” ชญานิศถามเสียงสูง ตกใจที่ถูกอีกฝ่ายจู่โจม

รังสิมานั้นยังคงจ้องพี่สาวตาไม่กระพริบ ทำท่าจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ชญานิศเลยโบกปัดไปมาในอากาศราวกับเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี “ไม่ต้องมามองพี่แบบนั้นเลยเรา วันนั้นหมอวัลลภแค่มาส่งพี่ที่บ้านเฉยๆ พี่ก็เลยชวนเขามาชิมคุกกี้ฝีมือพี่ก็เท่านั้น”

“เหรอ...แต่แม่บอกว่าเขาทั้งหล่อทั้งดูดีนี่นา งั้น...ถ้าพี่นิศไม่ได้เป็นอะไรกับคุณหมอคนนี้ สิขอนะ” ไม่เพียงพูด รังสิมายังยักคิ้วเจ้าเล่ห์หยอกพี่สาว

ชญานิศเลยร้องปรามอย่างเสียไม่ได้ “พูดจาน่าเกลียดใหญ่แล้วยายสิ ถ้าเราจะมาถามเรื่องไร้สาระพวกนี้ พี่ว่ากลับไปติวหนังสือกับเพื่อนจะดีกว่ามั้ย ที่มีอยู่ทุกวันนี้เรายังปวดหัวไม่พอรึไง” ว่าแล้วก็ส่ายหน้าระอายามนึกถึงพฤติกรรมคบผู้ชายของน้องสาว บรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายที่รังสิมาควงอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มนายแบบสุดหล่อกล้ามโต ผู้จัดการธนาคารซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนตัวเอง หรือแม้แต่เพื่อนผู้ชายห้องเดียวกันที่น้องสาวเพิ่งทะเลาะมาหยกๆ ก็ตาม แต่ละคนล้วนหลงเสน่ห์รังสิมากันหัวปักหัวปำทั้งนั้น !



**************


อเล็กซ์กระโจนเข้ามานั่งโซฟาข้างกายพี่เลี้ยงสาว มองดูเศษผ้าหลากหลายสีคละลายที่วางสุมกองรวมอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้าอย่างสนใจ ท่าทางชญานิศที่ทำกำไลอย่างคล่องแคล่วชวนให้เจ้าตัวแสบคว้ากำไลวงหนึ่งกับเศษผ้าแถวนั้นขึ้นมาพันตามบ้าง และนั่นทำให้พี่เลี้ยงสาวหัวเราะออกมา

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะอเล็กซ์” ชญานิศดึงกำไลจากมือเด็กมาสาธิต

“เราต้องเริ่มจากหยอดกาวที่กำไลก่อนค่ะ หยอดนิดเดียวแบบนี้นะ ถ้ากาวเยิ้มไปผ้าจะเลอะเอา จากนั้นนำเศษผ้าที่เราตัดไว้ขนาดเท่าริบบิ้นมาพันรอบกำไลค่ะ เริ่มพันตรงที่เราหยอดกาวไว้แบบนี้เลย แล้วก็ค่อยๆ พันเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ จนรอบกำไล ง่ายๆ แค่นี้เอง”

“พี่นิศทำกำไลพวกนี้ไปทำไมเหรอฮะ”

“พี่กำลังออกแบบกำไลเพื่อเอาไปขายค่ะ”

“ทำขายเหรอฮะ” อเล็กซ์ดูจะตื่นเต้นไม่น้อย คว้ากำไลมาพันผ้าต่อตามที่พี่เลี้ยงสาวสอนด้วยความมาดมั่น

คนสอนระบายยิ้มสดใสออกมาเมื่อเห็นคนตัวเล็กเลิกเล่นเกมมานั่งตัวติดกับหล่อนได้ ปล่อยให้อเล็กซ์ลองทำด้วยตัวเองสักพักก็อดไม่ได้ต้องยื่นมือมาช่วย เพราะกำไลในมือเด็กยามนี้มีแต่ผ้าพันขยุกขยุยเป็นคลื่นรอบวง

พี่เลี้ยงสาวกับเด็กตัวน้อยคงเพลินกับการทำกำไลอยู่นั่นเองถ้าไม่มีเสียงกริ่งประตูหน้าห้องดังขึ้น

เพื่อนต่างวัยต่างจับจ้องไปยังบานประตูแล้วนึกแปลกใจที่เจ้าของห้องกลับมาเร็วกว่าทุกวัน เป็นชญานิศที่ลุกขึ้นไปเปิดประตูต้อนรับ ขณะที่อเล็กซ์ยังคงไม่เลิกล้มความพยายามเพ่งสมาธิอยู่กับงานฝีมือตรงหน้า

ทันทีที่บานประตูถูกผลักเปิดออก ชญานิศต้องประหลาดใจไม่น้อยเมื่อคนหลังบานประตูนั้นกลับไม่ใช่กรวิชญ์อย่างที่คิด หากเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อแขนกุดเอวลอยกับกางเกงยาวรัดรูปเปรี้ยวจี๊ดยืนอยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ประหลาดใจไม่แพ้กัน ถึงกับถอดแว่นตากันแดดเพื่อไม่ให้บดบังสายตาก่อนใช้หางตาตวัดมองสาวแว่นตาหนาเตอะหัวฟูหลังบานประตูตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เอ่ยเสียงขุ่นอยู่ในที

“เธอเป็นใคร แล้วเข้ามาในห้องกรได้ยังไง”

ชญานิศตั้งหลักเล็กน้อย “เอ่อ...ฉันเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่คุณกรวิชญ์จ้างมาดูแลหลานน่ะค่ะ แล้วคุณเป็น...”

ยังไม่ทันที่ชญานิศจะได้ถาม สาวแปลกหน้าก็เบียดตัวเข้ามาในห้องดื้อๆ ร้องเรียกชายหนุ่มเจ้าของห้อง “กรคะ คุณอยู่รึเปล่าคะกร โรสเองนะคะ”

“โรส...” ชญานิศเผลอครางชื่อนั้นออกมา ได้ยินสาวแปลกหน้าแทนตัวเองแล้วรู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก

หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งชวนมองตรงหน้ายังคงเดินเข้า-ออกห้องนั้นห้องนี้ให้วุ่น แวบนั้นที่อีกฝ่ายหันกลับมา ภาพหญิงสาวที่สาดน้ำใส่กรวิชญ์ที่ภัตราคารหรูก็ผุดขึ้นในความทรงจำของชญานิศทันใด แล้วต้องถึงบางอ้อเพราะยังจำฤทธิ์เดชของสาวเจ้าได้ขึ้นใจ ที่แท้ก็เป็นแม่สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่มีปากเสียงกับกรวิชญ์คราวก่อนนั่นเอง

กลัวมีเรื่องอีกชญานิศจึงรีบชี้แจงแทนชายเจ้าของห้องก่อนที่สาวชื่อโรสจะวีนแตกเสียก่อน “คุณโรสคะ นั่งรอก่อนเถอะค่ะ คุณกรยังไม่กลับจากที่ทำงานเลย”

ดูเหมือนเสียงชญานิศจะเป็นเพียงลมพัดผ่านหู เพราะนางแบบสาวไม่ได้สนใจฟังหล่อนสักนิด เอาแต่ร้องหาชายเจ้าของห้องด้วยอาการร้อนรน อเล็กซ์นั้นตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาเดินเพ่นพ่านในห้องเลยวิ่งมาเกาะชญานิศแน่นคล้ายต้องการเกราะกำบังชั้นดี

ครานั้นที่เห็นเด็กวิ่งผ่านหน้าไปเหมือนช่วยเตือนสตินางแบบสาวให้รู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง

ในที่สุดก็ยอมหยุดยืนกลางห้อง กระแอมเสียงเล็กน้อยคล้ายเรียกความมั่นใจตัวเองกลับคืน “ทำไมกรไม่เห็นเคยบอกฉันเลยว่ามีหลาน”

อเล็กซ์ดึงชายเสื้อชญานิศเรียกความสนใจ “พี่นิศฮะ ป้าคนนั้นเป็นใครเหรอฮะ”

“อเล็กซ์...!” ได้ยินเด็กเรียกว่าป้าแล้วใจหายแทน รีบจุ๊ปากแทบไม่ทันกลัวคนตัวเล็กจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย

หากหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายได้ยินเต็มสองรูหู หันขวับมายังเด็กตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง ชญานิศจึงบังตัวอเล็กซ์ไว้ “ใจเย็นๆ นะคะคุณโรส แกยังเด็ก ก็แค่พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น”

“เอ๊ะ ! แกหาว่าฉันแก่คราวป้าอย่างนั้นเหรอ” โรสแหว เป้าหมายเปลี่ยนเป็นพี่เลี้ยงเด็กทันควันทำเอาคนถูกแหวงุนงงตั้งหลักรับไม่ทัน

คนที่ออกโรงโต้เลยกลับกลายเป็นอเล็กซ์ “ป้าอย่ามาว่าพี่นิศของผมนะฮะ”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะเด็กบ้า ใครให้แกเรียกฉันว่าป้ายะ” โรสทำท่าจะพุ่งเข้ามาจัดการอเล็กซ์เสียเดี๋ยวนั้น ร้อนถึงคนเป็นพี่เลี้ยงอย่างชญานิศต้องดึงตัวเล็กให้ถอยห่างออกมา เอาตัวเข้าขวาง วินาทีนั้นเองที่ชญานิศได้สบตากับผู้หญิงที่ชื่อโรสตรงๆ แล้วต้องใจหายวาบเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นวาวโรจน์จนน่ากลัว หากชญานิศยังทำใจดีสู้เสือ จ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัวสายตา

หล่อนโกรธสาวตรงหน้าอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ ก็มาพาลอาละวาดใส่เด็กแบบนี้ !

“นี่มันอะไรกัน !”

เสียงเข้มและห้วนที่ดังมาจากด้านหลังเรียกความสนใจจากสาวทั้งสองพลัน

กรวิชญ์นั่นเองที่เป็นเจ้าของเสียงนั้น เขาเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครสังเกต เป็นโรสที่รีบโร่เข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มเจ้าของห้อง “กรคะ ช่วยโรสด้วยนะคะ นังพี่เลี้ยงเด็กคนนี้มันมาหาเรื่องโรส”

ชญานิศไม่ได้สนใจฟังสักนิดว่ารายนั้นพูดว่าอะไร พอหลุดพ้นจากคนพาลมาได้ก็รีบโอบอเล็กซ์ไว้ข้างกายด้วยความเป็นห่วง กลัวนางแบบสาวจะเข้ามาอาละวาดอีกรอบ

กรวิชญ์นั้นยังคงเงียบคล้ายกำลังจับต้นชนปลายเรื่องราวทั้งหมดจากภาพที่เห็นตรงหน้า แต่แล้วสีหน้าถอดสีของหลานชายในอ้อมแขนชญานิศทำให้ผู้เป็นน้าพลอยเป็นห่วงไปด้วย หันไปเอ่ยกับสาวข้างกายอย่างใจเย็นว่า

“คุณกลับไปก่อนแล้วกันโรส วันนี้ผมไม่สะดวก”

“อะไรนะคะ” นางแบบสาวเสียงสูงแสบแก้วหูขึ้นมาทันที “โรสถูกแกล้งขนาดนี้คุณกลับมาไล่โรสเนี่ยนะ ไม่ได้นะคะกร คุณต้องจัดการนังนี่ให้โรสเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นโรสไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”

กรวิชญ์ถามเท่านั้นก็เดินเลี่ยงมาวางของที่ซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตลงบนเคาท์เตอร์ในครัว โดยมีโรสตามมาไม่ปล่อย ส่วนชญานิศกับอเล็กซ์นั้นพอเห็นเจ้าของห้องไม่ว่าอะไรจึงกลับไปนั่งรวมตัวกันบริเวณห้องนั่งเล่นเหมือนเดิมแล้ว

“โรสมาหาคุณน่ะสิคะ ก่อนหน้านี้โรสไปหาคุณที่บริษัทมาแต่คุณนภบอกว่าคุณออกมาแล้ว...โรสเลยนึกว่าคุณจะกลับมาถึงคอนโดแล้วเสียอีก” ประโยคท้ายรู้ตัวว่าเข้าใจผิดเลยสรุปเสียงอ่อย

“ผมแวะไปซื้อของทำอาหารเย็นนี้มา ว่าจะทำคุกกี้ให้หลานผมด้วย”

“งั้นโรสขออยู่กินอาหารฝีมือคุณด้วยคนนะคะ” โรสจะเข้ามาเกาะแขนกรวิชญ์ตามเคย หากสายตาจับผิดของพี่เลี้ยงสาวที่ลอบมองมาจากห้องนั่งเล่นทำให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องจำต้องขยับกายออกห่าง กระแอมเอ่ยว่า “เออ...โรส ผมว่ารอให้คุณเย็นลงกว่านี้ดีมั้ย แล้ววันหลังผมจะไปรับคุณออกมากินข้าวอร่อยๆ ด้วยกันข้างนอกเอง”

“แต่โรส...”

ไม่รอให้นางแบบสาวปฏิเสธกรวิชญ์ก็รีบโอบร่างบางให้เดินออกจากห้องไปด้วยกัน





***************




กลิ่นอาหารหอมฉุยที่ลอยมาจากห้องครัวชวนให้เพื่อนต่างวัยที่ขลุกตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นพากันมายังโต๊ะอาหาร อเล็กซ์ยิ้มร่าเป็นฝ่ายกระโจนเข้าหาสปาเก็ตตี้จานแรกที่เสิร์ฟลงโต๊ะ ขณะที่ชญานิศจะตามมานั่งข้างกายคนตัวเล็กหากถูกพ่อครัวเรียกรั้งไว้

“ชญานิศมาช่วยผมตรงนี้ที”

“ฉันเหรอคะ” ชญานิศชี้ตัวเองอย่างตื่นๆ ยังหลอนที่ทำครัวเขาเละไม่หาย แต่พอเห็นกรวิชญ์ชี้บุ้ยใบ้ไปยังอ่างล้านจานหล่อนจึงค่อยโล่งอก เข้ามายืนประจำที่ช่วยนายจ้างหนุ่มล้างจานชามที่เขาวางแช่ไว้อย่างว่าง่าย ขณะที่กรวิชญ์นั้นยังคงยืนอยู่หน้าเตา จัดแจงตักสปาเก็ตตี้ใส่จานให้เขาและหล่อนเสิร์ฟลงโต๊ะถัดจากจานของหลานชายเมื่อครู่

กรวิชญ์ในมาดพ่อครัวด้วยชุดผ้ากันเปื้อนคาดเอว คล่องแคล่วกับการหยิบจับอุปกรณ์เครื่องครัวชำนาญไม่ต่างจากเชฟมือหนึ่งชวนให้พี่เลี้ยงสาวมองมาอย่างสนใจ

ตั้งแต่นางแบบสาวที่ชื่อโรสกลับไปเขาก็ง่วนอยู่แต่ในครัวทำอาหารเย็นให้หลานชาย รวมทั้งของว่างซึ่งเป็นคุกกี้ให้อเล็กซ์ได้ทานรองท้อง ชญานิศเลยมีโอกาสได้ลองชิมคุกกี้ฝีมือเขาด้วยอีกคนและต้องยอมรับว่าอร่อยอย่างที่เขาโม้ไว้จริงๆ และนั่นทำให้หล่อนมองน้าชายของอเล็กซ์ในแง่ดีขึ้นมานิดนึง รวมถึงนึกขอบคุณเขาอยู่ลึกๆ ที่วันนี้ไม่ทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าหลานชายให้ขัดเคืองสายตา

“มากินกันฮะพี่นิศ”

เสียงเรียกของคนตัวเล็กฉุดคนหน้าอ่างล้างจานตื่นจากภวังค์ แล้วเพิ่งรู้ว่าตัวเองมัวแต่ยืนเพ้ออยู่คนเดียว ส่วนกรวิชญ์นั้นหายไปนั่งที่โต๊ะอาหารกับหลานชายแล้ว

ล้างจานชามเรียบร้อยชญานิศก็ตามมานั่งข้างอเล็กซ์โดยมีชายเจ้าของห้องนั่งฝั่งตรงข้ามหลานชาย เมื่อเห็นนั่งกันพร้อมหน้าแล้วกรวิชญ์จึงเริ่มลงมือ เขาใช้ส้อมพันเส้นสปาเก็ตตี้อย่างชำนาญพลางเอ่ยกับพี่เลี้ยงสาวว่า “อย่าเข้าใจผิดล่ะคุณชญานิศ ที่ผมบังคับให้คุณอยู่วันนี้ไม่ได้จะเลี้ยงอาหารเย็นคุณฟรีๆ แต่วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้คุณต้องไปบ้านนักธุรกิจคนหนึ่งพร้อมผมกับอเล็กซ์”

“ให้ฉันไปบ้านนักธุรกิจกับคุณ ?” ชญานิศยิ้มขันออกมาราวกับสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องตลกสิ้นดี

ร้อนถึงนายจ้างหนุ่มปราม “กรุณารักษามารยาทด้วยคุณ ผมกำลังพูดเรื่องซีเรียสอยู่ไม่เห็นรึไง”

“ฉันรู้ว่าคุณซีเรียส แต่ฉันไม่เข้าใจว่าคุณจะให้ฉันไปด้วยทำไม ฉันเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กนะคะ”

“ก็เพราะคุณเป็นพี่เลี้ยงเด็กน่ะสิผมถึงต้องให้คุณไปด้วยกัน” กรวิชญ์อธิบายเสียงห้วน เริ่มหงุดหงิดที่สาวตรงหน้าช่างไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย “คุณเชิดชายเขาเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่โต โชคดีแค่ไหนที่เขาเชิญผมกับอเล็กซ์ไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ไปหาเขาคราวนี้ผมเลยจะถือโอกาสคุยธุระสำคัญกับเขาด้วยเลย และระหว่างนั้นผมต้องการให้คุณเป็นคนดูแลอเล็กซ์แทนผม”

ชญานิศพยักหน้ารับรู้พลางตักสปาเก็ตตี้เข้าปาก พูดทั้งที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ “แล้วคุณจะให้ฉันมาเจอคุณที่นี่กี่โมงล่ะ ฉันจะได้เตรียมตัวถูก”

“เรื่องนั้นผมจะบอกกับคุณทีหลังเอง แต่ตอนนี้คุณแค่รู้ไว้ก็พอว่าผมให้ค่าตอบแทนคุณคุ้มค่าแน่นอน เพราะวันเสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุดของคุณ”

ชญานิศยิ้มขอบคุณเขาที่อุตส่าห์จำข้อตกลงของตัวเองได้ ยังคงเอร็ดอร่อยกับสปาเก็ตตี้ในจาน “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณจะทำอาหารอร่อยอย่างนี้ ผิดกับฉันเลย ไม่ได้เรื่องซักยะ...อื้อ...คุณเอาไปทำไม” ประโยคท้ายคนที่กำลังเคี้ยวสปาเก็ตตี้เต็มปากร้องท้วง เพราะจู่ๆ นายจ้างหนุ่มก็ดึงอาวุธจากมือหล่อนไปดื้อๆ

กรวิชญ์ดุสาวตรงหน้าอย่างกับดุเด็ก “ไม่เคยมีใครสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารให้คุณเลยรึไงว่าเวลากินอาหารห้ามพูด เดี๋ยวสปาเก็ตตี้ได้ติดคอกันพอดี”

“ก็ฉันหิวนี่” ชญานิศเถียงก่อนยื้อส้อมคืนจากมือเขา

อเล็กซ์นั้นไม่ได้สนใจผู้ใหญ่บนโต๊ะอาหารสักนิด เอาแต่เคี้ยวสปาเก็ตตี้ฝีมือน้าชายตุ้ยๆ

กรวิชญ์ลอบอมยิ้มกับตัวเอง ชื่นใจที่นานทีจะเห็นหลานชายตัวแสบทำตัวสงบเสงี่ยมน่ารักเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่แล้วพอหันกลับมามองคนตัวโตกว่าข้างกายหลานชายอีกครั้ง กรวิชญ์ถึงกับส่ายหน้าระอา เคยเห็นผู้หยิงตะกละก็คราวนี้เอง พาลอดนึกเป็นห่วงวันที่พาเจ้าหล่อนไปบ้านเชิดชายด้วยกันไม่ได้ สังหรณ์ใจชอบกลว่ายัยแว่นหัวฟูจะทำเสียเรื่อง !



**************

“ก็ฉันบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ซื้อ” ชญานิศบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ขณะที่เดินตามนายจ้างหนุ่มเข้ามาในร้านเสื้อผ้าบ่ายวันรุ่ง

กรวิชญ์นั้นบังคับหล่อนให้มาห้างสรรพสินค้าใกล้คอนโดด้วยกัน โดยลงทุนฝากอเล็กซ์ไว้กับฟ้างามสาวข้างห้องอ้างว่าจำเป็นต้องพาพี่เลี้ยงสาวมาหาซื้อชุดไปงานสำคัญทั้งที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้อยากจะซื้อสักนิด ไม่แปลกที่เห็นคนถูกลากถูลู่ถูกังให้ออกมาจากคอนโดมีสีหน้าบูดบึ้งตลอดทางที่นั่งรถมากับเขา

กระทั่งถึงร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่ง กรวิชญ์ก็ฉุดหล่อนให้เข้ามาในร้าน “โรสเขาชอบมาซื้อเสื้อผ้าร้านนี้ประจำ ยังไงคุณลองดูก่อนแล้วกันว่าถูกใจชุดไหน”

ชญานิศครางค้าน “ก็ฉันมีชุดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อให้เปลืองเงินก็ได้”

“คุณไม่จำเป็นแต่ผมจำเป็น !” กรวิชญ์ขึ้นเสียง

“การไปบ้านคุณเชิดชายสำคัญสำหรับผมมาก ทุกวันนี้ผมเห็นคุณใส่แต่ชุด...เอิ่ม...แบบนี้” กรวิชญ์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อยยามเท้าสะเอวมองสารรูปของสาวข้างกาย พยายามไม่วิจารณ์มากนักเลยเอ่ยเลี่ยงดื้อๆ ว่า “เอาเป็นว่าคุณหาชุดที่คิดว่าดีที่สุดในชีวิตคุณมาลองใส่ให้ผมดูก่อนแล้วกัน ถ้าชุดไหนผ่านผมซื้อให้คุณเอง แต่ไม่ใช่ว่าผมพิศวาสคุณหรอกนะชญานิศ ผมทำเพื่อหน้าตาของผม กรุณาท่องไว้ให้ขึ้นใจด้วย”

ได้ยินกรวิชญ์ย้ำกลับมาเช่นนั้นตามเคยชญานิศเลยแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ หล่อนเองใช่ว่าจะพิศวาสเขาเหมือนกัน ก่อนจนใจเดินหาชุดตามคำสั่งของเขาอย่างเซ็งๆ

หลายครั้งที่ชญานิศลอบมองคนพามาแล้วต้องพบว่ากรวิชญ์นั้นนั่งไขว่ห้างรอสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา นึกฉุนเขาอยู่หรอกที่เรื่องมากโดยใช่เหตุกับแค่ไปบ้านนักธุรกิจคนหนึ่งก็เท่านั้น แถมยังมารู้ทันหล่อนอีก ก็ในชีวิตนี้ชญานิศมีเสื้อผ้าอยู่กี่ตัวกันเชียว

เริ่มเหงื่อตกตอนนี้เอง เมื่อไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเสื้อผ้าแต่ละชุดหน้าตาเหมือนกันไปหมด จังหวะนั้นเองชญานิศสะดุดตากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องลองเสื้อผ้า หล่อนขยับแว่นสายตาเล็กน้อย เพ่งมองสาวตรงหน้าให้ถนัดแล้วต้องเผยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นเจนตา...บริกรรร้านอาหารไทยรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันนั่นเอง

แม้แปลกใจที่พบเจนตาที่นี่ได้ทั้งที่เวลานี้รุ่นพี่น่าจะทำงานอยู่ที่ร้านอาหาร แต่ก็โบกมือไหวๆ ร้องทักเพราะดีใจที่เจอคนรู้จัก

เจนตานั้นกำลังเดินตรงมาทางหล่อนพอดี หากทันทีที่สบตากับอดีตบริกรรุ่นน้องกลับชะงักฝีเท้าพลัน แวบนั้นชญานิศไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่าถึงได้รู้สึกว่ารุ่นพี่ดูตกใจที่เจอหล่อน ไม่รอชญานิศเข้ามาทักทายก็หันหลังให้ ก้มหน้าก้มตาเดินหลบออกจากร้านไปดื้อๆ อย่างกับเห็นหล่อนเป็นผีสางนางไม้เสียเดี๋ยวนั้น ทำเอาคนทักถึงกับยืนค้าง

“ได้รึยังคุณ”

จู่ๆ กรวิชญ์ก็โผล่มาข้างกาย เล่นเอาคนที่กำลังงุนงงในพฤติกรรมของบริกรรุ่นพี่สะดุ้งโหยง

ชญานิศยืนงงๆ อยู่ครู่ ตั้งหลักกลับมาเรื่องตัวเองได้ก็จ้ำจี้มะเขือเปาะแปะเลือกเสื้อผ้าบนราวแขวนใกล้ๆ มาสักชุดทาบให้เขาดู นั่นแหละถึงได้เห็นเขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมตำหนิในความไม่ได้เรื่องของหล่อน เป็นฝ่ายเลือกให้เสียเอง เพียงพริบตาเดียวกรวิชญ์ได้ชุดมาเพียบ ชญานิศซึ่งเป็นผู้หญิงแท้ๆ ถึงกับตะลึง

“ลองชุดพวกนี้ให้ผมดูที” กรวิชญ์สั่ง

ลูกจ้างสาวจึงรับชุดจากมือเขาหายเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้า ไม่นานหล่อนก็ออกมาพร้อมชุดเดรสสั้นเข้ารูปเรียบหรูฝีมือการเลือกของเขา

แต่นางแบบจำเป็นเอาแต่ยืนบิดไปก็บิดมา ดึงชายกระโปรงอยู่นั่นเองอย่างกับจะช่วยให้มันยาวเลยเข่าขึ้นมาได้อย่างนั้น รู้สึกขัดเขินที่ต้องตกเป็นเป้านิ่งให้คนตรงหน้าพินิจมอง ขณะที่กรวิชญ์แทนที่จะรีบดูรีบบอก เขากลับยังคงใจเย็นนั่งนิ่งเงียบคล้ายอึ้งไปชั่วขณะกับลุคใหม่ของสาวแว่นหัวฟูตรงหน้า

ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อชญานิศได้ใส่ชุดเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วจะดูมีทรวดทรงองค์เอวน่ามองอย่างสาวๆ คนอื่นได้เหมือนกัน

เดรสสีแอปพลิคอตที่รับกับผิวกายของลูกจ้างสาวขาวผุดผ่องอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สร้างความพอใจแก่นายจ้างหนุ่มยิ้มกริ่มออกมา ก่อนไล่ให้นางแบบกลับเข้าไปในห้องลองเปลี่ยนชุดมาใหม่เผื่อจะมีชุดที่ดูดีมากกว่านี้ แต่เปลี่ยนไปมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายกรวิชญ์กลับเลือกจ่ายเงินให้กับชุดแรกที่ชญานิศลองก่อนพาออกมาจากร้านด้วยกัน

ทันทีที่ชญานิศกลับถึงบ้าน หล่อนเลือกโทรศัพท์หานภเกตน์เพื่อขอความช่วยเหลือโดยด่วนเรื่องที่จะต้องไปบ้านเชิดชายกับกรวิชญ์ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

ไม่ปล่อยให้เพื่อนรอนาน นภเกตน์ก็บึ่งรถแท็กซี่มาหาเพื่อนที่บ้านแม็คฟาร์แลนด์ในเวลาถัดมา พร้อมนิตยสารวัยรุ่นเป็นสิบๆ เล่มโยนกองตรงหน้าเพื่อนสาว “ฉันขนมาหมดบ้านเพื่อแกโดยเฉพาะเลยนะ แกก็ลองเปิดๆ หาดูแล้วกันว่าชอบทรงไหน ฉันล่ะรอวันนี้มานานแล้ว วันที่จะได้แปลงโฉมลูกเป็ดขี้เหร่อย่างแกให้กลายเป็นหงส์เนี่ย โอ๊ย..พูดแล้วตื่นเต้น”

“เวอร์ไปจ้ะคุณนภเกตน์ ฉันยอมแกแค่วันเดียวเท่านั้น” คนที่นอนเตะขาเล่นบนเตียงปรามเพื่อนก่อนหยิบนิตยสารมาเล่มหนึ่งเปิดผ่านไปอย่างนั้น

ครานั้นเองที่นภเกตน์สะดุดตากับดวงหน้าของเพื่อน จับชญานิศเงยหน้าทันควัน

“ตายแล้ว ! ฉันพลาดไปได้ไงเนี่ย มิน่าวันนี้แกถึงดูแปลกตาพิกล ใส่คอนแทคเลนส์เป็นกับเขาด้วยเหรอยะ”

ชญานิศหันหน้าหนี ท่าทางโอเวอร์ของเพื่อนชักทำให้หล่อนปวดหัว “ฉันเพิ่งลองใส่ตอนที่รอแกมาบ้านนั่นแหละ ก็นายหื่นกาม...เอ่อ...พี่กรของแกน่ะบังคับฉันให้ไปเปลี่ยนลุคมา ดีนะที่แกเคยให้ฉันซื้อคอนแทคเลนส์ติดไว้เลยไม่ต้องถูกเขาลากไปโน่นไปนี่อีก แต่ไม่รู้สิเกตน์ มันระคายตายังไงก็ไม่รู้ ฉันไม่คุ้นเลย”

“อยากสวยก็ต้องทนนิดนึง” นภเกตน์แซวยิ้มๆ ดีใจที่เห็นเพื่อนได้ใช้คอนแทคเลนส์เป็นเรื่องเป็นราวเสียที

ชญานิศเปิดดูทรงผมแต่ละแบบในนิตยสารแล้วเบ้หน้าเมื่อไม่เห็นว่าจะมีทรงไหนเข้ากับหล่อนสักทรง นอกจากหัวฟูหยิกหยอยที่เป็นอยู่ตอนนี้

เป็นนภเกตน์ที่ยื่นหน้าเข้ามาช่วยเลือกอีกคนก่อนจิ้มที่ภาพเด็กสาวผมสั้นซอยคนหนึ่ง แต่ชญานิศกลับส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อนสาวจึงเอ่ยหน้ายุ่ง “ตกลงใจคอแกไม่คิดจะเลือกสักทรงเลยใช่มั้ย หน้าเรียวได้รูปอย่างแก แค่ยืดตรงทำทรงไหนก็สวย เลือกๆ ไปเถอะ”

“ก็ฉันเลือกไม่ถูกนี่เกตน์”

ชญานิศสารภาพออกมาในที่สุด และนั่นทำให้เพื่อนสาวถอนใจออกมาอย่างปลงๆ ใจอ่อนยอมดึงนิตยสารจากมือเพื่อนไปหาทรงผมให้ หน้านิ่วคิ้วขมวดยามพินิจพิเคราะห์ทรงผมในนิตยสาร ปากก็พูดว่า

“แกอยากได้ลุคไหนล่ะ เปรี้ยวหรือหวาน อืม...แต่อย่างแกฉันว่าเปรี้ยวไม่เหมาะเท่าไหร่ ลุคสาวหวานน่าจะเหมาะกับแกมากกว่า อ้อ แล้วทรงผมแกต้องเป็นแบบดูแลง่ายๆ ด้วย ไม่งั้นแกก็จะกลับมาหัวฟูอีกตามเคย เผลอๆ คราวนี้อาจหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ บอกตามตรงนะยัยนิศว่าฉันไม่ไว้ใจแกเลยจริงๆ ถ้าซอยผมเมื่อไหร่แกต้องคอยดูแลให้มันเป็นทรงด้วย”

ฟังเพื่อนวิพากษ์วิจารณ์แล้วชญานิศถึงกับหน้าบูด เพิ่งรู้ว่าในสายตาเพื่อน ตัวเองดูซกมกขนาดนี้ !

“จริงสิ ฉันลืมเล่าเรื่องที่ร้านอาหารให้แกฟังเลย” อยู่ดีๆ นภเกตน์กลับเปลี่ยนเรื่อง เรียกความสนใจจากคนที่กำลังนั่งหน้าบูดได้หน่อย

นภเกตน์เลิกสนใจนิตยสารหันมาคุยกับเพื่อนจริงจังเสียอย่างนั้น

“แกยังจำพี่เจนที่ทำงานกับเราที่ร้านอาหารได้ใช่มั้ย ตอนนี้พี่เขาลาออกแล้วนะ”

“ลาออก !”

ข่าวใหม่จากเพื่อนทำให้ชญานิศตกใจละล่ำละลักถามให้มั่วไปหมด “เป็นไปได้ไงเกตน์ ละ...แล้วเพราะอะไรพี่เจนถึงลาออกล่ะ...เออ...แล้วลาออกเมื่อไหร่ ลาออกไปไหน แล้ว...”

“ถามทีละคำถามสิยะยัยนิศ” นภเกตน์โพล่งแทรกขึ้นมา นั่นเองคนที่สติกระเจิงถึงได้เงียบกริบ

เป็นนภเกตน์ที่เล่าต่อว่า “ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่เจนลาออกทำไม แต่ฉันสังเกตเห็นมาหลายวันแล้วล่ะว่าพี่แกไม่มาทำงานเหมือนเคย เลยถามพวกพี่ๆ ที่สนิทกับพี่เจนเอาถึงได้รู้มาว่าพี่แกลาออกไปได้หลายวันแล้ว”

“ไม่น่าล่ะ” ชญานิศพึมพำอยู่ในลำคอ ภาพเจนตาในร้านเสื้อผ้าเมื่อครู่ผุดขึ้นมาในความทรงจำ เหตุนี้นี่เองหล่อนถึงได้เห็นเจนตาอยู่แถวนั้นทั้งที่ยังเป็นเวลางานอยู่เลย

นึกมาถึงตรงนี้แล้วชญานิศก็อดบอกเพื่อนไม่ได้ “เกตน์พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีเหมือนกัน วันนี้ที่ร้านเสื้อผ้าฉันก็เพิ่งเจอพี่เจนมาเอง แต่...เอ่อ...ไม่ได้คุยกันหรอกเกตน์ พี่เจนน่ะสิพอเห็นหน้าฉันก็หน้าตาตื่นออกจากร้านไปเลย สงสัยคงกลัวฉันจะไปซักเขาเรื่องที่ลาออกมั้ง”

“แปลก” นภเกตน์ขมวดคิ้วเข้าหากันคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง

“พี่เจนเดินหนีแกด้วยเหรอ...ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ กับแค่ลาออกจากงานทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

“คิดมากไปรึเปล่า” ได้ยินเพื่อนสันนิษฐานแปลกเป็นชญานิศที่มองเพื่อนอย่างนึกขันกับความคิดพิลึกนั่น ถ้าคิดในแง่ดี บางทีเจนตาอาจมีธุระเลยไม่อยากเสียเวลาคุยกับหล่อนก็ได้

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิแก นอกจากผู้จัดการ ที่ร้านไม่มีใครรู้เหตุผลที่พี่เจนลาออกสักคน ขนาดพวกพี่ๆ ที่ว่าสนิทกับพี่เจนยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำว่าลาออก ที่รู้กันเพราะอาศัยถามผู้จัดการกันทั้งนั้นแหละ”

คนที่เพิ่งว่าเพื่อนคิดมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เริ่มคล้อยตามกับสิ่งที่นภเกตน์เล่า

“แกกำลังจะบอกฉันว่าที่พี่เจนลาออก...มีเหตุผลบางอย่างที่บอกใครไม่ได้อย่างนั้นเหรอ” #




-----------------------------------------
ทักทายค่า^^

ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปก็จะได้หยุดยาวในวันสงกรานต์กันแล้ว ><
ไม่รู้ว่าแฟนนิยายของรันหนีไปเที่ยวไหนกันรึป่าว อิอิ

เมื่อวานลุ้นกับสึนามิมากๆ ดีใจและโล่งอกเหลือเกินค่ะที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นักอ่านท่านใดที่เดินทางไปต่างจังหวัดก็ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 13:36:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:30:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1613





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
ปอแก้ว 12 เม.ย. 2555, 13:39:27 น.
แปะชื่อตามอ่านไว้ก่อนค่ะ กำลังจะออกไปธุระ เดี๋ยวกลับมาอ่าน + เมนท์อีกทีจ้า :)


สรัน 12 เม.ย. 2555, 13:50:21 น.
ค่าพี่ปอแก้ว^^ รอๆ อิอิ ว่าแต่หยุดสงกรานต์ไปเที่ยวไหนป่าวคะ


สรัน 12 เม.ย. 2555, 19:40:50 น.
เป็นความสะเพร่าในการลำดับญาติของรันเอง TOT
เลยมีการเปลี่ยนสถานะเล็กน้อยจาก
"อากร" เป็น "น้ากร"
รันต้องขออภัยด้วยนะคะ
ผิดเรื่องไหนไม่ผิด น่าเขกกะโหลกจิงตู -*-


nunoi 13 เม.ย. 2555, 12:14:56 น.
อเล็กซ์น่ารักจริงๆ


สรัน 13 เม.ย. 2555, 17:28:11 น.
5555อยากได้ซักคนมั้ยคะ เดี๋ยวอีกไม่นานจะเกิดศึกระหว่างน้าหลานค่ะ อิอิ


ปอแก้ว 13 เม.ย. 2555, 19:03:41 น.
อเล็กซ์นีี่ต่อไปจะเป็นกามเทพตัวน้อยหรือเปล่านะ ;)
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ// ปล. พี่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยจ้า อยู่บ้านค่ะ 555


สรัน 14 เม.ย. 2555, 12:42:31 น.
อเล็กซ์เป็นกามเทพตัวน้อยรึป่าวไม่รู้นะพี่ปอ รู้แต่ไม่ยอมน้าชายแน่นอน 555555 สวัสดีปีใหม่ไทยเช่นกันค่า ทั้งพี่ปอกับnunoiเลยค่ะ^^ รันเองจะไปหัวหินวันพรุ่งนี้แล้ว ><


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account