The Promise...สัญญาใจ สัญญารัก(สนพ.อิงค์)
“สัญญานะพี่มาร์คว่าจะกลับมา เอาเรือลำใหญ่ๆ มารับอลิสด้วยนะ อลิสอยากนั่งเรือไปดูดอกไม้สวยๆ”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่เกี่ยวก้อยเป็นคำมั่นสัญญากับเด็กชายวัยเก้าขวบยังคงอยู่ในความทรงจำของชญานิศไม่เคยจาง หล่อนมักฝันถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กในสถานเด็กกำพร้าเสมอ พร้อมกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าเด็กชายคนนั้นจะกลับมาหาหล่อนตามคำสัญญาที่มีให้กัน

กระทั่งหล่อนได้พบกับกรวิชญ์สถาปนิกหนุ่มแสนกะล่อนและเจ้าชู้

เขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราวเพื่อคุมความประพฤติหลานชายตัวแสบ ไม่ให้เข้ามาก่อกวนชีวิตโสดของเขา เพราะเหตุนี้นี่เองชญานิศจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว...กรวิชญ์คือพี่มาร์คในความทรงจำของหล่อน !


หากเขายังจำอลิสตัวน้อยได้อยู่อีกเหรอ ในเมื่อตอนนี้...เขาเห็นหล่อนเป็นแค่พี่เลี้ยงเด็กเฉิ่มๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น


Tags: เด็ก,เจ้าชู้,สรัน,น่ารัก,สถาปนิก,เปิ่น,ยิปซี,สัญญา

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6


บทที่ 6



กรวิชญ์สาวเท้าเข้ามาในสปอร์ตคลับใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ลืมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วต้องคลี่ยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อพบว่าตัวเองรักษาเวลาได้เป็นอย่างดี ก่อนกวาดตามองหาหญิงวัยกลางคนที่ได้นัดกันไว้ทางโทรศัพท์อยู่ครู่ กระทั่งสะดุดตากับอากัปกิริยาท่าทางสง่าผ่าเผยดั่งนางพญาของหญิงมีอายุตรงบริเวณสนามไดร์ฟกอล์ฟ กรวิชญ์ก็มั่นใจได้ทันทีว่าจำไม่ผิดคนแน่จึงสืบเท้าเข้าไปหา

“มาถึงนานแล้วเหรอครับอัปสร”

เสียงทุ้มสุภาพของกรวิชญ์ฉุดหญิงมีอายุตื่นจากภวังค์ อัปสรนั้นกำลังมีสมาธิอยู่กับการไดร์ฟกอล์ฟแต่ดูเหมือนหล่อนเหม่อลอยคล้ายคิดอะไรเพลินๆ อยู่เพียงผู้เดียวมากกว่า พอเห็นชายหนุ่มที่นัดไว้มาถึงจึงส่งยิ้มทักทาย

“ที่คุณต้องการมาที่นี่ เพราะอยากเจอคุณเชิดชายใช่มั้ยคะ”

อัปสรไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา หล่อนรู้ตั้งแต่ชายหนุ่มตรงหน้าเสนอสปอร์ตคลับแห่งนี้ให้เป็นสถานที่นัดหมายระหว่างหล่อนกับเขาแล้ว และนั่นสร้างความประหลาดใจแก่กรวิชญ์ไม่น้อย

ด้วยความที่หลายวันมานี้เขาให้นภนัยคอยตามสืบพฤติกรรมของเชิดชาย...ประธานบริษัทธรรมเชษฐ์จนรู้มาว่าเชิดชายชอบมาเล่นฟิตเนสที่สปอร์ตคลับแห่งหนึ่งเป็นประจำหลังเลิกงาน ตกบ่ายพออัปสรโทรศัพท์มานัดเหมือนเช่นทุกครั้ง กรวิชญ์จึงไม่รีรอบึ่งรถออกจากบริษัทเพื่อมาหาอัปสร แม้นัยลึกๆ แล้วนั้นเขาต้องการที่จะมาทำความสนิทสนมกับเจ้าของโครงการประมูลงานออกแบบในครั้งนี้ด้วยก็ตาม ไม่นึกว่าหญิงมีอายุตรงหน้าจะรู้ทันเขา

“ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวมาว่าบริษัทคุณจะร่วมประมูลงานออกแบบห้างสรรพสินค้าด้วยน่ะค่ะ”

อัปสรอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบหากมีแววหนักใจอยู่ในที ก่อนพาเขามายังที่นั่งบริเวณสนามไดร์ฟกอล์ฟ

“ที่คุณนัดผมมาวันนี้ ถ้าเป็นเรื่องความคืบหน้าสปาของคุณ ผมว่าเราเพิ่งคุยกันไปเมื่อสองวันก่อนเองไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าคุณมีปัญหาอะไรรึเปล่า บอกผมได้นะ ผมพร้อมจะตามใจคุณเสมอ”

“ฉันไม่ได้นัดคุณมาเรื่องงานหรอกค่ะกร” อัปสรทอดถอนใจออกมาอย่างคนปลงชีวิต

“คุณทำงานกับฉันมาก็ร่วมปีแล้วน่าจะรู้ว่าฉันมันสาวใหญ่ขี้เหงา ระหว่างรอคุณฉันไม่รู้จะทำอะไรเลยซ้อมไดร์ฟไปอย่างนั้น คุณสนใจจะลงสนามดวลกับฉันสักรอบมั้ยคะ”

กรวิชญ์ยังคงเมียงๆ มองๆ ไปทางห้องฟิตเนส ก่อนที่จะเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงหน้าหญิงมีอายุมีเพียงน้ำส้มแก้วหนึ่ง แต่ดูเหมือนของเหลวสีส้มในแก้วทรงสูงจะไม่ได้ลดปริมาณลงเลยและมีทีท่าว่าน้ำแข็งในแก้วจะละลายจนจืดไปแล้วด้วยซ้ำเพราะอัปสรได้แต่ใช้หลอดคนไปมาอยู่อย่างนั้น

จากมองหาเชิดชายจึงกลับกลายเป็นลอบชำเลืองมองหญิงวัยกลางคนตรงหน้าแทนคล้ายต้องการค้นหาคำตอบในแววตาหมองเศร้าคู่นั้น และไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาที่เห็นอัปสรอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ เพราะทุกครั้งไปที่พบกัน เขาไม่เคยเห็นแววตาแห่งความสุขในดวงตาคู่นั้นเลยสักครั้ง

“ถ้าทำให้คุณรู้สึกเสียเวลา ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันรบกวนคุณไม่นานนักหรอก ฉัน...ฉันแค่อยากมีเพื่อนสักคน...รับฟังฉันก็เท่านั้น”

กรวิชญ์เอื้อมมือไปบีบมืออัปสรให้กำลังใจ “สำหรับผม เรื่องของคุณไม่เคยทำให้ผมเสียเวลาเลย ที่บริษัทผมอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะความเมตตาของคุณ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผมนะอัปสร ถ้าคุณไม่ไว้ใจให้บริษัทผมรับผิดชอบโครงการบ้านจัดสรรของคุณต่อจากบริษัทของพ่อผม ป่านนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้มายืนถึงจุดนี้รึเปล่า”

กรวิชญ์ยอมรับว่าครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับอัปสรในฐานะลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท หล่อนดูเป็นผู้หญิงที่สวยสง่ากว่าผู้หญิงวัยรุ่นราวคราวเดียวกันมาก ด้วยอากัปกิริยาท่าทางและผิวพรรณที่เนียนผุดผ่องอ่อนวัยกว่าอายุจริงรวมถึงการวางตัวต่อหน้าสาธารณชน อาจเป็นเพราะอัปสรมาจากตระกูลผู้ดีเก่า การดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสาวรุ่นใหญ่ผู้นี้ หากสิ่งที่เป็นตราบาปในชีวิตของหล่อนคือคำว่า ‘หญิงม้าย’ ต่างหาก เพราะตั้งแต่สามีของหล่อนจากไปด้วยโรคร้ายหล่อนก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด เพราะเหตุนี้...หญิงสูงสง่าผู้นี้จึงดูหมองเศร้าตลอดเวลา

ริมฝีปากสีจัดเผยยิ้มบางอย่างให้ชายหนุ่มตรงหน้า เกาะกุมมือเขาตอบ “อย่ามองฉันในแง่ดีขนาดนั้นเลยค่ะ คนเรามักทำอะไรหวังผลเสมอ คุณคงรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการอะไร”

“ผมพร้อมจะช่วยคุณทุกเรื่องนะอัปสร แต่เราเริ่มต้นรู้จักกันผิดรูปแบบไปหน่อย ผมเกรงใจพ่อผมน่ะ”

กรวิชญ์แกล้งพูดติดตลกไปอย่างนั้นเผื่อจะช่วยคลายเครียดสาวรุ่นใหญ่ได้บ้าง หากอัปสรรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าจงใจเลี่ยงไม่ตอบคำถามหล่อนตรงๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ที่หล่อนมีให้อยู่ดี หญิงมีอายุจึงคลายมือออกจากการเกาะกุมนั้น หัวเราะออกมาได้หน่อย

“สำหรับหญิงม้ายอย่างฉันแล้วอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขค่ะกร”

เวลานั้นเองที่กรวิชญ์เห็นชายมีอายุร่างสันทัดคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านอาหารของสปอร์ตคลับ กรวิชญ์จำได้แม่นว่าเป็นเชิดชายประธานบริษัทธรรมเชษฐ์...เป้าหมายที่เขารออยู่จึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจที่ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลง ทำท่าจะผละจากอัปสรไปเสียเดี๋ยวนั้นถ้าไม่บังเอิญสะดุดตากับบุคคลที่ตามหลังเชิดชายมาด้วย

กรวิชญ์ถึงกับกำหมัดแน่น สบถออกมาอย่างหัวเสีย คับแค้นใจที่ปล่อยให้ไอ้ไกรศรตัดหน้าไปเสียได้

อัปสรเห็นแล้วก็เป็นห่วง “คิดดีแล้วเหรอคะกรที่จะเข้าร่วมประมูลงานออกแบบห้างสรรพสินค้า คุณก็น่าจะรู้ว่าโครงการนี้มีแต่บริษัทใหญ่ๆ ลงสนามแข่งกันทั้งนั้น”

“คุณไม่เชื่อฝีมือผมเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่ฉันกลัวคุณจะบาดเจ็บก่อนออกรบต่างหาก” อัปสรค้าน

“เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อของคุณกับไกรศรคงอธิบายสิ่งที่ฉันพูดได้ดีนะกร และฉันไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย คุณเปลี่ยนใจ ถอนตัวจากโครงการนี้ยังทันนะคะ”

คำเตือนของหญิงมีอายุตรงหน้าทำให้กรวิชญ์เงียบไปอึดใจหนึ่ง ทว่าน้ำเสียงของไกรศรที่เยาะเย้ยเขาเรื่องย้ายบริษัทวันก่อนยังดังก้องในหัวสมอง ไม่แปลกที่จู่ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าแสยะยิ้มออกมา ทำเอาอัปสรผงะคล้ายตามอารมณ์กรวิชญ์ไม่ทัน

“ผมรู้ว่าคุณหวังดีกับผม แต่ขอให้คุณมั่นใจผมเรื่องหนึ่งได้มั้ยอัปสร ผมจะไม่มีวันพาบริษัทไปพบจุดจบแบบพ่อของผมแน่นอน การประมูลครั้งนี้ผมต้องทำให้คนพวกนั้นรู้ว่าบริษัทเล็กๆ ก็มีที่ยืนในวงการนี้ได้เหมือนกัน...ขอให้ผมได้มีโอกาสกู้ชื่อเสียงของท่านคืนมาเถอะนะอัปสร ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต” กรวิชญ์เห็นอัปสรจะร้องค้านเหมือนเคยจึงรีบตัดบท ก่อนลุกตามคนพวกนั้นออกไป



**************

คล้อยหลังกรวิชญ์ขับรถออกจากสปอร์ตคลับกลับมาถึงคอนโดเรียบร้อย เขาไม่รอช้ารีบโทรศัพท์เล่าให้นภนัยฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนอีกฟากพอรู้เรื่องเท่านั้นถึงกับสบถใส่โทรศัพท์

“บ้าที่สุด นี่ไอ้ไกรศรมันไวกว่าเราอีกเหรอ ฉันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้ไง เวลานี้ใครเขาก็พยายามทำความใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณเชิดชายกันทั้งนั้น”

“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ฉันกลัวมันจะเล่นสกปรก !” กรวิชญ์ค้านอย่างรำคาญๆ ที่เพื่อนไม่ได้ดั่งใจคิด

ที่สอปร์ตคลับเขาลงทุนแอบสะกดรอยตามเชิดชายกับไกรศรไปจนถึงลานจอดรถ ซ่อนตัวอยู่หลังรถคันห่างออกไปไม่มากนักจึงได้รู้ว่าทางฝ่ายไกรศรนั้นดักรอประธานบริษัทธรรมเชษฐ์อยู่เช่นกัน พอเห็นเป้าหมายเข้ามาหลบร้อนในร้านอาหารของสปอร์ตคลับจึงได้ตามเข้าไปคุยธุรกิจด้วย ประจบเชิดชายจนมาถึงลานจอดรถหน้าสปอร์ตคลับ

‘ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าจะได้เจอคุณเชิดชายที่นี่ เสียดายที่คุณมีธุระต่อ ผมชอบไอเดียห้างสรรพสินค้ารูปแบบใหม่ของคุณมากเลย หวังว่าคราวหน้าเราคงมีโอกาสได้คุยกันเรื่องการประมูลอีกนะครับ’

ลูกสมุนของไกรศรช่วยเลียแข้งเลียขาอีกแรงเปิดประตูรถให้เชิดชาย รอจนประธานบริษัทธรรมเชษฐ์ขับรถออกไปพ้นบริเวณสปอร์ตคลับแล้วเรียบร้อย ไกรศรถึงได้แสยะยิ้มออกมา ‘ทำเป็นหยิ่งไปเถอะไอ้เชิดชาย คอยดู ถ้าบริษัทฉันเป็นใหญ่เท่าบริษัทแกได้เมื่อไหร่ ฉันจะไม่ลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับแกแน่’

‘เอายังไงต่อครับนาย จะขับรถตามมันไปดีมั้ยครับ’ ลูกสมุนในชุดดำเสนอ

แต่ไกรศรโบกปัดอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ไม่ต้อง ! คราวนี้ฉันพลลาดเองที่เร่งรัดมันเร็วไปหน่อย มันเลยอ่านเกมฉันทันชิ่งหนีไปก่อน โธ่เว้ย ! นึกแล้วเจ็บใจชะมัด’

ภาพการสนทนาทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของกรวิชญ์ตลอด หากน้ำเสียงและสีหน้าบูดบึ้งของศัตรูคู่แค้นนั้นทำให้เขาแอบสะใจอยู่ลึกๆ เอ่ยกับเพื่อนในสายต่อว่า

“ช่วงนี้นายก็ให้คนของเราคอยจับตาดูพฤติกรรมพวกไกรศรไว้ก่อนแล้วกัน เห็นมันวันนี้แล้วบอกตามตรงว่าฉันไม่สบายใจเลย ฉันเชื่อว่าคนอย่างมันลองอยากได้อะไรแล้วมันต้องหาทางทำทุกวิถีทาง และคนอย่างมันคงไม่เคยแคร์อยู่แล้วว่าวิธีนั้นจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม ขนาดบริษัทเราไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร ไอ้ไกรศรมันยังกัดเราไม่ปล่อย แล้วนับประสาอะไรกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง...เฮ้ย !” จู่ๆ กรวิชญ์ก็ร้องลั่นพลอยทำให้คนในสายงุนงงไปด้วย

“อะไรไอ้กร”

กรวิชญ์หยุดคุยกับเพื่อนกะทันหัน เผลอเตะรีโมทโทรทัศน์บนพื้นนั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้องของตัวเองแล้ว

ต้องมองสภาพห้องตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันร้าย เพราะคอนโดเขายามนี้เต็มไปด้วยของเล่นของหลานชายวางเกลื่อน หมอนที่เคยวางพิงบนพนักโซฟาอย่างดีกลับหล่นแหมะอยู่บนพื้นพรม ที่บังคับเกมเพลย์จากที่เก็บเข้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยหน้าโทรทัศน์ก็วางอยู่คนละทิศคนละทางบ่งบอกชัดเจนว่าหลายชายตัวแสบเล่นแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่อีกตามเคย

ภาพตรงหน้าทำให้เจ้าของห้องปวดหัวตุบ กดวางสายเพื่อนทันทีทันใด

“อเล็กซ์อยู่ไหน ออกมาหาน้าเดี๋ยวนี้ ! ชญานิศ ! เรามีเรื่องต้องคุยกัน...คุณชญานิศ !”

ตั้งหลักได้เจ้าของห้องก็ตะโกนเรียกทั้งหลานทั้งพี่เลี้ยงเด็ก เขายังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือห้องของเขาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะในห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องสเตอริโอ หรือแม้แต่ในห้องน้ำกลับไม่เห็นแม้เงาของทั้งสอง

แต่แล้วพอกรวิชญ์มาหยุดยืนที่ห้องครัว เขาแทบช็อคเมื่อเห็นเคาท์เตอร์ครัวที่เคยสะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่ บัดนี้...เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบแป้งสีช็อกโกแลต มิหนำซ้ำตามพื้นครัวยังมีก้อนแป้งเหนียวหนึบแห้งแข็งติดกรังยืนยันเป็นรูปเป็นร่างถึงคราบแป้งบนเคาท์เตอร์ชัดเจน !

“เข้าห้องได้แล้วอเล็กซ์ ปล่อยให้ตัวเปียกนานๆ เดี๋ยวไม่สะ...คุณกร !” สาวที่กำลังฉุดกระชากลากถูเด็กซนให้เข้ามาในห้องเบิกตาโพลงราวเห็นผี ทันทีที่เห็นนายจ้างยืนจังกาอยู่กลางห้อง

อเล็กซ์เองพลอยชะงักฝีเท้าไปด้วย ขณะที่กรวิชญ์ซึ่งดูเหมือนได้ยินเสียงทั้งสองดังผ่านบานประตูเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วถึงกับจ้องเขม็งมาอย่างเอาเรื่อง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สืบเท้าเข้ามาประชิดตัวหล่อนคล้ายต้อนให้จนมุม “คุณพาหลานผมออกไปไหนมา แล้วทำไม...ห้องผมถึงได้เละเทะแบบนี้ !”

“ฉัน...ฉัน” ชญานิศถอยหลังเสียชิดกำแพง ตกใจกลายเป็นคนติดอ่างไปในบัดดล

ก่อนหน้านี้ทั้งหล่อนกับอเล็กซ์ช่วยกันทำคุกกี้อยู่ในห้องครัว แต่ด้วยความที่ยังเป็นแม่ครัวมือใหม่บวกกับเพิ่งเคยเข้าครัวคอนโดกรวิชญ์ครั้งแรกพี่เลี้ยงสาวจึงเก้ๆ กังๆ ไปหมด ตั้งแต่มองหาอุปกรณ์ครัวที่พอจะสามารถช่วยหล่อนทำคุกกี้ได้บ้าง รวมไปถึงทั้งฉีกทั้งกระชากถุงแป้งสำเร็จรูปที่สุดจะเหนียวแน่นหนึบ ฝุ่นแป้งคุกกี้จึงได้ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องอย่างที่เขาเห็น แต่หล่อนตั้งใจไว้แล้วนะว่าจะทำความสะอาดห้องให้เขา ถ้าไม่ติดว่ามีสายตาเว้าวอนของอเล็กซ์บวกกับมือน้อยๆ ที่ดึงชายกระโปรงหล่อนยิกๆ อ้อนขอให้พาลงไปว่ายน้ำเล่นที่สระของคอนโดเสียก่อน

‘...นอกจากนี้คุณต้องจำให้ขึ้นใจว่าผมไม่อนุญาตให้คุณออกไปไหนในเวลางาน และห้ามคุณพาอเลกซ์หลานผมไปเที่ยวที่ไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผมเด็ดขาด’ ชญานิศยังจำข้อตกลงที่ทำกับกรวิชญ์ไว้ได้ขึ้นใจ เขากำชับนักกำชับหนาถึงข้อนี้ และนั่นทำให้พี่เลี้ยงสาวกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก

“ฉะ...ฉันขอโทษที่ใจอ่อนยอมพาอเล็กซ์แกออกไป ก็ฉันเห็นแกเบื่อๆ เลยคิดว่าแค่แป๊บเดียวน่าจะกลับมาทำความสะอาดห้องให้คุณทัน แต่คุณสบายใจได้นะ เพราะเราสองคนไม่ได้พากันไปไหนไกล ฉันเลย...เอ่อ...ไม่ได้โทร.ไปขออนุญาตคุณ กลัวรบกวนเวลางาน”

“คุณกำลังจะบอกว่าคุณเกรงใจผม...ว่างั้น” กรวิชญ์ยังคงขึ้นเสียงข่ม “ถ้าคุณคิดแบบนี้แล้วเราจะทำข้อตกลงกันไปทำไม”

“ฉันก็ขอโทษคุณอยู่นี่ไง คุณมีหลานเป็นคนนะคะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง วันๆ จะขังแกไว้ให้อยู่แต่ในห้องมันเป็นไปไม่ได้ อเล็กซ์แกยังเด็ก ในฐานะที่คุณเป็นน้า เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่แกมีในตอนนี้ คุณก็ควรให้อิสระกับแกบ้าง”

“นี่คุณหาว่าผมทำร้ายแกอย่างนั้นเหรอ !”

“หยุดได้แล้วน้ากร พี่นิศ !” ในที่สุดอเล็กซ์ก็โพล่งออกมา

นั่นเองที่ผู้ใหญ่ทั้งสองเงียบกริบ หันมองเด็กเป็นตาเดียวกัน อเล็กซ์นั้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพี่เลี้ยงสาว ก้าวขวางปกป้องชญานิศเต็มที่ไม่ให้น้าชายเข้าใกล้ “ผมขอให้พี่นิศพาไปว่ายน้ำที่คอนโดเอง น้ากรอย่าว่าพี่นิศเลยนะฮะ”

“ว่ายน้ำที่คอนโด ?” น้าชายเลิกคิ้วสูง เหลือบมองหลานชายตัวแสบตรงหน้าแล้วเพิ่งเห็นว่าอเล็กซ์อยู่ในชุดว่ายน้ำจริงอย่างที่พูด

ศีรษะเล็กๆ นั้นยังมีหยดน้ำเกาะพราว ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่คลุมกายไว้คงไม่ช่วยให้ตัวน้อยหายหนาวเสียเท่าไหร่ถึงได้ยืนตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น น้าชายจากที่โมโหเมื่อครู่เลยแปรเปลี่ยนเป็นความสงสารเข้ามาแทนที่ โบกไล่อย่างไม่สบอารมณ์



**************

ชญานิศร้องเสียงหลงเมื่อเดินๆ อยู่ดีๆ ก็เกิดสะดุดถุงแป้งคุกกี้ไถลล้มลงไปนั่งกองกับพื้น

เสียงหัวเราะคิกที่ดังมาจากด้านหลังเรียกความสนใจจากพี่เลี้ยงสาวหันขวับไปมอง คาดว่าต้องเป็นหลานชายตัวแสบของกรวิชญ์แน่นอน รายนั้นคงจับหลานชายอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเรียบร้อย และนั่นทำให้พี่เลี้ยงสาวต้องสอดส่ายสายตามองหานายจ้างหนุ่มอย่างหวาดๆ

ก็เขาเป็นคนไล่หล่อนให้มาทำความสะอาดห้องแทนที่จะได้ดูแลอเล็กซ์นี่

พอเห็นว่าไร้ซึ่งเงาของนายจ้างหนุ่มชญานิศเลยค่อยโล่งอก ด้วยความที่พื้นที่ครัวเป็นบริเวณเดียวกับห้องรับประทานอาหาร แบ่งกั้นเพียงเคาท์เตอร์ผสมเครื่องดื่มคั่นกลางชญานิศจึงแอบเห็นศีรษะเล็กๆ โผล่พ้นเคาท์เตอร์ออกมา ลอบยิ้มขันในพฤติกรรมเด็กอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้หล่อนรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าเกินกว่าจะเล่นด้วยได้เลยจำต้องลากสังขารตัวเอง เดินกะเผลกๆ ไปนั่งพักบนเก้าอี้แถวนั้น ปาดเหงื่อที่ซึมตามหน้าผากและใบหน้า เหนื่อยจากการทำความสะอาดห้อง

หล่อนเล่นจัดเต็มตั้งแต่ขัดถูเคาท์เตอร์ครัวให้กรวิชญ์ ล้างถ้วยล้างชาม รวมไปถึงเก็บกวาดของเล่นที่อเล็กซ์ทิ้งไว้เกลื่อนพื้นห้อง ภายในห้องนั่งเล่นยามนี้จึงเป็นระเบียบเรียบร้อยดังเดิมแล้ว ก่อนที่จะกวาดถูห้องให้นายจ้างหนุ่มด้วยเป็นของแถม เพราะขี้เกียจฟังเสียงเขาบ่นซ้ำสอง แต่ขาเจ้ากรรมดันหมดแรงสะดุดกับถุงแป้งคุกกี้ ก้นจ้ำเบ้าเสียก่อนเนี่ยสิ

พอพี่เลี้ยงสาวไม่สนใจ คนตัวเล็กที่มุมานะพยายามแอบซ่อนตัวอยู่หลังเคาท์เตอร์ผสมเครื่องดื่มก็เริ่มหงุดหงิด เมื่อยด้วย ในที่สุดก็ยอมตะกายขึ้นมานั่งบนเก้าอี้กลมตัวสูงหน้าเคาท์เตอร์ผสมเครื่องดื่ม เท้าคางมองพี่เลี้ยงสาวที่กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่บนโต๊ะอาหาร

“พี่นิศมีแฟนยังฮะ”

อยู่ดีๆ อเล็กซ์ก็ถามคำถามนั้นขึ้นมา คนเจ็บข้อเท้าเลยเหลือบมองคนตัวเล็กแกมฉงน

เท่าที่จำได้ตั้งแต่มาอยู่คอนโดอเล็กซ์คุยกับหล่อนนับคำได้ ส่วนใหญ่เอาแต่เล่นเกมมากกว่า ซึ่งชญานิศก็เข้าใจดีว่าแรกๆ อเล็กซ์คงยังไม่ไว้ใจหล่อนเท่าไหร่นัก ผิดกับวันนี้ที่นอกจากคนตัวเล็กจะนึกสนุกชวนหล่อนไปว่ายน้ำด้วยแล้ว จู่ๆ ก็ยังเป็นฝ่ายโพล่งถามขึ้นมาเองดื้อๆ อีกแถมยังเป็นคำถามแก่แดดเสียด้วย

คนเป็นพี่เลี้ยงจึงมองเด็กอย่างนึกขัน “นึกยังไงถึงได้ถามพี่เรื่องนี้คะอเล็กซ์ หรือว่าคุณน้าสอนมา” อดแขวะไปถึงน้าชายของคนตัวเล็กไม่ได้

“น้ากรไม่เกี่ยวซะหน่อย” อเล็กซ์ตอบแค่นั้นก็กระโดดผลุงลงจากเก้าอี้ เดินมาหา

ด้วยความที่ตัวเตี้ย สองเท้าเล็กๆ จึงเขย่งสูงเพื่อมองของบนโต๊ะอาหารได้ถนัดตา แล้วต้องตาลุกวาวเมื่อเห็นจานคุกกี้วางเด่นตระหง่านอยู่บนโต๊ะ เลิกสนใจพี่เลี้ยงสาวในบัดดลปักหลักนั่งทานคุกกี้อย่างเอร็ดอร่อย

“ทำความสะอาดห้องเสร็จแล้วเหรอคุณ”

กรวิชญ์โผล่ออกมาจากห้องนอนพร้อมอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่

ชญานิศจากที่กำลังคุยเล่นอยู่กับเด็ก พอหันไปเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาหายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อมานั่นเอง แหม...สบายจริงนะพ่อคุณ !

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจลูกจ้างสาวที่นั่งหมดสภาพอยู่บนโต๊ะอาหารแม้แต่น้อย เขาเดินไปตรวจเช็คความเรียบร้อยในห้องครัวเป็นอย่างแรก ร้อนถึงชญานิศจะลุกตามเขาเข้าไปในครัว แต่แล้วต้องร้องโอยออกมา เล่นเอาคนที่กำลังเดินสำรวจชะงัก

“พี่นิศเป็นอะไรไปฮะ” อเล็กซ์เป็นคนแรกที่หน้าตาตื่นเข้ามาหาพี่เลี้ยงสาว

ชญานิศนั้นยังคงนั่งกุมข้อเท้าตัวเองอยู่กับพื้นทั้งสีหน้าเหยเก “พี่ขาแพลงนิดหน่อยค่ะ สงสัยคงตอนที่สะดุดหกล้มในห้องครัว”

“ไหน ขอผมดูหน่อย”

กรวิชญ์เข้ามาดูอาการหล่อน สัมผัสแรกที่เขาแตะโดนข้อเท้ากลับเป็นชญานิศที่สะดุ้งเล็กน้อย ไออุ่นจากมือเขากระตุกหัวใจหล่อนแปลกๆ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ พิกลจะชักเท้าคืน หากกรวิชญ์ยังคงจับไว้ นึกว่าสาวตรงหน้าเจ็บเลยพูดปลอบ

“ไม่เป็นไร ผมแค่อยากดูข้อเท้าคุณชัดๆ เท่านั้น”

กรวิชญ์ค่อยๆ พลิกข้อเท้าข้างที่ลูกจ้างสาวว่าไปมา ตอนนั้นเองเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้อเท้าหล่อนบวมเป๋งอย่างเห็นได้ชัด แถมที่ข้อศอกหล่อนมีรอยถลอกและยังเลือดไหลซิบ คาดว่าตอนล้มคงเผลอไปขูดโดนกับอะไรสักอย่างเข้า เลยถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจ อดโมโหสาวตรงหน้าไม่ได้ที่เจ็บตัวแล้วยังมานั่งเล่นใจเย็นอยู่ได้อีก

“คุณรอตรงนี้แล้วกัน เดี๋ยวผมไปหยิบยามาทาให้คุณเอง”

“มะ...ไม่ต้องหรอกค่ะ” ชญานิศสบโอกาสนั้นชักเท้ากลับ ไม่กล้าสบนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น เหมือนมีเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้าสาวเจ้าจนร้อนผ่าวไปหมด

“...ฉันยังไหว คุณปล่อยฉันไว้ตรงนี้แหละ นั่งพักเดี๋ยวเดียวก็คงดีขึ้นเอง”

ท่าทางกรวิชญ์จะไม่ค่อยเชื่อหล่อนเท่าไหร่ถึงได้มองมาทำนองถามว่า “แน่ใจ ?” แต่พอเห็นสาวตรงหน้ายังคงดึงดันที่จะนั่งอยู่อย่างนั้น นายจ้างหนุ่มเลยเปลี่ยนใจยื่นผ้าขี้ริ้วผืนเล็กมาให้ และนั่นทำให้คนขาแพลงขมวดคิ้วเป็นปมยุ่ง

“คุณเอามาให้ฉันทำไม”

“ถ้าคุณยังไหว ช่วยกรุณาไปเช็ดเคาท์เตอร์ครัวให้สะอาดด้วย ยังมีแป้งฝุ่นติดอยู่เลย ไม่เห็นรึไง” กรวิชญ์ตอบเสียงห้วนก่อนยัดผ้าใส่มือหล่อน

ชญานิศแอบแยกเขี้ยวใส่นายจ้างหนุ่มอย่างหมั่นไส้ แต่ไม่มีสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใดนอกจากพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังขาแพลงยอมเข้าครัวไปตามคำสั่ง โดยมีนายจ้างหนุ่มตามมายืนพิงกำแพงกอดอกคอยบัญชาอยู่ด้านหลัง ชี้นิ้วสั่งให้เช็ดโน่นเช็ดนี่ไปเรื่อย

ไม่แปลกที่เขาจะได้ยินพี่เลี้ยงสาวบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งอยู่หลายครั้ง สร้างความพอใจแก่กรวิชญ์ยิ่งนัก กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยว่า

“อย่าบ่นไปหน่อยเลยคุณ นับว่าดีเท่าไหร่แล้วที่ผมอุตส่าห์ให้โอกาสคุณแก้ตัวทำความสะอาดครัวแทนหักค่าจ้างสี่ร้อยบาท อย่าลืมว่าวันนี้คุณทำผิดกฎที่เราตกลงกันไว้ถึงสองข้อ...แถมคุณยังพาอเล็กซ์ออกไปเสี่ยงอันตรายว่ายน้ำเล่นคนเดียวอีก ถึงแม้หลานผมจะมีดีกรีเป็นถึงแชมป์นักว่ายน้ำของโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับแก ฉะนั้นถ้าแค่ทำความสะอาดครัวคุณไม่พอใจนักก็กลับบ้านไป หรือไม่...ลาออกไปเลยก็ได้ ผมไม่ว่า”

“นี่คุณกรวิชญ์ มันชักจะมากไปแล้วนะ” ถูกเขาต้อนหนักเข้าชญานิศเองก็เริ่มเหลืออดเหมือนกัน มองมาอย่างเอาเรื่อง

แต่แทนที่อีกฝ่ายจะสะทกสะท้านกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหารกับหลานชายหน้าตาเฉย กลายเป็นชญานิศที่ตงิดใจอย่างบอกไม่ถูกกับอาการเมินเฉยนั้น ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีอเล็กซ์นั่งอยู่ด้วยทั้งคนจึงพยายามสงบจิตสงบใจ ไม่เต้นเร่าตามคำยั่วโมโหของอีกฝ่าย

“คุกกี้อร่อยจังฮะพี่นิศ วันหลังทำให้ผมกินอีกนะฮะ”

อเล็กซ์นั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวมัวแต่หยิบคุกกี้เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ท่าทางเอร็ดอร่อยของหลานชายเรียกความสนใจจากน้าชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม อดไม่ได้เอื้อมมือมาหยิบคุกกี้ลองลิ้มรสชิมดูบ้าง

“คุกกี้ช็อกโกแลตชิพนี้ฝีมือคุณเหรอ”

“อื้อ” ชญานิศครางรับไปอย่างนั้น รู้ตัวว่าเสียมารยาทแต่หล่อนยังเคืองเขาอยู่นี่ “ก็ห้องคุณเล่นไม่มีอะไรให้อเล็กซ์กินสักอย่าง ดีนะที่ฉันรอบคอบเตรียมคุกกี้มา คุณรู้มั้ยว่าฉันต้องฝึกทำอยู่หลายรอบ คราวหน้าฉันว่าจะทำแพนเค้กให้แกกินด้วยอีกอย่างคุณว่าดีมั้ย”

“ผมว่าคุณทำคุกกี้ให้รอดก่อนเถอะ” กรวิชญ์ตัดบท

คนที่กำลังวาดฝันถึงของว่างแสนอร่อยฝีมือตัวเองฝันค้างกลางอากาศ หุบยิ้มพลัน “คุณหมายความว่าไง”

กรวิชญ์แกล้งหยิบคุกกี้ฝีมือเจ้าหล่อนมาพินิจพิเคราะห์เล่น “อเล็กซ์เพิ่งว่ายน้ำมาเหนื่อยๆ กินอะไรตอนนี้ก็อร่อยทั้งนั้นแหละคุณ คุกกี้คุณน่ะแข็งโป๊กอย่างกับหิน แถมขนาดชิ้นคุกกี้ยังบูดๆ เบี้ยวๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถามจริง ตอนคุณทำลืมใส่แว่นรึไง”

“เอ๊ะคุณนี่ ใจคอจะแขวะฉันให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่มั้ย” เจ้าของคุกกี้แหว

ครานั้นเองคนที่ยียวนกวนประสาทสาวเจ้าถึงได้หัวเราะออกมา นึกขันในสีหน้าบึ้งตึงของชญานิศ กลัวแกล้งมากกว่านี้เด็กตัวโตจะร้องไห้ขี้มูกโป่งออกจากห้องไปเสียก่อนจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใจเย็นน่ะคุณ ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆ รสชาติคุกกี้คุณมันไม่ได้แย่นักหรอก เพียงแต่ที่มันแข็งโป๊กแสดงว่าตอนคุณนวดแป้งคุณไม่ได้ใช้มือนวดใช่มั้ย”

“แล้วทำไมฉันต้องใช้มือนวดด้วยเล่า ช้อนส้อมก็มี” เจ้าของคุกกี้ยังคงเถียง

“ก็เพราะถ้าใช้มือนวดแป้งคุกกี้จะออกมานุ่มน่ากิน ไม่แข็งเป็นหินเหมือนของคุณแบบนี้...เอาเป็นว่าวันหลังผมจะหาเวลาว่างทำคุกกี้ให้หลานผมกินเอง อเล็กซ์จะได้รู้ด้วยว่าคุกกี้ที่อร่อยจริงๆ แล้วต้องรสชาติเป็นยังไง คุณน่ะอย่ามัวแต่โม้อยู่เลย รีบๆ ทำความสะอาดครัวให้เสร็จผมกับหลานจะได้พักผ่อนเสียที”

คล้อยหลังนายจ้างหนุ่มหันไปสนใจหลานชายแล้ว พี่เลี้ยวสาวอดไม่ได้แกล้งจีบปากจีบคอพูดเลียนแบบเขาอย่างหมั่นไส้ อเล็กซ์จะได้รู้ด้วยว่าคุกกี้ที่อร่อยจริงๆ แล้วต้องรสชาติเป็นยังไง แหวะ ใครกันแน่ที่ขี้โม้ยะนายหื่นกาม




*************


ทันทีที่น้าหลานเข้ามาในห้างสรรพสินค้าด้วยกัน อเล็กซ์ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่ของเล่นเสียเดี๋ยวนั้น ผู้เป็นน้าจึงรีบรั้งตัวไว้ขู่เด็กไม่ให้กลับบ้านค่ำ นั่นแหละหลานชายตัวแสบถึงยอมให้น้าชายจูงมือ เดินตามต้อยๆ ขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าซึ่งรายล้อมด้วยร้านอาหารหลากหลายประเภท

หลายครั้งที่อเล็กซ์แหงนหน้ามองน้าชายข้างกายอย่างสงสัย แล้วต้องหยุดเดินเสียดื้อๆ คนตัวโตกว่าเลยพลอยชะงักไปด้วย

“แปลกจัง ทำไมวันนี้น้ายอมพาผมออกมาเที่ยวได้ฮะ หรือว่าน้านัดสาวไว้ที่นี่”

“นัดสาว ?” กรวิชญ์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู ด้วยไม่นึกว่าศัพท์พวกนี้จะหลุดออกมาจากปากหลานชายตัวแสบได้

อเล็กซ์นั้นยังคงกอดอก ทำเป็นเอียงคอพินิจพิเคราะห์ผู้ใหญ่จึงถูก ‘ผู้ใหญ่’ บีบจมูกรั้นนั้นเข้าให้เป็นการทำโทษ “เดี๋ยวนี้พูดจาแก่แดดใหญ่แล้วนะเรา นัดสงนัดสาวอะไรกัน พี่เลี้ยงเราใช่มั้ยที่สอนให้พูดแบบนี้”

“พี่นิศมาเกี่ยวอะไรด้วยเล่าน้าก็”

อเล็กซ์ปัดมือน้าชายออกอย่างหัวเสีย ผู้ใหญ่ตรงหน้าชอบมองว่าเขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่เรื่อย

ตอนที่จะพาอเล็กซ์ออกมาข้างนอก ชญานิศซึ่งทำหน้าที่เป็นคนแต่งตัวให้ก็ถามกรวิชญ์ด้วยคำถามเดียวกันกับอเล็กซ์นี่แหละ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเขากลัวเสียฟอร์มเลยบุ้ยใบ้ไปเรื่องอื่นก่อนลากหลานชายขึ้นรถมาด้วยกัน

กรวิชญ์ยังจำได้ทุกถ้อยคำที่เจ้าหล่อนต่อว่าเขาที่คอนโดคราวก่อน

‘...คุณมีหลานเป็นคนนะคะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง วันๆ จะขังแกไว้ให้อยู่แต่ในห้องมันเป็นไปไม่ได้ อเล็กซ์แกยังเด็ก ในฐานะที่คุณเป็นน้า เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่แกมีในตอนนี้ คุณก็ควรให้อิสระกับแกบ้าง’

มีอย่างที่ไหน เขาจ้างหล่อนให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแท้ๆ บังอาจมาต่อปากต่อคำเขาต่อหน้าเด็ก

นึกแล้วยังเคืองยายแว่นหัวฟูไม่หายจึงอ้อมแอ้มตอบหลานชายอย่างเสียไม่ได้ว่า “ไม่มีอะไร น้าก็แค่อยากพาเรามาเปิดหูเปิดตาบ้าง พี่นิศของเราจะได้ไม่มาต่อว่าน้าอีกว่าน้าใจร้ายเอาแต่กักขังหน่วงเหนี่ยวเราไว้ที่คอนโด”

“ที่แท้น้าก็เห็นด้วยกับพี่นิศนี่เอง ไม่งั้นคงไม่พาผมมาเที่ยวหรอก”

“แล้วแบบนี้เรายังมองว่าน้าใจร้ายอยู่อีกรึเปล่าฮึ”

“อืม...” ได้ทีตัวแสบก็ทำลีลากอดอกครุ่นคิด “ไม่แล้วล่ะฮะ ถ้าน้าพาผมไปกินไอติมอร่อยๆ แล้วก็ซื้อของเล่นให้ผมด้วยสักสองชิ้น”

“ทันทีเชียวนะเจ้าตัวแสบ”

กรวิชญ์ขยี้ศีรษะหลานชายด้วยความหมั่นเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจจากคนตัวเล็กก่อนที่จะหายเข้าไปในร้านอาหารฝรั่งร้านหนึ่งทั้งน้าทั้งหลาน ใช้เวลาไม่นานก็อิ่มท้องพากันออกมาจากร้านต่อด้วยไอศกรีมเอาใจหลานชาย สุดท้ายอเล็กซ์ก็ลากน้าชายลงบันไดเลื่อนกลับมายังชั้นของเล่นด้วยกัน

กรวิชญ์นั้นพอเห็นคนตัวเล็กข้างกายตาวาวเมื่อเห็นเรือรบขนาดใหญ่จึงปล่อยมือเป็นอิสระ ต้องการให้อเล็กซ์ได้เดินดูของเล่นด้วยตัวเอง ส่วนตัวเขาฆ่าเวลารอด้วยการหยิบจับของเล่นหลอกเด็กแถวนั้นไปเรื่อยเปื่อย นึกถึงวัยเด็กที่ผ่านเลยมานานแสนนานด้วยความขมขื่น

ตอนเด็กๆ เขาแทบไม่มีโอกาสได้เล่นของเล่นพวกนี้เลยด้วยซ้ำ ช่างแตกต่างจากอเล็กซ์ในช่วงเวลานี้อย่างสิ้นเชิง

เด็กชายตัวน้อยที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับเฮลิคอปเตอร์เหินฟ้าที่คนขายกำลังบังคับเล่นให้ดูอยู่นั้น จุดประกายกรวิชญ์ นึกอยากเรียกหลานมาดูด้วยเผื่อรายนั้นสนใจอยากได้บ้าง แต่แล้วเพียงพ้นบริเวณชั้นวางเรือรบไปได้ไม่เท่าไหร่ ชายมีอายุในชุดสูทคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาอเล็กซ์ทำให้กรวิชญ์ชะงักงัน

“ลุงว่าสองกระบอกเลยเป็นไง”

ภาพตรงหน้าทำให้กรวิชญ์ตกใจแกมประหลาดใจไม่น้อย เพราะชายมีอายุที่เข้ามาเล่นกับอเล็กซ์นั้นคือเชิดชาย ประธานบริษัทธรรมเชษฐ์ เจ้าของโครงการห้างสรรพสินค้ารูปแบบใหม่ที่เปิดประมูลงานออกแบบนั่นเอง !

ครานั้นเองที่กรวิชญ์นิ่งงันไปชั่วขณะคล้ายตั้งต้นไม่ถูก ต้องขยี้ตาตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด หากภาพของคนต่างวัยทั้งสองตรงหน้าทำให้กรวิชญ์เผยยิ้มออกมา ความรู้สึกทั้งตื่นเต้น ดีใจ ประหลาดใจปนเปกันมั่วไปหมด ต้องรวบรวมสติก่อนเข้าไปหาทั้งสองในเวลาอันรวดเร็ว

“อยู่นี่เองอเล็กซ์”

กรวิชญ์ทำเป็นเรียกหลานชายชวนให้ชายในชุดสูทหันมอง ขณะที่อเล็กซ์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรวิ่งไปหาน้าชายทั้งที่ยังถือปืนฉีดน้ำเต็มสองมือ “น้าซื้อให้ผมหน่อยสิฮะ ผมอยากเอาไว้เล่นกับพี่นิศน่ะฮะ”

กรวิชญ์พยักหน้ารับรู้ไปอย่างนั้น ยามนี้เขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้าของบริษัทเปิดประมูล

ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือเป็นรอบที่สองจึงรีบยกมือไหว้ทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับคุณเชิดชาย ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่...เอ่อ...ผมกรวิชญ์ เป็นสถาปนิกเจ้าของบริษัทเกรทเฮาส์น่ะครับ” เห็นสีหน้ากับท่าทางของเชิดชายที่รับไหว้เขาอย่างงงๆ แล้วก็พอจะดูออกว่าคงไม่รู้จักเขาแน่จึงแนะนำตัว

“บริษัทเราเป็นแค่บริษัทเล็กๆ คุณเชิดชายคง...”

“บริษัทเกรทเฮาส์เหรอ ?” เชิดชายทวนชื่อบริษัทอีกฝ่ายเล็กน้อย “อืม...ผมว่าผมเคยได้ยินชื่อบริษัทคุณนะ เอ...คุณใช่ลูกชายของคุณเกรียงไกรรึเปล่า”

ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงบิดาครานั้นเองกรวิชญ์ถึงกับระบายยิ้มกว้างออกมา แววตาประกายด้วยความหวัง ใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกที่เชิดชายรู้จักเกรียงไกร...บิดาของเขาด้วย

ประธานบริษัทธรรมเชษฐ์ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นคุณ ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอคุณยังตัวเท่าเอวอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายคุณเกรียงไกรจะโตเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้ว...อ้อ ไม่ต้องแปลกใจไปคุณกรวิชญ์ ตอนนั้นคุณยังเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย คงจำผมไม่ได้หรอก”

ประโยคท้ายเชิดชายเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มหน้าเหวอ

“ตอนคุณเกรียงไกรยังหนุ่มๆ เท่าคุณ คนในวงการธุรกิจทุกคนก็ต่างรู้จักเขากันทั้งนั้น ก็คุณพ่อของคุณออกจะเป็นสถาปนิกชื่อดัง บริษัทผมเองยังให้คุณพ่อของคุณเป็นคนออกแบบให้เลย ฝีมือน่าทึ่งทีเดียวล่ะ”

ได้ยินเชิดชายเท้าความระลึกความหลังแล้ว ลูกชายหนึ่งเดียวของเกรียงไกรถึงกับโล่งอก ผิดคาดที่คนตรงหน้าให้ความเป็นกันเองขนาดนี้

“แล้วนี่หลานชายคุณใช่มั้ย” เชิดชายถามถึงเด็กตัวน้อยที่ยังคงนิ่งเงียบ

อเล็กซ์นั้นกำลังมองตาปริบๆ มายังผู้ใหญ่ทั้งสองคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก กรวิชญ์เพิ่งรู้ตัวว่าลืมหลานชายไปเสียสนิท รีบสะกิดเตือนให้ยกมือไหว้ทำความเคารพเชิดชายเช่นกัน คนตัวเล็กแม้จะงุนงงแต่ก็ทำตามที่น้าชายบอกอย่างว่าง่าย เรียกรอยยิ้มขันแกมเอ็นดูจากชายมีอายุเล็กน้อย

“ท่าทางเราจะซนไม่แพ้หลานฉันเลยนะอเล็กซ์ ถึงได้หนีคุณน้ามาเดินเลือกของเล่นอยู่คนเดียวแบบนี้ จริงสิคุณกรวิชญ์ เจอคุณก็ดีเหมือนกัน เผอิญผมกำลังหาซื้อของเล่นไปง้อหลานพอดี แต่ไอ้วัยขนาดผมให้มาเดินดูของหลอกเด็กพวกนี้ รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่ค่อยจะสันทัดเท่าไหร่เลยว่าจะให้หลานคุณช่วยเลือกให้ หวังว่าคุณคงไม่ขัดข้อง”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”

กรวิชญ์เอ่ยยิ้มๆ ก่อนหันไปกระซิบบอกหลานชายว่า “ไปช่วยเลือกของให้คุณลุงได้มั้ยเรา แล้วเดี๋ยวถ้าเราถูกใจของเล่นชิ้นไหนบอกน้ามา น้าจะซื้อเบิ้ลให้เป็นสองชิ้นเลย”

“จริงนะฮะน้ากร” อเล็กซ์ตาโตขึ้นมาทันที

เพียงน้าชายพยักหน้ายืนยันเท่านั้น อารามกลัวไม่ได้ของเล่นคนตัวเล็กก็รีบปรี่ไปช่วยเชิดชายเดินดูของตามคำสั่งผู้เป็นน้าทันควัน ไม่ได้รับรู้หรอกว่าถูกน้าชายหลอกใช้เข้าให้เสียแล้ว #



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 เม.ย. 2555, 12:07:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:26:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1516





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
ปอแก้ว 8 เม.ย. 2555, 12:11:13 น.
ยังตามอ่านอยู่นะคะ :) สู้ๆจ้า


สรัน 8 เม.ย. 2555, 12:31:19 น.
555 พี่ปอแก้ว ขอบคุณค่ะ รันก็ยังคงปั่นนิยายต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกาน^^


nunoi 9 เม.ย. 2555, 16:43:17 น.
คุ้กกี้จะหน้าตาเป็นยังไงหล่ะทีนี้


สรัน 10 เม.ย. 2555, 09:57:35 น.
คุณnunoiสนใจจะชิมมั้ยคะ ฮา...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account