ลวงเธอให้เผลอรัก
เธอ เอ๋...หรือจะเรียกว่าเขาดี มาตามหารักครั้งแรกไกลถึงประเทศญี่ปุ่น เพราะเขาคนนั้นคือจูบแรกของเธอ โดยการปลอมตัวเป็นผู้ชาย(ต้องปลอมด้วยเหรอ) เพื่อจะได้ใช้รูปร่างร่างอันแสนยั่วยวนด้วยสัดส่วนซึ่งสมบรูณ์แบบเกินห้ามใจ อก 30(นั่นอกคนหรือว่าไม้กระดาน แบนสนิทศิษย์ส่ายหน้า) เอว 24 สะโพก 32 สูงร้อยกว่าๆ ชอบม้าๆ(งู ไม่ใช่ม้า)


Tags: โรแมนติค คอมเมดี้

ตอน: รักครั้งแรก (100%)

รักครั้งแรก

บรรยากาศภายในบ้านอนันตรัยนั้นสุดแสนชื่นมื่นรื่นเริง เพราะได้รับข่าวดีที่สุดในรอบยี่สิบปี ว่าจะมีหน่วยกล้าตายมาสู่ขอลูกสาวคนเดียวของบ้านหลังนี้ จนทำให้ทุกคนดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดด้วยความตื้นตันใจและสำนึกบุญคุณชายนิรนามผู้นั้นอย่างถึงที่สุด ถ้าสามารถกู่ร้องออกมาเป็นคำพูดได้ คงได้ใจความตามความหมายในประโยคนี้ ‘ในที่สุดก็สามารถกำจัดไอ้ตัวร้ายออกไปได้หนึ่งคน’ เนื่องจากไอ้ตัวแสบที่ว่านี้ไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว เพราะทายาทของบ้านอนันตรัยนั้นมีอยู่สองคน ซึ่งเป็นฝาแฝดชายหญิงที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
อาศิรพิษพี่สาวคนโตซึ่งเกิดก่อนไม่กี่นาที และสามารถช่วงชิงความเป็นพี่มาได้เพราะดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิต แม้จะต้องทำถึงขนาดถีบหน้าน้องชายฝาแฝดก็ตาม เพื่อจะได้ใช้สิทธิคำว่าพี่ก่อนใครเรื่องแค่นี้ไม่ถือว่าสาหัสสากรรจ์ นั่นเป็นวีรกรรมตอนเกิดแค่เพียงเล็กน้อย ส่วนน้องชายที่แม้จะรอดตายจากอุ้งเท้าอำมหิตของพี่สาวตัวแสบไปได้ แต่ใบหน้าก็เกิดเป็นรอยแดงทั้งแถบจนผู้เป็นแม่คิดว่าลูกเกิดมามีปานบนใบหน้า แต่พอโตขึ้นรอยแดงนั้นก็หายไปทุกคนจึงรู้ได้ทันทีว่ารอยนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ทั้งบิดาและมารดาต่างอยากให้ลูกสาวและลูกชายนั้นมีชื่อที่สื่อความหมายเช่นเดียวกับสัตว์เหมือนครอบคัว จึงได้ชื่อที่แสนไพเราะมาสองชื่อ คือ อาศิรพิษและอาศิรวิษ ที่แปลความหมายได้เหมือนกันว่า ผู้มีพิษในเขี้ยว นั่นก็คืองู
แต่งูก็คืองูไม่มีทางจะเปลี่ยนเป็นแมวได้ อาศิรพิษซุกซนเกินเด็กผู้หญิงจนบิดามารดาต่างหมดปัญญาที่จะเลี้ยงดู แตกต่างน้องชายที่เรียบร้อยเลี้ยงง่าย เมื่อไม่สามารถจะปราบพยศสาวน้อยตัวแสบลงได้ ทั้งคู่จำต้องยกให้แม่ทูนหัวซึ่งก็คือน้าสาวให้นำไปเลี้ยงแทน น่าแปลกที่อีกฝ่ายกลับสามารถเลี้ยงดูเด็กสาวได้อย่างไม่มีปัญหาหรือไม่ก็น่าจะมีปัญหามากกว่าเดิม
แต่อาศิรพิษก็ไม่เหมือนหญิงสาวธรรมดาๆ ทั่วไป เริ่มตั้งแต่รูปร่างที่ผอมบางไม่มีแต่ส่วนเว้าส่วนเว้าใดๆ แถมสัดส่วนที่บ่งบอกถึงความเป็นหญิงยังแบนราบทั้งที่อายุเกือบจะยี่สิบสามแล้ว งานอดิเรกคือชอบลงไม้ลงมือกับคนอื่น รักการต่อสู้ทุกชนิดจนแทบจะเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญทุกแขนง ส่วนการแต่งกายก็เรียบง่ายเหมือนผู้ชายทั่วไป เธอไม่สวมใส่ชุดผู้หญิงเพราะมันทำให้รู้สึกว่าตนเองเหมือนกะเทย ทำให้ทั้งตู้เสื้อผ้ามีแต่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต เสื้อกล้าม และกางเกงยีนแบบผู้ชาย แถมด้วยรองเท้าแตะหูหนีบที่สมบุกสมบันตามการใช้งาน
แตกต่างจากอาศิรวิษที่เติบโตมาท่ามกลางการดูแลอย่างอบอุ่นของมารดาที่แสนเรียบร้อยอ่อนหวาน แถมยังสั่งสอนเรื่องความอ่อนโยนและวิถีแห่งความเป็นหญิงให้ เด็กชายจึงเติบโตในร่างที่ดูเหมือนผู้หญิงมากกว่าพี่สาว และไหนจะรูปลักษณ์ที่ดูอ้อนแอ้นอรชร เยื้องย่างสวยงามจริตจกร้านเกินชายไทย
และนั่นแหละที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับครอบครัวนี้ เพราะยิ่งทั้งสองคนโตขึ้นความแสบสันต์ก็ยิ่งทวีตามอายุและประสบการณ์ที่ได้เจอมา จนทั่วอาณาเขตต่างเกรงกลัวจนถึงขนาดขนานนามให้อย่างยิ่งใหญ่ว่า “คู่แฝดมหาประลัย” แค่เอ่ยชื่อนี้ลูกเด็กเล็กแดงก็ร้องไห้จ้า ชายอกสามศอกยังต้องถอยหนี คนชราวิ่งกลับบ้านตัวปลิว เพราะความเกรงกลัวบุคคลทั้งสอง แต่นี้ก็แค่วีรกรรมแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เสียงรถวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน แต่ทุกคนยังสงบนิ่งเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร
“ลูกสาวของแม่จ๋า...แม่เกดมาแล้วลูก” เกสรีส่งเสียงร้องเรียกหาลูกสาวบุญธรรมของตัวเองทันที รวมไปถึงชญานินที่เดินตามหลังมาติดๆ ทั้งสองคนเดินทางมาร่วมยินดีกับลูกสาวบุญธรรมด้วยเช่นกัน เมื่อก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว จึงเดินเข้าไปโอบกอดอาศิรพิษซึ่งยืนอยู่ตรงกลางบ้านอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าดูบึ้งตึงราวกับไปกินรังแตนมาหรือไม่ก็รู้สึกไม่สบายท้องเนื่องจากไม่ได้ขับถ่ายหลายวัน
“แม่จ๋าจะมาทำไม งูเขียวก็บอกว่าไม่แต่งยังไงเล่า เขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผู้ชายหน้าไหนก็ไม่สนใจทั้งนั้นแหละ งูเขียวอยากจะเห็นน้ำหน้ามันนักว่าใครมันกล้าขนาดนี้ เดี๋ยวพ่อ เอ๊ย...เดี๋ยวแม่เอาตายเลย” อาศิรพิษพร่ำบ่นอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์ใส่มารดาบุญธรรมที่เพิ่งจะผละออก
“โธ่ ลูกสาวของแม่จ๋า แต่งๆ ไปเถอะลูกถ้าฟิชเชอร์ริ่งกันแล้วไม่ถูกใจ ค่อยไปหาเอาใหม่ก็ได้ผู้ชายมีมากมายจนล้นโลก แค่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเกย์ อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์มีเมียแล้ว อีกห้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชายเจ้าชู้ อีกสี่จุดเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ชายไม่เอาไหน เหลืออีกแค่ศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยอมเป็นหน่วยเดนตายมาสู่ขอลูกสาวของแม่จ๋า เอาๆ ไปเถอะลูก กว่าแม่จ๋าจะได้สามีเป็นตัวเป็นตนก็ปาเข้าไปจะสามสิบแล้ว ดีนะที่ความสวยใสน่ารักของแม่ไปสะดุดตาพ่อโอมเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นแม่จ๋าคงต้องนอนตายแห้งเหี่ยวหัวโตแน่นอน” เกสรีพยายามอธิบายให้อาศิรพิษเข้าใจว่าสมควรดีใจแค่ไหนกว่าจะมีคนหลงผิดเข้ามาขอแต่งงานด้วยได้ซึ่งทุกคนเห็นด้วยเป็นอย่างดี แต่ประโยคหลังๆ ดูเหมือนจะไม่มีใครสนับสนุนสักเท่าไร
“โธ่เว้ย...พูดไม่รู้เรื่องกันสักคน ก็งูเขียวบอกว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วไง นี่พูดภาษาไทยอยู่นะไม่ได้พูดภาษางู จะได้เอาแต่ขู่ฟ่อๆๆ ถึงไม่ยอมเข้าใจกัน” อาศิรพิษโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยงเห็นของอะไรอยู่ตรงหน้าก็ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว จนแจกันสมัยราชวงศ์ชิงของมังกรหล่นลงมาแตก
มังกรประมุขของบ้านได้ยินเสียงอะไรแตกดังลั่นจึงค่อยๆ พาสังขารที่อ่อนแอตามกาลเวลาของตัวเองเดินออกมาดู แต่ขณะที่กำลังจะโวยวายเรื่องของรักของหวงหล่นลงมาแตกนั้น หลานสาวตัวร้ายก็หันไปมองหน้าอย่างเอาเรื่อง ทำให้ต้องเปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง
“เอ่อ...แบบว่าปู่จะเดินมาบอกว่า ให้ทุ่มให้แตกหมดไปเลยไอ้แจกันบ้าบอราชวงศ์ชิงอะไรพวกนี้ ไอ้ผีดูดเลือดมันจะได้ไม่ต้องไปผุดไปเกิด ตามสบายเลยหลานรัก เอาเลยลูก เอาเลย”
“ปู่ อันนั้นมันราชวงศ์หมิงต่างหากเล่า แค่นี้ก็ยังจำผิดอีก ว่าแต่ว่าปู่ดูเรื่องนี้ด้วยเหรอ อูย... กระดิ่งนะชอบๆๆๆ ที่สุดเลย พระเอกหล่อมาก...กรี๊ด...พี่โดม” อาศิรวิษพูดแย้งมังกรที่เป็นปู่ก่อนจะออกอาการกระริกระรี้เกินผู้ชาย จนทุกๆ คนในบ้านหันมามองตาเขียวให้เขาเลิกทำอาการแบบนี้ ชายหนุ่มจึงสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง
อาศิรพิษหันกลับไปหาบิดาเพื่อหาที่พึ่งพิง
“พ่อเสือ พ่อไม่เป็นห่วงงูเขียวบ้างหรือไง ทีกับแม่จ๋านะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้แม่จ๋าแต่งถึงขนาดตามไปขัดขวางที่กรุงเทพ แล้วนี่งูเขียวเพิ่งจะอายุยี่สิบสอง ยี่สิบสามเองนะ พ่อเสือ”
“ก็เพราะว่าพ่อเสือกลัวหล่อนจะขายไม่ออกยังไงล่ะยะ นังงูเขียวหางไหม้” อาศิรวิษแหย่แฝดผู้พี่อย่างลอยหน้าลอยตา
“นังกะเทยหางกระดิ่ง มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ จะเกิดมาเป็นผู้ชายทำไมถ้าจะดัดจริตขนาดนี้” อาศิรพิษด่าแบบไม่มีใครยอมใคร ถึงจะดูรุนแรงและหยาบคายแต่ก็ไม่มีอะไรจริงๆ หรอก เพราะทั้งก็สองคนรักกันดีแม้ว่าจะชอบแหย่และด่าทอกันแรงๆ บ้างในบางครั้ง
“เฮ้อ...พอเสียทีเถอะ ทั้งคู่นั่นแหละ” กษีรถอนใจหายให้กับลูกสาวและลูกชายทั้งสอง เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำตัวให้สมกับเพศของตัวเอง ลูกสาวก็เหมือนจะขาด ลูกชายก็เหมือนจะเกิน ไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงให้เหมือนลูกคนอื่นเขาบ้าง
เสียงกริ่งดังขึ้นที่หน้าประตูบ้านดังขึ้น ช่วยหยุดการสนทนาของสองพี่น้องได้มากว่าคำสั่งของบิดาเสียอีก กษีรจึงสั่งให้ลูกน้องคนสนิทออกไปเปิดประตูและเชิญแขกเข้ามาในบ้าน
ปลัดอำเภอเดินเข้ามาในบ้านอย่างหวาดๆ พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองคนที่เดินตามมาทางด้านหลัง กษีรเชิญให้ทุกคนนั่งลงก่อน แล้วสั่งให้คู่แฝดทั้งสองคนยืนอยู่เงียบๆ
“คือวัน..นี้...เอ่อ...คือว่าผม...คือ” ปลัดอำเภอเห็นหน้ากษีรที่เหี้ยมโหดแล้วก็เลยพูดไม่ออก ลืมไปหมดสิ้นว่าต้องพูดอะไรบ้าง
“อ้า...เอ่อๆ อยู่นั้นมีอะไรก็รีบพูดมาสิครับ” กษีรเริ่มหงุดหงิด จนเผลอตวาดลั่น
“ครับๆ คืออย่างนี้นะครับคุณเสือ ผมได้รับการไหว้วานให้มาเป็นผู้ใหญ่สู่ขอลูกสาวของคุณเสือนะครับ” ปลัดอำเภอพูดออกมาได้ในที่สุด
“คนนี้เหรอครับ” กษีรพยักหน้าแล้วชี้มือไปที่อาศิรพิษลูกสาวไว้ผมรองทรงสั้นเหมือนทอมบอย สวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนตัวใหญ่เหนือเข่า
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกชายของคุณเสือคนนั้นต่างหาก”
ปลัดอำเภอรีบส่ายแล้วชี้มือไปที่อาศิรวิษลูกชายของกษีร ซึ่งแต่งตัวด้วยกางเกงขาสั้นกุดสีชมพูแปร๊ด พร้อมด้วยเสื้อยืดสีขาวคอปาด ส่วนทรงผมนั้นยาวสลวยจนถึงระดับต้นคอ
“นั่นลูกชายครับคุณปลัด ตกลงจะมาสู่ขอลูกชายผมไปให้ลูกสาวบ้านไหน” กษีรถึงบางอ้อ แล้วถามต่อเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าปลัดอำเภอกำลังเข้าใจผิด
“เปล่าครับ ผมจะมาสู่ขอลูกสาวของคุณเสือ ไม่ใช่ลูกชาย”
“นั้นก็คนนี้ลูกสาว” กษีรชี้มือไปที่อาศิรพิษใหม่อีกครั้ง ซึ่งกำลังยืนแคะขี้เล็บหน้าตาเฉยแบบไม่สนใจใคร
“และคนนี้ก็คือลูกชาย” กษีรเปลี่ยนนิ้วชี้ไปที่อาศิรวิษ ที่ยืนทำหน้าตาแอ๊บแบ๊วเหลือจะกล่าว
ปลัดอำเภอหันหน้าไปมองทั้งสองคนสลับกันไปมา ก่อนจะเอ่ยขอโทษแล้วรีบขอตัวกลับไปอย่างงงๆ เพราะรู้ตัวแล้วว่าตนเองกำลังทำเรื่องผิดพลาดอย่างมหันต์ หลังจากแขกผู้มีเกียรติจากไป บรรยากาศภายในบ้านก็มืดทะมึนขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั่งโดนเสียงหัวเราะของอาศิรวิษขัดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ เห็นไหมกระดิ่งว่าแล้วว่าต้องไม่มีใครอยากจะได้นังงูเขียวหางไหม้นี่ไปเป็นเมียหรอก ผิดคำพูดเสียที่ไหน” อาศิรวิษหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนังกะเทยหางกระดิ่ง ถึงมาขอฉันก็ไม่แต่งฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้วโว้ย...ไอ้พวกนั้นมันตาต่ำไงถึงได้มาสู่ขอกะเทยแบบแก”
“แล้วทำไม แกก็แพ้กะเทยอย่างฉันอยู่ดี ชิ มีคนรัก แล้วถามเขาเปล่าว่ารักตัวเองไหม คิดเองเออเองทั้งนั้น”
“เชอะ ไม่อยากจะคุย เราสองคนจูบกันแล้วเว้ย ทุกคนดูถูกงูเขียวนัก ถ้าอย่างนั้นงูเขียวจะหนีออกจากบ้านไปตามหารักแท้ ไปไกลด้วย พ่อเสือ แม่บุษ แม่จ๋า อย่ามาคิดถึงงูเขียวทีหลังแล้วกัน ถ้างูเขียวจับสามีกลับมาไม่ได้ งูเขียวจะไม่ยอมกลับมาให้เห็นหน้าตลอดชีวิต” อาศิรพิษหันหลังกลับแล้วชะลอตัว เผื่อว่าจะมีใครเรียกตัวเองเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครสนใจสักนิด เลยหันกลับมาถามอีกครั้ง
“งูเขียวจะไปแล้วนะเออ ไปจริงๆ นะ ไปไกลนะ ไม่กลับมาอีกนานนะ”
“เออ ไปเถอะ ถ้าไม่ได้สามีก็อย่ากลับมาแล้วกัน โชคดีมีอะไรก็โทรมา” กษีรโบกมือไล่ลูกสาวก่อนจะหันไปคุยกับเกสรีน้องสาวโดยไม่สนใจสิ่งที่ลูกสาวพูด
อาศิรพิษน้อยใจที่คนในบ้านไม่ใยดีตนเองเลยแม้แต่น้อย จึงหันกลับมาหาอาศิรวิษแฝดผู้น้องก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้ามาหา
“มีอะไร รีบๆ ไปสิ” อาศิรวิษพูดแบบไม่สนใจ แถมยังโบกมือเหมือนไล่หมูไล่หมา
“แกว่าฉันจะทำได้ไหม กระดิ่ง” อาศิรพิษเริ่มไม่แน่ใจตัวเองว่าจะสามารถทำอย่างที่พูดออกมาได้ เรื่องความรักไม่ใช่วัดแค่นิสัยใจคอ แต่ไหนจะรูปร่างหน้าตา กิริยามารยาท ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ตัวเองไม่มี
“ทำได้ คนไทยถ้าคิดจะทำอะไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก” อาศิรวิษพูดจริงจังแล้วเว้นจังหวะนิดนึง แล้วพูดต่อทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าพี่สาวฝาแฝด “ยกเว้นแกนังอสรพิษ”
“เอ๊ะ นังนี่ ฉันพูดจริงนะ จะไปตามหารักแรกของฉัน” อาศิรพิษนึกย้อนไปในความทรงจำวัยเด็กของตัวเอง ที่ทำให้เกิดเป็นความผูกพันทางจิตใจซึ่งยากจะลบเลือน
“เออ ฉันรู้แล้ว ลูกชายของน้าพลอยกับอาเก็นจิใช่ไหม จัดไป ฉันจะไปกับแกด้วย เผื่อทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นไง”
“ถ้ามีแกอยู่มันจะได้ง่ายขึ้น ชิชะ สามีในอนาคตของฉันจะได้กลายเป็นน้องเขยในอนาคตของฉันแทนนะสิ”
อาศิรวิษหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะยอมรับแล้วหัวเราออกมา
“เออ จริงด้วย ฮ่าๆๆๆๆ”
อาศิรพิษไม่ได้กล่าวเกินเลย น้องชายของตนนั้นรูปร่างผอมบางอ้อนแอ้นอรชร ท่าเดินกรีดกรายแช่มช้อยราวกุลสตรี แต่ว่าในความอ่อนโยนที่แสดงออกนั้นเก็บซ่อนความเข้มแข็งเอาไว้เพื่อใครคนหนึ่ง ซึ่งอาศิรวิษได้สาบานเอาไว้ ‘ไม่ว่าจะต้องอยู่ในบุคลิกไหนจะชายหรือว่าหญิงเขาจะขอตามดูแลเธอไปตลอด’ จึงทำให้เจ้าน้องชายตัวดีกลายมาเป็นพวกชายไม่จริงหญิงไม่แท้อย่างทุกวันนี้
“งูเขียว เดี๋ยวกระดิ่งมา เก็บกระเป๋าเผื่อกระดิ่งด้วย เดี๋ยวมานะ” อาศิรวิษนึกขึ้นได้ทันควันว่าเรื่องราวอาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ตัวเองคิด และน่าจะใช้เวลานาน เขาจึงวิ่งออกจากบ้านไปที่บ้านข้างๆ อย่างเป็นกังวล
อาศิรวิษวิ่งออกมาแล้วตรงไปยังบ้านที่อยู่ถัดออกไป ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนสาวคนสนิท ลมหายใจหอบถี่เพราะวิ่งมาแบบไม่มีหยุดพัก พร้อมๆ กับเสียงร้องเรียกที่ดังก้องตั้งแต่ยังมาไม่ถึงที่หน้าบ้าน
“พีชชี่ พีชชี่ อยู่หรือเปล่า” อาศิรวิษร้องตะโกนเรียกชื่อพรรณพิชา แต่พอมาถึงที่รั้วหน้าบ้านจึงเห็นว่าข้างในบ้านดูจะเงียบสนิทและบานประตูก็ปิดเอาไว้แน่นดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่ข้างใน เขาจึงได้แต่หันหลังกลับอย่างผิดหวังแต่แล้วเสียงรถวิ่งเข้ามาจากนอกถนนก็ทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวของชายหนุ่มพองโตขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อรถยนต์เข้ามาจอดตรงหน้าบ้านสนิทแล้วอาศิรวิษก็รีบวิ่งไปเปิดประตูให้อย่างดีอกดีใจ พรรณพิชาก้าวลงมาจากรถแล้วยิ้มกว้างให้
“มีอะไรหรือเปล่ากระดิ่งมาแต่หัววันเชียว เขาเพิ่งออกไปตลาด...” พรรณพิชายังไม่ทันได้พูดจนจบก็โดนดึงเข้าไปกอดเสียแน่น
“เดี๋ยวๆ กระดิ่ง มีอะไรหรือเปล่ากอดเสียแน่นเลย ปล่อยก่อนๆ เค้าหายใจไม่ออก” พรรณพิชาร้องห้ามแต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรได้แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก หญิงสาวจึงยืนให้กอดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แล้วเสียงถอนหายใจของเขาก็ดังขึ้น
“เฮ้อ...พีชชี่ กระดิ่งจะไม่ได้อยู่ข้างๆ พีชชี่สักพักนะ ตัวเองสัญญานะว่าจะรอเค้า” อาศิรวิษยอมพูดออกมาในที่สุด พร้อมทั้งเอ่ยความกังวลใจของตัวเองออกไปให้เพื่อนสาวได้รับรู้ทันที
“ไป? ไปไหนกระดิ่ง พูดเสียอย่างกับว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
“ไปญี่ปุ่น ไปตามล่าสามีให้งูเขียว ถ้าปล่อยให้ไปคนเดียวมีหวังกินแห้วแน่ๆ แต่ๆๆ เค้าไม่อยากไปเลยนะ เค้าไม่อยากจะห่างจากตัวเอง สักวินาทีเดียวเค้าก็ไม่อยากห่าง ไม่เอาดีกว่า ไม่ไปแล้วๆ” อาศิรวิษมีท่าทางงอแงเหมือนเด็กๆ เมื่ออยู่ใกล้กับพรรณพิชา แต่ความจริงแล้วเป็นการออดอ้อนเสียมากกว่า
“แต่งูเขียวเขาต้องการคนช่วยเหลือนะ ถ้ามีกระดิ่งไปด้วย พีชเชื่อว่าสบายไปสิบแปดอย่างแน่ๆ” พรรณพิชาใช้ฝ่ามือตบลงที่แผ่นหลังของอาศิรวิษเบาๆ เหมือนปลอบประโลม “อีกอย่างพีชไม่ได้หนีไปไหนเสียหน่อย บ้านเค้าก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกกระดิ่ง”
“จริงๆ นะ จะไม่หายไปไหนจริงๆ นะ สัญญาสิ เกี้ยวก้อยสัญญากันสิ” อาศิรวิษผละออกแล้วยื่นนิ้วก้อยให้พรรณพิชาราวกับเด็กน้อย พอหญิงสาวเอานิ้วน้อยๆ นั้นมาเกี่ยวเอาไว้ เลยทำให้เขายิ้มออกมาได้ จึงโอบร่างบางเข้ามาแล้วบรรจงหอมลงบนแก้มซ้ายและแก้มขวาอย่างรักใคร่ หัวใจเบิกบานอย่างถึงที่สุดแต่แล้วเสียงร้องเรียกของพี่สาวก็ทำให้เขาอยากจะสาปส่งคนที่มาขัดจังหวะในการลวนลาม...เอ๊ย สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับพรรณพิชาของตัวเองต้องชะงักลงนั้นตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดสักสามชั่วโคตร เอ่อ...ขอเปลี่ยนประโยคท้ายเพราะนั่นมันครอบครัวตัวเองล้วนๆ
“กระดิ่ง ไอ้กระดิ่งโว้ย พิรี้พิไรล่ำลากันไม่สิ้นสุด ไปวันนี้นะโว้ยไม่ได้ไปชาติหน้า เร็วๆ เข้าหน่อย เออ พีช งูเขียวลาไปก่อนนะ ไม่ต้องคิดถึงเค้าล่ะ เพราะว่าเค้าคงจะแต่งงานอยู่กินกับสามีที่โน่นเลย”
อาศิรพิษเดินออกมาตามน้องชายเพราะเห็นว่าหายไปนานและคงไม่มีที่ไหนนอกเสียจากบ้านหลังข้างๆ ยิ่งเห็นเจ้าน้องชายทำท่าออเซาะออดอ้อนเพื่อนสาวอย่างสนิทสนมแล้ว ก็ยิ่งนึกหมั่นไส้ในความคิดที่แสนเจ้าเล่ห์ของเจ้าตัวดีไม่ได้ เพราะทุกการกระทำของอาศิรวิษนั้นคือการลวนลามผู้หญิงที่ตนเองแอบชอบ โดยพรรณพิชานั้นไม่ได้ระแคะระคายเลยว่ากำลังโดนเพื่อนสนิทเอารัดเอาเปรียบเพียงเพราะความเชื่อใจ
“แล้วนี่พ่อกับแม่ไปไหน แล้วจะกลับเมื่อไหร่ แล้วจะอยู่คนเดียวได้ไหม เค้าไม่อยากไปแล้ว กระดิ่งเป็นห่วงพีชชี่จริงๆ นะ” อาศิรวิษไม่สนใจเสียงนกเสียงกา แล้วถามถึงบิดาและมารดาของพรรณพิชาว่าทำไมไม่เห็นอยู่บ้าน
“อ๋อ พ่อกับแม่ไปดูงานในไร่เดี๋ยวก็กลับมาแล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ไปเถอะสายมากแล้ว”
“เออ เขาไม่ใช่เด็กสามขวบนะโว้ย ล้างก้นเองได้ ไปเร็วเดี๋ยวก็ตกเครื่องพอดีฉันโทรไปเช็คมาแล้ว ไปๆ ลาแล้วนะพีช” อาศิรพิษรีบดึงมือน้องชายออกแล้วพาเดินกลับไปที่บ้านทันที
แต่อาศิรวิษยังไม่ยอมเลิกราแม้ว่าร่างกายจะโดนพี่สาวจอมถึกลากไปแล้ว แต่สายตายังอาลัยอาวรณ์แสดงความเป็นห่วงไม่เสื่อมคลาย มีแต่พรรณพิชาที่ยืนยิ้มเรียบๆ แล้วโบกมือให้ทั้งสองคนก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
อาศิรพิษลากน้องชายตัวแสบมาถึงรถยนต์ที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะดันร่างที่ดื้อดึงของอาศิรวิษให้ขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านข้างคนขับ หญิงสาวร้องตะโกนเข้าไปในบ้านเพื่อล่ำลาบิดามารดาและทุกๆ คน
“พ่อเสือ แม่บุษ แม่จ๋า พ่อโอม งูเขียวไปแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงงูเขียวนะ ถ้าชาตินี้ไม่เสียตัวงูเขียวจะไม่มีทางกลับมาให้เห็นหน้าแน่นอน” แต่หลังจากพูดไปเสร็จก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาจากคนที่อยู่ในบ้านสักนิดจึงได้แต่คอตกว่าคงจะไม่มีใครสนใจตัวเองจริงๆ จึงได้แต่เดินไปขึ้นรถอย่างน้อยอกน้อยใจ
“เดี๋ยว...ไอ้งูเขียว” กษีรและทุกๆ คนภายในบ้านเดินออกมาพร้อมๆ กัน และส่งเสียงเรียกให้ลูกสาวหันกลับมา
อาศิรพิษแอบดีใจว่าที่แท้แล้วทุกคนก็มีความเป็นห่วงตนเองเหมือนกัน หรือไม่ก็คงจะออกมาขอร้องไม่ให้เธอไปแน่ๆ คิดแล้วก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้ จึงรีบหันหลังกลับไปแล้วยิ้มกว้างให้กับครอบครัว
“พ่อจะบอกว่า ถึงจะเสียตัวแล้วก็อย่ากลับมาอีกเลยนะลูก” กษีรยืนกอดอกสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
อาศิรพิษคอตก หัวอกหัวใจลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกๆ คนรังเกียจตนเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้จะเสียใจก็ทำได้เพียงหันหลังแล้วเดินขึ้นรถไป แต่ยังไม่วายมองไปยังทุกๆ คนที่ดูจะรื่นเริงกันเป็นพิเศษเมื่อเห็นเธอจะจากไป ฝ่ามือสั่นเล็กน้อยเมื่อจับลงที่บานประตูรถแล้วเสียงของบิดาก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า
“ลูกพ่อเสือ ลูกแม่สิงห์ ไม่มีทางแพ้สาวญี่ปุ่นนมโตหรอกโว้ย จำเอาไว้” กษีรยิ้มกว้างพร้อมกับคำเอ่ยลาของแต่ละคน
“เดินทางดีๆ นะลูก” เกสรีอวยพรให้กับลูกสาวบุญธรรมที่ตนเองเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด แม้จะติดนิสัยโหดร้ายของเธอไปบ้างแต่ก็มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
อาศิรพิษตื้นตันว่าที่แท้แล้วทุกคนหาได้รังเกียจตัวเอง เพราะแต่ละคนนั้นแสดงออกถึงความห่วงใยต่างกัน ปกติครอบครัวของเธอก็ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขาอยู่แล้ว การแสดงออกย่อมต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวรีบขึ้นรถทันทีเพราะไม่อยากให้น้ำตาตัวเองไหลออกมาให้ใครได้เห็นเสียก่อน และไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องยอมเสียเจ้าอาศิรวิษที่พร้อมจะกระโจนออกจากตัวรถได้ทุกเมื่อ เพื่อคนที่ตัวเองรักเพราะไม่อยากจากไปไหนไกลๆ ไม่ได้การต้องรีบออกรถให้เร็วที่สุด ถ้ามีน้องชายอยู่ด้วยเรื่องวุ่นวายหลายๆ อย่างอาจจะได้คลี่คลายลงไปด้วยดี หรือไม่แล้วก็เป็นไปในทางแย่ลงมากกว่าเดิม
รถยนต์วิ่งออกจากประตูบ้านไปอย่างไม่ลังเล และวิ่งด้วยความเร็วแบบสม่ำเสมอแม้ว่าจะเข้ามาถึงในตัวเมืองกรุงเทพฯแล้วก็ตาม เพียงไม่นานก็มาจนถึงท่าอากาศยานสนามบินได้ทันเวลาแบบเฉียดฉิว เพราะอาศริพิษนั้นจองตั๋วเที่ยวบินที่เร็วที่สุดเอาไว้โดยไม่ทันนึกถึงสภาพกจราจรภายในกรุงเทพฯเลยแม้แต่น้อย ทำให้ต้องแซงซ้ายปาดขวาจนโดนด่าระงมกว่าจะมาถึงได้ หญิงสาวหยิบกระเป๋าเอาถือไว้คนเดียว ปล่อยให้อาศิรวิษเดินเฉิดฉายตัวปลิวโดยไม่ต้องแบกอะไรทั้งสิ้น เธอไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วเพราะตัวเองมีกำลังเหลือเฟือ แค่เรื่องแบกกระเป๋าเพียงเล็กน้อยแค่นี้จะไปยากอะไร เมื่อเข้ามาด้านในก็ตรงไปตรวจเอกสารและติดต่อเรื่องกระเป๋าแล้วรีบตรงไปขึ้นเครื่องทันที
เมื่อทั้งสองคนเข้ามานั่งประจำที่ของตัวเองภายในเครื่องบินเรียบร้อย แต่ในขณะที่เครื่องบินกำลังจะขึ้นนั้นจู่ๆ อาศิรวิษก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“งูเขียว ทำไมรักครั้งแรกมันถึงสำคัญกับแกถึงขนาดต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปตามหาเขาด้วย” อาศิรวิษถามอย่างใคร่รู้
“แล้วทำไมพีชมันถึงสำคัญกับชีวิตแกขนาดนั้นล่ะ” อาศิรพิษเลือกที่จะไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นถามกลับ
“ก็เพราะพีชคือผู้หญิงคนแรกและคนสุดท้ายที่ฉันจะรักไง” อาศิรวิษตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำแบบไม่มีลังเล
“นั่นแหละ คำตอบของฉัน”
“เฮ้ย...อยากบอกนะว่าที่แท้แล้ว แกแอบรักพีช” อาศิรวิษโวยวายทันที
“โอ๊ย...ไม่ใช่โว้ย...ฉันหมายถึงรักแรกของฉันต่างหาก”
“เพ้อเจ้อ รักแรกพบแบบนั้นไม่มีจริงหรอก ฉันว่าแกเผื่อใจเอาไว้หน่อยดีกว่านะงูเขียว ถ้ามันหายากนัก ก็ดักจับสามีกลางตลาดแบบน้าเกดก็แล้วกัน” อาศิรวิษพยายามปลอบใจพี่สาวเพื่อว่าอะไรมันจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
“เผื่อใจ? ฉันนะเหรอ? แกต่างหากที่สมควรต้องเผื่อใจ ไม่เคยได้ยินเหรอกระดิ่ง ‘สามวันจากนารีเป็นอื่น’ หรือไม่ก็ ‘ใจผู้หญิงเปรียบได้ดั่งสายน้ำไหล’ ฮ่าๆๆๆ” อาศิรพิษพูดแหย่น้องชายที่ดูจะมั่นใจเสียเหลือเกินว่าพรรณพิชาจะไม่มีทางเปลี่ยนใจ
“หา...ไม่เอา ฉันไม่ไปแล้วญี่ปงญี่ปุ่น เอาเครื่องลงโว้ย... กระดิ่งจะกลับบ้าน เอาเครื่องลงเดี๋ยวนี้เลย บอกว่า...” กระดิ่งโวยวายได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโดนพี่สาวมหาภัยฟาดหลังมือใส่แบบเต็มเหนี่ยว อารามโมโหจึงตะโกนด่าพี่สาวออกไปเสียงดังจนทุกคนหันมามอง
“อีงูเขียว อี...” อาศิรวิษกำลังคิดจะสรรหาคำด่าแต่รู้สึกเหมือนจะมีอะไรบางอย่างไหลออกมาจากรูจมูกของตัวเองจึงใช้นิ้วมือป้ายแต่ทันทีที่เห็นว่าเป็นเลือด เขาก็ร้องออกมาอย่างเสียขวัญ
“ละ...เลือด” อาศิรวิษพูดค้างอยู่เพียงเท่านั้นแล้วก็หมดสติเหมือดไปทันที
อาศิรพิษยิ้มแย้มอย่างผู้ชนะก่อนจะชะโงกตัวขึ้นแล้วเอ่ยขอโทษขอโพยทุกคน ว่าน้องชายตัวเองนั้นมีอาการตื่นเต้นเพราะเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตจึงเกิดอาการประหม่าจนเกินไป
เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงแล้วอาศิรพิษจึงค่อยๆ หลับตาลงคิดย้อนไปถึงเรื่องราวสมัยเด็กที่ได้พบกับชายในฝัน
ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นวันรวบรวมญาติหลังจากที่คุณยายซึ่งอยู่ที่บ้านมานานเสียชีวิตลง เคยได้ยินแต่ว่าท่านมีลูกสาวอยู่ที่ญี่ปุ่นแต่ไม่อยากกลับไปเพราะเคยโดนหลอกไปขายตัว อาศิรพิษในวัยเด็กนั้นไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรรู้แต่ว่ามารดารับปากว่าจะดูแลท่านเป็นอย่างดี แต่ไม่นานท่านก็จากไปด้วยโรคร้ายเข้ามารุมเร้าร่างกาย ทำให้ปิยรัตน์ที่มีศักดิ์เป็นน้าของเธอต้องบินกลับมาพร้อมกับสามีและลูกอีกสองคน
แต่เรื่องรักแรกนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกิดว่าลูกชายคนโตของปิยรัตน์จะไม่เดินมาหาอาศิรพิษที่กำลังเตะกระสอบทรายเล่นภายในบ้าน ในขณะที่อาศิรวิษเจ้าน้องชายกำลังเล่นหม้อข้าวหม้อแกงอยู่กับพรรณพิชา ทันทีที่ตัวเองเห็นเด็กหนุ่มนั้นเดินเข้ามาหาตัวเองก็รีบเอ่ยปากถามทันที
“มีอะไรไอ้ยุ่น” อาศิรพิษมองหน้าเหมือนจะหาเรื่องแล้วถามอย่างไม่เป็นมิตร
“ฉันอยากลองเตะดูบ้าง จะได้ไหม” แม้จะรู้ว่าพูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจแต่ก็พยายามจะพูดและสื่อท่าทางออกมาให้ดีที่สุด
“ฮ้า...อะไร เซมากูเตะ อาริงาโตะ จะเอาอะไรไอ้ยุ่น”
“ขอฉันเตะไอ้นี่หน่อย ไอ้นี่นะ” กินไซฟาดขาไปที่กระสอบทรายที่ห้อยอยู่แล้วเริ่มลองเตะดูบ้าง
อาศิรพิษจึงเริ่มเข้าใจว่ากินไซอยากจะขอลองเตะกระสอบทรายจึงยอมหลีกให้อีกฝ่ายโดยดี แล้วยืนมองเหมือนจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย ในใจนึกสบประมาทเพราะเห็นว่าผู้ชายตรงหน้ารูปร่างผอมบางแบบเด็กหนุ่มไม่มีมัดกล้ามเหมือนกับบิดา แต่ท่าทีที่มาดมั่นของกินไซก็ทำให้อาศิรพิษประทับใจ จึงกลายเป็นว่าต่างคนต่างโชว์ความสามารถของตัวเองออกมา
กินไซหยิบนวมขึ้นมาสวมแล้วลองต่อยกับอาศิรพิษแบบจริงๆ จังๆ ทั้งสองคนต่างรู้จักหลบหลีกรู้ทางกันดี ผ่านไปครึ่งวันทั้งคู่ก็เริ่มเหนื่อยและมองหาที่นั่งพัก
“ไอ้ยุ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะเก่งขนาดนี้ ไม่ใช่ย่อยๆ เหมือนกันนะ” อาศิรพิษตบไปที่บ่าของกินไซ
“ไม่เท่าไรหรอก ฉันชอบเรื่องการต่อสู้ ก็เลยเรียนกับอาจินที่เป็นอาจารย์ของฉันที่อยู่ที่โน่น” กินไซพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะพูดชื่นชมตัวเองจึงตอบกลับไป
“พูดอะไรๆ เซๆ เฮๆ อีกแล้ว คนฟังไม่รู้เรื่อง” อาศิรพิษพูดต่อเพราะยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง กินไซยิ้มกว้างจึงเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างที่สวยงามบนใบหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวของอีกฝ่าย
“เออ เอากันเข้าไป แต่จะว่าไปแกก็หล่อไม่ใช่เล่นนะไอ้ยุ่น งูเขียวไม่ใช่ผู้ชายนะ มายิ้มให้แบบนี้เดี๋ยวงูเขียวก็ใจแตกกันพอดี” อาศิรพิษพูดไม่ผิด เธอเป็นแฝดผู้พี่ของอาศิรวิษซึ่งใส่ชุดผู้หญิงที่กำลังเล่นขายของกับพวกผู้หญิงอยู่ตรงโน่นและ ใช่ นั่นคือเด็กผู้ชาย
“นายนี่หน่วยก้านดีไม่ใช่เล่นนะ ถ้าต่อไปอยากจะทำงานที่เกี่ยวกับพวกใช้กำลังน่าจะไปได้สวย”
“อ๋อ คือแบบนี้นะ ฉันน่ะ แม่บุษไม่ได้เป็นคนเลี้ยงมาหรอก แต่เป็นแม่เกดที่เป็นน้องสาวของพ่อ แม่เกดโหดใช้ได้เลย แถมเก่งเรื่องการต่อสู้ทุกชนิด พ่อเสือที่ว่าเก่งยังแพ้แม่เกดเลยอย่าว่าแต่พ่อเสือเลย พ่อโอมก็สิ้นฤทธิ์เพราะแม่เกดนี่ล่ะ”
“นายคงจะชอบเรื่องพวกนี้มากสินะ”
“ก็ไม่เท่าไรหรอก บางวันเห็นแม่เกดซ้อมพ่อโอมจนลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้เป็นวันๆ เลยไม่รู้เขาซ้อมกันอีท่าไหน” ต่างคนต่างพูดกันคนละเรื่องคนละราว แตกเรื่องกันไกลสุดกู่
“ไอ้ยุ่น นายว่าอย่างฉันพอจะเป็นผู้หญิงได้ไหม?” พูดไปพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ตัวเองด้วย
“ได้สิ อย่างนายน่าจะเป็นนักมวยทีมชาติได้เลยนะ” กินไซพูดจบแล้วก็ลูบหัวของอาศิรพิษเป็นเชิงให้กำลังใจ
“จริงเหรอ นายว่าฉันดูเป็นผู้หญิงจริงๆ นะ แต่จะมีใครมาสนใจผู้หญิงแบบฉันกันล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงนะไม่ใช่ทอม ฉันก็อยากมีแฟนใส่ชุดแต่งงานมีลูกที่น่ารักเหมือนคนอื่นเค้า แต่อาจจะไม่มีใครมาสนผู้หญิงแบบฉัน” อาศิรพิษพูดอย่างแก่แดดแก่ลม
“อย่าคิดมากไปเลย ถ้านายพยายามให้มากพอฉันว่านายต้องทำได้แน่ๆ” กินไซยิ้มแล้วพูดปลอบใจก่อนจะยกมือขึ้นไปจับที่หัวไหล่แล้วตบเบาๆ
“นายก็พูดง่าย นายลองมาเป็นแฟนกับฉันไหมเล่า?”
“ได้สิ” กินไซคิดว่าอาศิรพิษถามเรื่องเดิมจึงพยักหน้าตอบกลับอย่างให้กำลังใจ อีกฝ่ายเห็นเขาพยักหน้าก็มีท่าทีดีใจเสียยกใหญ่
“เฮ้ย...จริงนะ พูดแล้วห้ามคืนคำ แต่ขอจูบมัดจำไว้ก่อนได้ไหม” อาศิรพิษส่งสายตาเป็นประกายปิ๊งๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
กินไซงงที่เห็นอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้าหาแต่ไม่ทันได้คิดอะไร ก็โดนจูบที่ริมฝีปากเข้าทันทีด้วยความตกใจจึงหงายหลังนอนลงไปที่พื้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อาศิรพิษล้มไปทับทันทีแต่ฝ่ามือกลับวางไปบนเป้ากางเกงของกินไซอย่างเหมาะเจาะ ทั้งสองคนจึงอยู่ในสภาพนอนทาบทับกันสนิทชิดเนื้อแนบเนื้อ เหงื่อแทบจะไหลมามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
กินไซตาลุกโพลงอย่างตกใจก่อนจะผลักอีกฝ่ายออก แล้ววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตกลับไปหาบิดามารดาและน้องสาว ส่วนอาศิรพิษที่โดนผลักก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วส่งเสียงเรียกตามหลังไปว่า
“สัญญาแล้วนะ ถ้าฉันโตขึ้นเป็นสาวเมื่อไหร่ ฉันจะไปทวงสัญญาถึงที่เลยนะ”
อาศิรพิษถอนหายใจหลังจากทบทวนความทรงจำที่แสนหวานชื่นในวัยเด็กจบ ดวงตาค่อยๆ ผ่อนลงทีละน้อย สองมือทาบขึ้นที่หน้าอกข้างซ้ายที่กำลังเต้นแรง หญิงสาวคิดไม่ออกว่าถ้าตนเองได้เจอหน้าผู้ชายคนนั้นจริงๆ แล้วจะเป็นยังไงหัวใจจะออกมาเต้นที่ด้านนอกเลยหรือไม่ คนส่วนใหญ่จะมองว่าเธอเป็นทอมบอยเพราะลักษณะท่าทางการแสดงออกนั้นค่อนข้างแตกต่างจากหญิงสาวปกติทั่วไป
ไหนจะงานอดิเรกห่ามๆ อย่าง ชกมวยต่อยตีกับคนอื่น รวมไปถึงการต่อสู้ทุกชนิดที่อาศิรวิษเชี่ยวชาญมากที่สุด อย่าได้ถามถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับพวกผู้หญิงเลยเพราะเธอไม่รู้จักสักนิด เสื้อผ้าการแต่งการก็เลือกแบบเอาสบายเข้าว่า เสื้อยืดกางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ ทรงผมซอยสั้นเสมอไหล่ ใบหน้าแทบไม่เคยโดนแป้งปะหน้า เรียกได้ว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับการเป็นผู้หญิง
ผิดกับอาศิรวิษน้องชายอย่างลิบลับ เจ้าน้องชายตัวดี กรีดกรายราวกับสาวน้อย แต่งตัวแต่งกายก็สวยงาม ถึงจะใส่กางเกงแต่กลับดูเหมือนผู้หญิงมากกว่า แต่ตนเองก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าน้องชายถึงต้องทำตัวอย่างนี้นี้ อาศิรพิษลืมตาแล้วหันไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยกลุ่มเมฆหมอกหนาทึบ จนไม่มองเห็นเบื้องล่าง แล้วยิ้มอย่างให้กำลังใจตัวเอง ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร แม้จะเคยเห็นจากโทรทัศน์บ่อยๆ ก็ตามยังไงก็เป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย แต่ถึงยังไงเราก็ต้องไปตามหา ‘คนๆ นั้น’ ให้ได้

ย่านกินซ่า ประเทศญี่ปุ่น
บรรยากาศรอบๆ กินซ่ายังคงเป็นเหมือนทุกเมื่อเชื่อวัน สองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าและและคลับบาร์มากมาย ใครๆ ก็รู้ว่าผู้มีอิทธิพลพลในย่านนี้จะไปใครไปไม่ได้นอกจาก ฟูจิวาระ เก็นจิ มาเฟียใต้ดินชื่อดังไม่มีใครกล้าหือ ไม่มีใครกล้าขัดขวางการทำงานของคนๆ นี้ ถ้าไม่อยากจะพบจุดจบอันน่าสยดสยอง แถมยังมีข่าวลืออีกว่า เจ้าพ่อมาเฟียใต้ดินคนนี้มีเบื้องหลังที่น่าตกตะลึง เพราะเป็นลูกชายของอดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ฟูจิวาระ เก็นโซ ซึ่งสละตำแหน่งนายกไปเมื่อหลายปีก่อนเพื่อเปิดทางให้ลูกเขยซึ่งเป็นผู้สืบทอดให้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ซึ่งในตอนนี้ คาซึยะ คาเมะ ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนผิดหวังแม้แต่นิดเดียว เพราะสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นั่นทำให้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิดสำหรับที่นี่ แต่สิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปในไม่ช้านี้ก็คือ การสืบทอดตำแหน่งเจ้าพ่อมาเฟียใต้ดิน ซึ่งมีความตั้งใจจะปลดระวางตนเองไปเที่ยวรอบโลกกับภรรยา ทำให้เรื่องยุ่งยากวุ่นวายเกิดขึ้นกับเขา ลูกชายบุญธรรมที่ทั้งสองคนเก็บมาเลี้ยงจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก แถมยังมอบชื่อและนามสกุลให้ในฐานะลูกชายอีกด้วย ทำให้ ฟูจิวาระ กินไซ ซาบซึ้งและรักใคร่ทั้งสองคนมากยิ่ง แม้ทั้งสองคนจะไม่ใช่บิดาและมารดาที่แท้จริงของชายหนุ่มก็ตาม
กินไซเกิดมาเพียบพร้อมด้วยความรักและความเข้มแข็งที่ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงทำให้เขาอยากจะทดแทนบุญคุณของท่านทั้งสองด้วยการรับสืบทอดตำแหน่งช่วยดูแลแหล่งการค้าย่านกินซ่าเพื่อเป็นการตอบแทน แต่มันขึ้นอยู่กับการพิสูจน์ผลงาน ดังนั้นหมู่นี้เขาจึงทุ่มเทกับการทำงานเป็นอย่างมากเพื่อเสริมสร้างบารมีให้ตนเอง โชคดีที่ยังมีอาจารย์จิน คอยช่วยเหลือเรื่องกำลัง แต่ท่านก็คิดจะล้างมือจากวงการนี้แล้ว ชายหนุ่มจึงร้อนใจเป็นอย่างมาก เพราะจะหามือขวาที่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้แบบอาจารย์จินได้ที่ไหน
เท่าที่จำได้เมื่อสมัยก่อนบิดามีทั้งมือขวาที่เก่งกาจอย่างหาตัวจับได้ยากอย่างอาจารย์จิน ในเรื่องพละกำลัง และมือซ้ายอย่างอาจารย์คาเมะ ซึ่งเป็นมันสมองที่เก่งกาจ ใช่ อาจารย์คาเมะ หรือ นายกรัฐมนตรีคาซึยะ คาเมะ เป็นคนๆ เดียวกัน ตอนเขารู้ก็เกิดความประหลาดใจไม่ใช่น้อย ใครจะคิดว่าท่านนายกที่เป็นเบื้องหน้าผู้ควบคุมเคลื่อนไหวความเป็นไปของญี่ปุ่นจะเคยเป็นลูกน้องมาเฟียใต้ดินมาก่อน
กินไซเองก็เคยได้ร่ำเรียนวิชาความรู้จากอาจารย์คาเมะเมื่อสมัยยังเด็ก เขายังต้องยอมแพ้ให้กับความอัจฉริยะของท่านผู้นั้นเลย เป็นการยากจริงๆ ที่จะหาใครที่มีความสามารถเทียบเท่า แต่เท่าที่เขามีก็ถือว่าชาญฉลาดไม่แพ้ใครเช่นกัน ชายหนุ่มยิ้มออกมาได้เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทอย่าง ทาคาอิ เรียวซึเกะ
เรียวซึเกะเป็นมันสมองคนสำคัญที่เขามี คนๆ นี้เก่งและฉลาดอย่างหาตัวจับยาก กินไซเองก็ยอมศิโรราบให้ แต่ถ้าพูดถึงการต่อสู้แล้วยังหาไม่พบเลยว่าใครจะสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสี แต่ถึงไม่มีก็คงไม่มีความจำเป็นเท่าไหร่ ค่อยๆ หากันต่อไปไม่ต้องรีบร้อน เพราะลูกน้องของเขาทุกคนต้องมาดแมนสมชายไม่เลาะแหละอ่อนแอปวกเปียกเหมือนพวกผู้ชายเบี่ยงเบน ที่ชายหนุ่มเคยเจอแล้วเกิดเป็นความทรงจำฝังใจ
“เฮ้ย...ทำไมต้องกลับไปคิดเรื่องนั้นด้วยวะ” กินไซโมโหจนเผลอเหวี่ยงมือไปกระแทกกับประตูรถทันทีอย่างแรง ทำให้คนทั้งรถสะดุ้งว่าเกิดอะไรขึ้น เขากัดฟันอย่างเคียดแค้นทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
“หวังว่านายคงจะไม่ได้คิดเรื่องวัยเด็กที่แสนประทับใจของนายหรอกนะ เพราะฉันรู้สึกสยดสยองทุกครั้งที่ได้ยิน” เรียวซึเกะ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหน้าตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใด
“เรียว แกไม่มีทางเข้าใจถึงความรู้สึกของฉันหรอก รู้ไหม ว่ามันน่าขยะแขยงขนาดไหน แค่คิดก็...โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว ฉันอยากจะอ้วก จอดรถๆ ฉันบอกให้จอด หูหนวกหรือยังไง ให้ฉันช่วยให้มันหายดีไหม จอดๆ” กินไซโวยวาย พนักงานขับรถร้อนรนเพราะอยู่กลางทางกว่าจะเบี่ยงมาริมได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก
กินไซรีบเปิดประตุแล้วพุ่งออกไปจากตัวรถก่อนที่รถจะจอดสนิท ชายหนุ่มยืนโก่งคออาเจียนอีกมือพิงต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง แต่ได้อะไรบางอย่างที่ไม่สบอารมณ์เข้าจึงเงยหน้ามองเพราะมีคนกำลังหัวเราะเยอะเขาว่า ‘ผู้ชายอะไรอ้วกแตก สงสัยว่าจะเป็นแต๋ว’ ชายหนุ่มถลาเข้าไปกระชากคอแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ทันทีจนกระทั่งชายคนนั้นหมอบแทบเท้า ส่วนเพื่อนอีกคนก็วิ่งหนีไปทันทีเพราะความกลัว เขาตะโกนก้องใส่ร่างที่นอนด้วยอาการนอนจมกองเลือดว่า
“กู ฟูจิวาระ กินไซ เป็นชายทั้งแท่ง โว้ย..”



นีรนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2555, 15:00:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2555, 15:00:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1525





   บุพเพอาละวาด(100%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account