ลวงเธอให้เผลอรัก
เธอ เอ๋...หรือจะเรียกว่าเขาดี มาตามหารักครั้งแรกไกลถึงประเทศญี่ปุ่น เพราะเขาคนนั้นคือจูบแรกของเธอ โดยการปลอมตัวเป็นผู้ชาย(ต้องปลอมด้วยเหรอ) เพื่อจะได้ใช้รูปร่างร่างอันแสนยั่วยวนด้วยสัดส่วนซึ่งสมบรูณ์แบบเกินห้ามใจ อก 30(นั่นอกคนหรือว่าไม้กระดาน แบนสนิทศิษย์ส่ายหน้า) เอว 24 สะโพก 32 สูงร้อยกว่าๆ ชอบม้าๆ(งู ไม่ใช่ม้า)


Tags: โรแมนติค คอมเมดี้

ตอน: บุพเพอาละวาด(100%)

บุพเพอาละวาด

ทันทีที่เครื่องบินลงจอดยังสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น อาศิรพิษก็รีบปลุกน้องชายที่ยังสะลึมสะลือ แล้วทั้งสองคนก็ลากกระเป๋ามายืนทำหน้าเหรอหราอยู่หน้าอาคารพักผู้โดยสาร หลังจากเพิ่งผ่านความยุ่งยากตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองมาอย่างยากลำบากแถมยุ่งยากจนถึงที่สุด เนื่องจากน้องชายตัวดีของเธอโดนซักประวัติอย่างหนักหน่วง เพราะเจ้าหน้าที่กลัวว่าเขาจะเข้ามาค้าประเวณี โดยไม่สนใจผู้หญิงที่แท้จริงอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย จนชายหนุ่มต้องเลิกเสื้อยืดขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้ชายจริงๆ
เจ้าหน้าที่ทุกคนหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ก่อนจะเหยียดสายตามาที่เธออย่างประณามว่าหน้าตารูปร่างแบบนี้วางใจได้อยู่แล้ว ต่อให้เข้ามาค้าบริการจริงๆ ก็ไม่มีแขกเรียกแน่ๆ ทำให้กว่าจะผ่านเข้ามาได้หญิงสาวก็เกือบจะวางมวยกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วเพราะความโมโหที่โดนดูถูก อาศิรวิษรีบเข้ามาห้ามทัพแล้วรีบขอโทษขอโพยทุกคนแทนพี่สาวและรีบลากเธอออกมาจากจุดเกิดเหตุเสียก่อนจะมีการนองเลือด
แต่ปัญหามันไม่อยู่ตรงนั้นเพราะทั้งสองคนไม่รู้จะไปไหน แล้วชายหนุ่มที่เป็น ‘รักแรก’ นั้นอยู่ตรงไหนของประเทศนี้ ทั้งสองคนมืดแปดด้าน สถานที่ซึ่งไม่รู้จัก ภาษาพูดที่ฟังไม่เข้าใจ เซๆ กูๆ มาๆ อะไรไม่รู้ แล้วจะมีคนพูดภาษาอังกฤษหรือไทยได้สักกี่คนกันเชียว
“เอายังไงดี งูเขียว เราจะไปไหนกันก่อน กระดิ่งว่าเราไปหาที่พักกันก่อนดีกว่า แล้วจะเอายังไงค่อยว่ากันดีไหม” อาศิรวิษพยายามถามและแนะนำหนทางไปด้วย
“อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ ไปเหอะ จะดาบหน้าหรือดาบไหนเราก็ตายพร้อมกัน” อาศิรพิษพยักหน้าให้น้องชาย
“ว้าย...ไม่เอา แกอยากจะตายก็ตายไปคนเดียวสิยะ เรื่องอะไรจะต้องมาลากฉันเข้าไปด้วยกัน” อาศิรวิษรีบโวยวาย
“มันเป็นคำคมเว้ย...ไม่รู้อะไรเงียบไปเลยดีกว่า ฉันหมายถึงเราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันที่นี่ กระดิ่งแกสัญญาสิว่าไม่ว่ายังไงแกต้องช่วยให้พี่สาวคนนี้ได้สามีสมใจ”
“เออ...ฉันสัญญาว่าจะช่วยก็ต้องช่วยอย่างเต็มที่อยู่แล้ว แต่เรื่องจะได้สามีมาครอบครองไหมนั่นอีกเรื่อง ของแบบนี้บุญพาวาสนาส่งก็พอจะได้คู่กัน แต่อย่างแกต้องเรียกว่าพึ่งแค่วาสนาคงไม่พอน่าจะเสริมพวกคุณไสยเข้าไปด้วยถ้าจะให้ดี ผ่าตัดเปลี่ยนหัวกับฉันดีกว่า ทุกอย่างจะได้ราบรื่นเรียบง่ายยิ่งกว่าแพรไหม จริงไหม” อาศิรวิษโฆษณาคุณภาพหน้าตาของตัวเองอย่างออกนอกหน้า จนพี่สาวหันหน้ามาเข่นเคี้ยวอย่างหมั่นไส้
“ปากไม่มีหูรูด ยังไงฉันกับเขาก็เป็นบุพสันนิวาสของกันและกันแน่ๆ ไม่จำเป็นต้องทำคุณไสยใดๆ ทั้งนั้นแหละ” อาศิรพิษแหว พร้อมทั้งส่งสายตาพิฆาตให้น้องชาย
“ใช่ๆ เหมาะกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุ เลยล่ะ” อาศิรพิษยังไม่วายหยอกล้อ
“นังกระดิ่งนี่ เดี๋ยวเหอะ...” อาศิรพิษยกมือขึ้นหมายจะฟาดใส่น้องชายแต่ได้ยินเสียเรียกชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษเสียก่อน จึงหันไปมองอย่างงุนงงเพราะจะมีใครรู้จักเธอได้
ทั้งสองคนจึงหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา ใบหน้าของเธอช่างคุ้นตาเสียเหลือเกินแม้ว่าจะดูอ่อนใสแต่ก็เป็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุใกล้ๆ กับมารดาของตัวเอง และเมื่อพอพิจารณาดีๆ แล้วคนๆ นี้น่าจะเป็น
“น้าพลอย” อาศิรวิษพูดออกมาก่อน
อาศิรพิษจึงถึงบางอ้อว่าคนผู้นี้ก็คือแม่สามีในอนาคตของตนเองนี่นา จึงรีบยิ้มให้อย่างดีใจ ก่อนจะรับลดมือที่เพิ่งคิดจะเหวี่ยงใส่น้องชายลงแล้วเริ่มบิดไปมาเหมือนไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหน เพราะรู้สึกขัดเขินเมื่อต้องมาเจอว่าที่แม่สามีของตัวเองในตอนนี้ ซึ่งยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย
“เด็กๆ โชคดีจริงๆ ที่น้ามาทัน พ่อกับแม่ของเราเพิ่งโทรมาหา น้าเองยังงงๆ ว่าทั้งสองคนจะมาเที่ยวญี่ปุ่นทำไมไม่บอกล่วงหน้าก่อน มาแบบกะทันหันแบบนี้น้าแทบไม่มีเวลาเตรียมการอะไรเลย” ปิยรัตน์หายใจหอบพร้อมๆ กับแสดงความเป็นห่วงทั้งสองคน แม้จะรีบมาอย่างเร่งร้อนและน่าจะเหนื่อยมากแต่ก็ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าที่ดูสวยอยู่เช่นเดิม
ทั้งอาศิรพิษและอาศิรวิษต่างพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีทั้งสองคน ยินดีตอนรับสู่แดนอาทิตย์อุทัย แล้วยังไงกันนี่ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วสินะ โอ้ เฮบิงูเขียวของน้าโตขึ้นเป็นสาวน่ารักน่าทะนุถนอมมากๆ เลยนะเนี่ย” ปิยรัตน์พูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดร่างของอาศิรวิษเอาไว้
อาศิรพิษหน้าเหวอเพราะมั่นใจแล้วว่าปิยรัตน์กำลังเข้าใจผิดว่าอาศิรวิษคือเธอ แถมน้องชายตัวแสบก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ยว่าไม่มีใครเห็นว่าเธอคือผู้หญิง
ปิยรัตน์คลายอ้อมกอดแล้วหันหน้ามาอีกทาง พร้อมกับยิ้มแย้มอย่างใจดีก่อนจะใช้มือตบลงบนบ่าของอาศิรพิษเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“เฮบิ โตขึ้นเป็นผู้ชายที่มาดแมนเหมือนพ่อจริงๆ เลย พี่เสือคงจะภูมิใจมากที่ได้ลูกชายที่เข้มแข็งสมชายแบบเรา สงสัยเรานี่จะมีผู้หญิงมาติดพันเยอะแยะสินะ” ปิยรัตน์พูดพร่ำไปเรื่อยโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าเหมือนจะจมน้ำตาย เพราะความอับอาย
“เอ่อ...คือว่า..คือจริงๆ แล้ว...” อาศิรพิษพยายามจะพูดความจริงแต่ปิยรัตน์ก็พูดขัดขึ้นอีก
“สงสัยเราสองคนจะพูดไม่เก่ง หรือไม่ก็น้าคงจะพูดมากเกินไป เดินทางมาคงจะเหนื่อยมาก ไปๆ เดี๋ยวน้าจะพาไปที่บ้าน” ปิยรัตน์พูดเองเออเองแล้วจับมือทั้งสองคนเอาไว้แล้วพาเดินออกไปจากสนามบิน
ตรงด้านหน้ามีรถลีมูซีนคันยาวสีดำสนิทจอดอยู่ทันทีที่เดินมาถึงพนักงานขับรถก็รีบเปิดประตูให้ ปิยรัตน์หันมาพยักหน้าให้ทั้งสองคนก่อนจะก้าวขึ้นไป และกวักมือเรียกให้สองพี่น้องขึ้นมานั่งบนรถด้วยกัน ซึ่งอาศิรพิษกับอาอาศิรวิษก็ทำตามโดยดี
ตลอดการเดินทางปิยรัตน์ถามถึงความเป็นไปที่เมืองไทยไม่มีหยุด จนทั้งสองคนไม่มีโอกาสได้อธิบายว่าใครคือผู้หญิงและใครคือผู้ชาย อาศิรพิษเริ่มอารมณ์ขุ่นมัว เพราะท่าทีรื่นเริงจนเกินกว่าเหตุของน้องชายตัวดี
“แหม เฮบิงูเขียวนี่สวยจริงๆ ยิ่งมองดูใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นว่าหน้าตาเรียบเนียน ดูสิ ผิวพรรณก็เนียนละเอียด นี่ถ้ากินไซได้เห็นคงจะตะลึงทีเดียว พี่ชายเขาชอบผู้หญิงอ่อนโยนเรียบร้อย บอบบาง เพราะเขาชอบปกป้องคุ้มครองผู้หญิงที่ตัวเองรัก ลูกชายของน้าคนนี้มาดแมนสมชายเหมือนกับเฮบิกระดิ่งเลยล่ะจ๊ะ”
อาศิรพิษอยากจะบ้า เธอต่างหากที่เป็นผู้หญิงจะปล่อยให้เข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมีหวัง อาศิรวิษน้องชายอาจจะถูกจับแต่งงานกับผู้ชายตัวเองรักเป็นแน่
“เอ่อ...คุณน้า คือความจริงแล้ว หนูคือ...” อาศิรพิษกำลังจะพูดต่อแต่ก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด
“อะไรเหรอจ๊ะ กระดิ่ง อ๋อ กระดิ่งเก่งการต่อสู้ใช่ไหม ดีแล้วล่ะ จะได้เข้ากันได้ กินไซนะ เขาเกลียดพวกผู้ชายที่ทำตัวเลาะแหละ อ่อนแอปวกเปียก เขาคิดว่าเป็นผู้ชายก็ต้องทำตัวให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย อีกอย่างนึง กินไซเขารังเกียจพวก ‘ลักเพศ’ ที่สุดเลยล่ะจ๊ะ เห็นว่าถ้าเห็นที่ไหนกินไซจับกระทืบเสียปางตาย เป็นผู้ชายก็ต้องทำตัวเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็ต้องงดงามน่ารัก ทั้งสองคนว่าถูกต้องไหมจ๊ะ” ปิยรัตน์ถามทั้งสองด้วยสีหน้าที่คาดหวังแบบสุดๆ
อาศิรพิษหันไปมองอาศิรวิษเหมือนจะถามความเห็น เจ้าน้องชายตัวดีพยักหน้าอย่างสยองขวัญ ใบหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษขาว ส่วนเธอก็ได้กลืนน้ำลายลงคอแล้วค่อยๆ พยักหน้าลงตอบรับคำพูดของปิยรัตน์ทันที
“แล้วทำไมพี่กินไซถึงได้เกลียดพวกนั้น ขนาดนี้ล่ะคะ” อาศิรวิษดัดเสียงและรวบรวมความกล้าถามขึ้น
“อ๋อ ได้ยินว่า เขามีความทรงจำวัยเด็กที่เลวร้ายนะจ๊ะ เหมือนว่าเขาจะโดนเด็กผู้ชายจับของรักของหวงแถมยังโดนจูบปากอีกด้วย มันก็น่าจะผูกใจเจ็บแค้นเหมือนกันนะ ศักดิ์ศรีของชายหนุ่มโดนทำลายย่อยยับเพราะกะเทยหัวเกรียน เห็นกินไซตั้งปณิธานเอาไว้เลยล่ะจ๊ะ ว่าถ้าเจอตัวที่ไหน เขาจะจับมาแหล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาผึ่งแดดให้แร้งกากิน โหดร้ายใช้ได้เลยนะจ๊ะ ลูกชายน้า อูย...น้าพูดอะไรออกไปกัน เฮบิงูเขียวคงจะกลัวมากเลยสินะ อ๋อ..แล้วเมื่อสักครู่กระดิ่งจะบอกอะไรน้านะจ๊ะ” ปิยรัตน์หันมาถามใหม่อีกครั้งอย่างคาดหวังว่าหลานทั้งสองจะมีปฏิกิริยาตอบรับบ้าง
“คะ...เอ่อ ไม่มีอะไรครับ” อาศิรพิษรีบตอบรับแถมยังทำน้ำเสียงห้าวหาญอย่างชายเต็มตัว
“ค่ะ น้าพลอย” อาศิรวิษยิ้มหวานหยดพร้อมกับพยักหน้ารับอย่างอ่อนหวาน แถมยังกระพริบตาปริบๆ ให้อีกด้วย
“อย่างนั้นสิจ๊ะ อ้าว...ถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวน้าพลอยจะแนะนำให้เฮบิงูเขียวรู้จักกับกินไซนะจ๊ะ”
“เดี๋ยวคะ น้าพลอย คืออย่างนี้นะคะ พวกเราคือแบบว่า คือ พวกเราไม่อยากให้น้าพลอยบอกใครว่าเราเป็นหลานของน้าที่อยู่เมืองไทย ทำเป็นว่าเราสองคนเป็นแค่คนที่รู้จักห่างๆ กันแบบแทบจะไม่สนิทชิดเชื้ออะไร เพราะว่าพวกเรามาทำภารกิจลับนะคะ” อาศิรวิษโผล่งออกไปแบบไม่ทันได้คิด นึกได้เพียงแต่ว่า ถ้ากินไซจำได้ว่าคนๆ นั้นคือใครมีหวังตายแน่นอน แถมยังเป็นห่วงสวัสดิ์ภาพของตัวเองด้วยจึงพูดออกไปแบบนั้น
“ภารกิจลับ?/ภารกิจอะไรวะ” ทั้งปิยรัตน์และอาศิรพิษร้องออกมาภาษาแต่ก็พูดพร้อมๆ กัน
“เอ่อ...แหม งูเขียว..เอ๊ย ไม่ใช่กระดิ่งก็ ภารกิจตามหาชายคนรักของงูเขียวยังไงล่ะ แต่ที่ต้องเป็นความลับก็เพราะฐานะของผู้ชายคนนั้นไม่อาจพูดถึงได้ มันเป็นความลับแบบเวรี่ๆท็อปซีเคร็ทยังไงเล่า”
“อ่า..ใช่ๆ ครับ มันเป็นเรื่องที่พูดถึงไม่ได้ ลับสุดยอด” อาศิรพิษเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าภารกิจของน้องชาย
“อย่างนั้นหรอกเหรอจ๊ะ แหม...ที่แท้แล้วงูเขียวก็มีคนรักแล้วนี่เอง น่าเสียดายแทนกินไซเหลือเกิน น้าพลอยไม่น่ามาเจอหลานๆ ตอนนี้เลย อย่างนี้เขาถึงได้บอกว่า ได้พบไม้งามเมื่อขวานบิ่น รู้อย่างนี้น้าน่าจะขอหมั้นงูเขียวเอาไว้ตั้งแต่เล็กๆ น่าเสียดายจริงๆ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอจ๊ะ” ปิยรัตน์ถามอย่างคาดหวัง
“เอ่อ เขาคือ...มันเป็นความลับยังไงคะ บอกใครไม่ได้ เวรี่ๆ ท็อปซีเคร็ท ฮ่าๆ” อาศิรวิษเริ่มลำบากใจกับคำตอบข้างๆ คูๆ ของตัวเอง โชคช่วยที่ปิยรัตน์ไม่ได้สงสัยอะไรนักเรื่องจึงผ่านไปได้อย่างง่ายๆ
ทั้งหมดลงจากรถทันทีก่อนจะมองเห็นบ้านขนาดใหญ่ที่มีขนาดกว้างขวางกว่าบ้านที่อยู่ชิดติดกัน แม้จะไม่ใหญ่ถึงขนาดเรียกว่าคฤหาสน์ได้แต่ก็บ้านระดับนี้ก็ราคาแพงมหาศาลสำหรับประเทศที่มีราคาที่ดินแพงเสียยิ่งกว่าทอง
อาศิรพิษแอบกระซิบกับอาศิรวิษอย่างแผ่วเบา
“เราจะเอายังดี ถ้าว่าที่สามีของฉันรู้ว่าฉันเป็นคนในความทรงจำอันเลวร้ายของเขา ฉันมีหวังตายหยังเขียดแน่ๆ”
“นั่นสิ แกตายคนเดียวไม่พอยังจะลากฉันมาตายด้วย ถ้าฉันรู้ว่ามันจะยุ่งขนาดนี้ หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่มีวันจะตามมาแน่ๆ อา...ฉันคิดถึงพีชจริงๆ ฉันอยากกลับเมืองไทย”
“อ้าว คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ เด็กๆ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ สงสัยทุกคนจะกลับมาพร้อมหน้ากันแล้วล่ะ” ปิยรัตน์สั่งให้พ่อบ้านยกกระเป๋าของทั้งสองคนเข้าไป ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปข้างในเช่นกัน
อาศิรพิษกับอาศิรวิษหันมามองหน้ากันอย่างหวาดหวั่นแล้วกระโดดกอดกันแน่น ราวกับกำลังจะโดนประหารชีวิตถ้าเดินเข้าไปในบ้าน แต่พอได้ยินเสียงของปิยรัตน์เรียกอีกครั้งทั้งคู่จึงพยายามเรียกความกล้า แล้วตามไปอย่างหวั่นวิตก
ภายในบ้านหลังใหญ่นั้นตกแต่งด้วยสีพื้นๆ อย่างสีดำสีขาวและสีเทาเป็นหลักแต่น่าแปลกที่มันกลับไม่ดูอ้างว้างราบเรียบเหมือนบ้านทั่วไป เพราะรูปถ่ายของครอบครัวมีวางอยู่เต็มไปหมดแถมยังเลยขึ้นไปบนผนังด้วย ช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ อาศิรพิษพยายามจ้องมองรูปเหล่านั้นจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะมีแต่รูปของปิยรัตน์และผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาซึ่งดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่กับเด็กสาวเต็มไปหมด แต่มองไม่เห็นผู้ชายคนที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดเลย เพราะตนเองจำหน้าตาของเขาได้ดีจากรูปถ่ายที่ปิยรัตน์ส่งกลับมาให้ดูเมื่อหลายปีก่อนได้ดี
แต่พอเดินเข้าไปยังห้องรับแขกก็เห็นรูปที่ตัวเองมองหาทันที เพราะมันเป็นรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่มีบุคคลอยู่ในรูปสี่คน ก่อนเธอจะได้พินิจพิเคราะห์รูปของเขาได้อย่างถนัดถนี่ก็ถูกเรียกทันที
“คะ น้าพลอย” อาศิรพิษเพิ่งจะสำเนียกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะพ่นอะไรออกไป เพราะคนที่ปิยรัตน์ต้องการเรียกในตอนนี้ก็คือเธอในร่างของน้องชาย
“เอ่อ ขา น้าพลอย งูเขียวอยู่นี่ค่ะ” อาศิรวิษรีบกรีดกรายเข้าไปหาน้าสาว
“อ๋อ..จ้า กระดิ่งก็มาด้วยสิ เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จักอาเก็นจิกับมิโอะ” ปิยรัตน์กวักมือทั้งสองคนเข้ามาหา แล้วดึงมือของอาศิรวิษไปกุมไว้
“เชอะ ผู้หญิง เฮ้อ...คุณแม่คงจะหาผู้หญิงมาให้พี่ชายอีกแล้วล่ะสิ ก็บอกแล้วไงคะ ว่าพี่ชายไม่มีทางชอบใครนอกจากมิโอะแน่ๆ” มิโอะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วปรายตามองคนที่อยู่ข้างๆ มารดาก่อนจะตะลึงในความสวยใสที่แม้แต่สาวน้อยอย่างเธอยังต้องอาย แถมดูนั่นเวลายิ้มแล้วเหมือนกับดอกซากุระกำลังบานเห็นแล้วมันน่าโมโห หญิงสาวกำลังเบือนหน้าหนีแต่บังเอิญไปเห็นใครอีกคนที่เดินแทรกเข้ามาใกล้ๆ มารดาอีกคน หน้าตาดูค่อนข้างคล้ายกับคนเมื่อสักครู่ แต่ดูหล่อเหลารูปร่างเพรียวบางตามเทรนด์นักร้องเกาหลีอย่างที่ตัวเองกำลังแอบปลื้ม
“แม่คะ แล้วคนๆ นี้เป็นใครล่ะคะ” มิโอะ ถามน้ำเสียงสดใส นิ้วมือชี้ไปที่คนที่เพิ่งเดินเข้ามา
“ทั้งสองคนเป็นญาติห่างๆ มากๆ ของแม่เองล่ะจ๊ะ คนนี้เฮบิงูเขียว” ปิยรัตน์แนะนำอาศิรวิษว่าเป็นผู้หญิงอีกครั้ง และหันไปทางอาศิรพิษแล้วแนะนำทันที “ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ชื่อ เฮบิหางกระดิ่ง พอทั้งสองคนมาเที่ยวที่นี่เลยจะมาอยู่บ้านเราสักพัก”
อาศิรพิษกับอาศิรวิษรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรออกไปไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดหรือจะพูดให้ถูกก็คือถึงจะพูดความจริงไปทุกคนก็ต้องไม่เชื่อจนต้องขอให้พิสูจน์อย่างที่ผ่านมาแน่ๆ และระหว่างที่เธอกำลังอ้ำอึ้งอยู่นั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องรับแขกด้วยเช่นกัน
ผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาใหม่รูปร่างสูงช่วงขาค่อนข้างยาว ถึงแม้จะอยู่ในชุดสูทแต่ก็มั่นใจว่าภายในชุดเรียบหรูนั้นน่าจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ชายหนุ่มโค้งเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“กลับมาแล้วครับ” กินไซเอ่ยทักทายบิดาและมารดาซึ่งทำเป็นประจำเมื่อกลับมาถึงบ้าน โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย
อาศิรพิษหัวใจเต้นแรงเพราะทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น ภาพแห่งความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายไหนจะสัญญารักที่เกี่ยวก้อยกันไว้หรือจะจุมพิตประทับคำรัก ล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กสาวซึ่งสวยราวกับดอกซากุระผลิบานและอ่อนหวานเหมือนดอกโบตั๋นในขณะนั้นหวั่นไหว เกิดเป็นรักแรกฝังใจอย่างยากจะลบเลือนไปจากหัวใจ เขาช่างไม่ผิดไปจากที่เคยเก็บเอาไปนอนฝันเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเหมือนเจ้าชายที่แสนอบอุ่นสุภาพและพร้อมจะอ้าแขนปกป้องคนรักจากภัยอันตรายตลอดกาล
“โอ้ พี่ชายกลับมาพอดี กระดิ่ง งูเขียว นี่คือลูกชายที่น้าสุดแสนจะภูมิใจ ฟูจิวาระ กินไซ เป็นยังไงจ๊ะ งูเขียวลูกชายน้าหล่อสู้คนรักที่หนูมาตามหาได้ไหม” ปิยรัตน์หันไปถามอาศิรวิษ จึงไม่ทันได้เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของอาศิรพิษ
กินไซหันกลับมาทางมารดาแล้วโค้งตัวอีกครั้งเป็นการทักทายแต่พอเงยหน้าขึ้นมาเจอใบหน้าของอาศิรพิษปฏิกิริยาก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยกลับเกิดประกายความโกรธเกรี้ยวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เส้นเลือดปูดขึ้นตรงข้างขมับเหมือนเจ็บแค้นอะไรหนักหนา ชายหนุ่มตรงเข้ามาแล้วเหวี่ยงหมัดใส่คนตรงหน้าทันแล้วตะโกนร้องออกมาอย่างโกรธแค้น
“แก ไอ้กะเทยวิปริต” กินไซเหวี่ยงหมัดเข้าใส่อย่างเต็มแรง แต่อีกฝ่ายกลับมีปฏิกิริยาตอบรับได้รวดเร็ว
อาศิรพิษยกการ์ดขึ้นรับหมัดของกินไซอย่างทันควัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่เคยชินสำหรับการต่อสู้ที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ทุกคนในห้องต่างตกตะลึงสิ่งที่เกิด แต่เขาไม่ยอมหยุดเพียงแค่นั้น ชายหนุ่มยังสวนกลับด้วยการชกช่วงล่าง หญิงสาวรู้แกวจึงยกเข่ากันอีก
“ฮึ่ม...” กินไซกัดฟันกรอด คิ้วขมวดจนผูกเป็นปม
“เดี๋ยวๆ หยุดก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ปิยรัตน์ร้องถาม
กินไซไม่สนใจรีบผละออกชั่วครู่ก่อนจะถีบใส่อาศิรพิษเต็มแรง แต่อีกฝ่ายจับข้อเท้าของเขาเอาไว้แล้วดึงเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียการทรงตัวล้มลงบนพื้น
“เฮ้ย...” กินไซโมโหตัวเองที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้แถมยังโดนตอกกลับจนอับอาย เขาพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้งแต่เสียงของบิดาที่นั่งมานานโดยไม่เอ่ยอะไรทำให้ต้องหยุดชะงัก
“หยุด! กินไซ ฉันว่าคนที่เป็นกะเทยมันน่าจะเป็นแกมากกว่านะ หาเรื่องคนอื่นก่อนทั้งๆ ที่ไม่ได้สอบถามให้แน่ใจถือว่าเป็น ผู้ชายที่ใช้ไม่ได้ ด่าคนอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคายทั้งๆ ที่ไม่มีสติ ถือว่าเป็นผู้ชายเลวทรามต่ำช้า แพ้แล้วไม่รู้จักแพ้ถือว่าเป็น ผู้ชายที่แย่ยิ่งกว่ากะเทย ลุกขึ้นแล้วขอโทษญาติของแม่แกซะ” เก็นจิพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ จนทุกคนภายในห้องพากันขนลุกไปกับพลังที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเกรงขามนั้น
“พ่อ...แต่ว่ามัน” กินไซทั้งโมโหทั้งโกรธแค้นเหลือจะกล่าว แถมยังโดนบิดาที่ตนเองนับถือดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง แม้ปกติเก็นจิจะไม่เคยพูดจาอ่อนโยนกับเขาแต่ก็ไม่เคยว่าแรงถึงขนาดนี้เลยสักครั้ง ชายหนุ่มหันไปมองต้นเหตุอย่างเคียดแค้นในใจ
“ฉันสั่งให้แกขอโทษ ถ้าเรื่องแค่นี้แกยังทำไม่ได้แล้วฉันจะวางใจให้แกดูแลกิจการทั้งหมดได้ยังไง คนที่รู้ตัวว่าทำผิดแล้วกล้าเอ่ยคำขอโทษถือว่าเป็นลูกผู้ชาย ฉันสอนแกมาแบบนั้นเสมอไม่ใช่เหรอ” เก็นจิพูดเรียบๆ แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าเอาจริง
กินไซกำหมัดจนแน่นก่อนจะพยายามลุกขึ้น แล้วยืนตรงต่อหน้าของอาศิรพิษดวงตาแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลงแต่มีท่าทีนิ่งเฉยมากกว่าเดิม เขาค่อยๆ ก้มศีรษะลงเพื่อเป็นขอโทษ
“เดี๋ยวๆ แม่ว่าพี่ชายต้องเขาใจอะไรผิดแน่ๆ ทำไมอยู่ๆ ถึงหาว่ากระดิ่งเขาเป็นกะเทยเล่าจ๊ะ น้องออกจากมาดแมนสมชายชาตรี ไม่เห็นมีท่าทีเหมือนพวกผู้ชายแต๋วแตกตรงไหนเลย” ปิยรัตน์ร้องถามยังสงสัย
“มัน...เอ่อ เขาคือคนที่อยู่ในความทรงอันเลวร้ายของผม” กินไซพูดอย่างเจ็บแค้นแต่พยายามไม่ใส่อารมณ์ในน้ำเสียงให้มากนัก
“ไม่ใช่ๆ แน่ๆ คุณจำคนผิดแล้ว พวกเรานึกไม่ออกว่าเจอคุณที่ไหน ใช่ไหมกระดิ่ง” อาศิรวิษรีบออกตัวเพราะกลัวเรื่องราวมันจะใหญ่โต แม้จะไม่รู้ว่าในตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่มันต้องเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากๆ เป็นแน่ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่อีกฝ่ายจะจำฝังใจขนาดนี้ แต่ยังไงก็ต้องช่วยให้พี่สาวรอดพ้นจากเรื่องครั้งนี้ไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่อาศิรพิษจะได้สามีเลยเราทั้งคู่จะเอาชีวิตรอดจากประเทศนี้ไปได้ไหมยังน่าเป็นกังวล
อาศิรพิษหันมองคนนั้นคนนี้ไม่หยุด เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงหรือพูดอะไรออกไปดี รู้แต่ว่าตอนนี้หัวใจที่เคยเต้นแรงเมื่อสักครู่นั้นมันเหือดหายไปหมดแล้ว ไฉนผู้ชายที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนราวเจ้าชายของเธอเมื่อครั้งเก่าถึงได้กลายชายหนุ่มที่มีจิตใจและปากร้ายราวกับอันธพาลไปได้ แถมยังลงมือรังแกผู้หญิงบอบบางไร้ทางสู้แบบเธออีกต่างหาก ทำเอาหญิงสาวเสียความรู้สึกไม่น้อย
“นาย ใช่คนที่เล่นกระสอบทรายอยู่ตรงท้ายป่าในเมืองไทยหรือไม่” กินไซเอ่ยถาม แม้จะไม่มั่นใจนักเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นขึ้นเขาก็พยายาม ทำทุกวิธีทางเพื่อให้ตนเองลืมเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้จงได้ ความทรงจำจึงเลอะๆ เลือนๆ จำได้แต่ช่วงที่โดนทารุณกรรมทางจิตใจเท่านั้น และคนตรงหน้าชายหนุ่มก็ทำให้ปากแผลมันสะกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้มั่นใจว่ามันจะต้องเป็นคนๆ นี้แน่ๆ จึงได้กระโจนเข้าไปทำร้าย
“กระสอบทราย? ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักนิด คุณ...เอ่อ...นายจำคนผิดแล้ว” อาศิรพิษพยายามพูดจาให้ฟังดูห้าวหาญเข้มแข็ง
“อย่างนั้นเหรอ แต่ฉันจำได้ว่าไอ้วิปริตนั่นมันเป็นญาติของแม่ ถ้าอย่างนั้น...แม่ครับ คนๆ นี้เป็นญาติที่เหลืออยู่ที่เมืองไทยใช่ไหมครับ” แต่คืออีกหนึ่งเรื่องที่ตัวเองจำได้จึงหันไปถามมารดาอย่างนอบน้อม
“อ๋อ...ไม่ใช่หรอกจ้า เป็นคนรู้จักผ่านทางคนรู้จักมาอีกที ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรเลย” ปิยรัตน์ตอบอย่างมั่นใจ
“เอ๊ะ เรื่องจริงเหรอครับแม่” กินไซไม่วายสงสัย
“จริงสิจ๊ะ แม่จะโกหกไปทำไมกัน” ปิยรัตน์พูดย้ำคำพูดตนเองอีกรอบ จนทำให้กินไซรู้สึกผิดขึ้นมาครามครันแต่ยังไงความรู้สึกสงสัยในตัวของอีกฝ่ายก็ยังไม่หมดสิ้นลงไปเสียเดียว
“ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอโทษด้วย ระหว่างที่นายอยู่ที่นี่ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ล่ะก็ขอให้บอกมาได้เลย ฉันจะช่วยเต็มกำลังแน่ๆ” กินไซก้มหัวลงอีกครั้งเพื่อแสดงถึงความเสียใจต่อความไร้มารยาทของตน
“เอ่อ..ไม่เป็นไร นายยังไม่ได้ทำอะไรฉันสักหน่อย เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอโทษหรอก” อาศิรพิษพยักหน้าแล้วรีบหันไปพูดภาษาไทยกับน้องชายอย่างรวดเร็ว “กระดิ่งฉันว่าเราไปจากที่นี้ก่อนจะโดนฆ่าหมกป่าดีกว่า อีกอย่างฉันว่า ‘รักแรก’ ของฉันมันคงจะเป็นจริงไม่ได้หรอก เจ้าชายของฉันกลายสภาพเป็นว่าที่ฆาตกรโรคจิตไปเสียแล้ว ฉันอาจจะเคยคิดว่าเราสองต่างเป็นบุเพสันนิวาสต่อกันแต่ดูเหมือนมันจะเป็นบุเพอาละวาดมากกว่า”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ฉันกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว” อาศิรวิษตอบรับก่อนจะทำท่าบิดไปบิดมาเหมือนเหมือนผู้หญิงเวลาที่หาห้องน้ำไม่เจอ
“ทำไมต้องพูดเป็นภาษาที่เราฟังไม่เข้าใจ?” กินไซถามเสียงเข้ม “พวกนายมีลับลมคมในอะไร หรือว่าแกคือ...” ชายหนุ่มทำท่าจะอาละวาดอีกรอบ
“ไม่ใช่ๆ นะ พวกเราอยากจะไปพักโรงแรมมากกว่า เพราะเกรงใจทุกคน พวกเราไม่ใช่คนที่นายคิดนะ”
“อ๋อ เช่นนั้นจะรีบไปไหนเล่า บ้านออกจะใหญ่โต อยู่ด้วยกันที่นี่นั่นแหละ” เก็นจิขยับเปิดหนังสือพิมพ์หน้าใหม่แล้วพูดขึ้น ด้วยเหตุแห่งเสียงที่ทรงอำนาจนั้นทำให้ไม่มีใครพูดแย้งอะไรอีกเลย
อาศิรพิษปวดหัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองต้องการแค่จะพบผู้ชายที่ตัวเองคิดมาตลอดว่าเป็นชายในฝัน ซึ่งคนในวันวานนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มาดแมน แสนอบอุ่น แต่ในตอนนี้กลับเป็นแค่ผู้ชายกักขฬะ ขี้โวยวาย เจ้าอารมณ์ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องดั้นด้นมาหาถึงญี่ปุ่นหรอก ดักจับสามีกลางตลาดแบบมารดาบุญธรรมยังน่าจะได้ดีกว่านี้อีก ระหว่างที่หญิงสาวกำลังคิดเรื่องที่น่าปวดหัวอยู่นั้น กินไซก็เดินเข้ามาใกล้แล้วตบฝ่ามือลงมาที่บ่าอย่างหนักหน่วง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“นายมีฝีมือใช้ได้ทีเดียว นายสนใจมาทำงานที่นี่ไหม โชคดีที่ฉันกำลังมองหาคนที่เก่งเรื่องการต่อสู้อยู่พอดี ว่าไง นายสนใจไหม?” กินไซถามอย่างคาดหวัง
“เอ่อ...ไม่ พอดีฉัน..เอ่อ..ผมมีกิจการที่ต้องกลับไปดูแล” อาศิรพิษพยายามพูดปฏิเสธ แต่โดนขัดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ
“น่าสนใจ แกฉลาดมากกิน ฉันรู้อยู่แล้วว่าสายตาของแกต้องมีแวว ไม่ใช่แค่เอาไว้มองดูเท่านั้น เท่าที่ฉันเห็นการต่อสู้เมื่อสักครู่ คนที่ล้มแกได้ไม่ใช่คนธรรมดา จริงไหม มันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว”
“อาจารย์จิน/จินซัง” ทั้งกินไซและปิยรัตน์พูดขึ้นพร้อมกัน ชายหนุ่มยิ้มอย่างมาดมั่นทันที ก่อนจะยกมือขึ้นที่ไหล่ของอาศิรพิษอีกข้างแล้วพูดขึ้นว่า
“ฉันต้องการนาย!” กินไซพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเต็มไปด้วยความคาดหวังจะได้ยินแต่คำว่าตกลง
อาศิรพิษไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกันแน่ เพิ่งจะเหยียบย่างเข้ามาญี่ปุ่นวันแรก ’รักแรก’ ที่แสนสยองก็สำเร็จลุล่วงโดยดี ‘ฉันต้องการนาย’ นี่มันคือคำบอกรักใช่ไหม? เดี๋ยวก่อนสิจริงๆ มันต้องเป็น ‘ฉันต้องการเธอ’ ไม่ใช่เหรอ แต่จะประโยคไหนก็ช่างเถอะ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะมีผู้ชายมาบอกว่าอยากได้เรา มันก็ทำให้เขินไม่ใช่น้อยเลยนะ ยังไงเขาก็ด้านหน้าขอขนาดนี้แล้วจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ไง ทำเล่นตัวแค่พอเป็นกระษัยดีกว่ามากเกินไปเดี๋ยวจะไม่ได้เลย
“เดี๋ยวๆ เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ นายจะมาขอกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง ฉันก็ลูกมีพ่อมีแม่นะ แล้วบอกให้รู้อีกเรื่อง พ่อแม่ฉันค่อนข้างหวงฉันมากๆ เลย แต่ยังไงก็ตามเรื่องสินสอดเอาแค่ธรรมดาก็พอไม่ต้องเยอะหรอก บ้านฉันก็มีเงินมีทองอยู่ ฉันไม่อยากจะทำให้พ่อแม่โดนครหาว่าขายลูกกิน” อาศิรพิษก้มหน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกกระดากใจกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดไป
“หา...นายพูดอะไร ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย ฉันแค่ถามว่า นายสนใจจะมาทำงานเป็นมือซ้ายของฉันไหม งาน บอดี้การ์ดน่ะ นายต้องทำได้ดีอยู่แล้วแข็งแกร่งเกินชายขนาดนี้ ฉันดูนายผิดไปจริงๆ ขอโทษที่หาว่านายเป็นพวกวิปริตพวกนั้น ความสามารถการต่อสู้ระดับนายต่อให้ผู้ชายร่างใหญ่ร้อยคนยังสู้ได้สบายเลย ว่ายังไง ตกลงใช่ไหม ต้องตกลงอยู่แล้วล่ะ เพราะนายไม่ใช่ไอ้กะเทยนั่นแต่ถ้าไม่ตกลงล่ะก็....เออ... ฉันมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ฉันว่านายหน้าตาเหมือนไอ้ชั่วนั่นมากๆ เลยนะ ฉันน่าจะกระ..” กินไซเริ่มพูดเสียงเหี้ยมแววตาดุดันเอาจริง จนอีกฝ่ายมีท่าทีตกตะลึง
อาศิรพิษอ้าปากค้างตกลงแล้วคนๆ นี้จำเธอได้หรือไม่ได้กันแน่ ขณะที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดนั้น จู่ๆ ศีรษะของตนเองก็โดนใครบางคนจับให้พยักหน้าอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มงุนงงแล้วหันหน้ากลับไปมองดูถึงได้เห็นน้องชายสุดแสบเพิ่งจะปล่อยมือออก
“เฮ้ย...ทำอะไรไอ้กระ..เอ่อ งูเขียว” อาศิรพิษร้องอย่างตกใจ
“แหม...งานแบบนี้น้องของพี่ถนัดอยู่แล้วใช่ไหมล่ะจ๊ะ ทำเถอะ เรื่องใช้กำลังกระดิ่งเก่งได้โล่อยู่แล้ว ทำเถอะๆ” อาศิวิษรีบบอกเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้พี่สาวก่อนจะพูดทั้งที่ๆ ยิ้มอยู่
“ตกลงสิ...ฉันยังไม่อยากตายนะ อีงูเขียว”
อาศิรพิษอึ้งเมื่อโดนกดดันจากน้องชายจนไม่ทันระวังตัว กินไซก็ฉวยโอกาสพูดตัดบททันที
“โอ้...ตกลงใช่ไหม ฉันว่าแล้วนายต้องไม่ใช่ไอ้พวกอ่อนแอ ปวกเปียก ขี้ขลาดแน่ๆ มาสิ เดี๋ยวฉันจะพาไปที่สำนักงานของเรา” กินไซยอมปล่อยมือจากบ่าทั้งสองข้าง “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวเจ้านี่ไปเลยนะครับ” หลังจากที่เก็นจิผู้เป็นบิดาพยักหน้าให้ เขาก็ยกมือโอบไหล่ของอีกฝ่ายทันไม่ให้ทันได้ตั้งตัว
“ไป เราไปทำเรื่องที่ผู้ชายสมควรทำกัน” กินไซพยักหน้าให้อีกฝ่ายที่กำลังหน้าซีดและมองหาคนช่วย
อาศิรพิษหันหาปิยรัตน์และน้องชายพร้อมทั้งยื่นมือออกไปหวังว่าใครสักจะช่วยให้พ้นจากเรื่องที่น่าสยดสยองนี้ไป แต่อาศิรวิษกลับโบกมือไล่แถมยังทำเสียงเหมือนไล่หมาไล่แมวอีกต่างหาก
“ไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง โอเคนะ” อาศิรวิษทำมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องเป็นห่วง เชิญไปตกระกำลำบากได้เลย
“โอเคอย่างนั้นเหรอ อ้อ...โอเค ไม่โอเค...โว้ย...ไอ้กระดิ่งไอ้น้องเลว” อาศิรพิษร้องออกมาเป็นภาษาไทยอย่างเคียดแค้น
“อ๋อ โอเค...ฉันเข้าใจความต้องการจะยืนหยัดเป็นชายเต็มตัวของนายแล้ว มันช่างเต็มไปด้วยพลัง ฉันรับรองฉันจะทำให้นายมีซิกแพ็คให้ได้ฉันสัญญา วางใจได้เลย” กินไซเข้าใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายร้องออกมาคือความตั้งใจจริงความมุ่งมั่น เหมือนนักยกน้ำหนักที่ร้องเสียงดังก่อนขึ้นยก
อาศิรพิษได้ยินเช่นนั้นก็แทบบ้า ปกติหน้าอกก็แบนจนแทบมองไม่เห็น แถมถ้าเกิดมีกล้ามเนื้อหน้าท้องขึ้นมาอีกไม่กลายเป็นปลากระป๋องหกเต้าตราสามแม่ครัวเลยเหรอ หญิงสาวพยายามขัดขืนสุดกำลังแต่โดนกินไซลากให้เดินตามไปเช่นเดิม เธอเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงงเพราะใบหน้านั้นสุดแสนสยอง แม้จะบอกว่ายิ้มอยู่แต่ดวงตากลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
“ทำไม ไม่อยากไปเหรอไง” กินไซร้องถามอย่างกดดัน ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ใช้พร้อมเอาจริงถ้าคำตอบไม่เป็นอย่างที่ใจต้องการ
“เอ่อ...ไปๆ” อาศิรพิษตอบเสียงอ่อย
“ตอบให้มันเข้มแข็งหน่อย!” กินไซตวาด
อาศิรพิษหน้าเหรอหรากินไซทำเหมือนตัวเองเป็นครูจ่าใจโหด แต่พอเห็นเขาถลึงตาอีกรอบก็จำต้องตอบรับใหม่อีกครั้ง
“ครับ รับทราบครับผม” อาศิรพิษยืดตัวตรงพร้อมกับร้องตอบอย่างแข็งขัน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในขณะที่หญิงสาวไม่ทันได้ระมัดระวังตัวฝ่ามือของกินไซก็ทาบลงมาบนหน้าอกของเธอทั้งสองข้าง
“เฮ้ย....ทำอะไร” อาศิรพิษรีบหดตัวพร้อมร้องโวยวาย ราวกับตนเองเพิ่งจะโดนลวนลามจากชายหนุ่ม
‘ลวนลาม!!!!!! ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย ตั้งแต่เกิดมาเป็นสาวเต็มกาย เพิ่งจะเคยโดนผู้ชายลวนลามก็คราวนี้ แถมยังเป็นหนุ่มหล่อลากจิตวิปริตอีกต่างหาก นี่มันโชคสองชั้นชัดๆ’
แต่ทำไมสีหน้าของคนกระทำมันช่างแสดงออกถึงความผิดหวังมากขนาดนั้น จนอาศิรพิษใจหายหรือว่าเขาจะรู้แล้วว่าที่แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิง
“ให้ตายสิ แก..นี่มัน...มันไม่มีอะไรเลยนี่หว่า” กินไซเอามือออกแล้วร้องบอกพร้อมทั้งส่ายหน้า
“ด....เดี๋ยว หมายความยังไง” อาศิรพิษโมโหเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสบประมาท ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงมาจับหน้าอกคนอื่นแล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่มีอะไรอีก แบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ ถึงหน้าอกหน้าใจของเธอมันจะแบนสนิทศิษย์ส่ายหน้ามากมายขนาดไหน ก็ไม่เห็นจะต้องพูดแรงขนาดนี้เลยนี่นา
“อ้าว...ก็มันไม่มีเลยนะสิ กล้ามเนื้อนะ” กินไซพูดอย่างเฉยชาเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโกรธเรื่องอะไร
“หา....กล้ามเนื้อ นี่ๆๆ นายหมายถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องเหรอ?” อาศิรพิษเอามือลูบที่หน้าอกและหน้าท้องของตัวเองอย่างสำรวจ
“ก็ใช่นะสิ เห็นมีแต่กล้ามเนื้อหน้าอกอยู่หน่อยเดียว ถ้านายอยากมีซิกแพ็คจริงๆ ล่ะก็นายต้องหมั่นออกกำลังให้มากขึ้น แต่ไม่เป็นไรพอมาอยู่กับฉันนายก็รูปร่างได้สัดส่วนเอง เพราะทุกๆ วันฉันจะสั่งไข่ไก่สดให้นายดื่มวันละโหล ต่อด้วยพาไปเข้าฟิตเนสวันละสามถึงสี่ชั่วโมง แล้วก็...”
“หยุด...ฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก แค่นี้ก็ไม่มีใครมองฉันเป็นผู้หญิงสักคน” อาศิรพิษโบกมือห้ามอย่างละเหี่ยใจ
“หือ... ‘ไม่มีใครมองว่าฉันเป็นผู้หญิงสักคน’ หมายความว่ายังไง” กินไซถามเสียงเข้ม
อาศิรพิษรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุถ้าขืนตอบอะไรไม่เข้าหูมีหวังตายคาฝ่าเท้าแน่ๆ เรื่องการต่อสู้ยอมรับว่าตัวเองมีความสามารถไม่แพ้ใครและสามารถปกป้องตัวเองได้เมื่อภัยมา แต่ความอันตรายของชายวิปริตที่มีความหลังฝังใจนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า จำต้องพูดอย่างกลั้นใจอีกครั้ง
“ไม่ ฉันหมายถึงฉันไม่ใช่กะเทย” อาศิรพิษพูดเสียงดังก่อนจะ แอบพูดเบาๆ เป็นภาษาไทยว่า “ก็ไม่ใช่กะเทยจริงๆ นี่นา นมฉันก็มี คือมีแต่มันมีน้อยเท่านั้นเอง”
หลังจากบทสนทนาที่น่าอึดอัดใจเมื่อชั่วครู่ทำให้อาศิรพิษจำต้องยอมตามกินไซมา เขาสั่งให้เธอขึ้นไปนั่งข้างๆ คนขับพร้อมทั้งไล่คนขับรถลงไปแล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับเอง หญิงสาวรู้สึกเขินอายเพราะดูเหมือนว่าตัวเองกำลังได้อยู่กับผู้ชายที่แอบชอบแบบสองต่อสอง จินตนาการของสาวน้อยเริ่มไปไกลจนกู่ไม่กลับ
ภาพรถยนต์คันหรูแบบเปิดประทุนที่แล่นไปตามท้องถนน สองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้แสนสวย สาวน้อยในชุดกระโปรงระบายพลิ้วสีขาวดูแล้วเหมือนหญิงงามไม่มีผิด เธอยกมือขึ้นจับปีกหมวกเอาไว้แน่นไม่ให้มันหลุดปลิวไปกับแรงลมพัด หญิงสาวหันกลับมาจากทิวทัศน์ข้างทางแล้วมองไปที่ชายคนขับ เขายิ้มหวานละไมส่งกลับมารอยยิ้มนั้นมันบ่งบอกถึงความรักความเอาใจใส่ในหญิงคนรัก และมันจะมีให้เพียงคนเดียวก็คือเธอ
อาศิรพิษแก้มแดงระเรื่อเพราะรอยยิ้มหวานบาดใจของเขา จึงต้องก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย ก่อนจะพยายามตั้งสติแล้วเอ่ยถามว่าเขาจะพาเธอไปยังที่แห่งใด
“คุณจะพาฉันไปที่ไหนเหรอ”
“ค่ายทหาร”
“ช่างเป็นสถานที่ ที่ช่างโรแมน...เอ่อ ค่ายทหาร?” อาศิรพิษตื่นจากภวังค์
“ขอต้อนรับสู่การฝึกนรกแตก” กินไซยิ้มกว้าง “ฮ่าๆๆๆ ฉันล้อนายเล่นเท่านั้น ดึกดื่นป่านนี้แล้วจะไปค่ายทหารได้ยังไง ถ้านายอยากไปเดี่ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาไปก็แล้วกัน”
แต่อาศิรพิษไม่อยากยิ้มตอบได้แต่เบือนหน้าหนี อะไรมันจะน่าอนาถขนาดนี้ อุตส่าห์เดินทางไกลมาถึงญี่ปุ่นเพื่อตามหารักแท้ ผู้ชายที่จะเปลี่ยนให้เธอเป็นผู้หญิงเต็มตัว แต่ผู้ชายคนนั้นที่เธอฝันถึงกลับอยากให้เธอกลายเป็นชายเต็มตัว นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครไม่เจอกับตัวไม่มีถ้าเข้าใจหัวอกหัวใจของคนที่ต้องผิดหวังเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้แน่ๆ
ดังนั้นอาศิรพิษจึงนั่งนิ่งตลอดทางและเริ่มขึ้นบ้านที่จากมา คิดถึงพ่อเสือ แม่บุษบาและแม่เกดไม่รู้ว่าตอนนี้ที่นั่นจะเป็นยังไงสงสัยจะพากันร้องไห้คร่ำครวญคิดถึงเธอเป็นแน่แท้ ไหนจะคุณปู่มังกรที่สุขภาพย่ำแย่ลงทุกวัน ไม่รู้ว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่าที่ทิ้งทุกคนมาไกลขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากกลับบ้าน
“โอ๊ย....แม่จ๋า พ่อจ๋า หนูอยากกลับบ้าน ช่วยหนูด้วย...” อาศิรพิษกู่ร้องออกมาอย่างคับแค้นใจ




นีรนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2555, 15:49:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2555, 15:49:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1525





<< รักครั้งแรก (100%)   พรหม(ไม่ได้)ลิขิต 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account