ผี(ไม่)ร้ายร่ายมนตร์รัก
บ้านอเนกคุณากร ขึ้นชื่อว่าเฮียนนักหนา

ไม่ใช่ภูตผีแค่ตนเดียว แต่กลับมีมากมาย

นางผีผู้เป็นใหญ่เกลียดแสนเกลียดผู้ชาย

ขณะที่บรรดาผีๆ ที่เหลือ

ล้วนเคยประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน

ยกเว้นแต่ "แสงเพ็ง"

ผีสาวมือใหม่ ไร้เดียงสาและหน้าตาสะสวย

เธอไม่เคยเข้าใจว่าอะไรคือความร้ายกาจของบุรุษเพศ

เมื่อได้พบกับเขา หนุ่มเจ้าสำราญนาม "ทรงธรรม"

เธอไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคือ "ความรัก"

เป็นรักแท้ที่พร้อมจะเสียสละ กระทั่งยอมเสียคนรักให้คนอื่น

เพื่อที่จะให้เขามีความสุข เพื่อที่เธอมีความสุขไปด้วย

แต่แล้ว... เมื่อความจริงบางประการเปิดเผย

หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนคู่ควรกับเขาดังที่เธอคิด



อะไรเล่า...ที่จะเกิดขึ้นต่อไป


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒๐ (บทอวสาน)





เรื่องราวในพริบตาที่เกิดขึ้น ไม่อาจคาดเดาว่า เป็นเพราะเหตุไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ที่สำคัญคือไม่รู้ว่า ใคร... จะเป็นรายต่อไป

กระทั่งมีเสียงไก่ขันแว่วมาไกลๆ คุณแสก็ยังไม่อาจระงับจิตใจ ฟูมฟายร่ำร้องหาอยู่แต่กับแสงเพ็ง ที่อยู่ๆ ก็มาลับหาย ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะล่ำลาหรือสั่งความอันใด

ทรงธรรมก็ซึมเซาลงไป หลังจากที่สารพัดจะคาดเดา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผีสาวที่ตนรักปานดวงใจ

มีเพียงหมอเกตุอาคม ที่ยังดุ่มเดินวนเวียน ทางหนึ่งเพราะกำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับแสงเพ็ง กับอีกทางหนึ่งก็แสนวิตกกังวลแต่ไม่กล้าพูด คือเรื่องรีบไล่ให้คุณแสลองไปใช้ยันตร์ลัดภพคืนชีวิต ก่อนที่รุ่งอรุโณทัยจะย่างเยือน

“อย่างน้อย ท่านนิรยบาลก็รักษาคำพูด...”

ในที่สุดหมอผีหนุ่มก็ทนอึดอัดต่อไปไม่ไหว

“ยังไรที่ว่ารักษาคำพูด ก็แสงเพ็งหายไปทั้งคน”

ทรงธรรมขัดขืน ไม่อยากจะเชื่อความคิดเห็นของหนุ่มรุ่นน้องเลยสักนิด

“ถ้าเป็นท่าน ป่านนี้คุณแสก็ต้องเป็นไปด้วยแล้วซีเล่า พี่ธรรม์อย่าเพิ่งมาขัดคอข้าเลย ที่ห่วงตอนนี้คือคุณแส...”

คำท้ายเหมือนเรียกหา ทำให้ผีผู้เป็นใหญ่ในเรือน เงยหน้าขึ้นมองกลับมาช้าๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว”

น้ำเสียงของคุณแสยังเจือแววสะอื้นอยู่ไม่สร่างซา

“อย่างนั้นความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า”

“มีอะไรบ้างเล่าที่จะไม่เสื่อม ไม่สูญ...”

“เราไม่ใช่พระพุทธองค์หรือพระอรหันต์นะขอรับ จะได้ตัดให้สิ้นสุด หมดเสื่อมหมดสูญ พ้นทุกข์โดยไม่ต้องกลับมาผจญทุกขเวทนา...”

หมอเกตุอาคมพยายามหว่านล้อม ขณะก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ

“อย่างน้อยที่สุด...”

“อย่าพูดอะไรอีกเลยหมอเกตุ ข้าตัดสินใจแล้ว รอให้รุ่งขึ้นวันใหม่ ข้าจะไปกับแสงตาวัน”

คุณแสปาดน้ำตา กล่าวอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดจริงจัง

“แสดงว่าคุณแสคิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว”

คำสบประมาทนี้ทำให้คนถูกว่ากล่าว ถึงกับต้องหันมาจ้องหน้าคนพูด

“หรือว่าไม่จริงขอรับ ต่อให้คุณแสยอมสูญสลายไปเพราะแสงตะวัน แล้วคนอื่นเล่า จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรเราก็ไม่รู้ คุณแสเป็นคนเดียวที่มีโอกาสจะได้กลับไปเป็นคน กลับจะทิ้งโอกาสนั้นเสียได้”

“มันเรื่องของข้า!”

“ที่จริง เวลาก็เหลืออยู่ไม่มาก ถ้าจะให้กระผมมานั่งชักแม่น้ำทั้งห้า ก็คงจะเสียเวลานัก คุณแสไม่เคยได้ยินหรือขอรับ ที่พระท่านว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เปรียบไว้เหมือนเต่าที่อาศัยอยู่ใต้ท้องสมุทร ต่อร้อยปีจึงจะโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำสักหนหนึ่ง แล้วไอ้หนหนึ่งนั้น ก็บังเอิญจะได้โผล่ขึ้นมากลางวงห่วงเล็กๆ ที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำ นั่นละขอรับ ความเป็นไปได้เพียงแค่นั้นละ ที่เราจะมีโอกาสได้มาเกิดเป็นคน...”

“หมอเกตุไม่ต้องมาสอนกันในเรื่องนี้ ข้าก็พอมีความรู้อยู่บ้างหรอก”

“นั่นซีขอรับ คุณแสก็รู้อยู่แก่ใจ การได้เกิดเป็นคนมันแสนยาก และ... ถ้าหากจะลืมไป ในมนุษยภพ การได้เกิดเป็นคนนี่ไม่ใช่หรือขอรับ ที่จะสามารถบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำบุญทำทาน แสวงหาหนทางสว่าง รวมทั้งได้มีโอกาสอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล กรวดน้ำแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์”

“จะพูดอะไรก็พูดมาเถิดวะไอ้หมอ ฟังอยู่นานๆ นี่ ชักรำคาญ”

ทรงธรรมยังพาล เพราะความหวังจะได้ครองคู่กับแสงเพ็ง มามีอันต้องสูญสลายหมดสิ้นหนทาง ทั้งที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ หรือล่ำลา

“ก็นี่ไงเล่า ข้ากำลังจะบอกว่า ถ้าคุณแสยอมคืนชีพ ก็หมายความว่าจะได้มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล อย่างมากพวกที่ถูกท่านนิรยบาลจับตัวไป ก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญ หรืออย่างน้อย ตัวคุณแสเองจะได้มีโอกาสสร้างคุณงามความดีต่างๆ ไว้เป็นบุญบารมีแก่ตนเอง”

“แล้วจะให้ข้าคืนชีพไปอยู่อย่างซักกะตาย อย่างนั้นน่ะหรือ หลังจากได้คืนชีพแล้ว จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะจดจำสิ่งไรได้บ้าง...”

คุณแสเองก็พยายามหาเหตุผลที่จะไม่ยอมทำตามความคิดของหมอเกตุอาคม

“คุณแสขอรับ...”

เป็นทรงธรรมที่เอ่ยกับคุณแสขึ้นบ้าง

“อย่าให้การสูญไปของแม่แสงเป็นการเปล่าประโยชน์เลยขอรับ”

“แล้วจะให้ทำยังไร ฟ้าจางจนใกล้จะขาว จะให้ข้าไปหาร่างใครที่ไหน”

“จะยากอะไรขอรับ ก็ข้ามไปฟากบ้านเรือนไทย...”

“จะให้ไปผูกเวรผูกกรรมกับคนบ้านนั้นอีกน่ะรึ!”

คุณแสขึ้นเสียง ก็ตัดใจ ตัดทุกข์ตัดโศก ตัดความอาฆาตพยาบาทไปได้แล้วแท้ๆ ยังมาแนะนำให้หวนกลับไปผูกพันกันเสียได้

“ก็ไม่มีหาทางอื่น”

“นั่นซีเล่า ข้าถึงบอกว่า จะยอมสลายไปกับแสงตาวัน จะให้มามีความสุขอยู่คนเดียวยังไรได้”

“แต่กระผมอยากให้คุณแสยอมตามคำของหมอเกตุ...”

“ข้าไม่อยากยุ่งกับพวกบ้านนั้นอีกแล้ว”

“หรือคุณแสจะปล่อยให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของคนที่คุณแสรักต้องเสื่อมเสียตลอดไป”

“ใช่ว่าข้าไปใช้ร่างของพ่อลูกคู่นั้น แล้วชื่อเสียงเขาจะฟื้นคืนมา”

“แต่ก็ยังริเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ได้...”

ถ้อยคำหว่านล้อมต่อรองอาจกินเวลาต่อไปจนสายเกินการ หากว่าไม่มีเสียงผิดปกติบางอย่างดังมาจากทางประตูใหญ่

คล้ายเสียงคนตบประตูให้เปิด แต่ดังอยู่ไม่กี่ครั้ง ก็กลับเงียบไป

ทั้งคนทั้งผีในบ้านพากันแปลกใจ หรือว่าเป็นพวกบ้านเรือนไทย หรือว่าเป็นใครอื่นที่กล้าบังอาจ ใช้ช่วงที่พวกอเนกคุณากรขาดหัวเรือใหญ่ เข้ามาวุ่นวายลักลอบ

คุณแสแลไปตามเสียง กระแสจิตนั้นจับไม่ได้ว่าเป็นภูตผี จนต้องเพ่งเล็งให้แน่ชัด

“นั่น!...”

คราวนี้หันขวับไปทางประตูข้าง

“พี่ธรรม์ พี่ธรรมเจ้าคะ!”

เสียงหวานที่เคยเบากังวาน บัดนี้เจือแววทุ้มนุ่มเสนาะ แต่ทรงธรรมก็ยังจำได้ ว่าเป็นเสียงใคร

“แม่แสง แม่แสงละหรือ”

เพราะประตูทุกด้านถูกกำลังจิตคุณแสกำกับกั้น ผู้คนภายนอกจึงไม่อาจหาหนทางเข้ามาได้

“แสงเพ็งๆ เจ้าเองน่ะรึ”

พร้อมกับคำ ประตูข้างก็เปิดผางออก คนภายนอกแทบกระโจนเข้ามา เพราะใจนั้นลิ่วมาถึงก่อนตั้งนานแล้ว

เป็นหญิงสาวมีเลือดมีเนื้อที่โผนเข้ากอดกับทรงธรรม และคนถูกโผกอดก็โอบรับได้เต็มกอด กลิ่นหอมจางจากเรือนกาย เนื้ออุ่นที่แนบชิด หรือห้วงลมหายใจที่ยังเหนื่อยหอบ ล้วนบ่งบอกของกระแสแห่งความมีชีวิต

“แม่แสง แสงเพ็งของพี่ หนีพี่ไปไหนมา”

ทรงธรรมตื้นตันใจนัก เมื่อเพ่งเล็งดูดวงหน้าหวานซึ้ง ที่บัดนี้มีน้ำตาแห่งความสุขสมหวังไหลรินอาบสองแก้ม

“แม่แสงมายังไร อยู่ๆ ก็หายไป เล่นเอาตกใจกันแทบแย่”

“ดีฉันก็ไม่แน่ใจ อยู่ๆ ก็เหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล ตอนแรกเข้าใจว่าถูกยมทูตท่านนั้นจับกุม แต่แล้วก็สะดุ้งตื่น คล้ายที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นความฝัน”

“แล้วมาถึงที่นี่ได้ยังไร แม่แสงจดจำหนทางได้อยู่รึ”

หมอเกตุอาคมยังซักไม่เลิก รู้สึกคุ้นตากับเครื่องนุ่งห่มของแสงเพ็งที่ได้กลับมาเป็นคนมีเลือดมีเนื้อ มีชีวิตอีกครั้ง

“ก็คลำทางมานั่นละ อย่าเพิ่งพูดกันอยู่เลยนะ คุณแส... คุณแสเจ้าคะ ทำไมยังอยู่”

“ก็...”

“เร็วเถิดเจ้าค่ะ จวนจะรุ่งอยู่แล้ว”

“ยังไร ทำไม”

“ยันตร์นั่น ตอนนี้คุณแสไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ดีฉันจะได้อยู่เป็นเพื่อนกับคุณแส ไม่ว่าการกลับไปมีชีวิตนั่นจะจดจำกันได้หรือไม่ก็ตาม”

“แล้วแน่หรือ ที่ดวงจิตข้าจะไปตกอยู่ในบ้านนั้น”

“เลิกคิด เลิกสงสัย เลิกกังวลก่อนเถิดเจ้าค่ะ เร็วค่ะ กลืนยันตร์นั่นลงไป”

ไก่ขันกระชั้นใกล้ ฟ้าจางสีอ่อนจนแทบจะเริ่มวาวแสงของอรุณรุ่ง ที่ขอบฟ้าตะวันออก แสงทองเริ่มเรื่อจับฟ้าแล้วด้วยซ้ำ

พอเห็นยังละล้าละลัง แสงเพ็งก็ตรงเข้าไป ตั้งใจจะจับมือให้คุณแสยัดยันตร์นั่นกลืนลงคอ แต่เพราะร่างกายกลับกลายเป็นกายเนื้อ พอคว้าออกไป ทั้งมือก็แหวกวูบผ่านร่างของคุณแสไป จนแสงเพ็งแทบจะเสียหลัก

“นะคะคุณแส นะเจ้าคะ”

เธอยังอ้อนวอน

“ไปเถิดขอรับคุณแส ประเดี๋ยวกระผมจะสวดมนต์นำทาง ดวงจิตของคุณแสจะได้ไม่ต้องพุ่งหลงไปทางไหน”

“อย่างนั้นก็ได้ หากบุญวาสนายังมี เราคงไม่แคล้วกัน!”

จบคำ คุณแสก็กลืนผ้ายันตร์เศษจีวรนั่นลงคอ

ที่ทุกคนได้เห็นคือ ยันตร์นั้นวาวแสงขึ้นเมื่อเคลื่อนลงมาถึงกลางอก

แล้วร่างวิญญาณของคุณแสก็คล้ายเรื่อเรืองขึ้นตาม

ก่อนจะโชตนาการขึ้นจนแสบตา

ที่สุดก็เหือดหดลง เป็นดวงแก้วขนาดเล็กกว่ากำมือ

หมอเกตุอาคมรีบลงนั่งขัดสมาธิ สองหนุ่มสาวก็ทำตาม ร่วมเพ่งเล็งจิตใจ ส่งกระแสแผ่ส่วนบุญ อุดหนุนตามไปกับกระแสจิตและมนตราอาคม ที่หมอผีหนุ่มเริ่มบริกรรม เป็นทำนองสูงต่ำไม่เว้นจังหวะหายใจ

ดวงแก้วนั้นลอยวนตรงหน้าอยู่อีกเสี้ยวนาที ก่อนจะพุ่งวูบไปทางบ้านเรือนไทย มีเสียงดังเปรื่องแว่วมา คล้ายมีสิ่งไรตกกระทบหลังคาเรือนฟากนั้น แล้วอีกไม่กี่อึดใจก็มีเสียงเฮลั่น เสียงตะโกนบอกกันว่า

“คุณอุ่นฟื้นแล้ว คุณอุ่นเรือนฟื้นแล้ว...”

เสียงนั่นดังลั่นข้ามฟากมา ให้ได้ยินจนถึงในบ้านเรือนตึก

“คุณอุ่น คุณอุ่นขอรับ จะไปไหน”

แล้วเสียงที่ตามมาก็ฟังดูคล้ายเกิดโกลาหล

เสียงตะโกนถามอยู่อย่างนั้น ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับรุ่งแสงที่ยิ่งเรื่อเรืองรองขึ้นตรงขอบฟ้าไกล

ตอนแรกที่เป็นอุ่นเรือนโผล่พรวดเข้ามา ก็เล่นเอาทุกคนอดตกอกตกใจไม่ได้

แต่เมื่อเสียงร้องทักดังขึ้น แม้จะเป็นเสียงเดิมของเจ้าของร่าง หากแต่ถ้อยคำก็ทำให้แน่ใจ

“ข้าเอง แส เป็นข้าเองแม่แสง พ่อธรรม์ พ่อหมอเกตุ เป็นข้าเองจริงๆ”





“นึกๆ ไปชีวิตพวกเรานี่ก็น่าขันเหมือนกันนะคะคุณแส... อุ้ย! คุณอุ่น...”

“กระไรได้เล่าแม่แสง มันน่าตระหนกตกใจละไม่ว่า ก็ดูเถิด ขนาดร่วมสี่ปีเข้านี้แล้ว แม่แสงยังเรียกผิดเรียกถูก นี่ดีหรอกนะว่าเรื่องของแม่แสกับเจ้าคุณเดชานั่น เขาปกปิดมิดเม้นกันไว้หลายสิบปี ไม่อย่างนั้นผู้คนจะพากันตกอกตกใจ”

สตรีสองนาง ผิวพรรณวรรณะบ่งบอกว่าเป็นผู้ดีมีทรัพย์ คนหนึ่งดูอ่อนเยาว์กว่าอีกคนอยู่พอสมควร แต่ทั้งสองก็ยังเพิ่งอายุย่างเข้าเบญจเพส

“บุปผา มาลี อย่าแกล้งพี่หลงซีจ๊ะ นั่นแน่ะ พี่แววก็เป็นเสียอย่างนี้ ให้ท้ายลูกดีฉันจนเหลิงลมกันหมดแล้ว”

สตรีที่ดูอ่อนเยาว์กว่าคือแสงเพ็ง ซึ่งบัดนี้ออกเรือนกับทรงธรรมมากว่าสามปี

“อย่าไปดุมันเลย ไอ้หลงมันก็อย่างนั้น ยอมน้องอยู่ร่ำไป”

ส่วนอีกคนก็คืออุ่นเรือน ที่ไม่กี่คนเท่านั้นจะรู้ความจริงว่า ที่แท้เฉพาะเพียงรูปกายภายนอกนั่นหรอกที่คือคุณอุ่นเรือน บุตรสาวคนเดียวของเจ้าคุณอเนกคุณากรผู้ล่วงลับ แต่ภายในเลือดเนื้อนั้น กลับเป็นดวงจิตวิญญาณของคุณแส ผู้ยังมีเวรกรรมผูกพันกันอยู่กับผู้คนตระกูลนี้

“ถ้าเจ้าหลงมันยอมกับน้องๆ ทุกคนก็จะไม่ว่าเลยเจ้าค่ะ แต่นี่... กะน้องมันเองแท้ๆ แม่กระถินนั่นน่ะ ไม่เห็นจะเคยอ่อนข้อให้ง่ายๆ”

พูดจบแสงเพ็งก็อมยิ้ม มองหน้ากันไปมากับสตรีที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วในที่สุดก็หัวร่อเบาๆ ออกมาพร้อมกัน

“เห็นหรือไม่เจ้าคะ ว่าชีวิตพวกเรานี้น่าขันขนาดไหน”

คราวนี้อุ่นเรือนยอมรับแต่โดยดี ก่อนจะเรียกให้แม่แววจูงเด็กชายหลงเข้ามาหา

เด็กชายยังอายุไม่ครบสามขวบดี แต่เดินคล่องวิ่งเก่ง ซ้ำยังรู้จักพูดจาเกินกว่าวัย พอมาถึงตรงหน้าผู้เป็นใหญ่ในเรือน ก็นั่งปุกลง แล้วกราบอุ่นเรือนปลกๆ เหมือนอย่างกราบพระ

“หลวงตาคงสอนมาดี แต่มันเองที่ไม่ได้จดจำ”

คุณแสเมินจากท่าทางของมัน มาขำให้กับแสงเพ็ง

“คุณแม่เจ้าขา หลงไม่ดื้อ”

เด็กชายแววตาสุกใส ที่อุ่นเรือนรับเป็นแม่ทูนหัว พูดจาได้ชัดถ้อยชัดคำทุกคำ ยกเว้น “คุณแม่เจ้าขา” ที่จะหลุดออกมาเป็นคำ “คุณแสเจ้าขา” เสียมากกว่า

“แม่ไม่ได้เรียกมาดุ จะถามว่ากระถินอยู่ไหน”

“อิถินนอนหลับ”

“เอ๊ะ! ใครสั่งใครสอนให้เรียกน้องหยั่งนั้น”

อุ่นเรือนแกล้งดุใส่ ทำให้เด็กชายหน้าม่อยลงในทันใด

แต่ทุกคนก็ไม่ได้ถือสาหนักหนา เพราะรู้ดีว่า ก่อนจะได้มาผุดเกิดร่วมภพชาติ มาสานต่อเวรกรรมต่อกันอยู่ในวันนี้ แต่ละคนเคยเป็นมากันอย่างไร

อย่างเจ้าหลงกับกระถิน มันคงจำได้ว่า เมื่อแรกที่ก้าวเข้ามาในบ้านเรือนตึก ก็เป็นกระถินนั่นละที่กลั่นแกล้งมันหนักหนากว่าเพื่อน

“เขาคงตามมาใช้กันเจ้าค่ะ ไอ้หลงมันเคยลงราก ตอนดีฉันเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แม่ถิน ไอ้เจ้านี่เลยเกลียดนัก แต่มันก็รักของมันนะเจ้าคะ วันก่อนยังจะช่วยป้อนข้าวน้อง”

แม่แวว ซึ่งตามศักดิ์ก็เป็นญาติชั้นปลายแถวของอุ่นเรือน บัดนี้ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคนสนิทให้เรียกหาใช้สอยใกล้มือใกล้ตัว ให้อย่างไรก็รักก็ห่วงลูกสาวลูกชายทั้งสองนักหนา

คนหนึ่งคือเจ้าหลง ลูกติดท้องมาจากหลวงเซ่ง ทั้งที่น่าจะหลุดไปแล้วตั้งแต่คราวแม่แววสิ้นลมไปรอบนั้น

“แม่แววละเหลือเกิน รักลูกจนหลง ยังมีหน้ามาสรรเสริญเยินยอ นังถินมันสักกี่เดือนกันเชียว ไอ้เจ้านี้ถึงริจะเอาข้าวสวยไปป้อน”

ส่วนกระถินเป็นน้องสาว ถ้านับในหมู่เด็กๆ ที่เตาะแตะวิ่งเล่นคลานไล่กันอยู่นี่ ก็ถือเป็นคนเล็กสุด ด้วยเพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน เป็นลูกสาวของหมอเกตุอาคม ซึ่งเก็บหอมรอมริบจนยกขันหมากมาขอแม่แววได้เมื่อปีกลาย

“ที่เห็นๆ กันอยู่นี้ก็คงจะครบตัวแล้วกระมังแม่แสง”

อุ่นเรือนหันมาทางแสงเพ็ง ผู้ที่บัดนี้ท้องสองกำลังใกล้คลอดเต็มที

“รูปท้องอย่างนี้คงเป็นผู้หญิง”

“ก็คงอย่างนั้นละพี่แวว อย่างที่คุณอุ่นบอก ขาดอีกคนก็ครบตัว”

“อย่างนั้นคนนี้ต้องให้ชื่อผกา จริงไหมเล่า”

อุ่นเรือนตัดสินใจให้ ซึ่งแสงเพ็งก็พยักรับยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือไปจูงลูกสาวแฝด บุปผา-มาลี ให้มานั่งด้วย

หญิงสาวลูบหัวหูเด็กหญิงทั้งสองอย่างรักใคร่ หอมซ้ายหอมขวาทีละคน แล้วมาลีก็เริ่มดิ้นรนอยากจะไปนั่งตักอุ่นเรือน

พอเห็นน้องสาวได้นั่งตัก บุปผาผู้เป็นพี่สาวที่เกิดก่อนไม่กี่นาทีก็คลานตาม ซึ่งอุ่นเรือนก็รับมานั่งบนตักทั้งสองคน

“เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งพวกเขานะคะ ที่ให้เจ้าหลงมันได้มาก่อน”

“แม่แววเขาเลยจะกลายเป็นสาวเทื้อหยั่งไรเล่า ตายทั้งกลมซ้ำยังเฮี้ยนจนฟื้นคืนชีพมาได้อีก ถ้าฉันไม่ยกให้หมอเกตุ ก็คงต้องเลี้ยงดูกันจนแก่จนเฒ่า”

“ก็อยากช่วยให้เขาฟื้นขึ้นมานี่คะ ก็ต้องเลี้ยงดูกันต่อไป จริงหรือไม่พี่แวว”

“ก็ลองไม่เลี้ยงดูซีเจ้าคะ อีแววคนนี้ไม่เอาไว้แน่”

“แล้ววันนี้แววไม่ไปช่วยหมอเกตุที่ตำหนักละหรือ”

“ลูกศิษย์ลูกหาเขามากมายเป็นก่ายเป็นกองดอกค่ะ ทุกวันนี้ก็แค่กำกับการ พวกใช้การได้ของเขาก็หลายคน ก็แบ่งเบากันไปได้ สายๆ ก็คงโผล่มา... นั่นแน่ะ! สงสัยจะมีคาถาคงกระพันชาตรี ตายยากจริง เดินมาโน่นแล้วเจ้าค่ะ”

พอเห็นหมอเกตุเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา เจ้าหลงก็ผุดลุกแล้ววิ่งตื๋อตรงไปหา

สภาพของบ้านเรือนตึกขณะนี้ก็คือ มีแนวรั้วกว้างออกไปทางด้านบ้านเรือนไทยหลังเดิม เพราะหลังจากอุ่นเรือนสั่งให้รื้อเรือนไทยทั้งหลังไปถวายวัด แล้วก็ตัดที่ฟากโน้นขายไปหลายสิบไร่ แจกจ่ายแบ่งบันทรัพย์สินเงินทองให้ญาติพี่น้อง และข้าทาสบริวารของเจ้าคุณอเนกคุณากรกันถ้วนหน้า ก็เหลือบริเวณไว้อีกไร่เศษ แล้วขยายแนวรั้วบ้านเรือนตึกออกไป ปลูกเรือนปั้นหยาอีกหลัง เป็นเรือนหอให้กับคู่ของหมอเกตุกับแม่แวว

“อรุณสวัสดิ์ขอรับคุณแสเจ้าขา”

“อาไร้! หมอเกตุ พูดจาพิก๊ล คำหน้าก็ไม่รู้ไปหาศัพท์แสงมาจากไหน คำหลังก็นะ ติดสำเนียงเจ้าหลงมาหรือหยั่งไร”

“เจ้าหลงซีคะติดสำเนียงจากพี่เกตุ”

แม่แววรีบเข้าข้างบุตรชาย ซึ่งบัดนี้แม้หมอเกตุอาคมจะนั่งลงบนชานศาลาด้านหนึ่งแล้ว ก็ยังพยายามไต่เล่นนัวเนียกับบิดาบุญธรรมอยู่ไม่ห่าง

ตอนที่เด็กชายได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ ก็หยุดมองตากับหมอเกตุนิดหนึ่ง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนที่จะพยายามปีนขึ้นไปขี่คอ

“แล้วแม่แสงมาได้ยังไร ท้องแก่ขนาดนี้ จะเดินจะเหินลำบากลำบน”

หมอเกตุหันมาถามแสงเพ็งอย่างเป็นห่วง

“ฉันจะให้แม่แสงมาคลอดเสียที่นี่ ห้องหับก็มีถม ห้องน้ำห้องท่าก็สะดวกสบาย จะอยู่ฟืนอยู่ไฟก็จะได้ไม่ยุ่งยาก”

“แล้วทางบ้านโน้นเขาจะยอมหรือขอรับ”

คนถามหมายถึงทางเรือนใหญ่ คือพ่อตาแม่ยายของเพื่อนรุ่นพี่คือทรงธรรม

“ทำไมจะไม่ยอมล่ะ ท้องที่แล้วก็ยอมมาแล้วยังไร ก็ใช้ห้องเดิมนั่นละ”

“จะว่าไปพี่ธรรม์ก็เก่งเหมือนกันนะแม่แสง”

หมอเกตุหันไปทางแสงเพ็งอีกครั้ง แกล้งยกคิ้วนิดๆ ให้คนที่ร่วมฟังได้สะกิดใจถึงนัยคำถาม

“หมอเกตุก็แพ้กันเสียที่ไหน เพิ่งแต่งเมื่อปีกลาย ลูกจะคลานได้อีกคนหนึ่งแล้ว”

“ก็ช่วยๆ กันซีขอรับ คนของเราก็ตั้งเยอะ ประเดี๋ยวเจ้าหลงมันได้มรดกคุณแสไปคนเดียวจะได้ร่ำรวยแย่ไปเลย”




เรื่องประหลาดนั้นผ่านไปแล้วร่วมสี่ปี เป็นที่โจษขานกันอยู่เพียงไม่นาน ก็เพราะสถานการณ์ทางการบ้านการเมืองเรื่องอื่น น่าพูดถึงมากกว่า ตอนนี้จึงเหลือเพียงคนใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังจดจำเรื่องราวได้เป็นอย่างดี

รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากการตายแล้วฟื้นใกล้ๆ กันถึงสองคน คือแม่แววและอุ่นเรือน และที่ว่าบุตรสาวเจ้าของมรดกกองมโหราฬ กลับกลายเป็นคนถือศีลกินมื้อเดียว เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ญาติพี่น้อง ยกบริเวณศาลเทพอารักษ์เป็นเขตสังฆมณฑล สร้างโบสถ์วิหาร และเจดีย์สูงใหญ่เพื่อบรรจุอัฐิบรรดาบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ นิมนต์พระคุณเจ้ามาครองอาวาส ตั้งตนเป็นโยมอุปัฎฐาก ประจำวัดอเนการาม

แดดสายไล่มาแล้ว จนที่อุ่นเรือนนั่งอยู่เดิมเริ่มถูกแสง พอแสงเพ็งเรียกให้ลูกสาวฝาแฝดคลานกลับมานั่งอิงอยู่กับตน แม่แววก็ขยับเข้าหาผู้เป็นใหญ่ในบ้าน

“ช่วยหน่อยนะแม่แวว จะไหว้วานบ่าวอื่นมันก็ไม่ถนัดปาก”

“แววเต็มใจเจ้าค่ะ ปวารณาตัวไว้แล้วว่าจะอยู่รับใช้คุณอุ่นเรือนไปจนตัวตาย”

“จะอยู่รอมรดกซิไม่ว่า”

“ปากไม่มีสีเลือดก็ดีอยู่แล้วนาพี่เกตุ รึอยากให้ฉันช่วย”

แม่แววหันไปค้อนตาขวางเอากับสามี ก่อนจะเริ่มประคองอุ่นเรือนให้ขยับพ้นแนวแสงแดดที่เลยยอดไม้ขึ้นมา

“คุณอุ่นรับประทานยาของกระผมทุกมื้อหรือเปล่าขอรับ”

หมอเกตุถามขึ้น ระหว่างพยายามปลดแขนของเจ้าหลงออกจากคอ จะลุกไปช่วยภรรยาอีกแรง

“ไอ้ส่วนที่ยังรู้สึก มันก็รู้สึกสะดวกสบายดีอยู่หรอก แต่ไอ้ที่มันเป็นเพราะเวรกรรมตามมากระทำ ฉันก็ไม่เกี่ยงงอนหรอกที่จะยอมรับ ก็คงสหายหมอเกตุที่ชื่อนายนิรยบาลนั่นละ ที่เอาชีวิตฉันไปเสียครึ่งตัว คงเอาไว้เป็นประกันกระมัง”

คุณแสในร่างของอุ่นเรือนพูดจาเป็นทีเล่นมากกว่าทีจริง ไม่พะวงห่วงใยกับอาการอัมพาตท่อนล่างของตน ที่อยู่ๆ เช้าวันพระใหญ่ รุ่งขึ้นจากวันพระราชทานเพลิงศพเจ้าคุณอเนกคุณากรแล้ว อุ่นเรือนก็ลุกขึ้นเดินเหินไปไหนอีกไม่ได้ ไม่ว่าจะตรวจรักษาทางหมอไทย หมอจีนหรือหมอฝรั่ง ก็ต่างหาสาเหตุไม่พบ จนเหลือแต่หมอเกตุคนเดียว ที่ยังไม่ย่อท้อ เพียงหาตำรับยาที่ว่าสรรพคุณชะงัดนัก มาให้ลองอยู่มิได้ขาด

“เขาว่าแถวสิงคโปร์มีเก้าอี้ติดล้อ ที่พนักติดมือจับ เอาไว้พาคนแก่คนเฒ่าได้ไปไหนต่อไหนก็สะดวกดีอยู่นะขอรับ” วันนี้เขามีความคิดใหม่มานำเสนอ

“พ่อธรรม์เขาสั่งออกไปแล้วละ อีกสักปีกระมังกว่าจะตกมาถึง เพราะต้องสั่งประกอบจากอีหรอบ”

แต่พอได้ยินข้อความนี้จากคุณแส เจ้าตัวก็มีอันต้องทำสีหน้าละเหี่ยใจให้เห็น

“ไอ้คนมีความรู้ความสามารถมันก็ดีอย่างนี้เอง ทันยุคทันสมัยไปเสียทุกเรื่องทุกราว กระผมว่าใหม่อยู่แหม่บๆ ท่านขุนดันสั่งเข้ามาเรียบร้อยแล้ว อ้อ... แล้วนี่หายหน้าไปไหน ทำไมไม่มาคอยดูแลลูกเมีย”

“เขาไปธุระให้คุณพ่อดีฉันน่ะค่ะ”

“อ้อ! เป็นลูกเขยที่ดี นี่ดีนะที่ไอ้หมอเกตุคนนี้ คิดสะระตะได้ถี่ถ้วน”

“แกหมายความว่ายังไรยะ ไอ้พี่เกตุ” แม่แววหันมาแหวใส่สามี

“ก็พี่เลือกแล้วเลือกอีกนาซีจ๊ะ ถึงได้แม่แววมาเป็นศรีภริยา เป็นอภิชาตภรรยา ดูแลการทุกข์การสุขของสามีได้ทุกอย่าง เป็นที่พึ่ง เป็นที่...”

“หยุดพูดเถิดน่ะ อย่าหาเหามาใส่หัวกันเลยเชียว ดูเถิดค่ะคุณอุ่นเรือน ประชดประชันกันได้ทุกเรื่องทีเดียวเชียว”

“อูยยย!...”

เสียงแสงเพ็งครางเบาๆ ทำให้บทสนทนาที่กำลังออกรสหยุดลงกะทันหัน

“เป็นกระไรแม่แสง... เอ้า! คุณพระช่วย น้ำเดินแล้วด้วยซีนั่น”

คุณแสในร่างของอุ่นเรือนเกือบตระหนก แต่ระงับสติได้เสียก่อน จึงรีบสั่งการ

“บุปผา มาลี มาหาป้าก่อนนะลูก เจ้าหลงมาช่วยนวดขาให้แม่หน่อยซีเล่า...”

เด็กทั้งสามทำตามอย่างว่าง่าย โดยเฉพาะเด็กชายที่ทำท่าทะมัดทะแมงเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ เลื่อนท่อนขาที่พับไว้ให้เหยียดออก แล้วก็เริ่มตั้งอกตั้งใจนวดเฟ้นจริงจัง

“...อูยยย!...”

แสงเพ็งครวญครางสลับกับการพ่นลมออกทางปากแรงๆ สองมือพยายามกอดประคองครรภ์เอาไว้

“อย่าเพิ่ง! อย่าเพิ่งนะแม่แสง หมอเกตุไปบอกยายเมี้ยนให้เตรียมข้าวของ คุณแสงเพ็งจะคลอดแล้ว แม่แววช่วยประคองแม่แสงเข้าเรือนไปที!”

บ่าวสตรีอีกสองคนที่คงได้ยินเสียงเอะอะของอุ่นเรือน รีบวิ่งออกมาจากหลังบ้าน เพื่อช่วยกันประคับประคองแสงเพ็งเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้สำหรับการนี้ตั้งแต่เนิ่น

“หมอเกตุ หมอเกตุเอารถยนต์ออก ไปตามพ่อธรรม์ เห็นแม่แสงว่าไปธุระที่กงสุลอังกฤษ หรือฝรั่งเศส...”

แล้วอุ่นเรือนก็ยิ่งละล้าละลัง เพราะคนจะให้คำตอบก็ถูกพาลับตัวไปแล้ว แต่แล้วก็ได้ยิ้มออก ถึงกับอุทานกับตัวว่า เพราะบุญรักษาแท้ๆ ทีเดียว ที่รถยนต์ของทรงธรรมเลี้ยวผ่านประตูใหญ่เข้ามา

“ใครเป็นอะไรขอรับคุณแส”

คนเพิ่งได้ยศเป็นขุนประสานไมตรีเมื่อปีกลาย แทบกระโดดลงจากรถ พอมาถึงตัวคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางเด็กหญิงชายวัยอ่อนทั้งสาม ก็เรียกให้ลูกสาวทั้งสองคนของตนเข้ามาให้นั่งตัก

“แม่แสงจะคลอด”

“จริงรึขอรับ”

“จริงซีเล่า โน่น! ยายเมี้ยนแกดูอยู่ในห้องนั่น”

เด็กหญิงบุปผาและเด็กหญิงมาลีพากันมองตาม พอเห็นอุ่นเรือนชี้ก็ชี้ตาม แล้วก็พากันหัวเราะหัวใคร่คิกคักให้กันอย่างสดชื่นเบิกบานกันเต็มที่

“น็อง... น็อง...”

มาลีที่เพิ่งพูดได้ไม่กี่คำ คำได้ยินคำว่าน้องว่าพี่อยู่บ่อยๆ ก็เลยส่งเสียงออกมาดังนั้น

“กะกา... กะกา”

บุปผาอ้อแอ้ขึ้นบ้าง คราวนี้คุณแสค่อยเอะใจ ว่าทำไมสองคนพี่น้องถึงดูตื่นเต้นดีใจนักหนา

“ผกาลูก น้องชื่อผกา ผะ... กา”

“กะ...กา กะ...กา”

สองแฝดพยายามเลียนเสียงคนสอนด้วยสีหน้าทะเล้นเต็มที่ ขณะที่ผู้เป็นบิดาก็สบสายตากับสตรีตรงหน้า อย่างเป็นการรู้นัยกันดี

“ดีจริงขอรับคุณอุ่น วันนี้ถึงกับมีข่าวดีถึงสองเรื่องซ้อนๆ กัน”

ทรงธรรมเอ่ยขึ้น พยายามเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายในห้องทึบนั้น ตอนที่เห็นบ่าวคนหนึ่งวิ่งถือกาน้ำร้อนหายเข้าไป

สำหรับเขาในเวลานี้ ถือว่าสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งเรื่องครอบครัว และอาชีพการงาน แต่ก็ยังไปมาหาสู่กับบ้านเรือนตึกอยู่เสมอ หนึ่งเพราะเกลอรุ่นน้องคือหมอเกตุอาคม ได้เป็นดองกับอุ่นเรือน และทั้งความช่วยเหลือใหญ่หลวงที่คุณแสในร่างของอุ่นเรือนมอบให้แก่ตน จนกระทั่งเมื่ออุ่นเรือนมากลายสภาพเป็นคนพิการ เขาก็ยิ่งมาเฝ้าดูแล โดยคนที่รบเร้าให้มาหาคุณอุ่นมากกว่าตัวเขา ก็คือแสงเพ็งนั่นเอง

หลังจากที่ธิดาท่านเศรษฐีฟื้นจากการนอนสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่เป็นแรมเดือน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็วิ่งเตลิดออกจากบ้าน เที่ยวถามทางกับแป๊ะกับเจ๊กริมทาง จนโผเข้ามากอดกันกลมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ในบ้านเรือนตึกที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนนักหนา บิดามารดาของแสงเพ็งก็ทำใจยอมรับและยอมเชื่อตามคำบอกเล่าของบุตรสาว ยอมให้สองหนุ่มสาวได้รักกัน แต่ต้องให้ถูกต้องตามหลักการประเพณี

ก็เป็นคุณแสในร่างของอุ่นเรือนนั่นละ ที่ช่วยจัดแจงที่อยู่ที่กินให้ทรงธรรมได้เตรียมพร้อมสอบบรรจุเข้ารับราชการ จัดการเรื่องขันหมากทั้งงานหมั้นงานแต่งให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แถมยังยกปีกหนึ่งของเรือนตึก “บ้านอเนกคุณากร” เป็นเรือนหอชั่วคราว ตอนได้ฤกษ์วิวาห์

จนวันนี้ทรงธรรมก็ได้เจริญในหน้าที่การงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และไหวพริบความสามารถ ที่สำคัญคือไม่ใช่งานที่ตั้งใจไว้เดิม ที่ว่าจะฝากตัวทำงานรับใช้พวกกงสุล เพราะทรงธรรมกลับสมัครเข้าทำงานในกรมท่า รับอาสาเจรจาเรื่องราวกับพวกจากทางยุโรป

จากความขยันขันแข็งและงานราชการที่ทำ ทำให้ทั้งพ่อตาแม่ยายที่ยึดอาชีพค้าสำเภาต่างชื่นชม เรียกหาใช้สอยได้เต็มปากเต็มคำ ราวกับเป็นลูกในไส้ก็ไม่ปาน

“ยังไร ว่ามาทีรึ ที่ว่าโชคดีซ้อนโชคดีอะไรกันคะ”

ที่จริงชาวบ้านชาวช่องก็แปลกใจไม่น้อย กบเรื่องราวความสัมพันธ์ของทรงธรรมกับอุ่นเรือน ที่เคยมีเรื่องให้อึงไปทั่วร้านตลาด จากการที่สองพ่อลูกตระกูลขุนนางใหญ่โต ฟ้องร้องว่าชายหนุ่มเป็นฆาตกรใจอำมหิต แล้วคดีความก็กลายเป็นโอละพ่อ คนที่ตายไม่ฟื้นกลับเป็นอีกคน คือเจ้าคุณอเนกคุณากร ส่วนคนที่ตายแล้วกลับฟื้นติดๆ กันถึงสองคน ก็คือแม่แววผู้เป็นหลานสาวชั้นปลายแถว กับแม่อุ่นเรือนธิดาหัวแก้วหัวแหวน

“เพราะดีฉันก็ว่าน่าจะมีข่าวดี เมื่อเช้าตอนกรวดน้ำทำบุญ ตาซ้ายมันกระตุกๆ ชอบกลอยู่”

“ข่าวดีคือกระผมจะได้ลูกอีกคน...”

ไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงทารกร้องไห้จ้าดังมา โดยยังไม่ได้ยินเสียงร้องของแสงเพ็งเลยสักนิดเดียว

ทรงธรรมถลันลุก เป็นห่วงภรรยาหนักหนา เกรงว่าจะเป็นอันตราย

พอถลาถึงหน้าประตูห้องทึบ ก็ได้ยินเสียงขับไล่ลอดออกมา

“ไปรอที่ศาลาเถิดเจ้าค่ะท่านขุน ปลอดภัยดีทั้งแม่ทั้งลูกดอกเจ้าข้า...”

เป็นเสียงของยายเมี้ยนหมอตำแย ที่ทำให้ทรงธรรมยอมกลับมาสมทบกับอุ่นเรือนตรงที่เดิม

“แล้วยังไร ที่ว่าข่าวดี ยังไม่เห็นพูดมาสักทีคะ”

“ก็... คุณแส... เอ๊ย! คุณอุ่นเรือนจะได้ลูกสาวเพิ่มอีกคนนึงยังไรเล่าขอรับ”

“พ่อธรรม์นี่ก็อีกคน ชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อย บอกมาเถิดว่าข่าวดียังไรแน่”

ทรงธรรมยังแกล้งกระบิดกระบวน ชะเง้อชะแง้ไปทางห้องทำคลอด รอจนแม่แววออกมาบอกว่าพร้อมให้เข้าไปเยี่ยมได้แล้ว และบ่าวสตรีสองนางช่วยกันประคองให้อุ่นเรือนขึ้นนั่งบนแคร่หามนั่นละ จึงเอ่ยว่า

“ประเดี๋ยวค่อยบอกพร้อมกันเลยดีกว่าขอรับ”

“หยั่งนี้ละครับ ช่างยอกช่างย้อน ช่างขยักขย่อน ท่านพี่ขุนมันถึงได้เจริญในหน้าที่การงาน ได้นั่งตำแหน่งขุนประสานไมตรี เพราะยักเยื้องคุยกะไอ้พวกฝรั่งดั้งขอได้ไม่มีเสียเปรียบ”

หมอเกตุที่ผุดลุกผุดนั่งช่วยลุ้นอยู่ด้วยอดแกล้งประชดให้ไม่ได้

คนที่ยังไม่แน่ใจว่าถูกชมหรือถูกด่า ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็ตัดใจจะไม่พูด รีบพยักให้ช่วยกันยกแคร่หาม พาอุ่นเรือนตรงมายังห้องทำคลอด ตอนแรกเด็กน้อยทั้งสามร้องจะตาม แม่แววกับบ่าวทั้งสองนางจึงต้องช่วยอุ้มกันไว้คนละคน

กลิ่นของห้องทำคลอดยังอวลอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ถูกดับกลิ่นด้วยพิมเสนและการบูร ที่โรยเข้ากองถ่านหิน แล้วราดน้ำตามเบาๆ จับกลิ่นเดิมให้กลายเป็นไอ และแทนที่ด้วยกลิ่นหอมๆ เย็นๆ ของสิ่งที่โรยลงไป

พอตั้งแคร่ลงเรียบร้อย หมอตำแยก็ยื่นกระด้งให้อุ่นเรือน ผู้มีชื่อเป็นมงคลนาม

“ไหวไหมขอรับคุณ”

“ต้องไหวซีพ่อธรรม์ นี้คนสุดท้ายละนะ ลูกสาวจริงๆ ด้วย ให้ชื่อผกานะคะ”

“แน่นอนขอรับ...”

ชายหนุ่มละให้ยายเมี้ยนพึมพำคาถาแม่ซื้อแม่ขาย อยู่กับการช่วยคุณแสในร่างของอุ่นเรือนประคองกระด้ง ที่บัดนี้มีเด็กหญิงตัวจ้อย ถูกห่อด้วยผ้าสำลีจนเห็นแต่ดวงหน้ากระจิริด หลับตาพริ้มและอมยิ้มเหมือนสนุกกับการถูกวางและเคลื่อนกระด้งไปมา

ตัวเขาเองหันมาหาภรรยาสุดที่รัก ที่แม้ขณะนี้จะมีท่าทางอิดโรย ดวงหน้าซีดเซียว แต่ก็ยังยิ้มชื่น สบสายตากับเขาด้วยความรู้สึกเป็นสุขและเต็มตื้น

“พี่ผกามาแล้ว ครบแล้วนะคะท่านขุน”

“ผิดแล้วละแม่แสง...”

ทรงธรรมเหมือนแกล้งยั่ว แต่ไม่ยอมให้แสงเพ็งมีสีหน้าแปลกใจอยู่นาน ก็รีบเฉลย

“ลูกสาวคนนี้น่ะให้ชื่อผกานั่นถูกแล้ว แต่กับพี่ ต้องเรียกคุณพระ ท้องตราเพิ่งตกลงมาทางท่านเจ้าพระยา เลื่อนให้พี่เป็น พระประสานราชกิจกัลยาณมิตรเพิ่มไมตรี ทั้งยังพระราชทานบ้านหลวง ให้สมฐานะที่เป็นผู้ช่วยท่านเจ้าพระยาพระคลังกรมท่า...”

“คุณพระ คุณพระอะไรนะคะ แสงฟังไม่ถนัด”

“พระประสานราชกิจ...”

น้ำตาแห่งความปลื้มปีติของแสงเพ็งไหลอาบแก้ม ทรงธรรมต้องช่วยเช็ดน้ำตาให้ จากนั้นกุมมือของหญิงที่ตนรักที่สุดเอาไว้

“นับเป็นบุญวาสนาของเรานะคะ ตอนคลอดเจ้าแฝดพี่ธรรม์ก็ได้เลื่อนเป็นท่านขุน มาเจ้าผกาคนนี้ ยังได้เลื่อนขึ้นเป็นที่คุณพระ...”

แสงเพ็งเสียงเครือ ตื้นตันจนแทบบอกไม่ถูก

“เป็นบุญของพี่จริงแท้อย่างที่แม่แสงว่ามานั่นละ ที่ทำให้พี่มีโอกาสได้มาพบ ได้มาผูกพันกับทุกคน พี่สัญญาอีกเป็นครั้งที่ร้อยก็ได้นะ ว่าจะไม่โลเลเหลวไหล ตั้งใจทำราชการงานเมือง ดูแลแม่แสง ดูแลลูกๆ รวมทั้ง... คุณแส...”

คำท้ายทรงธรรมก้มลงกระซิบที่ข้างหูของแสงเพ็ง พร้อมจุมพิตแผ่วเบาที่ข้างแก้ม เป็นการยืนยันในคำมั่นสัญญา...


................... จบบริบูรณ์ .................



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 เม.ย. 2555, 22:52:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 เม.ย. 2555, 22:53:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 5401





<< บทที่ ๑๙   
นวลชมพู 16 เม.ย. 2555, 22:58:21 น.
^__^" เอ่อ... นิยายขนาดสั้นเนอะ จบตรงบทที่ ๒๐ นี่ละ

ส่งเสียงทักทายกันมาได้เลยนะจ๊ะ ขาดตกบกพร่องตรงไหน ข้าน้อยขอน้อมรับทุกประการ

นะ นะ... แบบว่า ยอดคนอ่านก็พอมี แต่ยอดคคห.เงียบเหงาจนแทบท้อ


ขอบคุณแฟนานุแฟนที่ติดตามกันอย่างเหนียวแน่น และมิตรนักอ่านทุกท่าน ที่ตามอ่านงานของนวลชมพูมาจนถึงบทอวสาน


ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ
จากใจจริงขะรับ

(-/|\-)


pseudolife 16 เม.ย. 2555, 23:16:43 น.
ติดตามตลอดค่า แต่เพราะเป็นแนวที่ไม่ค่อยได้อ่าน
เลยคอมเม้นท์ไม่ค่อยถูก ได้แต่รออ่านอย่างเดียว
แต่ขอชื่นชมว่าเขียนได้น่าอ่าน ลื่นไหล และน่าติดตามมากเลยนะคะ
ขอบคุณที่ลงนิยายสนุกๆ รสชาติไม่เหมือนใครให้อ่านกันค่ะ


นวลชมพู 17 เม.ย. 2555, 12:58:38 น.
เห็นคุณ pseudolife ติดตาม ให้คคห.เป็นระยะ ก็อุ่นใจขะรับ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเพื่อนนักอ่าน ถูกอกถูกใจกันแค่ไหน

เรื่องต่อไป กำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะเอา "น้ำค้างกลางจันทร์" รีไรท์มาลงใหม่ หรือ จะลงต่อให้จบ หรือจะลงเรื่องใหม่ไปเลย

ขอเวลาตั้งตัวอีกสักพักขะรับ แล้วจะแปะเรื่องต่อๆ ไปให้มิตรรักนักอ่านทุกท่านเช่นเคย


ด้วยมิตรภาพ


wane 17 เม.ย. 2555, 13:17:28 น.
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค๊า ... เนื้อเรื่องสนุกมากๆ ค่ะ ไม่เคยอ่านเรื่องแนวนี้มาก่อน ..แต่เรื่องนี้ชอบมากค่ะ จะติดตามผลงานเรื่องต่อๆ ไปของไรเตอร์ด้วยนะค่ะ


ปริยาธร 17 เม.ย. 2555, 18:58:03 น.
อย่าเพิ่งท้อค่ะคุณซองเกือบพัน เอ้ย คุณนวลชมพู
ติดตามมาตั้งแต่ในพันทิปแล้วค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก แวะมาให้กำลังใจและกดไลท์ให้อีกครั้งค่ะ ^^


นวลชมพู 17 เม.ย. 2555, 21:39:46 น.
คุณ wane คนเขียนก็ไม่ค่อยได้เขียนแนวเบาๆ หลอนนิดๆ แบบนี้มาก่อน ก็กลัวเหมือนกันว่า จะเขียนไม่ได้เรื่อง เรื่องต่อไป ไม่แน่ใจว่าจะลงแนวนี้ต่อหรือเอาอีกแนวมาคั่นก่อนดี

คุณ ปริยาธร อ่านะ...จำซองได้ด้วย ที่จริง "นวลชมพู" ใช้ตอนพิมพ์เล่มคนละแนวกะ "อรุโณชา" ที่ใช้ล็อกในพันทิปว่า "เพลงเกือบพัน" เหมือนกัน อย่างที่บอก เรื่องนี้เขียนแบบเพ้อล้วนๆ กวนประวัติศาสตร์เล่นๆ ไม่มีตำราอ้างอิงใดๆ อยู่ใกล้มือ ข้อมูลแบบนั่งเทียน อาศัยเอาเนื้อเรื่องสนุกเข้าว่าอ่าจ๊ะ

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ และทุกคลิกที่กดเข้ามาอ่านจ้าาาา


wane 18 เม.ย. 2555, 12:21:14 น.
เข้าไปอ่าน น้ำค้างกลางจันทร์ มาแบบรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดเลย ..สนุกมากค่ะ ..อยากให้ลงต่อจนจบ อย่าเพิ่งรีไรท์เลยนะคะ เนื้อเรื่องเข้มข้นดีแล้ว จะรออ่านนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account