(เรื่องสั้น)
รวมเรื่องสั้นค่ะ

เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน

@^__^@
Tags: เรื่องสั้น

ตอน: รักคุณเข้า (อีก) แล้ว

ผู้หญิงร่างสูงโปร่งที่ก้าวลงมาจากรถคันข้างหน้านั้นทำให้ พรภพ แทบจะหยุดหายใจ เพียงเสี้ยวหน้า เขาก็จำได้ทันทีว่า นั่นคือ สาวน้อยที่เขาเคยแอบชอบ เด็กผู้หญิงตัวสูงที่สุดในห้องเรียนมัธยมต้น เด็กสาวในชุดคอซองที่ไล่ตีเขารอบห้องวันนั้น กลับกลายเป็นผู้หญิงที่มาดมั่น และดูเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งความเป็นหญิงอย่างแท้จริง

ช่างต่างจากผู้หญิงคนข้างๆยิ่งนัก

พรภพยิ้มขันกับตัวเอง เมื่อนึกถึงคนข้างตัวในปัจจุบัน ทิมทอง เพื่อนที่เขารู้จักคุ้นเคยสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้หญิงที่แทบจะไม่มีอะไรเทียบกับผู้หญิงที่เป็นรักครั้งแรกของเขาอย่างผู้หญิงเจ้าของรถคันข้างหน้าได้เลย แต่กาลเวลาผ่านไป จากปีหนึ่ง ล่วงเข้าปีสอง จนมาถึงปีสาม เขากับเธอ ก็กลายเป็นคนรักกันไปได้อย่างไรไม่รู้ ยิ่งนับมาถึงวันนี้ มันก็กินเวลามานานเกือบๆ 7 ปี

“เจ็ดปีอันตราย” ทิมทองโอดครวญกับเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนที่นัดเจอกัน ยิ่งเห็นเขามองไปด้วยความสงสัย เธอเลยต้องเฉลยออกมาว่าประโยคนั้นหมายความเช่นไร

“ภพไม่เคยได้ยินเหรอไง เจ็ดปีจากนารี เป็นอื่น”

“ผมว่านั่นมันสามวันจาก นารีเป็นอื่นมากกว่านะ” เขาตั้งใจเว้นวรรคประโยคผิดๆ พลางหัวเราะลั่น เมื่อคนตรงหน้าค้อนควัก

“สามวันก็สามวัน แต่นี่เจ็ดปี โอ๊ย ทิมเห็นคนเราพอเข้าสู่ปีที่เจ็ดของชีวิตคู่ทีไร พัง แทบจะทุกราย” เธอบ่นพลางจิ้มทอดมันกุ้งชิ้นโตใส่จาน พรภพรีบตักน้ำจิ้มให้อย่างเอาใจ หวังให้เธอเลิกบ่นสักที

“อย่าบอกว่าทิมกลัว”

“ก็กลัวน่ะสิ” สาวเจ้าตอบทันควัน ก่อนหั่นทอดมันกุ้งกรอบตรงหน้าประหนึ่งจะระบายอารมณ์ “กว่าภพจะหลงมาให้ทิมจีบก็ตั้งนาน กว่าจะติดกับดักทิมอีก เกิดปีนี้ ภพหลุดออกจากวังวนของทิมได้ ทิมต้องแย่แน่ๆเลย”

เธอบ่นอุบอิบ ในขณะที่คนฟังยังคงไม่เข้าใจว่า แล้วมันจะทำไม

“ยังไงผมก็ไม่มองใครอยู่แล้ว ทิมจะกลัวทำไม”

“ไม่รู้ล่ะ ทิมกลัวไว้ก่อน ขอให้ผ่านเจ็ดปีอันตรายนี่ไปเร็วๆด้วยเถอะ ภพห้ามไปมองใครนะ รู้มั้ย ไม่งั้นทิมเอาตาย”

คนถูกขู่หัวเราะกว้าง เมื่อคนขู่ ขู่เสร็จก็คว้าทอดมันกัดกร้วบ ประหนึ่งดั่งคำสาบานว่าเอาจริง

นาทีนั้นพรภพอาจจะขำ แต่ตอนนี้เขาชักขำไม่ออกแฮะ เมื่อได้มาเห็นรักครั้งแรก ผู้หญิงที่เขาเคยประทับไว้ในความทรงจำ เดินอยู่ตรงหน้าเช่นนี้


หลังจากล็อครถ และเร่งฝีเท้าเดินตามผู้หญิงในชุดแซคสีดำสุดเซ็กซี่ตรงหน้า พรภพก็ไม่แน่ใจว่า เขาควรจะทักเธอตอนนี้ หรือรอเข้าไปในร้านแล้วค่อยเอ่ยเรียก หากเหมือนสายตาของเขาจะมีรังสีรุนแรงเกินไป ผู้หญิงข้างหน้าจึงหันมามอง และส่งยิ้มให้เขาอย่างจำได้

“ภพ” เธอเอ่ยเรียกเสียงหวานใส ไม่ต่างจากเสียงในความทรงจำของเขาเลย

“หวัดดี หนูพุก” แม้แต่ชื่อ ก็ยังน่ารักสมตัวเธอ

ผู้หญิงร่างสูงโปร่งตรงหน้าหยุดเดิน และรอให้เขาเดินเข้าไปหา เมื่อเทียบกันแล้ว พรภพพบว่า เธอสูงเกือบจะเท่าเขาเลยทีเดียว ... ก็เพราะรองเท้าส้นสูงเกือบสามนิ้วนี่ล่ะมั้ง

ไม่เหมือนกับทิมทองเลยสักนิด รายนั้นเตี้ยกว่าเขาเกือบหนึ่งไม้บรรทัด แต่ก็ยังสมัครใจใส่รองเท้าส้นเตี้ยเก๋ๆ หรือรองเท้าผ้าใบคล่องตัวเวลาเดินกับเขาเสมอ

“กลัวอยู่เลยว่าจะมาแล้วไม่เจอใคร” เธอว่า ก่อนเริ่มต้นเดินเคียงข้างกันเข้าไปในร้าน “ตื่นเต้นจัง ไม่ได้เจอเพื่อนๆมานานแล้วเนาะ”

“ต้องขอบคุณไอ้ป๋อที่จัดงานนี้” พรภพหัวเราะตอบ ใช่ ต้องขอบคุณเพื่อนตัวดีของเขา ที่จัดงานเลี้ยงอำลาตัวเอง ในฐานะที่จะต้องเดินทางไปทำงานที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลในทวีปอเมริกาใต้ ไม่เช่นนั้น งานนี้คงไม่เกิด

“เห็นว่ารวมเพื่อนหลายกลุ่มเลยเหรอ”

ตอนนี้ทั้งคู่เดินเข้าประตูไปในร้านแล้ว แต่ด้วยแสงสลัว ยังทำให้หาใครไม่พบ

“ก็แค่มัธยมน่ะ เห็นมันว่า มหาลัยไว้เลี้ยงอีกรอบ” เขาตอบ พร้อมกับมองหาโต๊ะไปด้วย “นั่นไง ไปกันหนูพุก”

พรภพแตะแขนผู้หญิงคนข้างๆเพียงแผ่วเบา ให้เธอเริ่มต้นเดินไปยังโต๊ะนั่งที่ตอนนี้มีผู้คนกลุ่มใหญ่จับจองอยู่ เสียงทักทายเฮฮาดังขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกนั่งกันคนละฝั่งโต๊ะ เธอนั่งกับเพื่อนผู้หญิง ในขณะที่เขานั่งเฮฮาอยู่ฝั่งผู้ชาย แต่พรภพก็รู้ว่า สายตาของเขา มักจะแวะเวียนไปยังที่นั่งของเธอบ่อยครั้ง

และก่อนลาจากกันในวันนั้น พรภพก็ได้เบอร์โทรศัพท์รักแรกของเขามา



“ภพ ฟังทิมอยู่รึป่าวเนี่ย”

ผู้หญิงร่างป้อมโบกมือไปมาอยู่หน้าเจ้าของชื่อ ทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เกือบเดือนแล้ว นับจากวันนั้น ที่ได้กลับมาเจอกับหนูพุกอีกครั้ง พวกเขาส่งข้อความคุยกันบ้าง ทักทายกันบ้าง และนัดออกไปทานข้าวกันบ้าง แน่นอนว่า พรภพไม่ได้บอกว่าเขามีแฟนแล้ว ในขณะที่ฝ่ายหญิง ก็ไม่เคยเอ่ยปากถึงคนรักเลย

มันหมายความว่าเธอไม่มีใครหรือเปล่านะ พรภพคิด ขณะที่คนตรงข้ามยังคงเอ่ยปากแจ้วๆ ชี้ชวนเขาดูโต๊ะนู้น โต๊ะนี้ เล่าเรื่องราวตลกๆในที่ทำงาน และก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งเมื่อพบว่า อาหารจานโปรด รสชาติแปลกไป

“พักนี้ดูอารมณ์ดีนะ”

“หืม ยังไง แล้วทุกทีผมอารมณ์ไม่ดีหรือไง” เขาถามกลับ

“เปล่า” ทิมทองยักไหล่ ตอบด้วยคำยอดฮิต ที่มักจะมีคำว่าแต่ต่อท้าย “แต่ทุกทีไม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างนี้ ตั้งแต่ไปเลี้ยงส่งป๋อก็อารมณ์ดี ยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนี้ตลอด บอกมา ไปเจออะไรดีๆหรือไง”

“ก็เจอเพื่อนเก่าๆ นึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กๆมันก็ขำขึ้นมา” เขาว่า อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้หญิงชุดแซคดำสุดเซ็กซี่คนนั้น ช่างต่างจากคนตรงหน้าเสียจริงๆ

หลังจากพูดคุยกันมาอีกหลายครั้ง พรภพก็พบว่า หนูพุกเปลี่ยนไปจากตอนเด็กๆ เธอมีมาดขึ้น มีลักษณะของผู้หญิงที่รู้ว่าตัวเองมีดี เรื่องราวที่หยิบมาพูคุยก็เป็นเรื่องที่เธอมีความรู้อย่างเต็มเปี่ยม หลายครั้ง ที่พรภพได้ความคิดดีๆจากการคุยกับเธอด้วยซ้ำ หลายเรื่องก็เป็นสิ่งที่เขารู้มาก่อน แต่ก็อีกหลายเรื่อง ที่ไม่เคยได้ยินมาเลยเหมือนกัน ขณะที่พอเขาพูดคุยเรื่องที่เขาสนใจ แม้เธอจะไม่มีความรู้ แต่ก็ตั้งอกตั้งใจฟัง อย่างเก็บทุกประโยคเต็มที่ ทำให้เขาอดภูมิใจเล็กๆไม่ได้

ต่างจากเธอตรงหน้าเขานี่

ทิมทองมีความรู้สัพเพเหระ เธอรู้ตั้งแต่ไม่จิ้มฟันยันเรือรบ แต่ถ้าถามความคิดในเชิงลึกซึ้ง ทิมทองแทบจะไม่มีคำตอบให้เลย เหมือนเธอมองอะไรในแง่ดี และมองในแง่งามเสมอ ถ้าให้เธอใช้สมอง ทิมทองต้องขอตัว

ยังจะเรื่องกิริยา มารยาทนี่อีก อยู่กับหนูพุก เขาต้องคอยระมัดระวังตัวเอง เพราะเธอมาดเฉียบซะขนาดนั้น หลายครั้งที่เขาอด’ยืด’ไม่ได้เมื่อเห็นผู้ชายโต๊ะข้างๆมองหนูพุกด้วยสายตาชื่นชม เธอรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ รู้จักมารยาทในการเข้าสังคม แบบที่ดูก็รู้ว่าฝึกมาอย่างดี ไอ้ประเภทที่แค่เขานั่งมองก็พลอยเจริญอาหารไปด้วยอย่างทิมทองนั้น แทบไม่มี

นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ คนตรงหน้าก็ม้วนก๋วยเตี๋ยวลุยสวนเข้าปากอย่างน่าเอร็ดอร่อยไปแล้ว

ปากของทิมทองยังพูดจาไม่หยุด พอๆกับที่ความคิดของพรภพก็ยังไม่หยุดเหมือนกัน เธอบ่นเรื่องนู้น โยงเข้าเรื่องนี้ บ่นสามคำ ตักอาหารเข้าปากหนึ่งคำ เขามองรอบๆตัว รถเข็นข้างทาง รถราแล่นขวักไขว่สมกับเป็นวันศุกร์แห่งชาติ แบบที่ทิมทองพาเขามาพบเจออะไรเช่นนี้อยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน
แล้วอยู่ดีๆ พรภพก็หัวเราะออกมา ทำให้ผู้หญิงที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำถึงกับชะงัก

“ทิมพูดไรผิดหรือไง”

“เปล่า ผมแค่นึกอะไรบางอย่างแล้วขำน่ะ”

“เหรอ” แล้วเธอก็เลิกสนใจ ไม่เซ้าซี้เขาว่าขำอะไร ยังไง เล่าให้ฟังหน่อย ทิมทองเป็นคนง่ายๆอย่างนี้แหละ เธอไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยเร่งเร้า เธอรอให้เขาพูดเอง ไม่คิดจู้จี้ และไม่เคยที่จะออดอ้อนอะไรเขาเลย

ใจของพรภพนึกถึงผู้หญิงอีกคน ... เขาพบความแตกต่างระหว่างสองคนนี้อีกแล้วสินะ



“ร้านนี้อร่อยล่ะ เราไม่แน่ใจว่าภพเคยมาหรือยัง แต่ภพน่าจะชอบนะ”

วันนี้เป็นอีกวันที่พรภพนัดทานข้าวกับเพื่อนเก่าสมัยมัธยมต้นของเขา เธอเลือกร้านอาหารแนวฟิวชั่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โชคดีที่มันเป็นคืนวันธรรมดา คนจึงไม่ค่อยเยอะจนทำให้เขาถึงกับเวียนหัว เขามองเธอสั่งอาหารอย่างสนใจ นี่ก็เป็นอีกอย่างที่เขาเชื่อว่าทิมทองคงไม่มาหยียบร้านแบบนี้แน่ๆ

“แพง และก็กินไม่อิ่ม กระเป๋าฉีกพอดีกว่าจะอยู่ท้อง” เธอเคยบอกเขาอย่างนั้น

แต่ดูท่าอาหารไม่กี่อย่างที่หญิงสาวในชุดทำงานเก๋ไก๋สมเป็นสาวออฟฟิศตรงหน้าสั่ง จะทำให้เธออิ่มได้ หนูพุกหันมาถามความเห็นเขาในบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเองเมื่อเห็นเขายิ้มพร้อมบอกอะไรก็ได้

ที่นั่งติดกระจกแบบนี้ ดูร่มรื่นด้วยมุมสวนที่อยู่หน้าร้าน พรภพมองไปนอกกระจก สนทนากับคนฝั่งตรงข้ามอย่างออกรส เขายิ้ม เขาหัวเราะเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ทั้งคู่ลงมือรับประทานอาหารพร้อมทั้งเสวนาไปด้วย ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดี จนกระทั่งพรภพหันไปเจอใครสักคนที่ยืนอยู่ในสวนสวยนั้น ผู้หญิงรูปร่างเล็ก มีน้ำมีนวลในชุดเสื้อเชิ้ตสีหวาน กับกางเกงผ้าสีดำและรองเท้าส้นเตี้ยสีเข้ากับกระเป๋าสะพายใบเล็กที่เขาคุ้นตา ใช่ เขาเป็นคนซื้อกระเป๋าใบนี้ให้เธอเอง

ทิมทอง !!!

แวบแรกที่เห็น พรภพใจหายวาบ เธอคนนั้นจะมองเขานานเท่าไรแล้วไม่ทราบได้ แต่เมื่อเธอรู้ว่าเขาสังเกตเห็นเธอ เธอก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ พร้อมส่งรอยยิ้มที่เขาได้เห็นมาตลอดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง หากวันนี้ รอยยิ้มนั้น ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา

เธอยิ้มแค่ปาก แต่ไม่ได้ส่งยิ้มให้เขาผ่านทางดวงตาเหมือนทุกที

“คนรู้จักเหรอภพ” คนชวนเขามาร้านนี้ถามเมื่อเธอเห็นว่าคู่สนทนาหยุดชะงักเรื่องราวที่กำลังคุยกันออกรสไป เมื่อหันมองตาม หนูพุกก็เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงคนหนึ่งที่ส่งมาให้ ทำให้เธอต้องส่งยิ้มตอบ

ไม่มีคำตอบจากพรภพ แม้กระทั่งในยามที่เธอคนนั้นเดินออกจากสวนไปแล้ว พรภพก็ยังไม่แก้ข้อสงสัยของเธอ

“ตกลงใครเหรอ ที่โบกมือให้ภพในสวนน่ะ”

หนูพุกเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากร้าน ความเงียบยังคงเป็นคำตอบจากเขาเช่นเดิม ...



“จำเรื่องที่ทิมเคยบอกภพได้ไหม”

ค่ำคืนนั้น พรภพได้รับโทรศัพท์จากทิมทอง เธอถามเขาด้วยประโยคนี้ เป็นบทเริ่มต้นแรกของการสนทนา

“เจ็ดปีจากนารี เป็นอื่น ไง” เธอเอ่ยทวนความทรงจำให้เขา เมื่อพบว่ามันมีแต่ความเงียบตอบกลับ “ทิมจะไม่ถามนะ ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่ภพจำได้ไหม ทิมเคยบอกแล้วว่า ถ้าภพอยากจะมีคนอื่น ให้บอกทิมตรงๆ อย่าให้ทิมรู้เอง ภพผิดสัญญากับทิมนะ ทิมจะไม่โวยวายด้วย” ปลายสายหัวเราะเล็กน้อย “แค่จะบอกให้รู้ ว่าทิมเสียใจ”

“ภพกับเขาเป็นแค่เพื่อน”

“เพื่อนที่เป็นรักแรก ทิมรู้น่า ภพเคยพูดถึงผู้หญิงคนนี้ให้ทิมฟังเมื่อนานมาแล้ว ทิมจำได้” เธอเอ่ยเสียงใส “เฮ้อ ไม่คุยแล้ว เดี๋ยวทิมต้องรีบไปเฝ้าเครื่อง ช่วงนี้ทิมรับโอทีเยอะไปหมดเลย คงไม่ได้เจอภพเป็นอาทิตย์เลยล่ะ เอาเป็นว่า ภพตัดสินใจยังไงก็บอกทิมแล้วกันนะ”

ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยขอโทษ ผู้หญิงที่เขาคบมาเกือบๆเจ็ดปี ก็วางสายลงไปเรียบร้อย

และไม่ว่าจะโทรกลับไปเท่าไร ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเธอคนนั้นอีกเลย



ทิมทองเดินหาวออกมาจากตึกทำงาน ช่วงนี้เธอรับโอทีเยอะแยะไปหมด คนไม่พอล่ะหนึ่ง แต่อีกเหตุผลหนึ่ง ทำงานเยอะๆเข้าไว้ จะได้ลืมๆเรื่องราวที่มันค้างคาใจตอนนี้ไปเสีย

สองอาทิตย์ ที่เธอไม่ได้เจอหน้าพรภพ ไม่ได้คุย ไม่ได้รับโทรศัพท์ สองอาทิตย์ ที่แทบจะไม่ได้โผล่หน้าไปไหน เพราะเครื่องจักรโรงงานมีปัญหา สองอาทิตย์ที่เธอแทบจะกินอยู่หลับนอนที่ทำงานเสียด้วยซ้ำ สองอาทิตย์ที่น่าจะพอทำให้เขาตัดสินใจอะไรได้

เอาจริงๆ เธอก็ไม่กล้าที่จะฟังการตัดสินใจของเขาอยู่ดี เธอไม่มั่นใจ เจ็ดปีมันจะพอเหนี่ยวรั้งอะไรเขาไว้ได้ไหม ไม่รู้เลย ถึงจะทำปากดี ขู่เขาอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ เธอกลับขอหนีมาตั้งหลักก่อน อีกทั้งถ้าจะให้นับจริงๆ ผู้หญิงคนนั้น รู้จักกับพรภพมามากกว่าเธอหลายปีเสียด้วยซ้ำ นึกมาถึงตรงนี้น้ำตาก็พาลจะไหล แต่ทิมทองกลับกล้ำกลืนมันเอาไว้ พร้อมบอกตัวเองว่า ก็แค่ง่วง การหาวมันทำให้น้ำไหลออกจากตาได้เหมือนกัน

เธอเดินมายังรถเก๋งคันเก่า เกียร์กระปุก มรดกตกทอดของที่บ้าน ตั้งใจจะมาหอบเอากระเป๋าไปเก็บเสื้อผ้าในห้องพัก แล้วก็นั่งรถรับจ้างกลับบ้าน แต่เมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงๆในชุดเสื้อเชิ้ตยับๆพิงรถอยู่ ทิมทองก็ถึงกับงง

เขาไม่ไปทำงานเหรอไง อ้อ วันนี้วันเสาร์ เขาไม่ต้องทำงาน แต่เอ๊ะ ทำไมมาในชุดนี้ล่ะ ทิมทองสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม เธอเพียงทักทายเขาว่า “อรุณสวัสดิ์” เมื่อเดินมาถึงรถ และเห็นท่าทางอ่อนระโหยของอีกฝ่าย

“ได้นอนหรือยังเนี่ย”

“นอนในรถไปหน่อย แต่นอนไม่ค่อยหลับ”

“แล้วมาทำอะไรแต่เช้าเนี่ย” เธอว่าพลางมองเขาอย่างสังเกต แขนเสื้อเชิ้ตที่ถูกพับอย่างลวกๆเหนือข้อศอก ทำให้เธอเห็นว่ามีรอยยุงกัดอยู่ เขาแพ้ยุงเสียด้วยสิ “ยุงกัดหมด เดี๋ยวทิมค้นยาหม่องในกระเป๋าให้”

เธอติดยาหม่อง และมักจะเอาป้ายรอยแมลงสัตว์กัดต่อยของเขาเสมอ กำลังจะทำอย่างปากว่า ด้วยการเปิดประตูและมุดรถไปเอาของ ข้อมือก็ถูกคว้าด้วยมือของเขาเสียก่อน

“ทิม”

“เดี๋ยวค่อยคุย ให้ทิมหายาก่อน เดี๋ยวคัน”

เธอพยายามสลัดข้อมือออกจากมืออุ่นจัดของเขา แต่ก็ทำไม่ได้

“ผมขอโทษ”

“ตัดสินใจได้แล้วเหรอ”

“อืม ตัดสินใจแล้ว”

“โอเค” ทิมทองส่งยิ้มให้ อย่างพอเข้าใจตัวเองดี ใครจะไปสู้รักแรกของเขาได้ล่ะนะ เธอพยายามส่งคำพูดหนึ่งออกมาจากปาก แต่รู้ตัว ว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาในไม่ช้า

เชิดหน้าเข้าไว้ ทิมทอง

“ทิมเข้าใจดี มาบอกเท่านี้ใช่มั้ย กลับบ้านไปนอนไป ทิมก็จะกลับบ้านเหมือนกัน ง่วง”

“ทิมเข้าใจว่า ?” คู่สนทนาเอ่ยถาม พรภพปัดเส้นผมที่โดนลมพัดให้เธออย่างอ่อนโยน

“เข้าใจว่า เจ็ดปีจากนารี เป็นอื่น น่ะสิ” ทิมทองหัวเราะ แต่ทำไมรู้สึกว่ามันเป็นเสียงหัวเราะที่ขันขื่นก็ไม่รู้

“ใช่ เจ็ดปีจากนารี ยังเป็นอื่นเลย แล้วผู้หญิงที่จากผมไปเป็นสิบๆปีแล้ว จะสำคัญกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างผมมาตลอดเจ็ดปีได้ยังไง”

“หืม ภพว่าอะไร อย่าว่าทิมโง่นะ แต่เจ็ดโมงเช้า ทิมเพิ่งออกเวรเฝ้าเครื่องมาทั้งคืนอย่างนี้ คิดอะไรไม่ออกหรอก”

“ไม่เห็นต้องคิดอะไร ก็รู้ไว้เหอะว่าผมเลือกทิม โอเคมั้ย”

เขาปัดเส้นผมให้เธออย่างอ่อนโยน ย้ำคำมั่นที่ทำให้เช้าวันนี้สดใสที่สุดในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา

“ผมรักทิม ผู้หญิงที่เป็นรักแรก จะสำคัญกว่าผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในปัจจุบันได้ยังไง”



หลังจากทิมทองไม่รับสายเขาตลอดวันนั้น พรภพก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าควรจะทำเช่นไร

เขาไม่ได้เลือกใคร ผู้หญิงทั้งคู่ไม่ได้เป็นตัวเลือกของเขาทั้งนั้น เขาแค่หวั่นไหวไปกับการกลับเข้ามาของคนที่เขาเคยประทับใจ คิดว่าตกหลุมรักเธอเข้าอีกครั้ง หากเมื่อมองดูความรู้สึกของตัวเองดีๆ คนที่ทำให้เขารู้สึกรักอีกครั้งอย่างนั้น น่าจะเป็นทิมทองมากกว่า

พรภพรักร่างเล็กๆที่เดินเคียงข้างเขา รักรองเท้าผ้าใบสีมอมๆของเธอ รักเวลาที่เธอทำให้เขาเจริญอาหาร รักที่เธอพาเขาเดินตลาดนัด และกว้านซื้อของกินมามากมาย รักเสียงหัวเราะของเธอ รักรอยยิ้มที่ส่งผ่านให้เขาทั้งปากและนัยน์ตา รักความห่วงใยของเธอที่ไม่เคยแสดงออกมาป็นคำพูด แต่ฉายชัดด้วยการกระทำ รักที่เธอเข้าใจเขา และรักที่เธอทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง รักจนทำให้เขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อเธอได้เหมือนกัน

ทำทุกอย่าง ที่จะไม่ให้เธอจากเขาไป

รวมถึงการมานั่งรอที่ลานจอดรถบริษัทเธออย่างนี้แทบทุกวันด้วย

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนผม เราคบมาจะเจ็ดปีแล้วล่ะ”

พรภพบอกหนูพุก ในเย็นวันต่อมา หลังจากที่ตัดสินใจได้

“ขอโทษที่เพิ่งบอกหนูพุก แต่ผม...”

“แล้วก็ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ แล้วจะแต่งงานเมื่อไรล่ะ อย่าลืมชวนเราด้วยนะ”

แวบหนึ่งที่เขาเห็นความเสียใจในแววตาของคนพูด แต่เพียงแค่พริบตา มันก็หายไป



“ดีนะเขาไม่ตบเข้าให้”

ทิมทองว่าหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด พลางแต้มยาหม่องตามรอยแดงๆให้เขา มันเยอะพอดูสินะ ก็แหงล่ะ พรภพคิด เขามารอแทบทุกวัน ดีเท่าไหนแล้วที่วันนี้เจอ ไม่งั้น เขาคงได้เป็นไข้เลือดออกก่อนได้เธอคืนมาแน่ๆ

“หนูพุกทำให้ผมรู้อีกครั้งว่า การตกหลุมรักน่ะ มันรู้สึกยังไง จริงๆนะ หนูพุกทำให้ผมรู้สึกตกหลุมรักทิมอีกครั้งยังไงก็ไม่รู้”

เธอหน้าแดง แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นกับการแต้มยาให้คนรักอย่างไม่ลดละ

“ทิมทำให้ผมเคยตัว”

“ยังไง”

“ก็ทิมทำให้ผมกินข้าวกับใครก็ไม่อร่อยเท่ากินกับทิม”

“แค่เนี๊ยะ”

“ดูหนังกับใครก็ไม่สนุกเท่าดูกับทิม ฟังเรื่องอะไรก็ไม่สนุกเท่าฟังทิมเล่า และก็รู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา ไม่เหมือนเวลาอยู่กับทิมเลย ต่อให้ทิมไม่พูดอะไรกับผมเลย แค่อยู่ข้างๆผม ผมก็รู้สึกดีมากๆแล้ว”

“บ้า”

เธอยิ้ม ยิ้มให้เขาทั้งตาและปากเหมือนเช่นที่ผ่านมา

“ร้องไห้ทำไม” เขาว่า ใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ

“ยาหม่องมันเข้าตาน่ะ”

“โกหกน่า ซึ้งก็บอกมาเหอะ” พรภพหัวเราะลั่น เมื่อเธอทุบอกเขาดังป้าบ “เขินแล้ว
ทำร้ายร่างกายผมแบบนี้ ก็มีแต่ทิมคนเดียวเท่านั้นแหละ โอ๋ๆ มา ผมเช็ดยาหม่องที่นิ้วให้นะ”

คนร่างสูงคว้ามือเธอมาจุมพิตเบาๆที่หลังมือ ซึ่งแทบจะไม่ได้โดนยาหม่องเสียด้วยซ้ำ เล่นเอาเจ้าของมือหน้าแดง จนต้องเอามือข้างที่ว่างประทุษร้ายเขาอีกครั้งด้วยความเขิน ก่อนจะดึงมือข้างที่ยังมีรอยอุ่นๆจากริมฝีปากเขา เช็ดที่ชายเสื้อเชิ้ตยับๆของเขาแรงๆ

“เช็ดยาหม่องมันต้องเช็ดอย่างนี้ย่ะ”

ทั้งคู่หัวเราะให้กัน

“หิวหรือยัง”

“หิวแล้ว ไปกินข้าวกันเหอะ ไม่ได้กินข้าวกับทิม ผมไม่เจริญอาหารเลย น้ำหนักลดไปตั้งหลายขีด”

ทิมทองหัวเราะลั่น ก่อนจะเดินเคียงข้างเขาไปยังหน้าบริษัท ตรงไปยังร้านโจ๊กเจ้าอร่อย ริมถนน แบบที่พวกเขาคุ้นเคย มีบรรยากาศอบอวลอยู่รอบตัวเขาทั้งคู่

ใช่ ทิมทองต้องยอมรับ ... ไม่ใช่แค่ พรภพเท่านั้นหรอก ที่รู้สึกเช่นนั้น ทุกสิ่งที่เขาพูดมา เธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

พรภพทำให้เธอตกหลุมรักเขาอีกครั้ง และ อีกครั้ง และอีกครั้ง

เขาทำให้เธอ ตกหลุมรักเขาในทุกๆวัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องสั้นฉลองคอมใหม่ ต่อไปก็จะเขียนหนังสือได้เยอะขึ้น หายใจหายคอได้มากขึ้น เพราะหน้าที่การงานสำเร็จลุล่วงไปอีกอย่าง ฮ่าาาาา ดีจายยยยยย

เรื่องนี้เขียนแบบมึนๆเล็กน้อย ถือว่าแก้มือ หลังจากร้างราไปนานนะคะ

แล้วพบกับใหม่ค่า

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ






สะเรนี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 เม.ย. 2555, 01:33:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2555, 01:40:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1735





<< ต่างใจเดียว   
Auuuu 19 เม.ย. 2555, 01:48:13 น.
น่ารักเชียวค่า ^^


คิมหันตุ์ 19 เม.ย. 2555, 03:43:46 น.
เห้อ. หาผู้ชายแบบนี้ที่ไหนน้ออออ


mhengjhy 19 เม.ย. 2555, 09:09:27 น.
อยากได้แบบนี้มั่งอ่าา


sai 19 เม.ย. 2555, 09:33:00 น.
อยากให้เรื่องที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้จบแบบนี้จังเลย เฮ้ออออออออออออ อิจฉาอ่ะ ^__^


เทียนจันทร์ 19 เม.ย. 2555, 17:06:13 น.
น่ารักค่ะ


sumiya 19 เม.ย. 2555, 19:28:44 น.
น่ารักจังเลยค่ะ:D


Setia 23 เม.ย. 2555, 00:57:12 น.
ดีจังเลยค่ะ พรภพเป็นผู้ชายที่ดีมากเลย


สิรนันท์ 10 ม.ค. 2557, 16:37:05 น.
น่ารักค่ะ อ่านแล้วยิ้มตามไปด้วยเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account