(เรื่องสั้น)
รวมเรื่องสั้นค่ะ
เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน
@^__^@
เขียนขึ้นในวันที่อารมณ์ดี
และอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วอารมณ์ดีตามเหมือนกัน
@^__^@
Tags: เรื่องสั้น
ตอน: ต่างใจเดียว
วันนี้อากาศดีแฮะ
ฉันคิดอย่างนี้ ยามที่แง้มม่านห้องนอนแล้วพบว่า เมฆใสๆเกาะเต็มท้องฟ้า แต่ไม่มากพอจนแสงอาทิตย์สาดส่องมาไม่ได้ ... แสงอาทิตย์ อิ๊บอ๋ายแล้ว
ฉันสะบัดผ้าห่มออกจากตัว ตาลีตาเหลือกอาบน้ำแปรงฟัน เพื่อทำภารกิจที่สำคัญยิ่งในเช้าวันนี้ นั่นคือ ไปวัด ฟังดูอาจจะแปลก แต่ฉันตั้งใจไว้ตั้งแต่ผ่านเบญจเพสมาสามปีว่าจะไปวัดทุกวันพระ แล้วนี่ก็คือวันพระ แถมเป็นวันหยุดของฉันอีก ไม่ให้ไปทำบุญวันนี้ แล้วจะไปวันไหน ส่วนที่ต้องรีบขนาดนั้นก็เพราะว่า พระที่วัดนี้ท่านออกบิณฑบาตตามเวลาของพระอาทิตย์ ฤดูไหนพระอาทิตย์ขึ้นช้า ท่านก็จะออกบิณฑบาตช้า แต่ถ้าฤดูกาลไหนดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วอย่างนี้ล่ะก็ บางทีแค่หกโมงครึ่ง ท่านก็เดินกลับวัดกันเรียบร้อยแล้ว อันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงในการ ’พลาด’ เลยนะ จะบอกให้
ขณะขับรถไปวัด ฉันก็ต้องพึมพำกับตัวเองอีกทีว่า วันนี้อากาศดีจริงๆ
ใช้เวลาไม่นาน ฉันก็เดินทางมาถึงวัดดังใกล้ๆบ้านทันที เป็นวัดดังวัดหนึ่งของจังหวัดเล็กๆจังหวัดนี้เลยทีเดียว พิสูจน์ได้จากช่วงงานบุญ แทบจะหาที่จอดรถไม่ได้ เก้าอี้แสนเลสที่ตั้งเพื่อให้ญาติโยมได้วางของรอขบวนแถวก็จะเต็มไปด้วยผู้คน ล้นทะลักไปถึงสะพานข้ามคลอง ฉันอยู่ที่นี่มาสักพักจนพอจับทางได้ ก็เลยมาวัดในช่วงวันธรรมดาตลอด แต่เพราะวันนี้คือวันอาทิตย์ที่หยุดงาน แถมเป็นวันพระอีก คนก็เลยเยอะนิดหน่อย แต่ไม่มาก จนฉันหาที่ลงไม่ได้
ตั้งกระเป๋าผ้าที่หอบของมาใส่บาตรไว้เรียบร้อย ฉันก็ปักหลักยืน ฟังเพลง และอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมา รอเวลาที่พระทุกรูปจะเดินกลับวัด และตั้งขบวนเดินรับของบิณฑบาตตั้งแต่หน้าประตูวัดเข้ามา แต่เพราะวันนี้อากาศดีอย่างที่ฉันบอกไปแล้ว แสงแดดเลยส่องตา ส่องหน้าแทบไหม้ ฉันก็เลยหันหลังพิงโต๊ะ แล้วก็จมอยู่กับตัวอักษร มีความร้อนผะผ่าวที่หลังเป็นเพื่อนเท่านั้น
ผ่านไปสิบกว่าหน้า ฉันเริ่มรู้สึกถึงความร้อนแถวๆหูข้างขวา เหมือนใครส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาให้ และความรู้สึกนั้น ก็ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามอง จนได้สบตากับเขาพอดี
เขายิ้มเยาะที่มุมปากเล็กน้อย ไม่มีหลบสายตา เมื่อรู้ว่าฉันมองกลับ ใช่สิ เขาจะต้องหลบทำไม มันต้องเป็นฉันต่างหากที่ต้องหลบสายตาของพยัคฆ์ร้ายแห่งกองทัพคนนี้
ถึงจะจำชื่อไม่ได้ แต่ฉันกลับจำหน้าเขาได้อย่างดี ทั้งๆที่เราเพิ่งพบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้นเอง
เป็นสองครั้งที่ฉันจำจนวันตายว่า อย่าริอาจไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้
ฉันเบือนหน้ากลับ และตัดสินใจทำสิ่งที่เรียกว่า ประหลาด ด้วยการหันหลังให้เขาแทน แม้เนื้อตัวทางด้านซ้ายจะต้องเจอกับแดดแผดเผา ก็ยังดีกว่าให้เสี้ยวหน้าของฉันลุกไหม้เพราะสายตาของเขาก็แล้วกัน ฉันปิดหนังสือในมือลง พยายามบอกตัวเองว่า เราอาจจะจำคนผิด แต่เมื่อแกล้งหันกลับไปมองทางฝั่งนั้นอีกครั้ง ทำเนียนดูว่าพระมาหรือยัง ฉันก็เห็นเสี้ยวหน้าที่ฟันธงได้ทันทีว่า แน่ล่ะ เป็นเขาแน่ๆ ท่าทางหยิ่งผยอง อย่างผู้ที่รู้ว่าตัวเองมีดี รวมถึงลักษณะที่โดดเด่นจากคนรอบข้าง ทั้งรูปร่างที่สูง และแข็งแรงอย่างคนที่ฝีกตัวเองมาอย่างหนัก สมกับการทำงานด้านปกป้องประเทศ ทรงผมรองทรงที่บอกเอกลักษณ์ของคนที่ทำงานด้านนี้ ยังไม่รวมถึง เสื้อผ้าที่ใส่ ปกติคนมาวัดนี้มักจะสวมชุดขาว แม้แต่ฉัน ก็ยังใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีเข้ม แต่เขากลับสวมเสื้อโปโลสีเทา และกางเกงวอร์มขายาว ประหนึ่งว่าลุกจากเตียงเพื่อมาตักบาตรโดยเฉพาะ ยังท่าทางกอดอก หน้าเชิด หลังตรงนั้นอีก ใช่แน่ นี่คือ ผู้ชายที่กัดคนจมเขี้ยวในห้องประชุมแน่นอน
ฉันเจอเขาครั้งแรกในการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขาคือเจ้าภาพที่จัดงาน ส่วนฉัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่ก็ไปเนื่องจากหัวหน้างานขาดคนไปเป็นเพื่อน นั่นคือครั้งแรกที่ฉันเห็นหน้าเขา ผู้ชายร่างสูงที่กัดลูกน้องเสียเหวอะหวะในที่ประชุม ทุกสิ่งที่เขาได้รับรายงาน เหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจไปเสียหมด
“พยากรณ์อากาศในเดือนหน้าว่าฝนจะตกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 14 นาฬิกาเป็นต้นไป”
นายทหารรายหนึ่งรายงานเกี่ยวกับงานที่เขารับผิดชอบ ผู้ชายคนนี้พิงพนักเก้าอี้ ยิ้มเยาะๆ หมุนปากกาในมือ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ฉันหน้าซีดแทนนายทหารรายนั้น
“รู้อย่างนี้แล้วก็แปลว่า ต้องบินกันก่อนบ่ายสอง ถูกต้องไหม เมื่อคุณรู้ว่าบ่ายสองฝนจะเริ่มตก พวกคุณก็ต้องเลื่อนเวลาบินให้เร็วขึ้น ก็เท่านั้น”
นี่มันเป็นการเยาะเย้ย ถากถางหรือเปล่านะ ฉันคิด คนรายงานหน้าตาอึกอัก ห้องประชุมที่เหมือนมีบรรยากาศมาคุอยู่แล้วยิ่งเงียบกริบ สุดท้าย เขาก็เอ่ยรับทราบออกมา ให้ผู้ชายคนนี้ได้ยิ้มเยาะด้วยมุมปากของเขาอีกครั้ง
และทุกครั้งที่มีคนรายงานอะไรขึ้นมา หากประธานในที่ประชุม (ซึ่งใหญ่กว่าเขาอีก) ไม่ได้กล่าว มันก็เหมือนจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะกัดคนอื่นจนจมเขี้ยว ทุกเรื่องที่เขาพูดออกมา มันทำให้คนที่นั่งในห้องประชุมนั้นพูดไม่ออก ยิ่งกับคนที่ต้องรับเรื่องโดยตรงแล้ว เหมือนจะอึกอักและหน้าถอดสี ขนาดฉันที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ยังพาลจะเป็นลม และภาวนาว่าเมื่อไร การประชุมแห่งนี้จะเสร็จสิ้นสักที
พอเขากล่าวปิดประชุม และลุกขึ้นยืน ทุกคนก็ลุกกันพรึ่บพรั่บ เตรียมออกไปสูดอากาศหายใจกันเหมือนกัน รวมถึงฉันและหัวหน้างาน แต่ก่อนที่เราจะได้กลับ ก็ต้องหยุดแวะทักทาย ประธานในที่ประชุม ซึ่งแน่นอนว่า มีเขายืนอยู่ข้างๆ
สายตาคบกริบ พร้อมรอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่า พอกลับมาถึงที่ทำงานและมีใครถามว่าการประชุมเป็นเช่นไร ฉันจะเห็นภาพนี่ลอยขึ้นมาทันที
“น่ากลัวมาก...ก” ฉันลากเสียง โดยมีหัวหน้าพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
“คนที่นั่งทางขวาน่ะ น่ากลัวสุดๆเลย พูดไรไป โดนตอกกลับตลอด ... หน้าซีดแล้วซีดอีก” หัวหน้าฉันเล่าบ้าง พร้อมทั้งเอ่ยชื่อ นายทหารที่พวกเราคุ้นเคยคนหนึ่งขึ้นมา
“เขาเรียกกันพยัคฆ์แห่งกองบิน” พี่ผู้ชายท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาคงพอเดาได้ว่าเราไปเจออะไรกันมา
“โหดมากอ่ะ” ฉันว่า แล้วก็เล่าเรื่องที่เขาตอกกลับแต่ละหน่วยงานในการประชุม เรียกเสียงเฮฮาให้คนฟังได้อย่างดี แน่สิ นั่นมันคือการเล่าที่ผ่านอารมณ์และความรู้สึก ฉันเล่าให้หัวเราะแค่ไหนก็ได้ แต่ใครไม่ได้อยู่ในห้องนั้นไม่รู้หรอก ว่าความหนาวยะเยือกที่ท่านพยัคฆ์สาดส่งคนทั้งห้องน่ะ มันเป็นอย่างไร
ใครจะไปประชุมอีกก็ไป แต่ฉันไม่เอาอีกแล้ว ไม่ ... เด็ดขาด
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้เจอ อีกครั้งคือการเจอกันแว้บๆในงานเลี้ยง มันไม่ค่อยสยองขวัญเท่าตอนเข้าประชุม แต่ก็เหมือนเขาจะมีรัศมีแผดเผาทุกคนให้มอดไหม้ได้ด้วยสายตาคม และรอยยิ้มมุมปากนั้น
“หน้าตาก็ดี แต่น่ากลัวชิบเป๋ง” คือคำที่หัวหน้าฉันสรุปออกมา และฉันก็เห็นด้วยอย่างมาก นึกสงสารภรรยาของเขา ท่าจะโดนข่มจากสามีจนตาย ผู้ชายในเครื่องแบบมักจะมีอีโก้หยิ่งผยองกันอยู่แล้ว คนนี้ยิ่งจะมีมากเป็นพิเศษ ขนาดฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย งานที่ทำก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเขาโดยตรง เรียกว่าถ้าเป็นปิรามิด เขาคือคนที่อยู่บนยอด ในขณะที่ฉัน เป็นเศษทรายเล็กๆที่ใต้ฐานเสียด้วยซ้ำ ยังรู้สึกถูกข่มจมดินมิดเสียขนาดนี้ นี่ขนาดในวัด ซึ่งฉันมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาจำฉันไม่ได้ ไม่รู้จัก แค่อาจจะรู้สึกคุ้นๆถึงหันมามอง หรืออาจะเยาะที่ฉันเล่นเอาหนังสือมาอ่านรอพระ ฉันก็ยังรู้สึกว่า สายตาของเขา มีปฏิกิริยากับผิวหนังยิ่งกว่าแสงแดดเสียอีก
เมื่อไรพระจะมา ความรู้สึกอึดอัดนี้จะได้จบลงไป
รออีกสักพัก ทุกคนที่ตั้งแถวกันอยู่ก็เตรียมตัวเมื่อเห็นแถวของท่านผู้อยู่ในศีลในธรรมเดินตรงเข้ามายังประตูวัด รวมถึงเขา ก็ถอนสายตากลับหลังจากส่งรังสีมาทางฉันอยู่หลายรอบ จากการมองเมินๆผ่านๆ ฉันเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่สองสามครั้ง ยิ้มกว้างขวางที่ไม่ได้เรียกว่ายิ้มเยาะนั่นทำให้ฉันแปลกใจ ยิ้มแบบคนธรรมดาก็เป็นด้วยแฮะ แต่นั่นแหละ พอพระมา ทุกคนก็วุ่นวายอยู่กับข้าวของของตนเอง เมื่อฉันรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่พระท่านเดินผ่านไป คนรอบกายก็หายกันไปทีละนิดแล้ว ซึ่งก็รวมถึงเขา ใส่บาตรเสร็จก็คงจะเดินออกไปเลย อาจจะไปศาลาเพื่อเตรียมรับพร หรืออาจจะกลับบ้านนอน เหมือนที่ฉันกำลังจะทำ
แดดวันนี้แรงจัง ฉันเริ่มเปลี่ยนคำพูด ลูบแขนตัวเองหวาดๆ รู้สึกภาพสายตาคมกริบของเขาจะยังติดตาอยู่ คนมาวัดเป็นร้อย ทำไมต้องมาเจอด้วยก็ไม่รู้
เขาทำให้เช้าสดใสของฉัน ชักจะแปรเปลี่ยนเป็นสีขุ่นๆซะแล้วสิ เห็นทีตอนกรวดน้ำ คงต้องขอพรเพิ่มว่า อย่าได้พบได้เจอ ได้ข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีกเลย
ฉันกลัว ...
อากาศวันนี้ดีชะมัด
ผมบอกกับตัวเองอย่างนี้ยามลุกจากเตียงนอนนุ่ม เพื่อขับรถออกจากบ้านพักนายทหารไปยังวัดป่าที่อยู่ไม่ไกล และก็เป็นวัดดังของจังหวัดนี้ มันเหมือนฤกษ์ดีฉลองวันเกิดของผมเสียแล้วล่ะ หลังจากฝนตกจนพาให้คนในเมืองใจหายใจคว่ำเกี่ยวกับระดับน้ำมาหลายรอบ วันนี้ดวงอาทิตย์เจิดจ้า ส่องสว่างดุจดังให้ความมั่นใจว่า ชีวิตในวัย 38 ปีของผมนับตั้งแต่วันนี้ ต้องสดใสไม่ต่างจากแสงอาทิตย์แน่นอน
ผมจอดรถหน้าวัดเพื่อซื้ออาหารที่เขาจัดเป็นชุดขายเพื่อใส่บาตร มันคือความสะดวกอย่างหนึ่งล่ะนะ กำหนดการของผมในวันนี้คือ ตื่นมาใส่บาตร ก่อนจะขับรถไปสนามบิน เพื่อรับครอบครัวที่เดินทางมาหา และเตรียมฉลองวันเกิดให้ผมในวันนี้ ครอบครัวที่ว่า มีแค่ พ่อและแม่ เท่านั้น ส่วนคนรู้ใจ ผมยังไม่มี และคิดว่า ยังหาไม่เจอ
แต่ถ้าถามว่าใครที่ผมมองๆอยู่ตอนนี้ ก็คงจะเป็นผู้หญิงที่ยืนอ่านหนังสือถัดออกไปตรงนั้นล่ะมั้ง
หลังจากจอดรถ และเดินหาช่องว่างที่จะวางตะกร้าของตักบาตรได้ สายตาผมก็สะดุดกับผู้หญิงเสื้อขาว ไม่ต่างจากคนอื่นที่ยืนอยู่ในแถว แต่ที่ทำให้ชะงักก็คือ ท่าทางของเธอ คุ้นตาผมมาก โชคดี ที่มีช่องว่างให้ผมยืนได้ไม่ห่างจากเธอเท่าไร ยิ่งแดดแผดเผาอย่างนี้ ผมก็หาความชอบธรรมให้ตัวเองได้อย่างง่ายดายเลยว่า จะหันหลบแดด และส่งสายตาไปยังเธอคนนั้น
หลังจากพิจารณาเสี้ยวหน้าที่ก้มลงอ่านหนังสือน้อยๆนั่นอย่างใจจดจ่อ ผมก็พอนึกออกว่าเธอคือเจ้าหน้าที่สักคนในหน่วยงานที่ผมต้องเกี่ยวข้อง เจอกันในงานประชุมครั้งหนึ่งซึ่งคือครั้งไหนผมก็จำไม่ได้ ด้วยหน่วยงานนี้ส่งคนมาไม่เคยซ้ำหน้า บางคนก็มาพร้อมกับข้อขัดข้องยาวเหยียด ในขณะที่บางคนก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย รู้สึกครั้งที่เธอไปประชุมพร้อมกับหัวหน้าของเธอนั้น จะเป็นรอบที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยกเว้นก็แต่ สัตว์ไม่พึงประสงค์ที่เข้ามาและเล็มกินหญ้าแถบๆที่ทำงาน และเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทำให้มีคนเอาเข้าที่ประชุม และโดนผมตอกกลับไปเนื่องจากมันเป็นปัญหาที่ซ้ำๆซากๆ แก้ไขไม่จบสักที ต่อให้ไม่ใช่สัตว์ประเภทนี้ มันก็ยังมีประเภทอื่นเข้ามาได้อีกนั่นแหละ ตราบใดที่เรายังทำรั้วกั้นได้ไม่ดีพอ
ท่าทางของคนที่นั่งก้มหน้า เล่นปากกา หัวเราะแย้มยิ้ม ยามนายทหารรายหนึ่งเอ่ยถึงเจ้าปัญหาที่ว่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าถอดสี เมื่อฟังผมสรุปและปิดประเด็นทิ้งอย่างดุดัน ทำให้ผมสะดุดใจ ใครๆก็บอกว่าผมดุ อันนี้ผมยอมรับ แต่เพิ่งจะมีเธอคนนี้นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ดุเกินไป มันก็อาจจะไม่ดี
ท่าทางสายตาของผมจะพิฆาตเกินไป เธอถึงได้รู้สึกตัวและหันมาสบตาในเสี้ยววินาที ขมวดคิ้วเหมือนจะจำได้ ก่อนจะหันหลังกลับ ใช่ ต้องเรียกว่าหันหลังเลยล่ะ หลังจากที่หันข้างมาโดยตลอด ท่าทางนี้ก็ทำให้ผมต้องยิ้มอีกแล้ว ตลกดี ลักษณะเหมือนกลัว เฮ้อ ดุคนอื่นจนทำให้เขาหน้าถอดสีก็ทำมาแล้ว นี่แค่เห็นหน้าเฉยๆ ก็กลัวจนต้องเบือนหนี ผมนี่ ท่าจะไม่ไหวจริงๆ
หลังการประชุมวันนั้น เธอเดินตามหลังหัวหน้างานมาทักทายหัวหน้าของผม โดยมีผมยืนข้างหลัง ท่าทีแอบๆ อมยิ้มน้อยๆ และทำท่าสนอกสนใจเพียงแค่คนที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องยิ้มอีกแล้ว มันตลกดี เธอเหมือนเด็กนักเรียนที่พยายามจะเรียบร้อยเพราะกลัวครู แต่ผมรู้ว่า ถ้าหลุดจากพื้นที่ตรงนี้ไปแล้ว เธอจะเปลี่ยนมาเฮี้ยวแค่ไหน ยิ่งเห็นตอนเธอเดินออกจากห้องประชุม เหมือนดีใจที่พ้นๆตรงนี้ไปเสียได้ ผมก็รู้สึกว่า ที่คิดไว้ไม่ผิดเสียเลย โชคไม่ดี ที่เราไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกัน และเธอก็ไม่เคยเข้ามาร่วมประชุมอีก ผมจึงไม่เคยเจอเธออีกเลย
อ้อ ยกเว้นงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ที่ผมเห็นเธอวิ่งไปวิ่งมาอยู่ห่างๆ และดูท่าจะไม่เฉียดเข้าใกล้วงโคจรของผมเลย นั่นทำให้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเธอเป็นใคร เพราะว่า จะให้ไปถามก็รู้สึกแปลกๆ แต่ผมคือ พยัคฆ์ นี่นะ ลูกน้องนินทากันทั้งกองว่า ผมกัดไม่เคยปล่อย ดังนั้นมันก็ไม่ยากหรอกจริงไหม กับการจะหาชื่อใครสักคนที่เราสะดุดตา
ภาพเธออ่านหนังสือรอพระทำให้ผมต้องยิ้ม และมองไม่รู้เบื่อ ถ้าไม่ติดว่ามีธุระต้องรีบไปรับผู้บังเกิดเกล้าที่โทรมาบอกว่าลงจากเครื่องแล้วล่ะก็ ผมคงยื้อเวลาเพื่อรอเธอใส่บาตรจนเสร็จแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ ว่าผมสร้างโอกาสให้ตัวเองได้อีกเยอะ
เธอจะกลัวผมก็กลัวไป อีกไม่นาน ความรู้สึกมันก็คงจะเปลี่ยนแปลงกันได้ ผมมั่นใจ
อากาศวันนี้ดีชะมัด
ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะเดินกลับไปที่รถ แค่วันแรกของช่วงอายุนี้ ผมก็รู้สึกแล้วว่ามันจะดีกว่าทุกๆปีที่ผ่านๆมา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องสั้นคั่นเวลาค่ะ ไปเจอมาเมื่อเช้าแล้วรู้สึกตะงิดใจมาก
ทุกครั้งที่เราเจอใครที่เราพยายามจะสลัดให้หลุดจากความทรงจำ เราจะเขียนเรื่องเพื่อกำจัดตัวละครนั้นทิ้งซะ ...
คราวนี้ก็เป็นทีของตาคนนี้แล้วล่ะ ฮ่าๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์+like ในเรื่องก่อนนะคะ
ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะเลยอ่ะ
คุณ Chii ... ขอบคุณมากๆค่ะ
คุณ Setia ... น่ากินมาก แง่ม
คุณ Sumiya ... นักศึกษาแพทย์เด็กเกินสำหรับเราแล้ว ฮ่าาาา
คุณ คิมหันตุ์ ... อ่านคอมเมนท์แล้วน้ำตาลเราก็ขึ้นสูงเหมือนกันค่ะ ดีใจที่ชอบ
คุณ ลิขิตรา ... ไอดอลด้านการเขียนเรื่องสั้นของเราเลย ฮ่าๆ อยากกินคุณหมอเหมือนกันค่ะ
คุณ boon ... ขอบคุณค่ะ
คุณ sai ... เดี๋ยวเรานวดแก้มให้นะ
คุณ tinypann ... ใช่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างลงท้ายแล้วก็ิอยู่ที่ความเข้าใจเนาะ
คุณ namwannaja ... ขอบคุณค่า
คุณ UreNus ... ช่วงนี้เราก็กรี๊ดหมอค่ะ ฮ่าๆ
ฉันคิดอย่างนี้ ยามที่แง้มม่านห้องนอนแล้วพบว่า เมฆใสๆเกาะเต็มท้องฟ้า แต่ไม่มากพอจนแสงอาทิตย์สาดส่องมาไม่ได้ ... แสงอาทิตย์ อิ๊บอ๋ายแล้ว
ฉันสะบัดผ้าห่มออกจากตัว ตาลีตาเหลือกอาบน้ำแปรงฟัน เพื่อทำภารกิจที่สำคัญยิ่งในเช้าวันนี้ นั่นคือ ไปวัด ฟังดูอาจจะแปลก แต่ฉันตั้งใจไว้ตั้งแต่ผ่านเบญจเพสมาสามปีว่าจะไปวัดทุกวันพระ แล้วนี่ก็คือวันพระ แถมเป็นวันหยุดของฉันอีก ไม่ให้ไปทำบุญวันนี้ แล้วจะไปวันไหน ส่วนที่ต้องรีบขนาดนั้นก็เพราะว่า พระที่วัดนี้ท่านออกบิณฑบาตตามเวลาของพระอาทิตย์ ฤดูไหนพระอาทิตย์ขึ้นช้า ท่านก็จะออกบิณฑบาตช้า แต่ถ้าฤดูกาลไหนดวงอาทิตย์ขึ้นเร็วอย่างนี้ล่ะก็ บางทีแค่หกโมงครึ่ง ท่านก็เดินกลับวัดกันเรียบร้อยแล้ว อันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงในการ ’พลาด’ เลยนะ จะบอกให้
ขณะขับรถไปวัด ฉันก็ต้องพึมพำกับตัวเองอีกทีว่า วันนี้อากาศดีจริงๆ
ใช้เวลาไม่นาน ฉันก็เดินทางมาถึงวัดดังใกล้ๆบ้านทันที เป็นวัดดังวัดหนึ่งของจังหวัดเล็กๆจังหวัดนี้เลยทีเดียว พิสูจน์ได้จากช่วงงานบุญ แทบจะหาที่จอดรถไม่ได้ เก้าอี้แสนเลสที่ตั้งเพื่อให้ญาติโยมได้วางของรอขบวนแถวก็จะเต็มไปด้วยผู้คน ล้นทะลักไปถึงสะพานข้ามคลอง ฉันอยู่ที่นี่มาสักพักจนพอจับทางได้ ก็เลยมาวัดในช่วงวันธรรมดาตลอด แต่เพราะวันนี้คือวันอาทิตย์ที่หยุดงาน แถมเป็นวันพระอีก คนก็เลยเยอะนิดหน่อย แต่ไม่มาก จนฉันหาที่ลงไม่ได้
ตั้งกระเป๋าผ้าที่หอบของมาใส่บาตรไว้เรียบร้อย ฉันก็ปักหลักยืน ฟังเพลง และอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมา รอเวลาที่พระทุกรูปจะเดินกลับวัด และตั้งขบวนเดินรับของบิณฑบาตตั้งแต่หน้าประตูวัดเข้ามา แต่เพราะวันนี้อากาศดีอย่างที่ฉันบอกไปแล้ว แสงแดดเลยส่องตา ส่องหน้าแทบไหม้ ฉันก็เลยหันหลังพิงโต๊ะ แล้วก็จมอยู่กับตัวอักษร มีความร้อนผะผ่าวที่หลังเป็นเพื่อนเท่านั้น
ผ่านไปสิบกว่าหน้า ฉันเริ่มรู้สึกถึงความร้อนแถวๆหูข้างขวา เหมือนใครส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาให้ และความรู้สึกนั้น ก็ทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามอง จนได้สบตากับเขาพอดี
เขายิ้มเยาะที่มุมปากเล็กน้อย ไม่มีหลบสายตา เมื่อรู้ว่าฉันมองกลับ ใช่สิ เขาจะต้องหลบทำไม มันต้องเป็นฉันต่างหากที่ต้องหลบสายตาของพยัคฆ์ร้ายแห่งกองทัพคนนี้
ถึงจะจำชื่อไม่ได้ แต่ฉันกลับจำหน้าเขาได้อย่างดี ทั้งๆที่เราเพิ่งพบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้นเอง
เป็นสองครั้งที่ฉันจำจนวันตายว่า อย่าริอาจไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้
ฉันเบือนหน้ากลับ และตัดสินใจทำสิ่งที่เรียกว่า ประหลาด ด้วยการหันหลังให้เขาแทน แม้เนื้อตัวทางด้านซ้ายจะต้องเจอกับแดดแผดเผา ก็ยังดีกว่าให้เสี้ยวหน้าของฉันลุกไหม้เพราะสายตาของเขาก็แล้วกัน ฉันปิดหนังสือในมือลง พยายามบอกตัวเองว่า เราอาจจะจำคนผิด แต่เมื่อแกล้งหันกลับไปมองทางฝั่งนั้นอีกครั้ง ทำเนียนดูว่าพระมาหรือยัง ฉันก็เห็นเสี้ยวหน้าที่ฟันธงได้ทันทีว่า แน่ล่ะ เป็นเขาแน่ๆ ท่าทางหยิ่งผยอง อย่างผู้ที่รู้ว่าตัวเองมีดี รวมถึงลักษณะที่โดดเด่นจากคนรอบข้าง ทั้งรูปร่างที่สูง และแข็งแรงอย่างคนที่ฝีกตัวเองมาอย่างหนัก สมกับการทำงานด้านปกป้องประเทศ ทรงผมรองทรงที่บอกเอกลักษณ์ของคนที่ทำงานด้านนี้ ยังไม่รวมถึง เสื้อผ้าที่ใส่ ปกติคนมาวัดนี้มักจะสวมชุดขาว แม้แต่ฉัน ก็ยังใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีเข้ม แต่เขากลับสวมเสื้อโปโลสีเทา และกางเกงวอร์มขายาว ประหนึ่งว่าลุกจากเตียงเพื่อมาตักบาตรโดยเฉพาะ ยังท่าทางกอดอก หน้าเชิด หลังตรงนั้นอีก ใช่แน่ นี่คือ ผู้ชายที่กัดคนจมเขี้ยวในห้องประชุมแน่นอน
ฉันเจอเขาครั้งแรกในการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขาคือเจ้าภาพที่จัดงาน ส่วนฉัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่ก็ไปเนื่องจากหัวหน้างานขาดคนไปเป็นเพื่อน นั่นคือครั้งแรกที่ฉันเห็นหน้าเขา ผู้ชายร่างสูงที่กัดลูกน้องเสียเหวอะหวะในที่ประชุม ทุกสิ่งที่เขาได้รับรายงาน เหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจไปเสียหมด
“พยากรณ์อากาศในเดือนหน้าว่าฝนจะตกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 14 นาฬิกาเป็นต้นไป”
นายทหารรายหนึ่งรายงานเกี่ยวกับงานที่เขารับผิดชอบ ผู้ชายคนนี้พิงพนักเก้าอี้ ยิ้มเยาะๆ หมุนปากกาในมือ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ฉันหน้าซีดแทนนายทหารรายนั้น
“รู้อย่างนี้แล้วก็แปลว่า ต้องบินกันก่อนบ่ายสอง ถูกต้องไหม เมื่อคุณรู้ว่าบ่ายสองฝนจะเริ่มตก พวกคุณก็ต้องเลื่อนเวลาบินให้เร็วขึ้น ก็เท่านั้น”
นี่มันเป็นการเยาะเย้ย ถากถางหรือเปล่านะ ฉันคิด คนรายงานหน้าตาอึกอัก ห้องประชุมที่เหมือนมีบรรยากาศมาคุอยู่แล้วยิ่งเงียบกริบ สุดท้าย เขาก็เอ่ยรับทราบออกมา ให้ผู้ชายคนนี้ได้ยิ้มเยาะด้วยมุมปากของเขาอีกครั้ง
และทุกครั้งที่มีคนรายงานอะไรขึ้นมา หากประธานในที่ประชุม (ซึ่งใหญ่กว่าเขาอีก) ไม่ได้กล่าว มันก็เหมือนจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะกัดคนอื่นจนจมเขี้ยว ทุกเรื่องที่เขาพูดออกมา มันทำให้คนที่นั่งในห้องประชุมนั้นพูดไม่ออก ยิ่งกับคนที่ต้องรับเรื่องโดยตรงแล้ว เหมือนจะอึกอักและหน้าถอดสี ขนาดฉันที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ยังพาลจะเป็นลม และภาวนาว่าเมื่อไร การประชุมแห่งนี้จะเสร็จสิ้นสักที
พอเขากล่าวปิดประชุม และลุกขึ้นยืน ทุกคนก็ลุกกันพรึ่บพรั่บ เตรียมออกไปสูดอากาศหายใจกันเหมือนกัน รวมถึงฉันและหัวหน้างาน แต่ก่อนที่เราจะได้กลับ ก็ต้องหยุดแวะทักทาย ประธานในที่ประชุม ซึ่งแน่นอนว่า มีเขายืนอยู่ข้างๆ
สายตาคบกริบ พร้อมรอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมาอีกครั้ง เรียกว่า พอกลับมาถึงที่ทำงานและมีใครถามว่าการประชุมเป็นเช่นไร ฉันจะเห็นภาพนี่ลอยขึ้นมาทันที
“น่ากลัวมาก...ก” ฉันลากเสียง โดยมีหัวหน้าพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย
“คนที่นั่งทางขวาน่ะ น่ากลัวสุดๆเลย พูดไรไป โดนตอกกลับตลอด ... หน้าซีดแล้วซีดอีก” หัวหน้าฉันเล่าบ้าง พร้อมทั้งเอ่ยชื่อ นายทหารที่พวกเราคุ้นเคยคนหนึ่งขึ้นมา
“เขาเรียกกันพยัคฆ์แห่งกองบิน” พี่ผู้ชายท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาคงพอเดาได้ว่าเราไปเจออะไรกันมา
“โหดมากอ่ะ” ฉันว่า แล้วก็เล่าเรื่องที่เขาตอกกลับแต่ละหน่วยงานในการประชุม เรียกเสียงเฮฮาให้คนฟังได้อย่างดี แน่สิ นั่นมันคือการเล่าที่ผ่านอารมณ์และความรู้สึก ฉันเล่าให้หัวเราะแค่ไหนก็ได้ แต่ใครไม่ได้อยู่ในห้องนั้นไม่รู้หรอก ว่าความหนาวยะเยือกที่ท่านพยัคฆ์สาดส่งคนทั้งห้องน่ะ มันเป็นอย่างไร
ใครจะไปประชุมอีกก็ไป แต่ฉันไม่เอาอีกแล้ว ไม่ ... เด็ดขาด
นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้เจอ อีกครั้งคือการเจอกันแว้บๆในงานเลี้ยง มันไม่ค่อยสยองขวัญเท่าตอนเข้าประชุม แต่ก็เหมือนเขาจะมีรัศมีแผดเผาทุกคนให้มอดไหม้ได้ด้วยสายตาคม และรอยยิ้มมุมปากนั้น
“หน้าตาก็ดี แต่น่ากลัวชิบเป๋ง” คือคำที่หัวหน้าฉันสรุปออกมา และฉันก็เห็นด้วยอย่างมาก นึกสงสารภรรยาของเขา ท่าจะโดนข่มจากสามีจนตาย ผู้ชายในเครื่องแบบมักจะมีอีโก้หยิ่งผยองกันอยู่แล้ว คนนี้ยิ่งจะมีมากเป็นพิเศษ ขนาดฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย งานที่ทำก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเขาโดยตรง เรียกว่าถ้าเป็นปิรามิด เขาคือคนที่อยู่บนยอด ในขณะที่ฉัน เป็นเศษทรายเล็กๆที่ใต้ฐานเสียด้วยซ้ำ ยังรู้สึกถูกข่มจมดินมิดเสียขนาดนี้ นี่ขนาดในวัด ซึ่งฉันมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาจำฉันไม่ได้ ไม่รู้จัก แค่อาจจะรู้สึกคุ้นๆถึงหันมามอง หรืออาจะเยาะที่ฉันเล่นเอาหนังสือมาอ่านรอพระ ฉันก็ยังรู้สึกว่า สายตาของเขา มีปฏิกิริยากับผิวหนังยิ่งกว่าแสงแดดเสียอีก
เมื่อไรพระจะมา ความรู้สึกอึดอัดนี้จะได้จบลงไป
รออีกสักพัก ทุกคนที่ตั้งแถวกันอยู่ก็เตรียมตัวเมื่อเห็นแถวของท่านผู้อยู่ในศีลในธรรมเดินตรงเข้ามายังประตูวัด รวมถึงเขา ก็ถอนสายตากลับหลังจากส่งรังสีมาทางฉันอยู่หลายรอบ จากการมองเมินๆผ่านๆ ฉันเห็นเขาคุยโทรศัพท์อยู่สองสามครั้ง ยิ้มกว้างขวางที่ไม่ได้เรียกว่ายิ้มเยาะนั่นทำให้ฉันแปลกใจ ยิ้มแบบคนธรรมดาก็เป็นด้วยแฮะ แต่นั่นแหละ พอพระมา ทุกคนก็วุ่นวายอยู่กับข้าวของของตนเอง เมื่อฉันรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่พระท่านเดินผ่านไป คนรอบกายก็หายกันไปทีละนิดแล้ว ซึ่งก็รวมถึงเขา ใส่บาตรเสร็จก็คงจะเดินออกไปเลย อาจจะไปศาลาเพื่อเตรียมรับพร หรืออาจจะกลับบ้านนอน เหมือนที่ฉันกำลังจะทำ
แดดวันนี้แรงจัง ฉันเริ่มเปลี่ยนคำพูด ลูบแขนตัวเองหวาดๆ รู้สึกภาพสายตาคมกริบของเขาจะยังติดตาอยู่ คนมาวัดเป็นร้อย ทำไมต้องมาเจอด้วยก็ไม่รู้
เขาทำให้เช้าสดใสของฉัน ชักจะแปรเปลี่ยนเป็นสีขุ่นๆซะแล้วสิ เห็นทีตอนกรวดน้ำ คงต้องขอพรเพิ่มว่า อย่าได้พบได้เจอ ได้ข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้อีกเลย
ฉันกลัว ...
อากาศวันนี้ดีชะมัด
ผมบอกกับตัวเองอย่างนี้ยามลุกจากเตียงนอนนุ่ม เพื่อขับรถออกจากบ้านพักนายทหารไปยังวัดป่าที่อยู่ไม่ไกล และก็เป็นวัดดังของจังหวัดนี้ มันเหมือนฤกษ์ดีฉลองวันเกิดของผมเสียแล้วล่ะ หลังจากฝนตกจนพาให้คนในเมืองใจหายใจคว่ำเกี่ยวกับระดับน้ำมาหลายรอบ วันนี้ดวงอาทิตย์เจิดจ้า ส่องสว่างดุจดังให้ความมั่นใจว่า ชีวิตในวัย 38 ปีของผมนับตั้งแต่วันนี้ ต้องสดใสไม่ต่างจากแสงอาทิตย์แน่นอน
ผมจอดรถหน้าวัดเพื่อซื้ออาหารที่เขาจัดเป็นชุดขายเพื่อใส่บาตร มันคือความสะดวกอย่างหนึ่งล่ะนะ กำหนดการของผมในวันนี้คือ ตื่นมาใส่บาตร ก่อนจะขับรถไปสนามบิน เพื่อรับครอบครัวที่เดินทางมาหา และเตรียมฉลองวันเกิดให้ผมในวันนี้ ครอบครัวที่ว่า มีแค่ พ่อและแม่ เท่านั้น ส่วนคนรู้ใจ ผมยังไม่มี และคิดว่า ยังหาไม่เจอ
แต่ถ้าถามว่าใครที่ผมมองๆอยู่ตอนนี้ ก็คงจะเป็นผู้หญิงที่ยืนอ่านหนังสือถัดออกไปตรงนั้นล่ะมั้ง
หลังจากจอดรถ และเดินหาช่องว่างที่จะวางตะกร้าของตักบาตรได้ สายตาผมก็สะดุดกับผู้หญิงเสื้อขาว ไม่ต่างจากคนอื่นที่ยืนอยู่ในแถว แต่ที่ทำให้ชะงักก็คือ ท่าทางของเธอ คุ้นตาผมมาก โชคดี ที่มีช่องว่างให้ผมยืนได้ไม่ห่างจากเธอเท่าไร ยิ่งแดดแผดเผาอย่างนี้ ผมก็หาความชอบธรรมให้ตัวเองได้อย่างง่ายดายเลยว่า จะหันหลบแดด และส่งสายตาไปยังเธอคนนั้น
หลังจากพิจารณาเสี้ยวหน้าที่ก้มลงอ่านหนังสือน้อยๆนั่นอย่างใจจดจ่อ ผมก็พอนึกออกว่าเธอคือเจ้าหน้าที่สักคนในหน่วยงานที่ผมต้องเกี่ยวข้อง เจอกันในงานประชุมครั้งหนึ่งซึ่งคือครั้งไหนผมก็จำไม่ได้ ด้วยหน่วยงานนี้ส่งคนมาไม่เคยซ้ำหน้า บางคนก็มาพร้อมกับข้อขัดข้องยาวเหยียด ในขณะที่บางคนก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย รู้สึกครั้งที่เธอไปประชุมพร้อมกับหัวหน้าของเธอนั้น จะเป็นรอบที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยกเว้นก็แต่ สัตว์ไม่พึงประสงค์ที่เข้ามาและเล็มกินหญ้าแถบๆที่ทำงาน และเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทำให้มีคนเอาเข้าที่ประชุม และโดนผมตอกกลับไปเนื่องจากมันเป็นปัญหาที่ซ้ำๆซากๆ แก้ไขไม่จบสักที ต่อให้ไม่ใช่สัตว์ประเภทนี้ มันก็ยังมีประเภทอื่นเข้ามาได้อีกนั่นแหละ ตราบใดที่เรายังทำรั้วกั้นได้ไม่ดีพอ
ท่าทางของคนที่นั่งก้มหน้า เล่นปากกา หัวเราะแย้มยิ้ม ยามนายทหารรายหนึ่งเอ่ยถึงเจ้าปัญหาที่ว่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าถอดสี เมื่อฟังผมสรุปและปิดประเด็นทิ้งอย่างดุดัน ทำให้ผมสะดุดใจ ใครๆก็บอกว่าผมดุ อันนี้ผมยอมรับ แต่เพิ่งจะมีเธอคนนี้นี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ดุเกินไป มันก็อาจจะไม่ดี
ท่าทางสายตาของผมจะพิฆาตเกินไป เธอถึงได้รู้สึกตัวและหันมาสบตาในเสี้ยววินาที ขมวดคิ้วเหมือนจะจำได้ ก่อนจะหันหลังกลับ ใช่ ต้องเรียกว่าหันหลังเลยล่ะ หลังจากที่หันข้างมาโดยตลอด ท่าทางนี้ก็ทำให้ผมต้องยิ้มอีกแล้ว ตลกดี ลักษณะเหมือนกลัว เฮ้อ ดุคนอื่นจนทำให้เขาหน้าถอดสีก็ทำมาแล้ว นี่แค่เห็นหน้าเฉยๆ ก็กลัวจนต้องเบือนหนี ผมนี่ ท่าจะไม่ไหวจริงๆ
หลังการประชุมวันนั้น เธอเดินตามหลังหัวหน้างานมาทักทายหัวหน้าของผม โดยมีผมยืนข้างหลัง ท่าทีแอบๆ อมยิ้มน้อยๆ และทำท่าสนอกสนใจเพียงแค่คนที่อยู่ตรงหน้าทำให้ผมต้องยิ้มอีกแล้ว มันตลกดี เธอเหมือนเด็กนักเรียนที่พยายามจะเรียบร้อยเพราะกลัวครู แต่ผมรู้ว่า ถ้าหลุดจากพื้นที่ตรงนี้ไปแล้ว เธอจะเปลี่ยนมาเฮี้ยวแค่ไหน ยิ่งเห็นตอนเธอเดินออกจากห้องประชุม เหมือนดีใจที่พ้นๆตรงนี้ไปเสียได้ ผมก็รู้สึกว่า ที่คิดไว้ไม่ผิดเสียเลย โชคไม่ดี ที่เราไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกัน และเธอก็ไม่เคยเข้ามาร่วมประชุมอีก ผมจึงไม่เคยเจอเธออีกเลย
อ้อ ยกเว้นงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ที่ผมเห็นเธอวิ่งไปวิ่งมาอยู่ห่างๆ และดูท่าจะไม่เฉียดเข้าใกล้วงโคจรของผมเลย นั่นทำให้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเธอเป็นใคร เพราะว่า จะให้ไปถามก็รู้สึกแปลกๆ แต่ผมคือ พยัคฆ์ นี่นะ ลูกน้องนินทากันทั้งกองว่า ผมกัดไม่เคยปล่อย ดังนั้นมันก็ไม่ยากหรอกจริงไหม กับการจะหาชื่อใครสักคนที่เราสะดุดตา
ภาพเธออ่านหนังสือรอพระทำให้ผมต้องยิ้ม และมองไม่รู้เบื่อ ถ้าไม่ติดว่ามีธุระต้องรีบไปรับผู้บังเกิดเกล้าที่โทรมาบอกว่าลงจากเครื่องแล้วล่ะก็ ผมคงยื้อเวลาเพื่อรอเธอใส่บาตรจนเสร็จแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมรู้ ว่าผมสร้างโอกาสให้ตัวเองได้อีกเยอะ
เธอจะกลัวผมก็กลัวไป อีกไม่นาน ความรู้สึกมันก็คงจะเปลี่ยนแปลงกันได้ ผมมั่นใจ
อากาศวันนี้ดีชะมัด
ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะเดินกลับไปที่รถ แค่วันแรกของช่วงอายุนี้ ผมก็รู้สึกแล้วว่ามันจะดีกว่าทุกๆปีที่ผ่านๆมา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรื่องสั้นคั่นเวลาค่ะ ไปเจอมาเมื่อเช้าแล้วรู้สึกตะงิดใจมาก
ทุกครั้งที่เราเจอใครที่เราพยายามจะสลัดให้หลุดจากความทรงจำ เราจะเขียนเรื่องเพื่อกำจัดตัวละครนั้นทิ้งซะ ...
คราวนี้ก็เป็นทีของตาคนนี้แล้วล่ะ ฮ่าๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์+like ในเรื่องก่อนนะคะ
ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะเลยอ่ะ
คุณ Chii ... ขอบคุณมากๆค่ะ
คุณ Setia ... น่ากินมาก แง่ม
คุณ Sumiya ... นักศึกษาแพทย์เด็กเกินสำหรับเราแล้ว ฮ่าาาา
คุณ คิมหันตุ์ ... อ่านคอมเมนท์แล้วน้ำตาลเราก็ขึ้นสูงเหมือนกันค่ะ ดีใจที่ชอบ
คุณ ลิขิตรา ... ไอดอลด้านการเขียนเรื่องสั้นของเราเลย ฮ่าๆ อยากกินคุณหมอเหมือนกันค่ะ
คุณ boon ... ขอบคุณค่ะ
คุณ sai ... เดี๋ยวเรานวดแก้มให้นะ
คุณ tinypann ... ใช่ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างลงท้ายแล้วก็ิอยู่ที่ความเข้าใจเนาะ
คุณ namwannaja ... ขอบคุณค่า
คุณ UreNus ... ช่วงนี้เราก็กรี๊ดหมอค่ะ ฮ่าๆ
สะเรนี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2554, 19:43:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2554, 19:43:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 1990
<< บางคำรัก (ครึ่งหลัง) | รักคุณเข้า (อีก) แล้ว >> |
Auuuu 8 ต.ค. 2554, 20:02:48 น.
น่ารักดี :)
น่ารักดี :)
หยกสีน้ำผึ้ง 8 ต.ค. 2554, 20:11:23 น.
sumiya 8 ต.ค. 2554, 20:23:36 น.
แอร๊ยคุณเสี่ยวเหมพา่คนในเครื่องแบบมาทำให้เขินอีกแล้ว 555555
แอร๊ยคุณเสี่ยวเหมพา่คนในเครื่องแบบมาทำให้เขินอีกแล้ว 555555
tinypann 8 ต.ค. 2554, 20:47:02 น.
อ่านจบแล้วนึกถึงคำว่า "คนคุ้นตา" แต่ถ้าจะเป็น "คนคุ้นใจ" ก็ต้องใช้ความพยายามในการจีบเนอะ
อ่านจบแล้วนึกถึงคำว่า "คนคุ้นตา" แต่ถ้าจะเป็น "คนคุ้นใจ" ก็ต้องใช้ความพยายามในการจีบเนอะ
pattisa 8 ต.ค. 2554, 22:05:15 น.
น่ารัก :)
น่ารัก :)
ลิขิตรา 8 ต.ค. 2554, 22:05:30 น.
น่ารักดีจังเลยค่ะ ว่าแต่...สาวน้อยจะรู้ตัวไหมนี่ว่าพยัคฆ์ตั้งท่าจะงับอยู่แล้วนะ
น่ารักดีจังเลยค่ะ ว่าแต่...สาวน้อยจะรู้ตัวไหมนี่ว่าพยัคฆ์ตั้งท่าจะงับอยู่แล้วนะ
คิมหันตุ์ 9 ต.ค. 2554, 00:52:35 น.
เห็นแต่ด้านร้ายๆ ห้าห้า
เห็นแต่ด้านร้ายๆ ห้าห้า
tippopo 10 ต.ค. 2554, 11:37:15 น.
รอต่อนะค่ะ น่ารักดีจัง
รอต่อนะค่ะ น่ารักดีจัง
tippopo 16 พ.ย. 2554, 10:50:48 น.
รอต่อค่ะ อยากอ่านแล้วววว
รอต่อค่ะ อยากอ่านแล้วววว
สิรนันท์ 12 ม.ค. 2557, 15:02:59 น.
อยากอ่านต่อค่ะ น่ารักมาก
อยากอ่านต่อค่ะ น่ารักมาก