มายาหัวใจ
เขาคือใคร? คนร้ายหรือคนดี? หรือเขาจะเป็นคนที่ทำให้หัวใจเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 5. ของฟรีไม่มีในโลก


แม้จะบอกตัวเองว่ามีคนช่วยดูแลบ้านให้อยู่แล้ว แต่ทว่าเจ้าของบ้านตัวจริงก็ไม่สามารถข่มตาให้นอนหลับได้ ด้วยความไม่เคยให้คนแปลกหน้าเข้ามาพักพิงในบ้านสักคนเลยทำให้หญิงสาวร่างเล็กที่เบิกตาโพลงมานานผลุนผลันลุกออกจากเตียงตรงดิ่งไปยังชั้นล่างด้วยความว้าวุ่นใจ

“นายทำอะไรน่ะ” เสียงเล็กดังขึ้นหลังจากเห็นคนตัวใหญ่ก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าตู้เย็นในห้องครัวที่เกิดอ้าอยู่ ฝ่ายที่ถูกถามชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“หิว”

“แล้วทำไมไม่บอกให้เจ้ามิกมันทำอะไรให้ล่ะ รายนั้นน่ะทำกับข้าวที่หนึ่งเล...”

“คร่อก...ฟี้” ยังไม่ทันจะพูดจบเสียงกรนก็ดังขึ้นจากร่างผอมของน้องชายที่ยึดเอาโซฟาหน้าทีวีเป็นที่นอน

“ไม่ได้เรื่องเลย!” ญาดาบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ขณะเดินไปยืนเท้าสะเอวมองน้องชายตัวดีที่ไม่เอาอ่าวนอนน้ำลายยืดอยู่บนโซฟาด้วยความขัดเคือง

“ตื่นๆ ไหนบอกว่าจะไม่หลับยังไงล่ะนายตัวแสบ” หญิงสาวพูดพลางเขย่าขาน้องตัวดีแรงๆ อีกฝ่ายแค่สะบัดขาออกเพราะทนรำคาญไม่ไหว แต่ทว่าไร้วี่แววที่จะตื่นขึ้นมา

“หลับไปตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว” จิณณ์พูดขึ้นมาลอยๆ พร้อมแงะเอาหมูที่แข็งเป็นก้อนหินออกจากช่องฟรีซมาวางไว้บนโต๊ะอาหารที่รกไปด้วยถุงอาหารทั้งทานแล้วและยังไม่ได้ทานอย่างทุลักทุเล

ได้ยินดังนั้นญาดาก็เหลือบมองนาฬิกาแขวนในห้องครัวที่บอกเวลาเกือบจะตีสามอีกไม่กี่นาที หญิงสาวยืนมองชายหนุ่มที่ทำราวกับว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดึงถุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากมือชายหนุ่มเอามาถือไว้เสียเอง

“แค่กินมาม่าทำไมต้องใส่หมูให้มากเรื่องด้วย” ญาดาบ่นอุบแต่ก็ยังฉีกซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออก ก่อนจะเดินเข้าไปที่เตาแก๊สเพื่อหยิบหม้อมาใส่น้ำขึ้นตั้งไฟ

“แล้วหมูล่ะ” จิณณ์ยังไม่ยอมแพ้ พยายามหยิบก้อนหมูแข็งๆ เย็นๆ ขนาดเท่ากำมือยื่นให้ที่กำลังยืนคนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในหม้ออย่างไม่ไยดี

“ไม่ต้องใส่ เปลือง”

“เปลือง?” น้ำเสียงชายหนุ่มติดแววสงสัย คิ้วเข้มยกขึ้นเล็กน้อย

“ใช่ มันเปลืองถึงจะไม่ใส่หมดก็เหอะ และที่สำคัญที่เกียจรอให้มันละลาย ดูสิ...แข็งยังกะหินบะซอลต์” ได้ยินดังนั้นจิณณ์ก็ก้มลงมองหมูแช่แข็งด้วยความเสียดาย ก่อนจะนำมันไปเก็บไว้ที่เดิม

“กินแค่นี้ก็มีแต่แป้งกับผงชูรส” ชายหนุ่มเปรยขึ้นขณะเดินมาหยุดมองการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแม่ครัวจำเป็นอยู่ข้างๆ

“ขอโทษนะ นายจะกินเอาอิ่มหรือว่าจะกินเพื่อสุขภาพกันแน่” ญาดาหันขวับค้อนหนุ่มร่างสูงตาโต

“อิ่ม”

“ถ้ากินให้อิ่มก็จบ อย่าเรื่องมาก แค่ฉันมาทำให้นายกินก็บุญแล้ว คนอะไรตีสามลุกขึ้นมาหิว” สิ้นเสียงสาวสวยจอมงก จิณณ์ก็ได้ทำได้แต่มองตาปริบๆ ปล่อยให้เธอจัดการกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยความชำนาญ

“ถามจริง นายทำอาหารเป็นรึเปล่า” ญาดาบ่นพึมพำก่อนจะเทบะหมี่ร้อนๆ จากหม้อลงในถ้วยเซรามิกที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะทานอาหารกลางห้องครัว

“เป็น” จิณณ์ตอบพลางลากเก้าอี้ออกมาเพื่อนั่งกินบะหมี่ร้อนๆ จากฝีมือของเจ้าของบ้าน

“อ้าว เป็นแล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ฉันทำให้นายกินอยู่ได้” หญิงสาวค้อนขวับ ยกแขนขึ้นเท้าสะเอวมองหน้าคนไร้อารมณ์ด้วยความหมั่นไส้

“ก็คุณไม่ถาม”

“มันเป็นมารยาทนายเข้าใจรึเปล่า เหมือนสุภาษิตที่บอกว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น เก็ทแมะ”

“คุณเล่นตุ๊กตาควายด้วยเหรอ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ขณะทอดสายตามองคนร่างบางที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความงุนงง

“ตาบ้า!” คนที่ถูกถามถึงกับหัวเสีย หน้าสวยหงิกงอขึ้นมาทันควัน พลางกระแทกเท้าเดินออกจากห้องครัวไปอย่างขัดใจ ปล่อยให้คนที่นั่งคีบเส้นบะหมี่มองตามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ก่อนจะจัดการกับอาหารรอบดึกจนเกลี้ยงด้วยความหิว



เช้าวันใหม่กับคนหน้าใหม่และอาหารเช้าใหม่ๆ เป็นสิ่งที่สองพี่น้องไม่เคยชินมาก่อนในชีวิต ที่เห็นแขกร่างสูงในชุดกันเปื้อนลายพาวเพอร์พัฟเกิร์ลยืนอยู่หน้าเตาแก๊ส พร้อมกลิ่นหอมๆ ของไข่เจียวสีทองอร่ามที่กำลังสุกพอดีในกระทะ

“โห พี่จิณณ์น่ากินอ่ะ ไม่อยากเชื่อว่าพี่ทำอาหารเป็นด้วย” ณาชาในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปชะโงกหน้าดูอาหารเช้าของพวกเธอในจานที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

“ผมอยู่คนเดียวมานาน” จิณณ์ตอบพลางถอดผ้ากันเปื้อนออก เพียงเท่านี้ณาชาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงสามารถทำอาหารได้อย่างไม่เคอะเขิน

ญาดาที่แต่งตัวพร้อมไปทำงานปรายตามองไข่เจียวที่วางโปะอยู่บนข้าวทั้งสี่จานด้วยอาการหมั่นไส้ ก่อนจะเดินไปเรียกน้องชายที่นอนหลับอุตุบนโซฟาให้ตื่นขึ้นมาทานอาหารเช้าพร้อมๆ กัน

“ตื่นได้แล้วนายมิก ใช้การใช้งานอะไรไม่ได้เลย ไหนบอกว่าจะไม่หลับ เฮ้อ...” พูดพลางถอนหายใจยาว ปล่อยให้น้องชายที่เพิ่งงัวเงียตื่น บิดขี้เกียจแล้วเดินตามมาที่ห้องครัว

“ชาบอกแล้วไม่เชื่อ ไม่งั้นมิกมันจะได้ฉายาว่าเจ้าชายนิทราได้ไงกันพี่ญา” ณาชาพูดยิ้มๆ ขณะตักข้าวไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะพยักหน้าออกมาด้วยความถูกใจ “อื้ม อร่อยแฮะ”

จิณณ์มองณาชาที่ตักเอาๆ ก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปรายตาไปมองพี่สาวคนโตที่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับน้องชายตาปรือที่เลือกนั่งอีกฟากหนึ่ง

“ลองชิมดูสิ” ชายหนุ่มพูดพลางเลื่อนจานของญาดาไปให้ตรงหน้า หญิงสาวมองข้าวในจานของตัวเองสลับกับใบหน้าปูดบวมของพ่อครัวอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา

“มันจะอร่อยจริงเหรอ” ญาดาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“อร่อยจริงพี่ญา” มิกที่กำลังเคี้ยวข้าวเต็มปากยืนยันคำตอบอีกครั้ง เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงต้องลองสักหน่อย เธอเอื้อมมือไปหยิบช้อนส้อมที่วางอยู่ข้างจานขึ้นมา ค่อยๆ ตักข้าวและไข่ใส่ปากก่อนจะพยักหน้าออกมาด้วยความลืมตัว

“อร่อยใช่มั้ยละพี่ญา” ณาชายิ้มแป้น เมื่อเห็นท่าทางของพี่สาว

“ก็พอกินได้ ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ญาดาตอบส่งๆ ไม่อยากจะชมให้ใครบางคนเหลิง

“พอกินได้อะไรกันพี่ญา อร่อยกว่าข้าวผัดที่พี่ทำให้ผมกินครั้งที่แล้วอีก” ช่างเป็นประโยคที่สอดขึ้นไม่ถูกจังหวะ นาทีนั้นถ้าไม่ติดว่ามีบุคคลอื่นอยู่ด้วย น้องชายตัวแสบคงถูกพี่สาวทุ่มด้วยอะไรสักอย่างให้หัวแตกไปแล้ว

ญาดาถลึงตาใส่มิกอย่างคาดโทษ ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจสายตาขบขันของน้องสาวและน้องชายที่กลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดชีวิต

“แล้วเมื่อไหร่หน้าพี่จะหายบวมครับพี่จิณณ์” มิกรีบเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะหากยังไปกวนต่อมวีนของพี่สาวไม่แน่เขาก็อาจโดนลูกหลงได้ง่ายๆ

“คงอีกซักเดือนละมั้ง” จิณณ์ตอบพลางตักข้าวเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจในหน้าตาของตัวเอง

“ผมว่าถ้าหน้าพี่จิณณ์หายบวมแล้วคงหล่อน่าดูเลย ว่ามั้ยพี่ชา” หนุ่มน้อยพูดพลางหันไปขอความคิดเห็นจากพี่สาวคนรองที่นั่งอยู่ข้างๆ

“คงงั้นมั้ง หุ่นก็ดีด้วย สงสัยหนีสาวมาแน่เลยใช่ป่ะพี่จิณณ์ ถึงได้โดนซ้อมอยู่นอกรั้วน่ะ” ณาชากระเซ้าชายหนุ่ม ราวกับรู้จักมักจี่กันมานาน

“หรือว่าหนีคดีมาก็ไม่รู้” ญาดาที่นั่งฟังมานานรีบพูดสวนขึ้นมาเพราะกลัวว่าน้องๆ จะหลงเชื่อคนที่ยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าดีพอ

“อีกละพี่ญา อะๆ รีบๆ กินดีกว่าจะได้รีบไปเรียน เดี๋ยวสายอีก” ณาชาโบกไม้โบกมือ พลางแอบแลบลิ้นใส่พี่สาวที่กำลังก้มหน้ากินข้าว ก่อนจะตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อถูกพี่สาวหันขวับมามอง

“แล้วตอนกลางวันพี่ให้ใครมาคุมประพฤติพี่จิณณ์ อย่าบอกนะว่าเป็นผมอีกอ่ะ” มิกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่ทว่าสายตาของพี่สาวทั้งสองที่จ้องเขม็งมายังตนนั้นมันแทนคำตอบได้อย่างชัดเจน

“อะไรกัน ไม่แฟร์นะพี่ญา ตอนกลางคืนผมก็อยู่เป็นเพื่อนแล้วไง” หนุ่มน้อยโวยวายขึ้นมาทันควัน

“เป็นเพื่อนกะผีสิ เมื่อคืนพี่เดินลงมาเห็นแกนอนหลับเป็นตาย เรียกยังไงก็ไม่ตื่น” ญาดาค่อนแคะ ด้วยความโมโห

“อะไรนะ เมื่อคืนพี่ญาลงมาข้างล่างกลางดึกเหรอ” ณาชาไม่ปล่อยผ่าน หรี่ตามองพี่สาวด้วยความฉงน

“ก็แค่ลงมาดูความเรียบร้อย” คนที่ถูกถามเริ่มร้อนวูบวาบ รีบแก้ตัวโดยเร็ว

“เหรออออ” ทั้งณาชาและมิกต่างประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะหัวเราะคิกๆ คักๆ ด้วยความขบขันเมื่อเห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพี่สาว

“นี่ๆ พวกนายพูดอย่างนี้หมายความว่าไง ฉันเป็นห่วงบ้านหรอกก็เลยลงมาดูซักหน่อย” ญาดาขึ้นเสียงสูง ก่อนจะหันไปมองคนที่ทำให้เธอตกเป็นประเด็นตาเขียว “ส่วนนาย...อย่าลืมสัญญาที่ให้กับฉันว่าจะจ่ายค่าที่อยู่ที่กิน ฉันคิดนายไม่แพงหรอกแค่ไม่ต่ำกว่าเดือนห้าพัน เป็นไงราคานี้จ่ายไหวรึเปล่า ถ้าไม่ไหวก็เชิญ”

สิ้นเสียงเจ้าบ้านหน้าเลือด ณาชาและมิกก็หันมามองหน้ากันตาเหลือก ขนาดคนมีงานทำเขายังคิดแล้วคิดอีกเลยว่าจะจ่ายเดือนละห้าพันไหวรึเปล่า แต่นี่อะไร...มาหากินกับคนไม่มีงานทำ

โคตรงกเลย!

“โหพี่ ไม่มากไปเหรอตั้งเดือนละห้าพัน” สาวผมสั้นในชุดนักศึกษารีบกระตุกแขนพี่สาวเพื่อเตือนสติ

“ราคานี้มีทั้งที่อยู่พร้อมด้วยที่กิน ไม่มากไปหรอกยัยชา ลองคิดดูสิว่าห้าพันได้ทุกอย่าง ใจดีอย่างนี้จะหาที่ไหนได้อีก”

“แต่...”

“ไม่เป็นไร” จู่ๆ คนที่จะต้องจ่ายห้าพันทุกเดือนก็พูดแทรกขึ้นกลางวง “ผมจ่ายให้คุณแน่เดือนละห้าพัน”

“หา...เอาจริงเหรอพี่” มิกอุทานเสียงสูง เพราะยังคิดไม่ตกว่าพี่ชายที่ไม่มีเงินติดตัวสักกะบาทจะสามารถหาเงินที่ไหนมาจ่ายได้เดือนละตั้งห้าพัน

“คิดดีๆ นะพี่จิณณ์ เรื่องนี้เดี๋ยวชาจัดการให้ก็ได้ แต่ขอคุยกับพี่ญาก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนสิ” ณาชาสมทบอีกแรงด้วยความสงสารชายตรงหน้า

“ปล่อยเค้าชา ไม่ต้องไปเป็นห่วงหรอก คงไม่แพงมากหรอก เห็นมะ ไม่ต่อซักบาท” ญาดากระหยิ่มยิ้มย่อง ดวงตาคู่สวยปรายมองไปยังหนุ่มร่างสูงด้วยความพอใจ

“แล้วพี่จะหาเงินยังไงล่ะ หรือว่าพี่ยังทำงานอยู่” มิกถามต่อด้วยความอยากรู้

“ออกแล้ว” จิณณ์พูดหน้าตาเฉย ไม่มีอาการคิดมากให้เห็นแม้แต่น้อย แต่ทว่าอาการเหล่านี้กลับไปตกอยู่กับบรรดาน้องๆ ที่เป็นห่วงเขาแทน

“อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้พี่จิณณ์” หนุ่มน้อยงงเป็นไก่ตาแตก งานก็ไม่มีทำ แต่พี่ชายตัวโตก็ยังยืนกรานว่าสามารถหาเงินได้

“เอาจริงเหรอพี่ ห้าพันนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ” ณาชาร่วมด้วยช่วยอีกแรง ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะไปประกอบอาชีพไม่สุจริตเพื่อหาเงินให้พี่สาวเธอ

ญาดามองคนนั้นคนนี้ไปมาด้วยความหมั่นไส้ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้งกมากมายขนาดนั้น เพียงแค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้นเอง แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับคิดจริงจังจนเกิดเป็นประเด็นขึ้นมาตอนนี้

“ถ้านายไม่มีเงินก็บอกฉัน แต่ขออย่างเดียวห้ามไปจี้ปล้นใคร เพราะถ้านายทำอย่างนั้นฉันนี่แหละจะเป็นคนลากคอนายเข้าตะรางเอง จำไว้” สาวตาคมผมยาวย้ำคำหนักแน่น ขณะปรายตาไปมองยังคนตัวใหญ่ที่ยังคงนั่งเฉย ก่อนเขาจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมาด้วยความมั่นใจ

“ผมมีวิธีของผมและไม่ผิดกฎหมายแน่ ไม่ต้องห่วง...”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หลังจากที่หายไปพักใหญ่นะคะ คอมเจ๊ง รถ(น้อง)ชน สารพัดค่ะ
ก็คิดได้ว่าคงต้องรีบกลับมาเขียนแล้ว เพราะไม่มีตังค์ใช้ กร๊ากๆๆ
ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ จุ๊บๆๆ ^^

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามนะคะ
ดารานิล
www.facebook.com/daranilday


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 เม.ย. 2555, 15:42:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 เม.ย. 2555, 22:46:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1736





<< 4. บ้านใหม่   
ปิลันธน์ 23 เม.ย. 2555, 16:27:37 น.
ุ^^


ม่านฝัน 23 เม.ย. 2555, 16:56:44 น.
รอต่อค่ะ


Zephyr 23 เม.ย. 2555, 17:46:34 น.
นายจิณณ์นี่น่าสงสัยขึ้นทุกๆทีเลย เป็นใครกันนะ


nunoi 23 เม.ย. 2555, 18:22:21 น.
จะหาเงินมาจากไหนหล่ะ ตกลงเป็นใครกันแน่นะนายจิณณ์


wane 23 เม.ย. 2555, 22:39:52 น.
ออมเล็ตเค้าไม่ได้กินกับข้าว ไม่ใช่เหรอค่ะ ...น่าจะเป็นไข่เจียวมากกว่านะคะ


ดารานิล 23 เม.ย. 2555, 22:47:05 น.
ขอบคุณค่ะคุณwane เดี๋ยวแก้ให้นะคะ ^^


หมูอ้วน 24 เม.ย. 2555, 06:01:11 น.
พี่จิณณ์ จะทำงานอะไรเอ๋ย


WallyValent 24 เม.ย. 2555, 08:55:39 น.
=)


แพม 1 พ.ค. 2555, 10:49:48 น.
ทำไรหนอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account