รักสุดสายที่ปลายรุ้ง (ไฟปรารถนา)

ความรัก ความผูกพัน และความกตัญญู สิ่งไหนในหัวใจคน ที่ต้องมาก่อน ต่างคนต่างใจ รอพิสูจน์จากหลากหลายชีวิต
Tags: รัก ต้องได้ ครอง

ตอน: แม่เลี้ยงสารเลว

บ้านตึกสองชั้น หลังสวย ทาสีเบจ เล่นสีตัดขอบสีเข้ม ปลูกบนเนื้อที่สองร้อยตารางวา พื้นที่หน้าบ้านเป็น สนามหญ้าเขียวขจี มีต้นหมากเหลืองปลูก เป็นระยะตลอดสองข้างทางเข้าบ้าน รั้วประเหล็กทาสีเขียว รอบรั้วทั้งหมดเป็นคอนกรีตทึบกั้นสูงเมตรเศษ ดูสวยเหมาะกับฐานะปานกลางของข้าราชการกรมโยธานามว่าสาริต
ในบ้านหลังนี้มีความหลังที่ขมขื่นใจสำหรับเด็กหญิง วาสิฐี ซ่อนอยู่ วาสิฐีจำได้ว่า เธอเคยมีความสุขอย่างเหลือเกินท่ามกลางอ้อมกอดของบิดา และมารดา จนกระทั่งอายุได้เจ็ดปี วาสิฐีจึงได้รู้ปัญหาใหญ่ของมารดา สาริตข้าราชการกรมการปกครอง เมื่อโทรศัพท์จากผู้หวังดีแจ้งต่อราศีว่าสาริตมีภรรยาอีกคนซุกซ่อนอยู่ มานานถึงห้าปี ผู้หวังดีคือตัวของสุภา เมียน้อยนั่นเอง
ภาวการณ์บ้านไร้ความสุขจึงได้เกิดขึ้น ราศีมีแต่ความทุกข์ แม้ไม่เคยระบายให้วาสิฐีฟัง แต่วาสิฐีได้รับรู้ เมื่อสาริต ย่ามใจขนาดขอให้สุภาเข้ามาอยู่ร่วมชายคาอีกคน ด้วยเหตุผลง่ายๆสำหรับเขาว่า ในเมื่อรู้และยอมรับได้ทั้งสองคน เขาอยากให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เด็กหญิงจำได้ว่า มารดาร้องไห้โอ ไม่พูดอะไร นอกจากวิ่งเตลิดออกจากบ้านไป เด็กหญิงวิ่งตามมารดา พร้อมกับสาริตก้าวรี่ตามหลังไป
หากไม่ถึงสามนาที ภาพการตายของมารดาได้เกิดต่อหน้าต่อตา...ราศีวิ่งตัดหน้ารถกระบะหกล้อ ร่างบอบบางของเธอถูกบดขยี้ไปไกลถึงยี่สิบเมตร จากนั้นความสวยงาม หรือแม้แต่สิ่งที่ชี้บอกว่าร่างนี้เคยเป็นหญิงงามไม่เหลือรอยอีก นอกจากเศษเนื้อกองใหญ่
มารดาจบชีวิตลง ด้วยความเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่ได้ชื่อว่า พ่อ!!
เมื่อมารดาตายสุภาก็ก้าวเข้ามาครอบครองทุกอย่าง
ชุดนอนเครื่องสำอาง แม้แต่เครื่องประดับขณะที่มารดายังมีชีวิตอยู่ สาริตได้มีสุภาเป็นน้อย โดยที่มารดาของวาสิฐีรู้ทุกอย่าง แต่เก็บงำความช้ำใจไว้แต่เพียงลำพัง
เด็กหญิงวัยสิบขวบผิวขาวเป็นริ้วรอยทั่วทั้งขาแขน ใบหน้ามีเค้าความสวยงามแม้ยามนี้จะเปื้อนเบอะไปด้วยคราบน้ำตา และผมเปียยาวหลุดลุ่ยเพราะถูกแม่เลี้ยงจิกทึ้ง
วาสิฐีถูกทารุณกรรมจากสุภาแม่เลี้ยงอยู่แป้นประจำ ยามที่บิดาไปราชการต่างจังหวัดผู้มีความสวยเป็นที่หลงใหลของบิดาหากหัวใจของเธอสร้างด้วยปีศาจจึงใจร้ายใจดำ และเห็นแก่ตัวยิ่งนัก ขณะที่วาสิฐียืนร้องไห้อย่างไม่ไม่ทันระวังตัว นางสุภาครอบคว่ำจานกระเบื้องทั้งที่มีเศษอาหารหลงเหลือ ลงบนศีรษะเด็กหญิง
วาสิฐี หวีดร้องตกใจ ถอยกายไปสองก้าวใหญ่ สุภายังไม่สาแก่ใจในการทำร้ายเด็กหญิงจึงผลักร่างบอบบางจนถลำเสียหลัก เซถลาไปนั่งกองกับพื้น มือแตะข้างฝา ร้องไห้อย่างเงียบงัน รู้สึกชินต่อการทารุณกรรมจากแม่เลี้ยงยามที่บิดาไม่อยู่
“ไปล้างจานนางวาสิ อย่ามานั่งสำออยรอวันโชคดีอยู่เลย หรือว่าจะรอหาหาตีนนี่”
เธอถลึงตาเหลือกพอง ถลกกระโปรงทำท่าราวกับจะทำอย่างปากพูด เด็กหญิงรีบลนลานไปจัดเก็บจานข้าว ลุกลี้ลุกลนจนน่าสงสารขณะที่สุภาสาแก่ใจกับการกระทำของตัวเอง
ในครัวกว้าง จัดเรียงของอย่างเป็นระเบียบพร้อมใช้งาน หากว่าในอ่างล้างจานนั้นเล่า มีถ้วยจานแช่อยู่จนล้นออกมาข้างนอกซึ่งสุภาจะไม่หยิบจับงานบ้าน ทั้งสิ้น เมื่อสาริตผู้เป็นสามีและพ่อของวาสิฐีไปราชการต่างจังหวัด
วาสิฐีจึงเป็นคนรับใช้ของเธอไปโดยปริยาย วาสิฐีอยู่รับกรรมโดยความเงียบงันไม่วิงวอนต่อบิดาผ่านมาแล้วห้าปีที่เธอเติบโตมา พร้อมหัวใจที่มีทั้งความบอบช้ำและแข็งแกร่งอย่างที่ตนเองได้สร้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
อำภาน้องต่างวัยเพียงสองปีมักจะแอบมารดาช่วยพี่ต่างแม่ ทั้งสองมีดวงหน้าเหมือนบิดาทั้งคู่ และมีความรักอย่างพี่น้องโดยไม่มีคำว่าเลือดต่างสีมากัดขวาง วาสิฐีสนิทสนมกับน้องสาว และมีความห่วงใยให้อีกฝ่าย ซึ่งเด็กหญิงผู้พี่รู้ว่า สุภาไม่ชอบให้อำภา และ ลดาวัลย์มายุ่งเกี่ยวกับวาสิฐี แต่สุภาไม่รู้ว่า ห้ามอำภาไม่ได้เลยเมื่อเธอไม่อยู่บ้าน
“พี่วา” อำภาวิ่งเข้ามาช่วยอีกฝ่ายเช็ดถ้วยชาม วาสิฐีเห็นน้องสาวแล้วรีบเอ่ยเป็นเชิงไล่ด้วยความเป็นห่วง
“อ้ำ ไปเล่นเถอะไปเดี๋ยวคุณน้าดุเอา”
“เขาออกไปเล่นไพ่แล้วค่ะพี่วา น้องก็หลับอุตุ ยัยดาหลับแล้วไม่กระทืบไม่มีทางลุกหรอกค่ะพี่วา”กล่าวพลางเด็กหญิงหัวเราะคิกคัก
“อย่าพูดไม่เพราะสิอ้ำ อย่าใช้คำไม่สุภาพคุณแม่พี่สอนว่าสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล”
“คุณแม่อ้ำชอบด่าชอบพูด อ้ำเลยติดมาบ้างค่ะ”วาสิฐีพลอยหัวเราะไปด้วยกัน
“นี่ยัยดาหลับไปซะคน ไม่มีใครฟ้องแล้วคุณแม่แล้วล่ะค่ะพี่วา”
“ทีหลังอย่าพูดไม่เพราะอีกนะอ้ำ เดี๋ยวใครได้ยินจะว่าเราได้”
“แหม สงสัยภาชินหูกับแม่ ตอนดุพี่วา”อำภาตอบกลับก่อนรับปาก “อ้ำจะพยายามค่ะพี่วา สงสัยพยายามหลายเท่า”
วาสิฐีพลอยสดชื่นกับอารมณ์ขันของน้องสาวคนสนิท ลดาวัลย์น้องสุดท้องมีความเหมือนสุภาราวกับถอด ช่างฟ้อง เรื่องไม่จริงก็ปั้นพูดได้ ทั้งที่อายุเพียงหกปีเท่านั้น
วาสิฐีจึงมีความรู้สึกแปลกแยกระหว่างอำภา และ ลดาวัลย์ไปด้วย เธอรักทั้งสองคนแต่ไม่เท่ากัน เป็นความรักที่แยกได้ เธอไม่สงสาร ลดาวัลย์เลยเมื่อโดนทำโทษ แต่สงสารอำภาหากต้องโดนตำหนิหรือทำโทษ เธอไม่อยากให้อำภาเจ็บเหมือนที่เธอเองเจ็บ ความรักของวาสิฐีมีความแตกต่างอย่างที่เด็กหญิงแยกแยะได้เอง
สองพี่น้องต่างมารดา แต่มีดวงหน้าละม้ายเหมือนราวกับถอด ต่างกันที่วาสิฐีมีกิริยานุ่มนวล แต่อำภาปราดเปรียวกล้าพูดกล้าทำ ทั้งสองช่วยกันเก็บล้างจานเรียบร้อย อำภาล้อเลียนพี่สาว
“หัวพี่วามีแต่ข้าวสุกทั้งนั้นเลยค่ะ ไปอาบน้ำกันมั้ยคะพี่วา”
“จ้ะ”วาสิฐีรับคำน้องสาว
สองพี่น้องเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ต่างเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระเกือบจะเติบโตเท่ากัน อำภาอายุสิบขวบ หากว่า เติบโตแล้ว เธอสูงน้อยกว่าวาสิฐีเท่านั้นเอง
อำภามองหน้าอกของพี่สาวซึ่งแตกพานเป็นตุ่มไต และรูปเต้ากลมให้เห็นความซุกซนของอำภาจึงเอื้อมมือไปคิดจะแตะอกวาสิฐี อีกฝ่ายรีบเบี่ยงตัวเองหลบ แล้วตีมือน้องสาวพลางส่งสายตาดุ แต่อำภาหัวเราะคิกคัก ก่อนเอ่ยทะเล้นว่า
“คุณแม่บอกว่าอ้ำนมโตเร็ว” เด็กหญฺงวัยสิบขวบกล่าวพลางแอ่นอกให้พี่สาวดู ซึ่งวาสิฐีได้เห็นจริงแท้ว่าน้องสาวเป็นคนที่มีทรวดทรงได้เกินอายุ อำภาอกตูมตั้งเป็นก้อนกลม แม้ยังไม่ถึงกับต้องประคองด้วยเสื้อชั้นใน แต่อำภาดูเกินตัวจริง อำภาเทียบผิวของตนเองและวาสิฐีก่อนบอกว่า “อ้ำอยากขาวแบบพี่วาจังเลยค่ะ เอามะขามเปียกมาถูแบบคุณแม่ดีมั้ยคะพี่วา”
“ขาวอย่างพี่แถมมีรอยเขียวๆแบบนี้ด้วยเอามั้ย” วาสิฐีชี้ให้ดูต้นแขน ซึ่งโดนหยิก อำภามองรอยทารุณที่บ่งบอกอารมณ์ของมารดาตัวเอง แล้วไม่ค่อยพอใจนัก เธอจึงเอ่ยกับวาสิฐีว่า
“ถ้าเป็นอ้ำ อ้ำจะแก้ผ้าให้คุณพ่อดูว่า พี่วาโดนคุณแม่หยิกตีในร่มผ้ามากแค่ไหน”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ”วาสิฐีรีบเปลี่ยนเรื่อง เธอไม่อยากให้น้องสาวเป็นอย่าง ลดาวัลย์ ซึ่งช่างฟ้อง และเธอยิ่งกลัว เมื่อยินคำว่าแก้ผ้าให้คุณพ่อดู
ความกล้าของวาสิฐีไม่ได้เหมือนกับอำภาเลย อำภาฉลาดในเรื่องเอาตัวรอดยิ่งนักเธอมีความรักและความสงสารพี่สาวมากเสียยิ่งกว่ามารดาของตนเอง อำภาเป็นเด็กช่างคิดเกินวัย เธอเห็นการกระทำของมารดา แตกต่างจากคำพูด ดังนั้นเธอรักความเงียบที่ใจดีของพี่สาวมากกว่าอย่างที่เธอนึกไม่ถึง...เธอเกลียดคนโกหกแต่ไม่อาจเกลียดมารดาของตนเองได้เท่านั้น!
เวลาต่อมา
อำภาแต่งกายด้วยชุดลำลอง วาสิฐีรัดผมเปียให้น้องสาว วาสิฐีและอำภาต่างเรียนอยู่ในโรงเรียนสตรีล้วนแต่คนละโรงเรียน ซึ่งเด็กผู้หญิงจะมีกลุ่ม และเล่นแต่งตัวกันตามวัย ดังนั้นวาสิฐีจึงเป็นคนที่ถักผมเปียได้หลายแบบ วันนี้เธอถักเปียรอบศีรษะให้น้องสาว
เด็กหญิงวัยสิบปีคนน้องแต่งตัวเรียบร้อย โถมตัวลงนอนบนเตียงพี่สาว แล้วความซนจึงหยิบกรอบรูปขนาด แปดนิ้ว คูณสิบนิ้วมาเพ่งพิศ ในภาพมีพี่สาว ถ่ายภาพคู่กับเด็กหญิงหน้าคมดั่งลูกครึ่งอำภาถามถึงคนในรูปว่า
“พี่ยุดาคนนี้เขาดีใช่มั้ยคะพี่วา”
“จ้ะอ้ำ ยุดาเป็นเพื่อนรักของพี่วา ยุดาเป็นคนใจดีมากจ้ะ”
วาสิฐีเอ่ยถึงเพื่อนหญิง ผู้ เกิดวัน เดือน รวมทั้งปีเดียวกัน พรรณยุดาเป็นลูกเสี้ยว มารดาของเธอเป็นลูกครึ่ง
อิตตาลี อังกฤษไทย แต่งงานกับบิดาซึ่งมีเชื้อจีน พรรณยุดามีผิวสวยมาก น่าแปลกที่เด็กหญิงเหมือนมารดา ไม่มีเค้าของบิดาเลยสักนิดเดียว พรรณยุดา และวาสิฐี ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนฝาแฝดให้เป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนนักเรียนหญิง เพราะทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน โดยเฉพาะพรรณยุดาเป็นฝ่ายติดวาสิฐีแจทีเดียว
“เขารักพี่วามั้ยคะ”
“รักจ้ะ รักด้วย หวงพี่วาด้วย”วาสิฐีเล่าพลางยิ้มน้อยๆ กับความช่างอิจฉาของพรรณยุดา ซึ่งหากวาสิฐีให้ความสนิทกับใครมากกว่าพรรณยุดา อีกฝ่ายจะงอน หน้าง้ำ และหาทางแกล้งเพื่อนคนที่วาสิฐีไปสนิทเกินหน้า ทำให้วาสิฐีต้องระวังตัวเอง เพราะไม่อยากให้เพื่อนคนอื่นเดือดร้อน
“อ้ำรักพี่วานะคะ” เด็กหญิงบอก พร้อมกับวางรูปไว้ที่เดิม และหันไปกอดพี่สาวแน่นสบตากลมแป๋ว จริงใจ และออดอ้อนในที
วาสิฐีกอดน้องสาวตอบ วางคางบนศีระษะอีกฝ่าย สอนอำภาด้วยความรักว่า
“อ้ำขยันเรียนมากมากนะ อ้ำเรียนเก่ง”
“ร่วาก็เรียนเก่งค่ะ พี่วารู้มั้ยว่ามีเด็กรุ่นพี่ผู้ชายเขียนจดหมายมาบอกรักอ้ำ นัดให้ไปกินไอติมด้วย”
“เหรอ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ อ้ำอย่าเพิ่งไปยุ่งเลยนะ”
วาสิฐีเตือนน้องด้วยความหวังดี โดยที่ตนเองไม่ทราบเช่นกันว่า เด็กชาย และเด็กหญิง จะมีความรู้สึกอย่างไรต่อกัน เธอยังไม่รู้จักเรื่องความรู้สึก ระหว่าง เพศ แต่เพราะอ่านหนังสือ ดูทีวี ทำให้วาสิฐีห่วงน้องสาว รักน้องโดยไม่มีความรังเกียจเฉกเช่นเดียวกัน
หากว่าอำภาได้แต่รับฟังพี่สาว ส่วนเรื่องนัดไปกินไอติมกับรุ่นพี่นั้น อำภาแอบไปตามลำพัง และไม่มีอะไรนอกจากกินไอศกรีมกับเด็กรุ่นหน้าใส ถ้วยเดียวกันเท่านั้นเอง
………………
วันนี้สุภานอนดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ดารินนั่งเล่นตุ๊กตาข้างๆพี่สาว อำภานอนทำการบ้านไม่สนใจน้องสาวซึ่งชวนเล่นตุ๊กตา
เมื่อสายตาไวของสุภาเห็นว่าสามีเลี้ยวรถเข้าบ้าน เธอทำเหมือนไม่รู้ แต่รีบหาน้ำมาปะพรมหน้าและร่างกาย ให้ดูเหมือนมีเหงื่อออกมาก จากนั้นทำทีก้มหน้าจัดเก็บบ้านราวกับทำงานหนักหนา แม้สามีจะเข้ามาถึงในบ้านแล้ว
สาริตเห็นอีกฝ่ายมีหยาดเหงื่อพราวเต็มหน้า ให้รู้สึกนึกเอ็นดูต่อการทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เขาจึงเข้าไปสวมกอดสุภาอีกฝ่ายทำตกใจด้วยจริตแพรวพราว
“อุ๊ยว้าย ตายจริงคุณริตกลับมาเงียบ ๆ หัวใจจะวายตาย”
“เหนื่อยมั้ยสุ” เขาถามพร้อมหอมแก้มเธอแรง ๆ
เธอทำถอนใจเหนื่อยระอา ปั้นหน้าให้ดูเศร้านัก
“สุทำมาสองวันเต็มแล้วนะคะมีคนช่วยเสียที่ไหน”
“วาสิไปไหนล่ะ ทำไมไม่ช่วยคุณ”
“ไปดูเองเถอะ ป่านนี้ยังไม่ลงจากห้อง”
สาริตไม่พอใจเป็นอันมากเมื่อเห็นลูกสาวคนโต มีความเกียจคร้านเช่นนี้เขาจึงเดินขึ้นไปชั้นบนสุภารีบตามขึ้นไปแอบลุ้นเหตุการณ์ ทั้งที่ความจริงเธอสั่งไม่ให้วาสิลงจากบ้านในวันนี้ ซึ่งเด็กหญิงก็ทำตามคำสั่งอย่างไม่รู้เท่าทันอำภารีบขยับตัวจะขึ้นไปดู แต่ดารินรีบรั้งแขนพี่สาวไว้พลางเอ่ยว่า
“เดี๋ยวแม่ก็หยิกให้หรอกพี่อ้ำ”
อำภาจึงรู้สึกกล้าๆกลัวๆ และห่วงพี่สาวที่ตนรัก
สาริตเดินมาถึงห้องส่วนตัวของวาสิฐี ภายในห้องเงียบกริบ ทำให้เขาโกรธ จึงเรียกลูกสาวอย่างไม่พอใจว่า
“วาสิออกมาจากห้องเดี๋ยวนี้นะ”
จากน้ำเสียงดุดังทำให้วาสิใจหายวาบ รีบลุกจากเก้าอี้ไม้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ เด็กหญิงรีบเปิดประตูห้องออกมาด้วยสีหน้าเผือดซีด ยกมือไหว้บิดาด้วยกิริยาเกรงกลัว
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ กลับมาแล้วหรือคะ”
“ทำไมไม่ช่วยงานบ้านคุณน้าบ้าง หะ วา”สาริตขึ้นเสียงตวาด “ขี้เกียจอะไรอย่างนี้”
“แต่คุณน้าสั่งว่า...”
สุภารีบเอ่ยแทรกเด็กหญิงไม่ให้พูดเรื่องจริง
“คุณก็เห็นแล้วนะคุณริตว่าลูกสาวทำฤทธิ์อะไรกับสุ”
“พ่อต้องลงโทษแล้วนะวาสิฐี”
เด็กหญิงก้มหน้ามองพื้นยอมรับความอยุติธรรมโดยความเงียบงันสาริตหาไม้เรียวได้จึงลงโทษลูกสาว ด้วยการตี
“กอดออกเดี๋ยวนี้ บอกมาว่ายอมรับในการลงโทษของพ่อวาสิ”
“ให้วาพูดได้หรือคะคุณพ่อ”เด็กหญิงเหลียวหน้าเงยขึ้นถามบิดา สาริตจึงหวดลงที่ก้นเด็กหญิงทันทีด้วยเข้าใจว่าลูกสาวยอกย้อน โดยหารู้ไม่ว่า วาสิฐีอยากบอกเล่าความจริงที่แบกรับมานานปี
เมื่อโดนลงโทษ วาสิฐีไม่ปริปากร้องออกมา ทั้งที่เจ็บในหัวใจยิ่งนัก เด็กหญิงคงปล่อยน้ำตาร่วงริน อำภาอยากพูดยากบอกความจริงแต่ถ้าทำอย่างใจคิดคนที่ถูกลงโทษคือเธอเอง ความที่ยังเด็กจึงมีความขลาดกลัว แม้อยากช่วยพี่สาวต่างมารดาก็ตาม
“ไปทำงานแทนคุณน้าเดี๋ยวนี้” เขาสั่งเด็กหญิงให้ไปทำงานบ้านแทนสุภา
วาสิฐีก้มหน้ารับคำแทนคำพูด ความเงียบของวาสิฐียิ่งทำให้สาริตนึกถึงภรรยาคนเก่าที่ตนหมดรัก และยังจงชังไม่คลาย
“แกมันอวดดีเหมือนแม่แกไม่มีผิดวาสิ ทำจองหองอวดดี รนหาที่ตายทั้งที่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น”
วาสิฐีน้ำตาร่วงเผาะ เมื่อบิดาพาดพิงไปถึงมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว มารดาจากไปในวัยที่เธอจำได้อย่างฝังใจ
มารดาผู้มีร่างกายอ่อนแอ แต่จิตใจเข้มแข็งและทระนงยิ่งนัก แม้รู้ว่าบิดามีภรรยาอีกคนแต่มารดาไม่ปริปากพูด และไม่เคยมองหน้าบิดาอีกเลย มารดาของเด็กหญิงใช้ชีวิตตามลำพังสองแม่ลูก ทำเหมือนสามีไม่มีตัวตนอยู่ในบ้าน กระทั่งอุบัติเหตุได้มาพรากมารดาผู้เข้มแข็งจากไปอย่างกะทันหัน ชีวิตที่มีพ่อ เหมือนมีเพียงครึ่งในความคิดของเด็กหญิงนั้น เมื่อขาดแม่ เธอจึงเงียบเหงาเหลือประมาณ
เพื่อนแสนดีอย่างพรรณยุดา และน้องที่น่ารักอย่างอำภาจึงเปรียบเหมือนยาใจที่หล่อเลี้ยงชีวิตน้อยๆของเด็กหญิงไม่ให้เฉาตายไปเสียก่อนเวลาอันควร
แม่ชอบสอนให้วาสิฐีมองสายรุ้งยามรดน้ำต้นไม้ให้น้ำเป็นฟู่ฝอย เวลานั้นจะมีสายรุ้งเกิดขึ้น แม่ชี้ชวนให้ดู แล้วบอกว่า
“รุ้งไม่เคยกินน้ำอย่างคนเขาบอก แต่รุ้งจะเกิดเมื่อมีละอองน้ำเสมอ สายรุ้งก็เหมือนความสุขของคนเรานะวาสิ ความสุขของคนเราไม่ยาวนานนัก เมื่อลูกมีความสุข จงรักษามันไว้นะ รักษามันไว้ในใจ เก็บไว้แต่ความดีให้มั่นคงยามลูกเหงาให้นึกถึงสายรุ้งแสนสวยที่จะมาหาหนูเมื่อเวลาหนูสดชื่นรู้มั้ย”
“วาไม่เข้าใจค่ะคุณแม่ขา”
มารดาของเธอเบือนสายยางรดน้ำไปทางอื่น ฉับพลันสายรุ้งนั้นหายไป วาสิฐีอุทาน
“ว้า”
“อยากเห็นความสุขก็ต้องสดชื่น สดชื่นเหมือนสายน้ำนะจ๊ะ นี่ไง”มารดาเธอสร้างสายรุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
วาสิฐีหัวเราะเบาๆร่วมไปกับมารดา
“ความดีของคนไม่ต้องให้ใครมาเข็นให้เป็นนะวาสิฐี ลูกเป็นเด็กดีได้ด้วยการกระทำของลูกเอง”
คำสอนของมารดาฝังอยู่ในความทรงจำเสมอ...สายรุ้งมาพร้อมกับละอองน้ำและไม่มีใครที่มองสายรุ้งด้วยหัวใจไร้ความสุข วาสิฐีคิดเช่นนั้นเสมอ
ดารินปีนป่ายบิดา อำภานั่งอ่านหนังสือ สุภาป้อนกับรินเบียร์ให้สาริต ขณะที่วาสิฐีนั่งห่างไกลออกไปมุมหนึ่ง เด็กหญิงเบนเบือนจากภาพความอบอุ่นของครอบครัวใหม่บิดา
จู่ๆภาพร่างแหลกเหลวคล้ายกองเศษเนื้อกองใหญ่สักกองปรากฏขึ้นมาในห้วงนึกของเด็กหญิง แม่ผู้บอบบางสวยงาม ถูกรถยนต์มรณะขยี้ร่างจนไม่เหลือให้เห็นว่าเคยเป็นหญิงงามที่สามีทอดทิ้ง เด็กหญิงตาเบิกค้างช็อกกับภาพที่เห็น สาริตดึงร่างลูกสาวคนโตเข้ามาโอบกอดกดศีรษะเด็กหญิงแนบอก เสียงสั่นพร่าพร่ำบอก
“วาสิ อย่าดูลูก”
“คุณพ่อใจร้าย คุณพ่อทำให้คุณแม่ต้องตายคุณพ่อฆ่าคุณแม่” เด็กหญิงกรีดร้องทุบตีบิดา เปล่งเสียงกรีดร้องไห้โฮ อย่างไม่สามารถควบคุมอารมณืตัวเองไว้ได้อีกแล้ว
นั่นเป็นครั้งเดียวที่วาสิฐีได้กรีดเสียงร้องอย่างสุดทนต่อการกระทำของบิดา จากนั้นเธอจึงมีเพียงสายรุ้งยามรดน้ำเป็นเพื่อน และได้คิดถึงว่าความสุขแสนสั้นนั้นเป็นตัวแทนของมารดา!!

ในวันจันทร์
นาฬิกาปลุกแต่ตีห้าวาสิฐีรีบตื่นลงไปทำงานบ้าน แม่เลี้ยงพึ่งจะลงมายืนหน้ายักษ์อยู่ที่กลางประตูครัวเด็กหญิงจัดเตรียมของไว้ให้ แต่มิได้เอ่ยปากทักแม่เลี้ยงสุภาเกิดความหมั่นไส้จึงปราดเข้าไปทุบกลางหลังเด็กหญิงตับใหญ่วาสิเจ็บจุกจนหลังแอ่น ก่อนด่าว่าเต็มปากคำ
“ทำดีเอาหน้าใหญ่เชียวนะอีเด็กเวร”
จากการได้ลงมือจนสะใจตนเองแล้ว สุภาถอยร่างบางออกห่างไปเปิดตู้เย็นเตรียมส้มออกมาหลายผลยังพร่ำบ่นต่อไปเบาๆ
“เมื่อไหร่แกจะตาย ๆ ไปแบบแม่ของแก นังวา ไปให้พ้นบ้านกนี้ซะที ฉันไม่อยากเห็นแกอยู่ใต้ชายคาบ้านนี้”
เด็กหญิงปิดปากเงียบ หยิบมีดหั่นส้มเขียวหวานเพื่อคั้นน้ำสด ๆ ทำทีเหมือนไม่มีสุภาอยู่ในที่นั่น
“ฉันจะเฉดหัวแกออกจากบ้านให้ได้ หรือไม่แกก็น่าจะผูกคอตาย กินยาขัดส้วมตายๆไปซะเลย”
วาสิฐีบีบผลส้ม ไม่ทันระวังได้ น้ำจากผลส้มเปลือกบางกระฉูดเข้าใส่สุภาโดยไม่ตั้งใจ แม่เลี้ยงใจทราม โมโหสุดขีด เงื้อมมือสุดหล้าแล้วรีบลดลง เปลี่ยนเป็นหยิกทึ้งส่วนที่สาริตจะไม่เห็น
“เอ๊ะอีวา มึงแกล้งกูหรือไง”
เมื่อได้รับความเจ็บเกินความผิด วาสิฐีจึงตัดสินใจรีบวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบนทันที สุภายืนเท้าเอวมองตามอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่องไม่ถนัด เพราะงานบ้านของวาสิฐีหมดแค่นั้น ที่เหลือคือการปรุงอาหารของเธอ
วาสิฐีเข้าห้องอาบน้ำ ลูบรอยหยิกด้วยเล็บจนผ่านเนื้อผ้าไปลงที่กลางหลัง เธอส่องกระจกดูไม่ถนัด แต่เมื่อน้ำจากฝักบัวราดรดลงไปเธอรู้สึกแสบ จึงได้รู้ว่าเล็บยาวของแม่เลี้ยงหยิกเข้าเนื้อ
เสียงสุภาไล่อีกฝ่าย ซึ่งเธอถือว่าเป็นหนามยอกใจ ให้ไปตายตามแม่ เสียงกร่นด่าหยาบคายของสุภา ราวกับเป็นพลังให้วาสิฐีอยากได้ดี และต่อสู้อย่างเงียบๆต่อไป เมื่อสุภาต้องการ เธอจะยิ่งไม่ให้อีกฝ่ายได้ตามประสงค์ เธอจะอยู๋ให้นานเท่านานทีเดียว!!
เด็กหญิงเข้ามาร่วมโต๊ะเป็นคนสุดท้ายที่เข้ามา สุภากระแหนะกระแหนลูกเลี้ยง
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ช้าอย่างนี้คุณพ่อจะไปทำงานสายไม่รู้หรือไง”
เด็กหญิงเหลือบสายตามองบิดาเล็กน้อย สาริตเอ่ยกับลูกสาวคนโตว่า
“ไม่เป็นไรยังมีเวลาเหลือมาก วาทานข้าวเยอะๆนะ เหมือนวาจะผอมลงไป”
ท่วงทีห่วงใยจากใจจริงของบิดาทำให้วาสิฐีรู้สึกเต็มตื้นต่อน้ำใจของผู้ให้กำเนิด ข้าวต้มฝืดคอขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอสะอึก สาริตจึงหยิบแก้วน้ำส่งให้
“ค่อยๆทานสิ จะรีบไปไหน”ท้ายเสียยังปนดุออกมา วาสิฐีรีบรับแก้วน้ำมาดื่ม อำภาล้อเลียนพี่สาว
“สงสัยพี่วาจะดีใจที่คุณพ่อหายโกรธ”
“พ่อไม่ได้โกรธอะไรวาสักหน่อยแต่ถ้าว่างก็แบ่งเบางานบ้านไปบ้าง วาโตแล้วถ้าเป็นคนขี้เกียจจะเอาดีไม่ได้ แม้แต่อ้ำหรือด๋า ถ้าว่างก็ต้องช่วยเรื่องงานบ้านทุกคนรู้มั้ย”
“พี่วาทำงานอยู่แล้วนี่”อำภาหลุดปาก มารดาของเธอขึงตาใส่ เด็กน้อยจึงหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ต่อถ้อยคำที่เอ่ยออกไป สาริตไม่ได้สะกิดใจอะไร
เด็กหญิงทั้งสามขึ้นรถของบิดา เวลาเช้าเขาจะไปส่งลูกเองถ้าว่าง สุภาตีไม้ขนไก่กับโซฟาเข่นเขี้ยวอาฆาตลูกสาวคนโตของตนเอง
“อีลูกไม่รักดี หน้าตาไม่เหมือนแม่ยังกระแดะไปเหมือนนังวาอีก สาระแนหาเรื่องให้แต่เช้าเชียวนังลูกเวร”
ขณะนั้นมีโทรศัพท์โทรเข้ามาทวงหนี้ ที่สุภาไปยืมไว้ สุภาหัวเสียอยู่แล้วจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิดเต็มที่
“รอหน่อยได้มั้ยฉันไม่โกงหรอกน่า”
“ก็อย่าคิดโกงให้แขนขาดก็แล้วกัน”
“อย่ามาขู่กันนักเลย ตารางมีไว้ขังหมาเสียเมื่อไหร่”สุภาต่อปากอย่างอดไม่อยู่ ปลายสายจึงว่า
“ว่าอะไรนะ อยากโดนเย็บปากหรือไง”
“ฉันบอกว่าจะให้ก็ให้สิ มาขู่หาอะไรนักหนา”สุภากล่าวแค่นั้นแล้วกระแทกสายลงกับแป้นโครมหลังจากนั้นนางกระแทกนั่งบนโซฟาสีน้ำตาลแดง ยกขาขึ้นมาชันข้างหนึ่ง กุมขมับอย่างจนปัญญาจะหาเงินไปใช้หนี้จากพนันและก็ยืมมาด้วยความหน้ามืดตาลาย
สาริตเหลือบสายตามองลูกสาวคนโตซึ่งนั่งมองออกนอกกระจก โดยไม่หันมาพูดคุยเหมือนดังน้องสาวทั้งสองคน สาริตถอนใจเล็กน้อยยังไม่เอ่ยปากกับลูกสาวคนโต เขากังวลแต่ว่า วาสิฐีจะเป็นเด็กจองหอง เหมือนมารดาผู้ล่วงลับตามความคิดของชายผู้เอาแต่ใจตน แต่ส่งลูกคนเล็กเข้าโรงเรียนอนุบาลไปก่อนจากนั้นจึงไปส่งอำภายังโรงเรียนรัฐบาลแต่มีชื่อเสียงมาก และส่งวาสิฐี เป็นคนสุดท้าย
รถจอดข้างโรงเรียน มีผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานกันอย่างหาที่จอดรถลำบาก วาสิฐีไหว้บิดาพลางถือกระเป๋าสาริตเอ่ยโพล่งออกไปอย่างไม่อยากเก็บเอาไว้
“พ่อเป็นพ่อของวาเสมอพ่อทำโทษเพราะพ่ออยากให้ลูกได้ดีพ่อรักลูกทุกคนได้ยินมั้ยวา”
“คุณพ่อ...”
“พ่อรักวานะลูก รักเท่ากันทุกคนกับน้อง พ่อไม่ได้ลำเอียง”
“ค่ะคุณพ่อ วาจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียน วาจะไม่มีวันทำให้คุณพ่อคุณแม่ของวาผิดหวัง”
“คนดีของพ่อ...พ่อจะเก็บเงินให้มากเพื่อส่งเสียลูกทุกคน อยากเรียนอะไรสูงแค่ไหนพ่อคนนี้มีปัญญาส่งนะลูก”
วาสิฐีปากสั่นระริกด้วยความตื้นตันใจเธอดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาที่ยังคงรินไหลไม่ขาด สาริตเขย่าบ่าลูกสาวเบาๆ โดยเฉพาะลูกสาวกำพร้าคนนี้ของเขา แวบหนึ่งของดวงใจ สาริตเพิ่งสำนึกผิดต่อภรรยาที่เขาหมดรักไปแล้ว
...เธอผู้นั้นจองหอง แต่เธอมีความผิดอะไรกันเล่า ในเมื่อเธออยากเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในชีวิตของสามี!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2555, 20:25:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2555, 20:26:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2252





   ชายผู้เอาแต่ใจ >>
tookta 4 พ.ค. 2555, 21:07:41 น.
เริ่มต้น ก็สงสารนางเอกแล้วค่ะไรเตอร์ รอติดตามค่ะ


นางแก้ว 4 พ.ค. 2555, 21:35:05 น.
ขอบคุณค่ะ นางเอกเรื่องนี้เป้นนางเอ๊กนางเอก เขียนต้งแต่ จ๋ายังไม่แต่งงาน ยังฝันหวานอยู่เลยค่ะ


Zephyr 5 พ.ค. 2555, 10:17:12 น.
อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ สงสารวาสุดใจ
ทำไมพ่อเป็นคนแบบนี้ ขัดใจรุนแรงมากๆ
ตกลงน้องเล็กชื่อลดาวัลย์หรือดารินคะ แล้วอำภาชื่อเล่นอำ้หรือภากันแน่เอ่ย เห็นเขียนๆไปแล้วมันไม่เหมือนเดิมน่ะค่ะ


นางแก้ว 5 พ.ค. 2555, 14:19:25 น.
เหรอค่ะ ว่าตรวจละเชียว อำภา ชื่อเล่นว่า อ้ำ ลดาวัลย์ อาจจะมีชื่อดารินติด หรืออะไรไปเดี่ญซหลังๆจะชื่อนี้หมดค่ะ
วาสิฐี -วาสิ -วา พระเอกคนเดียวเรียก ว้าส แลว่าแจกัน
พรรณยุดา-ยุดา
อำภา-อ้ำ
ลดาวัย์-ด๋า
ชอโทษที่ทำให้สับสนนะคะ


nutcha 6 พ.ค. 2555, 09:56:50 น.
สงสารวามาก


zilvermoon 14 พ.ค. 2555, 22:06:18 น.
ผู้ชายเห็นแก่ตัว..เป็นพ่อคนได้งัยเนี่ย


องุ่น 9 มิ.ย. 2555, 21:27:00 น.
สงสารนางเอกอ้า


องุ่น 9 มิ.ย. 2555, 21:56:50 น.
ป้ากุทำไมเขียนได้เหมือนอย่างนี้เนี่ย.....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account