The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1...100 %

The Recapture ร้ายทวงรัก

ตอนที่ 1


ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้าให้จงได้...มีอยู่แค่เหตุผลเดียว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะฉันเกลียดคุณ!

ประโยคนี้จะไม่หลุดออกมาจากความคิดของปีวราเด็ดขาด ถ้าชีวิตของเธอจะไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ ‘สูรย์ สมบูรณ์พูนผล’

มันเริ่มต้นในคืนวันมงคลสมรสของน้องสาวเพื่อนเธอ...

หลังขึ้นเครื่องจากสนามบินภูเก็ต มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิในช่วงเย็น ปีวราก็เรียกแท็กซี่ขนสัมภาระสองใบใหญ่ มุ่งหน้าไปยังโรงแรมหรูแถวดอนเมือง ซึ่งคู่บ่าวสาวใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงในช่วงหัวค่ำ

โรงแรมแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นโรงแรมระดับห้าดาว อยู่ติดถนนเส้นใหญ่ เวลารถสัญจรผ่านไปมา จะเห็นตัวโรงแรมซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะทางด้านหน้าชัดเจน กล่าวคือตัวตึกสูงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนานกับถนน มีกั้นกระจกใสเป็นทรงโค้งอยู่สองจุดคือหัวมุมกับส่วนกลาง อีกฟากหนึ่งของตึกปลูกสร้างเป็นแนวตัดเข้าชิดถนนด้านใน ความสูงของจำนวนชั้นมากกว่าตึกด้านหน้าเท่าตัว

ยามกลางคืนเมื่อเปิดไฟทุกจุด แสงสีส้มทั่วตึกสว่างไสว สมกับที่ชาวกรุงขนานนามให้ว่า ‘ความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่’

ปีวราเข้าห้องพักเรียบร้อย จัดแจงหยิบเสื้อผ้าซึ่งเตรียมมาสำหรับใส่ในงานกลางคืนแขวนเข้าตู้ นั่งพักจนหายเหนื่อย จึงโทรแจ้งเหมือนแพรเพื่อนสนิทของเธอ “ฉันมาถึงโรงแรมที่น้องสาวของเธอจะจัดงานในตอนกลางคืนแล้วนะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปงานหมั้นในตอนเช้า ฉันติดธุระจริงๆ”

ธุระที่ปีวราพูดถึง...เป็นความหนักอกหนักใจส่วนตัว!

“ไม่เป็นไรหรอก แพรขอบคุณปีมากนะ ที่อุตส่าห์สละเวลามางานแต่งของพราว...” เสียงของผู้พูดคล้ายขาดห้วงไปเสียเฉยๆ

แม้ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดกับทางปลายสาย แต่น้ำเสียงเครือของอีกฝ่ายก็ไม่อาจกลบได้มิด “แพรเป็นอะไรหรือเปล่า”

เหมือนแพรเงียบไปชั่วอึดใจ ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาลอดมาจากโทรศัพท์ โดยที่เจ้าตัวไม่เล่าถึงความอึดอัดใจบางอย่างให้ฟัง...ข้อนี้ปีวรารู้ดี ว่าเพื่อนคนนี้มีนิสัยค่อนข้างเก็บตัว พูดจาน้อยคำ ต่อให้มีเรื่องทุกข์ตรมขมไหม้เพียงไร ถ้าไม่ถึงที่สุด ก็จะไม่มีวันยอมเล่าถึงสิ่งที่อัดอั้นนั้นเด็ดขาด

เหมือนแพรรีบตัดบท “แล้วเจอกันตอนกลางคืนนะ”

เมื่อวางสายจากเพื่อน เธอมองไปยังนาฬิกาที่แขวนผนังอยู่เหนือจอโทรทัศน์กลางห้อง เห็นว่ามีเวลาอีกหลายชั่วโมง เพียงพอจะผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เธอจึงล้มตัวลงบนที่นอนอย่างอ่อนล้าทางใจ และอ่อนเพลียทางกายกับการเดินทาง

เปลือกตากำลังปรือเจียนจะปิดลงอยู่แล้ว ถ้าไม่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าของใครคนหนึ่ง มองดูที่หน้าจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุด พบว่าเบอร์นั้นไม่ได้กดบันทึกชื่อผู้ใช้ไว้ ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็กดรับ

“จำผมได้ไหมครับ”

เสียงผู้ชายทางปลายสายคุ้นหูตั้งแต่คำแรก และมันสามารถสะกดให้เธอต้องเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตื่นเต้น

“ยชญ์ใช่ไหม...แล้วนี่ได้เบอร์ของปีมาจากใครกัน จู่ๆก็โทร.มาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ปีตกใจแทบแย่ แล้วกลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นส่งข่าวคราวมาบอกกันบ้าง”

เธอคงจะถามออกไปอีกยืดยาว ถ้าอีกฝ่ายไม่รีบชิงดักคอเสียก่อนว่า “ค่อยๆซัก ค่อยๆถามก็ได้ครับ ผมดีใจนะ ที่ปียังจำเสียงผมได้”

“ใช่ยชญ์จริงๆด้วย ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ”

หญิงสาวยังไม่ทันเอ่ยปากบอกคู่สนทนาด้วยซ้ำ ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน ขึ้นมากรุงเทพฯด้วยกิจธุระอันใด ปลายสายก็เอ่ยความได้ครบถ้วน รู้รายละเอียดในเรื่องการแต่งงานคืนนี้ ดีพอๆกับเธอ

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวหกโมงเย็น ผมแวะไปรับปีที่ห้องพัก แล้วเราไปงานจัดเลี้ยงเจ้าบ่าวเจ้าสาวพร้อมกันดีไหมครับ”

เมื่อได้รับการนัดแนะกับบุคคลผู้ที่เธอไม่ทันคาดถึงว่าจะได้พบเจอกัน...ทำให้อาการง่วงงุนเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง

ในฐานะที่เคยรู้จัก จึงดีใจที่จะได้พบเขาอีกครั้ง หลังห่างหายกันไปเกือบสองปี

.................................................

เมื่อถึงเวลานัดหมาย ปีวราแต่งกายเรียบง่าย หากสง่าอยู่ในที ด้วยการสวมชุดกระโปรงสั้น คอวี แขนกุด ผ้าเป็นหนังสีขาวมันเงา ประดับด้วยคริสตัลลายดอกไม้ทั่วชุด ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด นอกจากกำไลสีขาวขนาดโตคล้องแขนติดกันสามอัน ส่วนประกอบอื่นๆอันได้แก่กระเป๋าหิ้วและรองเท้าส้นสูงหัวแหลมก็เรียบหรูสีเดียวกับชุด บ่งว่าผู้ใส่เป็นคนมีรสนิยมค่อนข้างดี

ความสวยงามของสตรีวัยยี่สิบสามผู้นี้ มิใช่มีแค่เพียงเรือนกาย แต่คุณลักษณะอื่นที่ใครเห็นก็เหลียวมองตามหลัง คือความสวยจรุงใจอันประกอบด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ กลีบปากสีกุหลาบอิ่มเต็มขณะยิ้ม เข้ากับดวงตารียาวซึ่งมีก้อนตาสีน้ำตาลอ่อน ประดับขนตาเป็นแพหนาชวนเคลิ้ม

หลังจากบำรุงเครื่องประทินผิวและฉาบสีสันบนดวงหน้าเรียบร้อย...เสน่ห์อีกอย่างของผู้หญิง คือการพรมความหอมทั่วเรือนกายด้วยกลิ่นหวานล้ำ ราวกับกลิ่นเกสรดอกไม้ชวนหลงใหล

เธอ ‘สวย’ ชนิดที่สามารถทาบรัศมีนางงามได้เฉกนั้น

แล้วความสะสวยของเธอ ก็สะดุดตาเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง เมื่อเธอดึงประตูห้องปิดลงจนสนิท...เขาผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตูอีกฝั่งตรงกันข้าม ห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงตัว เธอมัวแต่ให้ความสนใจต่อการนัดพบกับยชญ์ที่ล็อบบี้ชั้นล่าง จึงมองเขาคนนั้นเพียงผ่านตา ก้าวห่างเขาออกไปเรื่อยๆจนผ่านโถงทางเดินลับไปยังมุมหนึ่งเพื่อลงลิฟต์ โดยไม่รู้เลยว่า สายตาคู่นั้นยังจดจ้องทุกกิริยาของเธอด้วยความพึงใจแกมฉงนบางประการ
ปีวราลงลิฟต์มาชั้นล่าง บนลานหินอ่อนสะท้อนเงาแสงสีส้มจากโคมไฟระย้าห้อยตัวอยู่กลางเพดาน บริเวณนั้นมีแขกเหรื่อที่เข้าพักในโรงแรมปะปนอยู่กับบรรดาแขกผู้มาเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส

หญิงสาวกวาดตามองผ่านผู้คนที่ต่างยืนจับกลุ่มเป็นกระหย่อม ในบรรดาผู้ชายเหล่านั้น ล้วนแต่งตัวภูมิฐาน มีสง่าราศีสมกับฐานะ รวมถึงสตรีหลากวัยล้วนแต่งตัวงดงามราวกับเตรียมจะไปประกวดประขันบนเวที

แต่ในความพร่างพราวของสตรีทุกผู้นามในละแวกนั้น ก็ยังไม่อาจเทียบความงดงามชวนฝันเทียมเท่าปีวรา

ถ้าจะเปรียบผู้หญิงทั้งมวลในโถงรับแขกกลางโรงแรมรวมกัน เป็นดอกกุหลาบเหมือนกัน...มิอาจเทียบปีวรา ซึ่งเปรียบดั่งราชินีกุหลาบ กลีบดอกซ้อนกันลดหลั่นเป็นชั้นได้ระดับ ความอวบอูมเต็มตึงขนาดใหญ่ สีของดอกสด ฉ่ำ พราวไปด้วยประกายรุ้งยามต้องแสง ที่สำคัญกลิ่นหอมจากกุหลาบดอกนั้น ช่างลึกล้ำ ยั่วยวน

เธอมองผ่านผู้คนเหล่านั้น ไปกระทบตากับบุรุษผู้หนึ่ง ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาจับจ้องไม่วางตามันฟ้องด้วยสัญชาตญาณลูกผู้หญิง เป็นสายตาชนิดเดิม ไม่ต่างไปจากช่วงกี่นาทีที่ผ่านมา หน้าประตูห้องพัก

แสงสีส้มกลางห้องโถง เสมือนส่องลงมาจับรูปหน้าอันคมคายนั้น...ความวาววามในดวงตาเขาเหมือนมีมนตร์สะกด จนตัวเธอเองแทบกลั้นหายใจ

เมื่อได้มองหน้าเขาเต็มตา เกิดความรู้สึกนิยมชมชื่นก็ส่วนหนึ่ง แต่กระนั้นความ ‘เคยคุ้น’ กลับมีบทบาทเข้ามากดทับมากกว่า เหมือนเคยสนิทชิดเชื้อกันมานมนาน

แต่แล้วเสียงร้องทักของบุรุษอีกผู้หนึ่งที่เธอนัดพบ ก็ดังแหวกม่านผู้คนเข้ามาขัดจังหวะ เธอจึงหมุนตัวกลับไปยังต้นเสียงนั้น

“ปี...คุณมารอผมนานไหมครับ”

ปีวราดีใจที่ได้พบยชญ์...แต่ก็ยังพะวงถึงใบหน้าคมคายอันคุ้นตาของเขาผู้นั้น จึงเหลียวกลับไปมองยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่อีกครั้ง แต่เขาก็ลับตาไปแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงา

“กำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น ทว่าเธอกลับส่ายหน้า “เปล่าหรอก นึกว่าเจอคนรู้จักน่ะ...ว่าแต่ยชญ์เถอะ ตอนคุยโทรศัพท์ยังไม่เห็นเล่าให้ปีฟังเลย ว่าเป็นยังไงมายังไงกัน ถึงมางานแต่งคืนนี้ได้ รู้จักฝ่ายเจ้าบ่าวหรือว่าเจ้าสาวกันล่ะ”

เมื่อเห็นว่าบทสนทนาระหว่างผู้ที่ไม่พบหน้าค่าตาร่วมสองปี น่าจะยืดยาวเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงออกปากเชื้อเชิญเธอให้ไปนั่งบริเวณชุดเก้าอี้บุนวม ซึ่งตั้งเป็นกลุ่มติดแผงกระจกขนาดกว้างด้านในสุด ซึ่งเป็นมุมสงบ

“เราไปนั่งคุยกันตรงโน้นเถอะ ยังพอมีเวลา แล้วเดี๋ยวเราค่อยเข้าไปในงานพร้อมกัน ผมมีเรื่องอยากคุยกับปีตั้งเยอะแยะเลย”

ท่าทางของยชญ์ยังสุภาพไม่เปลี่ยน...แต่ในความอ่อนโยนอย่างที่หญิงสาวเคยรู้จักเขา บัดนี้มันเป็นเพียงแค่ ‘หน้ากาก’ เท่านั้น

มิตรภาพในอดีต ถูกซ่อนด้วยเจตนาบางอย่างอำพรางไว้ โดยที่ปีวราไม่ทันระแวดระวังตัว!

........................................................

แม้เวลาล่วงผ่านมาสองปี แต่ในสายตาของปีวรา...ยชญ์ยังดูดีทุกกระเบียดนิ้ว โครงสร้างทางกายภาพเขานั้น นับว่างดงามราวกับรูปปั้น ความสูงสมส่วน เมื่อยามสวมเสื้อสูทลำลองสีขาวตัดพอดีตัว ช่างขับให้ผิวขาวจัดอยู่แล้วดูสว่างกว่าเก่า เมื่อบุคลิกเขามีชัยเต็มร้อย กอปรกับหน้าตาครบเครื่อง ‘ลูกคุณหนู’ จึงไม่ยากที่สะกดสายตาของผู้หญิงที่เดินผ่านไปมาให้เหลียวมองเขาเป็นระยะ

รวมถึงเธอ ที่ยังเผลอจ้องเขาอยู่นาน จนเขาร้องทัก “ปีจ้องผมทำไมครับ”

เมื่อรู้สึกตัว หญิงสาวเก้อเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มแย้มเป็นทางออก และชวนคุย “กำลังคิดอยู่ในใจน่ะสิ ว่ายชญ์ไปอยู่เมืองนอกมาตั้งหลายปี ไม่เคยได้รับข่าวคราวเลย...ไม่รู้ยัง...”

ปีวราหยุดไว้แค่นั้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เธอกำลังชวนเขาย้อนไปยังเรื่องบางเรื่องซึ่งอาจยังเป็นบาดแผลรกเรื้อในใจอีกฝ่ายอยู่ และเหมือนว่าเขาเองก็เข้าใจในสิ่งที่เธอค้างไว้ จึงตอบออกไปด้วยความเรียบเฉย เหมือนไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่ล่วงมานาน

“อย่ารื้อฟื้นมันเลยครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

เขานิ่งอั้นไปชั่วขณะ สีหน้าแปรเป็นขรึมเล็กน้อย แต่ก็ปรับให้เป็นปกติในไม่กี่นาที...เธอจับความรู้สึกได้ จึงรีบกลบเกลื่อน ถอนความทรงจำไม่ดีต่อกันออกทิ้งไป และซักถามถึงเรื่องอื่น

“ถ้าอย่างนั้น ยชญ์เล่าให้ปีฟังหน่อยสิ ว่าไปอยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง แล้วกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

ชายหนุ่มจึงบอกกล่าวถึงช่วงเวลาสองปีอย่างรวบรัด มีทั้งจริงและเท็จปะปนกัน...เขาไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านบริหาร ตามคำสั่งของครอบครัว เมื่อไม่ตั้งใจศึกษาหาความรู้ เที่ยวหนักกว่าเรียน ไม่เป็นโล้เป็นพาย การเรียนจึงกระท่อนกระแท่น เงินทองที่ทางบ้านส่งให้ ก็หนักไปทางสำเริงสำราญ สุดท้ายผลของมันก็คือ ‘จบเห่’

แต่เขาบอกกับเธอในสิ่งตรงกันข้ามว่า “พอผมจบปุ๊บ ที่บ้านก็เรียกตัวกลับทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมใช้เวลาระหว่างนี้มีชีวิตส่วนตัวบ้าง” เขาแสร้งถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ผมก็เลยต้องเข้าไปช่วยพ่อกับแม่ดูแลบริษัท”

ชายหนุ่มฟุ้งถึงอาชีพทางบ้านแค่ไม่กี่ประโยค เพราะรู้ว่าความจริงส่วนนั้น มันกำลังจะกลายเป็นอดีต และเกรงว่าผู้ที่รับฟังจะจับพิรุธได้...เขาจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถามกับเธอในประโยคเดียวกันบ้าง

ปีวรา ‘นิ่ง’ คล้ายถูกจี้ไปยังจุดอ่อน ซึ่งตัวเธอไม่เคยปริปากพูดกับใครในเรื่องที่เกี่ยวกับทางบ้านสักราย...เพื่อนทุกคนไม่ว่าจะสนิทสนมขนาดไหน เธอก็เว้นระยะเรื่องทางบ้านไว้ห่าง ไม่เคยปรึกษาหรือเล่าเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวให้เข้าหูใคร ดังนั้นเมื่อฝ่ายชายถาม เธอจึงตอบสั้นๆแบบขอไปที

“ปีก็อยู่ช่วยงานที่บ้าน...สบายดี”

เธอเปลี่ยนเรื่องกลับมาซักถามเขาต่อ...เขาจึงเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเองในทางบวกว่า “พ่อผมรู้จักกับครอบครัวเจ้าบ่าว ทางฝั่งนั้นเขาเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ รู้จักคนกว้างขวางเต็มไปหมด...พ่อผมสนิทสนมกับคนในหลายคน เมื่อลูกชายเจ้าของบริษัทจะแต่งงานทั้งที ถ้าไม่มางาน ก็ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน”

“แล้วท่านไม่ได้มาด้วยตัวเองหรือคะ”

คำถามแสนจะธรรมดา แต่ทำให้ผู้ถูกถามชะงักฉับพลัน พูดแก้เก้อด้วยความไว “พอดีท่านไม่ค่อยสบายครับ ผมก็เลยมาแทน”

เมื่อเธอเผลอ เขาจึงลอบถอนหายใจเล็กน้อย...ในเมื่อความจริง การแต่งงานอันยิ่งใหญ่เอิกเกริกในค่ำคืนนี้ ผู้เป็นบิดาของเขา มิได้รู้จักมักจี่อย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด อาศัยว่าข่าวการแต่งงานที่แพร่สะพัดทางสื่อสิ่งพิมพ์เป็นที่กล่าวถึงในวงสังคม เขาจึงนำข้อมูลที่พอรู้มาสวมรอยในการมาร่วมงานแต่งก็เท่านั้น

เรื่องที่พ่อป่วย จึงเป็นสิ่งที่โกหกทั้งเพ!

เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ มีอยู่ประการเดียว...คือเขาต้องการหาหนทางกลับมาใกล้ชิดปีวรา โดยมีจุดประสงค์บางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ดังนั้นเมื่อทราบความคืบหน้าจากเหมือนแพร ว่าปีวราจะมาร่วมงานแต่งในคืนนี้ เขาจึงไม่รีรอที่จะติดต่อเธอทางโทรศัพท์ นัดพบกับเธอก่อนเข้าไปในงาน

เพื่อต้องการกลับมาสานสัมพันธ์ที่ถูกสะบั้นอย่างไม่ใยดี ด้วยวิธีการเอาคืน!

..............................................

การกลับมาพบกันอีกครั้ง เป็นความดีใจของปีวรา ในทำนองเดียวคือเคยรู้จักชิดเชื้อ ไม่ได้คิดเป็นอื่นมากกว่านั้น...แต่สำหรับยชญ์ มันเป็นความดีใจเช่นกัน แต่ในแง่ที่จะได้แนบชิดอิงแอบ มอบ ‘ความสุขสม’ บางอย่างให้กับเธอ

ดังนั้นเมื่อทั้งสองเดินผ่านโถงกลาง ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่จัดงานเลี้ยง ตามกลุ่มบุคคลทั้งหลายที่ทยอยมาร่วมความยินดีกับเจ้าของงาน ยชญ์ถือโอกาสโอบรอบเอวเธอ ถึงเนื้อถึงตัวเธอ แสดงความคุ้นเคย เพื่อโอกาสอันเหมาะเจาะกับแผนการในหัว

แล้วมันก็เข้าทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อถึงโค้งประตูซึ่งจัดซุ้มดอกไม้ด้านหน้า คู่บ่าวสาวกับญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย กำลังยืนต้อนรับแขก

เจ้าบ่าวสวมชุดทักซิโดสีดำ เสื้อเชิ้ตตัวในสีขาว ผูกเนกไทสีดำมีลายเดินเส้นพอเหมาะ คอเสื้อที่ยาวลงมาเป็นรูปตัววี ทำให้ช่วงไหล่เด่นขึ้น เมื่อผนวกกับความสูงสมส่วนเข้ากับสรีระ นับได้ว่ารติเป็นเจ้าบ่าวที่น่าจัดอันดับต้นๆเรื่องของความหล่อเหลาเอาการ...ส่วนพราวฝันผู้เป็นเจ้าสาว สวมชุดสีขาว โชว์ผิวขาวละเอียดเหนือเกาะอก ซึ่งประดับลายลูกไม้ฉลุเป็นแผง บางส่วนก็ปักเลื่อมพราวเป็นประกายวาวไปทั้งชุด

หากดูผิวเผิน...คนทั้งคู่ ช่างดูเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก

ปีวราตรงเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโส ไม่เห็นเหมือนแพรผู้เป็นเพื่อนยืนอยู่บริเวณนั้น จึงทักทายกับน้องสาวของเพื่อนซึ่งยืนยิ้มหวานฉ่ำ ประกายตาบ่งถึงความสุข

“ยินดีด้วยนะคะน้องพราว ขอให้มีความสุขมากๆ”

ผู้เป็นเจ้าสาวรู้จักเธอเพียงผิวเผิน จึงเอ่ยขอบคุณพอเป็นพิธี พร้อมยิ้มพรายให้อีกครั้ง ก่อนจะหันไปกล่าวสวัสดีกับแขกผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นคุณหญิงคุณนาย...ปีวราจึงเหลียวไปมองหน้าเจ้าบ่าว เห็นได้ชัดว่าดวงตาเขาไม่ได้แต้มสีของความสุขเฉกเดียวกับเจ้าสาวเลย

เธอแอบนึกค่อนในใจว่าเจ้าบ่าวสุดหล่อ ดูเหมือนคนหยิ่ง จองหอง นึกแล้วยังแอบหมั่นไส้กลายๆ...เคยเห็นเขาบ้างตามสื่อสิ่งพิมพ์ ประเภทข่าวซุบซิบ หรือข่าวสังคม หากดูแค่ผิวเผิน เขานับได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจไม่น้อย แต่เมื่อเห็นตัวจริงวันนี้ เธอกลับรู้สึกตรงกันข้าม

หญิงสาวจึงเลี่ยงจากบริเวณนั้น เหลียวไปทางโต๊ะด้านหน้า ยชญ์ไปยืนลงชื่อของแขกพร้อมกับรับของชำร่วย เขาปรายตามาทางเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะควักกล่องขนาดจิ๋วห่อกระดาษสีบรอนซ์ทองผูกริบบิ้น ยื่นให้กับสาวสวยตรงหน้า

เธอจึงนึกได้ว่า กล่องนั้นน่าจะเป็นของขวัญจากบิดาชายหนุ่ม...เธอจึงเปิดกระเป๋าสะพายซึ่งคล้องไว้ที่ไหล่ หยิบกล่องขนาดใกล้เคียงกับของเขา ยื่นให้สาวสวยตรงหน้าเช่นกัน โดยหารู้ไม่ว่า ในกล่องของขวัญจากมือยชญ์เป็นเพียงกล่องเปล่า ซึ่งชายหนุ่มอุปโลกน์ขึ้นมาก็เท่านั้น มิได้บรรจุของมีราคาค่างวดแต่อย่างใด

เธอไม่รู้สักนิดเลย ว่ากล่องของขวัญที่ยชญ์เตรียมมา ก็เป็นแค่ฉากหน้าที่เขาอำพรางตนไว้

ทั้งคู่เสียเวลาอยู่หน้างานไม่นาน จึงเข้าไปด้านใน...ภายในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ ซึ่งจุคนได้หลายพัน บัดนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยแขกเหรื่อจำนวนมาก และผู้คนในนั้น จำนวนหนึ่งเป็นสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวการแต่งงานครั้งใหญ่เต็มไปหมด

ปีวรามองเห็นเหมือนแพรอยู่ไม่ไกลนัก...เธอกำลังยืนคุยอยู่กับใครบางคนเยื้องไปทางหน้าเวทีตรงกลาง เมื่อเพื่อนสนิทมองเห็นเธอ ก็รีบผละจากจุดโน้นตรงเข้ามาหา

ทว่าชายหนุ่มผู้ยืนสนทนากับเหมือนแพรนั่นต่างหาก ที่กำลังเป็นเป้าสายตาของปีวรา...เมื่อเขาหมุนตัวหันมามองตาม

เขาคือคนเดียวกับผู้ชายที่เธอพบหน้าสองครั้งเมื่อชั่วโมงก่อน!

ความคุ้นตากระจ่างขึ้นมา แต่ก็เป็นเพียงแสงสว่างรำไร...จนกระทั่งเหมือนแพรเดินมาถึง “นึกว่าปีหายตัวไปอยู่ซะที่ไหน แพรโทร.หาตั้งหลายรอบ แต่ก็ต่อสายไม่ติดเลย”

ปีวราจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองปิดเครื่องเอาไว้ เอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ “ตายจริง! ลืมสนิทเลยว่าปิดเครื่องไว้”

“ไม่เป็นไร ตอนแรกปีเองก็ติดต่อเราไม่ได้เหมือนกัน ต้องขอโทษด้วยนะ” เหมือนแพรเองก็รู้สึกผิด ด้วยก่อนหน้านี้โทรศัพท์ของเธอนั้นตกกระแทกพื้น จึงติดต่อกันไม่ได้ กว่าจะได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ จึงเสียเวลาโทร.นัดกันพอดู

“ถือว่าหายกัน” ปีวรายิ้มหลังจากได้ข้อสรุป

สองสาวทักทายกันอีกไม่กี่คำ ปีวราจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าตนเองไม่ได้มางานตามลำพัง มียชญ์ยืนรั้งท้าย จึงหันไปแนะนำเพื่อนชาย “นี่แพร...ไม่รู้ยชญ์ยังจำแพรได้ไหม”

เหมือนแพรยิ้มทักทาย กำลังจะเอ่ยทัก แต่ฝ่ายชายก็รีบดักคอขึ้นเสียก่อน “จำได้สิครับ...แพรนี่ล่ะที่เป็นคนบอกว่าปีจะมางานแต่งคืนนี้ แล้วผมก็ได้เบอร์โทรศัพท์ของปีมาจากแพร”

เหมือนแพรจึงชวนยชญ์คุยไม่กี่คำตามมารยาท เพราะไม่ถึงกับสนิทสนมกันเท่าไหร่นัก...การติดต่อมาถามถึงเบอร์โทรศัพท์ของปีวราในวันก่อน ยังแอบทำให้เหมือนแพรนึกฉงนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัย จึงให้เบอร์และส่งข่าวการมากรุงเทพฯของปีวราโดยไม่ปิดบัง

“วันนี้แพรดูซูบไปหน่อยนะ”

ปีวราทักเพื่อนอย่างที่รู้สึก แต่คำพูดของเธอกลับทำให้อีกฝ่ายหน้าเจื่อน ประกายตามีความเหนื่อยล้า อ่อนแรงแฝงตัว ยิ้มที่คล้ายเบิกบานจึงหุบเม้มไปโดยไม่รู้ตัว

แต่ผู้ถูกทักก็ตอบแบบอ้อมแอ้มไปว่า “พอดีแพรไม่ค่อยสบาย เหมือนจะเวียนหัวหน่อยๆน่ะ...ต้องขอโทษด้วยนะ คืนนี้อาจจะดูแลปีได้ไม่เต็มที่ แต่ยังไงซะ ก็ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์สละเวลาขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ”

คำตอบของปีวราทำให้เหมือนแพรอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบอย่างรู้สึกขอบคุณ ก่อนที่จะหันไปยังชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อนรัก “ขอบคุณนะคะคุณยชญ์”

“ยินดีครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ เหมือนแพรจึงก้มหัวรับความหวังดีนั้น พลันสายตาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเข้า

“ถ้ายังไงเดี๋ยวแพรขอตัวก่อนนะ ปีกับคุณยชญ์ตามสบายนะคะ”

เหมือนแพรรีบขอตัวเลี่ยงไปจากที่ตรงนั้น ทั้งที่รู้ว่า ‘การหนี’ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่ตอนนี้เธอไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าเขาคนนั้น ในเมื่อใจเธอยังบอบช้ำกับแผลสดที่เพิ่งก่อเกิด และทางออกที่เธอนึกได้ คือการหลบหน้าเขา

“อ้าวแพร! เดี๋ยวสิ” ปีวรายังอยากชวนคุย ได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆ ใจนึกอยากถามถึงผู้ชายที่เพิ่งยืนคุยกับเหมือนแพรเมื่อครู่หมาดๆ แต่แล้วคำถามนั้นก็ถูกเก็บไว้ข้างในตามเดิม

เหมือนแพรผละออกไปจากที่ตรงนั้นแล้ว ยชญ์ก็เข้ามายืนขนาบข้างตามเดิม “ปีจะรับเครื่องดื่มอะไรดี เดี๋ยวผมจะเรียกบริกรให้”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา ขณะที่ ‘ปากว่ามือถึง’ ด้วยการถือวิสาสะเข้ามาโอบรอบเอวเธอราวกับเป็นคนรักกัน...แต่เธอก็มิได้ขัดขืน เพียงแค่ปรายตามองด้วยท่าทางอึดอัด หวังให้เขารับรู้ แต่ดูเหมือนว่ายชญ์จะทำเป็นมองเมินไปทางอื่น คล้ายกับว่าการกระทำแบบถึงเนื้อถึงตัว เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่ได้เจตนา

แต่ปีวราไม่ใช่คนโง่! เธอรู้ว่านี่เป็นนิสัยข้อหนึ่งของพวกคนเจ้าชู้

จึงแอบนึกในใจเหมือนกัน ว่ายชญ์กำลังจะมาไม้ไหน ถึงได้ประพฤติตัวว่าสนิทสนมเช่นนี้ ทั้งที่เรื่องความสัมพันธ์ฉันท์คนรักระหว่างเธอกับเขา มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเธอก็คิดว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้

เพราะอะไรน่ะหรือ...หัวใจเธอมีคำตอบมาตั้งแต่ยังอายุสิบสองแล้ว!

“ปีขอคอกเทลก็พอค่ะ”

เมื่อเอ่ยปากบอกรายการเครื่องดื่มที่ต้องการกับชายหนุ่มข้างตัว...เธอจึงเหลียวกลับไปมองยังจุดเดิมที่ชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ แต่ก็ไม่พบร่างเขา

ครั้นหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง อีกฝั่งหนึ่งข้างเวที ไกลออกไปพอสมควร กลับปรากฏสายตาคมคายคู่นั้น กำลังจับจ้องมาทางเธอ

...............................................................






พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2555, 23:56:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2555, 17:28:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1305





   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account