มนตราปฏิพัทธ์
เมื่อหัวหน้าที่เคารพรักของร้อยตำรวจเอกแพททริคถูกฆาตกรรมปริศนา อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันเพื่อสาวไปถึงตัวฆาตกรได้ แก๊งสี่ตำรวจหนุ่มจะทำอย่างไร

ขณะที่ความเครียดต่างๆ โหมเข้าหา... เขาก็ได้เจอเธออีกครั้ง แพรวนภัส... หญิงสาวที่จากกันไปหลายปี ผู้ซึ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงทุกครั้งที่ได้พบกัน ความปฏิพัทธ์ที่เริ่มก่อตัวเมื่อหลายปีก่อน...ได้หวนกลับมาอีกครั้ง

ทว่าความสวยของเธอก็ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรัก รวมไปถึงลูกชายมาเฟียขาใหญ่

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันได้จ้า ^^

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 หัวใจติดปีก

บทที่1

‘ช็อก ! พบศพนายตำรวจยศพันโท เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจเมืองมาร์กเซย ลอยอืดริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ญาติระบุไม่เคยมีเรื่องกับใคร
จากการสอบปากคำนางโจเซฟิน ดูบัวส์ ภรรยาของผู้ตาย ให้การว่า ได้พูดคุยกับสามีครั้งสุดในเช้าวันศุกร์ก่อนที่ผู้ตายจะออกจากบ้านไปทำงาน

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจจะโดนฆาตกรรมและโยนทิ้งทะเลเพื่ออำพรางคดี อย่างไรก็ตาม ต้องรอกองพิสูจน์หลักฐานและหน่วยงานวิทยาศาสตร์ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน จากนั้นค่อยสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป’

แพททริคโยนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นประจำวันอังคารทิ้งลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าหนักใจ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหัวหน้าของเขาเสียชีวิตไปแล้ว...

ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นหน้าท่านสารวัตรก็คือตอนที่ท่านโบกมือลาลูกน้องก่อนกลับบ้านในเย็นวันศุกร์ด้วยรอยยิ้มสดใสกว่าทุกครั้ง ด้วยเขาสังเกตเห็นว่า พักหลังสีหน้าของท่านดูจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล คล้ายมีอะไรอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา แม้ตอนที่ท่านอยู่คนเดียวในห้องทำงาน เขาเคยลอบมองผ่านกระจกใส ก็เห็นว่าท่านมักจะนั่งเหม่อลอยและครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เสมอ

จนกระทั่ง...เมื่อวานนี้ หลังจากได้รับแจ้งว่ามีคนพบศพลอยเกยอยู่ที่ริมชายหาดในเขตบอนแวนของเมืองมาร์กเซย เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่จากฝ่ายสืบสวนสอบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานได้เดินทางเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทันที

วินาทีแรกที่เห็นสภาพศพ เขาสาบานเลยว่าเขาแทบจำไม่ได้ว่านี่คืออดีตผู้บังคับบัญชาของเขา

การจากไปของพันตำรวจโทฌองปิแอร์ไม่ไปเป็นไปอย่างสงบอย่างที่ควรจะเป็น ทว่ากลับเต็มไปด้วยเสียงก่นด่าจากผู้คน...

...มีข่าวลือออกมาอย่างหนาหูว่า การเสียชีวิตของอดีตนายตำรวจใหญ่ อาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด บ้างก็ว่าไปขัดผลประโยชน์กัน บ้างก็ว่าเกิดการหักหลังกันภายในกลุ่ม หากสิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้ ก็คือมีคนบางกลุ่มกล่าวหาอดีตผู้บังคับบัญชาการของเขา ว่ามีส่วนพัวพันกับการระบาดของยาเสพติดในเมืองมาร์กเซยในขณะนี้ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ คนเหล่านั้นรู้สึกสะใจและยินดีกับการจากไปของท่าน

เป็นไปไม่ได้ !

หัวหน้าของเขาเป็นคนดีและเป็นที่รักของลูกน้องทุกคน ท่านเป็นคนขยันขันแข็งและรักในหน้าที่การงาน ท่านมักบอกกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอว่า อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติ์ มีศักดิ์ศรี ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่และดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างสุดความสามารถ จนเขาจำได้ขึ้นใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลายครั้งที่ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีในการปราบปรามและจับกุมพ่อค้าเสพติดรายแล้วรายเล่า ทั้งยังสามารถปิดคดีไปได้หลายคดี เขาทำงานกับท่านมานาน จนรู้ดีว่าตำรวจมือสะอาดอย่างท่านไม่มีวันที่จะไปยุ่งกับขบวนการพวกนั้นแน่

ใช่! ต้องเป็นพวกพ่อค้ายาพวกนั้น ที่ไม่พอใจในการทำงานของตำรวจ ไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไปขัดขวางการทำมาหากินของพวกมัน คนตงฉินอย่างท่านสารวัตรฌองปิแอร์จึงต้องมารับเคราะห์แทน

เขาไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาดว่าหัวหน้าจะมีส่วนรู้เห็นกับการค้ายาเสพติดในมาร์กเซย ไม่มีวัน...

“แพท”

เสียงเรียกนั้นทำให้แพททริคหลุดออกจากห้วงคำนึงทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นตำรวจรุ่นน้องนามว่าเจเรมียืนยิ้มแฉ่งอยู่

“มีอะไรหรือ” แพททริคถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

“อีกสิบห้านาที ท่านรองฯ ปาร์มองติเย่เรียกประชุมด่วนน่ะ”

“โอเค ขอบใจมาก” เขาตอบรับ แล้วมองตามหลังเจเรมีที่เดินจากไ

แพททริคหยิบสมุดจดบันทึกและปากกาเดินตรงไปยังห้องประชุมเมื่อเห็นว่าจวนถึงเวลา ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมขนาดเล็ก เขาก็พบว่ามีตำรวจสามนายนั่งรออยู่ในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว แพททริคจับมือทักทายกับทุกคน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกใกล้ประตูทางเข้า ซ้ายมือของเขาคือร้อยตำรวจโทเจเรมี ตำรวจหนุ่มในวัยยี่สิบเจ็ดปี ผมสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาของเขามักเปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอ และนั่นก็เป็นเสน่ห์มัดใจสาวๆ อย่างหนึ่งของเจเรมี

ฝั่งตรงข้ามคือร้อยตำรวจตรีพอลนั่งติดกับหัวโต๊ะ ตำรวจหนุ่มผมสีบรอนด์ รูปร่างเล็กกว่าเจเรมีเล็กน้อย พอลและเจเรมีอายุไล่เลี่ยกัน รวมถึงนิสัยบางอย่างยังคล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออก ส่วนที่นั่งติดกันกับหมวดพอลก็คือหมวดแมทธิว หรือร้อยตำรวจโทแมทธิว ชายหนุ่มผมดำ ผิวแทน รูปร่างใหญ่โตกว่าเพื่อน เขายักคิ้วให้แมทธิวเล็กน้อย ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างตำรวจทั้งสี่นายที่นั่งอยู่ภายในห้องนี้ แมทธิวก็ถือว่าเป็นคนที่ขรึมและพูดน้อยที่สุดแล้ว

ทั้งสี่อยู่ในชุดเครื่องแบบสีกรมท่า รองเท้าบู๊ทสีดำ ที่กระเป๋าหน้าอกด้านขวามีสัญลักษณ์รูปปิระมิดกลับหัว เขียนว่าโปลิศ นาซิโอนาล(Police Nationale) ด้านล่างเป็นรูปแผนที่ประเทศฝรั่งเศสปักด้วยด้ายสีน้ำเงิน ขาวและแดงเรียงเป็นลายทางตามสีธงชาติของประเทศฝรั่งเศส

เจเรมีเป็นตำรวจหนุ่มรุ่นน้องที่จบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่เมืองคานส์เช่นเดียวกับแพททริค ก่อนจะขอตามเขามาประจำการที่เมืองมาร์กเซย เจเรมีเป็นหนึ่งในลูกทีมมือฉกาจของเขาในฝ่ายสืบสวนสอบสวน แผนกคดีอาชญากรรมและยาเสพติด อีกทั้งยังเป็นบัดดีของเขาอีกด้วย ดังนั้นหลายคดีที่เขารับผิดชอบก็มักจะมีเจเรมีติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ

ส่วนแมทธิวกับพอลนั้น ทั้งสองเป็นตำรวจในฝ่ายเปเตแอส(PTS) [1] ซึ่งเชี่ยวชาญในการหาร่องรอยและหลักฐานในคดีต่างๆ และเคยทำงานร่วมกับเขาบ่อยๆ ด้วยหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น มักจะมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นไม่แปลกที่ตำรวจทั้งสี่นายในห้องประชุมจะค่อนข้างสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
ไม่กี่นาทีถัดมา พันตำรวจเอกริชาร์ด ปาร์มองติเย่ในวัยสี่สิบเก้าปีก็ก้าวเข้ามาในห้องประชุมด้วยท่วงท่าสง่า พร้อมด้วยคำทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”

ตำรวจหนุ่มทั้งสี่ลุกขึ้นยืนตรงเคารพแล้วกล่าวคำทักทายตอบ ริชาร์ดพยักหน้าให้ทุกคนนั่งลงได้ และเขาก็เริ่มประชุมทันทีโดยไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย

“เอาล่ะ พวกเราคงทราบเรื่องการจากไปของสารวัตรไปแล้ว นับเป็นข่าวร้ายของสถานีตำรวจของพวกเราที่ต้องสูญเสียบุคลากรดีๆ ไป และไม่มีใครอยากให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น” ริชาร์ดทอดจังหวะ กวาดตาไปทั่วห้อง “อย่างที่รู้ๆ กันว่าข่าวการเสียชีวิตของสารวัตรนั้นเป็นข่าวใหญ่เพราะเป็นการตายอย่างมีเงื่อนงำ ซ้ำยังหาฆาตกรไม่ได้ ในฐานะที่เขาเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของพวกคุณ ผมจึงอยากขอร้องให้ทุกคนช่วยติดตามคดีนี้ให้ที”

ทุกคนพยักหน้ารับ นั่งนิ่งตั้งใจฟังท่านรองผู้กำกับพูดต่อ ริชาร์ดหันหน้ามาทางแพททริค เลื่อนแฟ้มสำนวนคดีและแฟ้มภายถ่ายมาตรงหน้า

“ผู้กองแพททริค ในฐานะที่สารวัตรดูบัวส์เป็นผู้บัญชาการสายตรงของคุณ ผมขอตั้งให้คุณเป็นเจ้าของคดีนี้เพราะผมเข้าใจว่าคุณคงอยากรับผิดชอบคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยที่หมวดพอล หมวดแมทธิวและหมวดเจเรมี จะช่วยประสานงานด้านการสืบสวนสอบสวน รวมทั้งช่วยกันหาหลักฐานและพยานต่างๆ ที่จะสามารถสาวไปถึงตัวผู้กระทำผิด แล้วจับมาลงโทษให้ได้”

“ครับท่าน” ทุกคนประสานเสียง

เขาระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนพูดต่อ “เรื่องสุดท้าย อย่างที่รู้ๆ กันว่าการเสียชีวิตของสารวัตรดูบัวส์ ตอนนี้มีข่าวลือในแง่ไม่ดีไปทั่ว ผมต้องการให้พวกคุณช่วยทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพื่อเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรีให้แก่สารวัตร และผมอยากให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่า อย่างน้อยเขาก็เคยเป็นหัวหน้าที่ดีคนหนึ่งของพวกคุณ”

“ครับท่าน” เสียงตอบรับประสานขึ้นมาอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง

“เอาล่ะ ทุกคนมีปัญหาอะไรอีกไหม”

“ไม่มีครับ”

“ผมขอให้ทุกคนโชคดี” ริชาร์ดอวยพร ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมไป

แพททริคหันมามองหน้าลูกทีมทุกคนด้วยแววตามุ่งมั่น “ยินดีที่ได้ร่วมงานกันอีกครั้ง”

ตำรวจหนุ่มสามนายยิ้มกว้างและลุกขึ้นมาจับมือกันด้วยความยินดีที่ได้ทำงานด้วยกันอีกครั้ง

แพททริคนึกขอบคุณริชาร์ดที่มอบคดีนี้มาให้เขารับผิดชอบ เขาต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นให้ได้ว่าหัวหน้าของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นอย่างที่ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์เสียๆ หายๆ

*****************************

“เดินปลอดภัยและดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” คุณกมลพรรณ อริยะไพศาลอวยพร พร้อมกับดึงร่างแพรวนภัสเข้ามากอดแนบอก หัวอกคนเป็นแม่ก็อดใจหายไม่ได้ที่ลูกสาวจะจากบ้านไปไกล ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตามที


หญิงสาวกอดตอบมารดาแน่นและหอมแก้มฟอดใหญ่จนคุณกมลพรรณอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แม้ว่าอายุอานามจะเลยเลขห้าไปหลายปี แต่ใบหน้าเอิบอิ่มที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัยยังมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ไม่น้อย และดูเหมือนว่าความงามนั้นได้ถูกถ่ายทอดไปยังลูกๆ ทั้งสามคน

“ค่ะ คุณแม่ ถ้าแพรวไปถึงที่มาร์กเซยแล้ว จะรีบโทร. มารายงานความรักและความคิดถึงทันทีเลยค่ะ” แพรวนภัสยิ้มหวานให้คุณกมลพรรณ หลังจากที่ปล่อยให้มารดาลูบหลังลูบไหล่จนพอใจ ก่อนจะลุกเข้าไปหอมแก้มบิดาอย่างเอาใจ

“คุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ เหมือนกันนะคะ”

ดิเรก อริยะไพศาลผู้เป็นบิดาวัยหกสิบปีมองหน้าลูกสาวคนโปรดแล้วยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู แววตาหมองลงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอีกนานทีเดียวกว่าจะได้เจอบุตรสาวอีกครั้ง ด้วยแพรวนภัสต้องไปทำงานในโรงแรมเปิดใหม่ในเครือของบริษัทที่ยุโรป
เขาและภรรยาร่วมกันบริหารธุรกิจโรงแรมในเครือบลูสกายตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ๆ เมื่องานการเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทั้งคู่ก็ตัดสินใจมีบุตรคนแรกซึ่งก็คือพิพัฒน์ในปีที่สามของการแต่งงาน และสองปีต่อมานางฟ้าคนที่แรกของครอบครัวนามว่าแพรวนภัสก็ลืมตาออกมาดูโลก นางฟ้าคนที่สองชื่อพราวนภาก็ตามพี่ๆ ทั้งสองออกมาอีกสองปีให้หลัง

เขาได้ขยายธรุกิจในเครือไปตามต่างจังหวัดใหญ่ๆ ภายใต้ชื่อ ‘บลูสกายโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ต’ เป็นโรงแรมกึ่งรีสอร์ตที่เน้นการผสมผสานธรรมชาติซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคนี้ โดยมีพิพัฒน์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยบริหารงานต่างๆ ในบริษัทและเลือกที่จะดูแลในส่วนของรีสอร์ต เพราะพิพัฒน์บอกเขาว่าชอบที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดมากกว่าในเมืองหลวงที่วุ่นวาย

ส่วนแพรวนภัสหลังจากจบปริญญาโทด้านการโรงแรมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็เข้ามาช่วยดูแลในด้านการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมกิจการขาย ดูเหมือนว่าแพรวนภัสทำหน้าที่ได้อย่างดีทีเดียว

การทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อจ้างบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่มาทำโฆษณาเพื่อใช้โปรโมตโรงแรมในทีวีหลายเดือนก่อน โดยใช้ดาราระดับแนวหน้าของเมืองไทยมาเป็นพรีเซนเตอร์ก็เป็นที่ฮือฮาไปทั่วประเทศ จนทำให้โรงแรมในเครือหลายแห่ง โดยเฉพาะในส่วนของโรงแรมกึ่งรีสอร์ต ถูกจองจนเต็มไปจนถึงกลางปีหน้า และนั่นเป็นหนึ่งในผลงานของแพรวนภัสที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้

ส่วนพราวนภา ลูกสาวคนสุดท้องดูจะสนใจด้านการทำอาหารและขนมมากกว่างานด้านบริหาร โดยเฉพาะการทำเค้กและขนมอบ พราวนภาได้ไปเรียนการทำขนมต่างๆ ถึงประเทศอังกฤษ จึงเข้าไปดูแลในส่วนแผนกอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัว พราวนภามักจะคิดสูตรขนมใหม่ๆ หน้าตาน่ารับประทานออกมาเอาใจลูกค้าอยู่เสมอ เรียกได้ว่าทายาททั้งสามแห่งตระกูลอริยะไพศาล ไม่ว่าจะหยิบจับงานไหนก็หนีไม่พ้นงานโรงแรม

ด้วยการบริการเป็นเลิศและได้รับรางวัลเวิลด์ทราเวลอวอร์ด (World Travel Awards) [2] มาการันตีติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี จึงไม่แปลกที่จะเห็นลูกค้าจากในประเทศและต่างประเทศไว้วางใจและเลือกที่จะเข้ามาใช้บริการโรงแรมในเครืออยู่เสมอ ปัจจุบันเขาได้ขยายสาขาโรงแรมออกไปหลายประเทศทั่วโลก ทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน และบางประเทศในแถบยุโรปอีกด้วย

“พราวไม่อยากให้พี่แพรวไปเลยค่ะ” เสียงหวานปนสะอื้นของพราวนภาดังขึ้น แล้วก็โผเข้ากอดพี่สาว เธอเข้าสวมกอดแพรวนภัสนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ

“ไม่เอาน่า เลิกขี้แยได้แล้ว พราวโตแล้วนะ ร้องไห้บ่อยๆ เดี๋ยวไม่สวยนะจ๊ะ” แพรวนภัสดันตัวน้องสาวออกมาเล็กน้อย ใช้นิ้วเช็ดคราบน้ำตาที่เลอะแก้มออกให้
แพรวนภัสลูบศรีษะน้องสาวที่อายุห่างกันสองปีด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่เล็ก พราวนภาเป็นน้องที่ติดพี่สาว กระทั่งโตเป็นสาว พราวนภาก็ยังชอบหอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกับแพรวนภัสเสมอ และก็นอนคุยกันทุกคืนจนกว่าจะมีคนใดคนหนึ่งผล็อยหลับไปก่อน

เธอมองใบหน้างามของน้องสาวที่ตอนนี้เปอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ปลายจมูกโด่งเล็กเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อร้องไห้ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนเม้มเข้าหากัน ก่อนขยับออกห่าง

“พราวต้องเหงาแน่ๆ เลย”

“เหงาเหงิวอะไรกัน พี่ทินเขาก็อยู่ด้วย พี่ต่างหากที่ต้องเหงา” แพรวนภัสหมายถึงทินกร แฟนหนุ่มของพราวนภา ทั้งคู่คบกันมาได้เกือบสองปีแล้ว ดูเหมือนชายหนุ่มก็เข้ากับครอบครัวของเธอได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทางครอบครัวอริยะไพศาลเองก็เอ็นดูชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย เธอนึกดีใจแทนน้องสาว ที่ได้แฟนน่ารัก นิสัยดีคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ

“ก็ตอนที่พี่แพรวหรือพราวไปเรียนต่อ มันมีกำหนดกลับแน่ๆ ถ้าเรียนจบ แต่นี่พี่แพรวไปทำงาน ไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไร พราวคงคิดถึงพี่แพรวแย่”

“ถ้าคิดถึง เราก็ค่อยคุยสไกป์กัน...แบบเมื่อก่อนไง จะได้เห็นหน้ากันบ่อยๆ พี่จะออนไลน์ทุกวันเลย” แพรวนภัสบอก “หรือไม่ก็...ถ้าช่วงไหนที่พราวว่างก็บินไปเยี่ยมพี่ได้บ่อยๆ นิ จริงไหม”

“ค่ะ” พราวนภาถอนสะอื้นก่อนตอบ

แพรวนภัสยิ้มให้น้องสาว ก่อนหันไปบอกทินกร “แพรวฝากพี่ทินดูแลน้องสาวขี้แยของแพรวด้วยนะคะ ถ้าพราวดื้อหรือยังงงแงอยู่ แพรวอนุญาตให้จับตีก้นได้เลยค่ะ”

ทินกรหัวเราะ “ได้ครับ พี่จะดูแลพราวอย่างดี แพรวไม่ต้องห่วงทางนี้นะ”

“ค่า พี่ทิน แพรวไว้ใจพี่ทินค่ะ” เธอเบาใจเมื่อทินกรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“อะแฮ่ม!” แพรวนภัสหันไปตามเสียง ก็เห็นร่างสูงคร้ามแดดของพิพัฒน์กางแขนสองข้างคอยท่าอยู่แล้ว เธอจึงวิ่งเข้าสวมกอดพี่ชายคนโตอย่างไม่รีรอ

“แพรวจะคิดถึงพี่พัฒน์นะคะ พี่พัฒน์ก็ดูแลตัวเองด้วย อย่าทำแต่งานจนลืมหาพี่สะใภ้ให้น้องๆ ล่ะ” แพรวนภัสกำชับพี่ชายยาวเหยียด ด้วยรู้ว่าพิพัฒน์เอาแต่สนุกกับงานจนไม่คิดที่จะหาครอบครัว จนบิดามารดาคร้านจะพูดเรื่องนี้กับเขา ทั้งที่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว

พิพัฒน์หัวเราะในลำคอ “พี่จะพยายาม ถ้าอีกห้าปียังหาพี่สะใภ้ให้พวกแกสองคนไม่ได้ สงสัยคงต้องเลี้ยงหลานๆ รอไปก่อน” เขาตอบหน้าตาย แล้วก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจากทุกคน

“แล้วก็...ถ้ามีปัญหาอะไร โทร. มาหาพี่ได้เสมอ เข้าใจไหม” พิพัฒน์พูดพร้อมหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง แล้วเธอก็รู้ว่าเขาคงหมายถึงเรื่องที่เธอเอาไปปรึกษาเขาบ่อยๆ ในช่วงนี้

“แน่นอนค่ะ พี่พัฒน์” หญิงสาวส่งสายตาให้อย่างรู้กัน

สักพักเสียงโทรศัพท์คุณดิเรกดังขึ้น บิดาของเธอจึงขอตัวเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์

สนามบินสุวรรณภูมิในเวลาดึกยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย แพรวนภัสหันไปสำรวจรอบตัว ราวกับต้องการบันทึกภาพความทรงจำไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ทินกรกำลังปลอบใจแฟนสาวที่นั่งเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่ มารดานั่งกุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย เธอเห็นบิดาที่เพิ่งกดวางโทรศัพท์เดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ากังวล

“เมื่อกี้อารุธเขาโทร. มาบอกว่าไม่ว่างไปรับลูกที่สนามบินแล้วนะ เขาจะให้เลขาฯ ของลูกชื่อคุณมิเชล บอนเน่มาคอยเป็นธุระให้แทน ทั้งเรื่องกุญแจห้องพัก กุญแจรถยนต์ เธอจะเป็นคนเอามาให้ลูกเอง อ้ะ...นี่คือเบอร์ติดต่อของเธอ” คุณดิเรกพูด พลางยื่นกระดาษชิ้นเล็กที่จดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของคนที่เธอต้องติดต่อเมื่อไปถึงให้

“ค่ะ คุณพ่อ” เธอตอบและรับกระดาษแผ่นจิ๋วมาเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์

“จริงๆ พ่ออยากให้อารุธมารับลูกเองมากกว่า พ่อจะได้สบายใจว่าลูกถึงที่นู่นอย่างปลอดภัย นี่ยังดีนะที่โทร. มาบอกก่อนลูกจะขึ้นเครื่อง” คุณดิเรกถึงกับส่ายหน้า เมื่อน้องชายโทรมาบอกยกเลิกนัดกระทันหัน

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ อารุธคงจะยุ่งมากจริงๆ ใครมารับแพรวก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ” แพรวนภัสแก้ต่างให้อาชายของเธอ

นาฬิกาบนข้อมือเล็กบอกเวลาว่าอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เครื่องบินลำที่เธอต้องโดยสารไปยังประเทศฝรั่งเศสก็จะเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เธอจึงขอตัวและกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย หยิบกระเป๋าถือขึ้นสะพายไหล่ โบกมือลาครอบครัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในจุดตรวจหนังสือเดินทาง

*****************************

เครื่องบินออกจากน่านฟ้าเมืองไทยได้สี่ชั่วโมงแล้ว กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงปารีส ไฟถูกหรี่จนสลัว หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟบนเครื่องบินได้เก็บถาดอาหารไปเรียบร้อยแล้ว หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ผู้โดยสารส่วนใหญ่ต่างพากันเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ ห้องโดยสารภายในเครื่องบินจึงเงียบกริบ

แพรวนภัสนอนเหยียดตัวยาวอยู่บนเก้าอี้โดยสารภายในชั้นธุรกิจ เธอตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ...

ปีที่แล้วหลังจากที่เธอได้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารภายในบริษัทและรู้ว่ากำลังมีการก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่า ถ้าโรงแรมสร้างเสร็จเมื่อไหร่ เธอจะขอบิดาไปทำงานที่นั่นทันที

ณ วันนี้โรงแรมแห่งใหม่ได้เปิดให้บริการแล้ว โดยมีนิรุธ อาของเธอ เป็นตัวแทนไปดูแลกิจการตั้งแต่แรกเริ่ม และดูเหมือนว่าอะไรๆ จะยังไม่ลงตัวเท่าใดนัก จึงต้องการให้ใครสักคนไปบริหารงานช่วยเขา

เมื่อบิดาซึ่งเป็นประธานกรรมการประกาศออกมากลางห้องประชุม ว่าต้องการให้เธอไปช่วยบริหารด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ที่โรงแรมแห่งใหม่โดยที่เธอยังไม่ได้เอ่ยปากขอ เธอจึงตอบรับโดยไม่ลังเล คณะกรรมการบริหารก็เห็นชอบ เพราะหลายๆ ปีที่ผ่านมา เธอก็แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเธอตั้งใจทำงานและทุ่มเทกับมันมากขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นการที่เธอสามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ก็เป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่จะทำให้การทำงานที่เมืองน้ำหอมนั้นเป็นไปอย่างราบลื่น

ฝรั่งเศส...แค่ได้ยินชื่อประเทศนี้ ความทรงจำในวัยเด็กก็หลั่งไหลออกมาราวกับสายน้ำ มันเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสุขที่ลืมไม่ลง...

แพรวนภัสยิ้มด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ปิดเปลือกตาลง ยกหมอนใบนุ่มขึ้นหนุนศรีษะและจัดท่านอนให้สบายที่สุดสำหรับการเดินทางอีกหลายชั่วโมง

แน่นอน...การจากเมืองไทยมาในครั้งนี้ นอกจากที่เธอจะต้องไปทำงานและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว

หากเธอหวัง...หวังที่จะมาตามหาอะไรบางอย่างกลับคืนมาอีกด้วย...

………………………………………..
[1] PTS : Police Technique et Scientifique
[2] World Travel Awards คือ รางวัลที่มอบให้แก่องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในสาขาต่างๆ ทั้งในระดับโลกและภูมิภาค ตั้งแต่สายการบิน โรงแรม ชายหาด และการล่องเรือ ไปจนถึงบัตรเครดิต บริษัทเช่ารถ และบริการจองโรงแรม จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1998 โดยใช้วิธีเปิดให้ลงคะแนนออนไลน์ผ่านทางเว็ปไซต์ www.worldtravelawards.com ก่อนจะนำผลคะแนนนั้นมาจัดอันดับและตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะ



ไหมมุก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2555, 13:50:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2555, 13:50:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1149





<< บทนำ   
pattisa 14 พ.ค. 2555, 17:34:04 น.
น่าติดตามค่ะ :)


แสนรัก 19 มิ.ย. 2555, 01:50:09 น.
สนุกดีค่ะ เขียนได้ดีและน่าติดตามมากๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account