เรื่องสั้น

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนแรก

เอาเรื่องสั้น สองตอนจบมาให้อ่านคั้นเวลา จอมใจนางโลมค่ะ

pream กำลังปรับบทนางโลมนิดหน่อย จึงหายไป ยังไงก็ขอโทษทุกคนด้วยค่ะ ปรับเสร็จแล้ว ก็จะลงตั้งแต่บทแรกให้อ่านใหม่ ยังไงก็รอกันนิดนะคะ

...Pream ....

ตอนแรก

ตึกสูงระฟ้าที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของประเทศ ได้ต้อนรับนักธุรกิจดังจากประเทศอังกฤษ อังเดร ภูมิอนันต์ คริสเตีย นั่นคือชื่อเต็มๆของเขา แต่คนทั่วไปกลับรู้จักเขาในนาน อังเดร คริสเตีย ผู้บริหารหนุ่มทายาทของนักธุรกิจก่อสร้างอันดับหนึ่งในเมืองผู้ดี ร่างสูงเดินเข้าไปในลิฟต์ พร้อมผู้ติดตามฝรั่งผิวดำสัญชาติอเมริกาอีกสองคนหรือบอร์ดี้การ์ดของเขา ทั้งหมดใส่สูทเรียบหรูที่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่ามาจากแบรนด์ดังและสุดแพง

ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสูงสุด ร่างสูงพร้อมผู้ติดตามก้าวออกจากลิฟต์และเดินตรงไปยังห้องผู้บริหาร พนักงานที่นั่งทำงานอยู่ต่างก็มองร่างสูงที่เดินนำหน้า ซึ่งโดดเด่นทั้งรูปลักษณ์และหน้าตาที่คมเข้มแต่แฝงความดุดันและเฉียบขาดไว้ที่ดวงตาสีสนิทและริมฝีปากหยักสวย ดวงตาคู่คมมองตรงไปข้างหน้า ไม่เหลือบมองไปทางไหนแต่ทุกรัศมีที่อยู่ในสายตาได้ถูกเก็บไว้ในสมองหมดแล้ว

ทั้งหมดเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องกรรมการผู้จัดการ แล้วร่างสูงก็ยกมือขึ้นจะเปิดประตูเข้าไป แต่ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเสียงหวานๆดังขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยวค่ะ”

มือหนาชะงักไปเพียงนิดก็จะเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่สนใจ เพราะไม่ว่าใครก็จะมาใหญ่เกินเขาไม่ได้ แต่ดวงหน้าหวาน ดวงตากลมโต จมูกขึ้นสันโด่งและเชิดตรงปลายนิดๆ พร้อมริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้มอยู่ โผล่มายืนตรงหน้าขวางหน้าเขา และสบตาเขาอย่างไม่หวั่นหรือไหวเลย บอร์ดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างหลังร่างสูงขยับตัวจะมาดึงหญิงสาวออกมา แต่ร่างสูงยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน อังเดรหลุบตามองคนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ที่ไม่เกรงหรือกลัวเขา มิหนำซ้ำยังพูดหวานๆถามออกมาอีก

“สวัสดีค่ะ มาพบคุณพิพัฒน์หรือคะ”

อังเดรยืนนิ่ง หญิงสาวจึงทำตาโตนิดๆ อย่างงงๆและไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าชายหนุ่มจะฟังรู้เรื่องไหม เพราะรูปร่างเขาคล้ายคนต่างชาติ จึงพูดออกมาอีกครั้งด้วยภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลก แต่อังเดรก็ยังไม่ตอบ นอกจากจะใช้มือปัดร่างบางให้ออกไปให้พ้นหน้า แต่หญิงสาวตัวเล็กแต่ใจใหญ่ ก็ยังขืนตัวยืนอยู่ที่เดิมและทำท่าจะปักหลักไม่ไปไหน และถามซ้ำออกมาอีกครั้งและพูดต่อว่า

“ถ้าใช่ คุณพิพัฒน์ไม่อยู่คะ ไปประชุมที่บริษัทอะวาโค อีกสักชั่วโมงก็คงจะกลับ แต่ไม่ได้กลับมาที่นี่นะคะ เขากลับไปที่อื่นนะ”

“ที่ไหน”

“นั่นแนะอยากรู้แล้วหรือ นึกว่าเป็นพระอิฐพระปูนพูดไม่ได้เสียอีก” หญิงสาวว่าแล้วยิ้มระรื่น ก่อนจะส่ายหน้าว่าไม่บอก ดวงตาของอังเดรจึงเข้มขึ้นอย่างดุดัน แต่ดูหญิงสาวไม่รับรู้ถึงความไม่พอใจของเขา นอกจากจะมองหน้าเขา แล้วชื่นชมออกมาทางสายตา

“ฝ้ายกัญญา”
เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้หญิงสาวที่ขวางทางอังเดรอยู่หน้าจ๋อยไปนิด แล้วกระดึบเท้าพาตัวออกมาทางด้านข้าง พลางยิ้มแหยให้กับหญิงวัยกลางคน แล้วใช้มือจับจีบกระโปร่งโน้มตัวก้มหน้าทำท่าถอนสายบัวพร้อมกับบอกว่า

“ขอโทษค่ะ”

นางกัญญามองลูกสาวอย่างคาดโทษ เธอไปห้องน้ำเพียงเดี๋ยวเดียว กลับมาลูกสาวแสนซนที่เข้ามาฝึกงานได้เพียงเดือนเดียวก็ก่อเรื่องให้ปวดหัวเสียแล้ว แล้วเดินไปยืนตรงหน้าชายทั้งหมด แนะนำตัวพร้อมสอบถามถึงการมาของทั้งสามคนอย่างสุภาพตามหน้าที่เลขาที่ดี แต่พอรู้ว่าทั้งสามคนเป็นใคร นางก็รีบเปิดประตูห้อง เชิญเข้าไปข้างในทันที ขณะที่ฝ้ายกัญญาก็มองตามเข้าไปอย่างงงๆ ว่าทั้งหมดเป็นใคร ทำไมคนเป็นแม่ถึงได้มีท่าทีที่เกรงใจและนอบน้อมอย่างนั้น

อังเดรเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้องทำงานที่กว้างขวางของผู้บริหาร ซึ่งตกแต่งประดุจห้องพักสุดหรูของโรงแรมชั้นหนึ่ง ตรงกลางมีชุดรับแขกหนังสีดำอย่างดี และยังมีอีกชุดที่วางติดกระจกที่สูงจรดฝ้าเพื่อให้ได้มองวิวด้านนอก โต๊ะทำงานเป็นกระจกใสพร้อมคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง เอกสารมีอยู่เพียงเล็กน้อยจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ผนังห้องอีกด้านมีตู้เอกสาร และของตกแต่งสวยๆ อังเดรละสายตาจากของพวกนั้น หันมากลับมามองหญิงวัยกลางคนที่เขารู้แล้วว่าเป็นเลขา จึงบอกว่า

“ขอรายงานไตรมาสแรกของปีนี้มาให้ผมหน่อย”

อังเดรสั่งแล้วเดินไปยืนที่กระจก มองสภาพแวดล้อมของแผ่นดินแม่ ที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าสิบปีที่แล้วที่เขาได้มาเยือน ขณะที่นางกัญญาก็รีบเดินออกไปจากห้อง เอาเอกสารที่เจ้าของบริษัทต้องการมาให้ ไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมแฟ้มสีดำในมือและหญิงสาวตัวเล็กแต่ใจใหญ่ที่ถือถาดน้ำเปล่าและกาแฟเข้ามา อังเดรเดินไปนั่งที่เก้าอี้ผู้บริหาร และมองกัญญาที่เอาแฟ้มมาวางให้ก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาวที่เอาน้ำไปให้บอร์ดี้การ์ดของเขาที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องพร้อมยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเดินกลับมาวางกาแฟและน้ำเปล่าให้เขา แล้วถอยไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างเลขาหน้าห้อง ที่ถามเขาออกมาว่า

“คุณอังเดรต้องการอะไรอีกไหมคะ”

“ไม่ คุณมีงานอะไรก็ไปทำได้เลย แต่...” อังเดรไม่พูดต่อแต่ใช้สายตาพูดแทนว่าแต่อีกคนต้องอยู่

กัญญาหันไปมองลูกสาวอย่างแปลกใจและไม่เข้าใจว่านายใหญ่แห่งคริสเตียกรุ๊ปให้ลูกสาวของเธออยู่ทำไม ฝ้ายกัญญาจึงยิ้มหวานให้คนเป็นแม่อย่างบอกว่าไม่เป็นไรนั่นแหละ นางจึงเดินออกจากห้องไป

พอประตูปิดลง อังเดรก็มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ แล้วสั่งด้วยสายตาให้มายืนหน้าโต๊ะ แต่ฝ้ายกัญญากลับทำเฉยเหมือนไม่รู้ทั้งๆที่รู้ และอังเดรก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังท้าทายเขา จึงตวัดสายตาไปมองบอร์ดี้การ์ดตัวดำ ซึ่งก็ขยับตัวทันที ฝ้ายกัญญาที่มองตามสายตาเขาไป ก็ขยับตัวมายืนหน้าโต๊ะเขาทันทีเหมือนกัน และทำหน้างอใส่ดวงตาคมที่มองมานิ่งๆ

“ให้ฉันอยู่มีอะไรจะใช้ฉันคะ” ฝ้ายกัญญาถามเพราะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งที่สงสัยว่าเขาคงใหญ่พอสมควรเพราะเข้ามานั่งในห้องนี้ได้ แต่คำถามเธอไม่มีคำตอบ นอกจากจะมีคำถามกลับมา

“เธอเป็นใคร”
“คุณถามกว้างจัง แล้วอยากรู้อะไรละคะ”

“อยากให้ฉันรู้อะไรก็พูดมา”

ฝ้ายกัญญาตาโตและยิ้มหวานอย่างแสนซน ตอบให้ฟังอย่างฉะฉาน “ฉันเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของคุณกัญญา เลขาของคุณพิพัฒน์ พัฒนากุลแก้ว อยู่บ้านเลขที่ยี่สิบ หมู่หนึ่ง ถนน ซอย แขวง เขต ...” ฝ้ายกัญญาพูดให้ฟังอย่างกับเขาเป็นนายอำเภอแล้วเธอเป็นลูกบ้านที่ต้องตอบข้อมูลเวลาสำมะโนครัวให้รู้อย่างละเอียด ขณะที่อังเดรก็ไม่ขัดทั้งๆที่รู้ว่าเธอกวนเขา เขาฟังด้วยหูแต่ตาดูแฟ้มและสมองประมวลสิ่งที่ได้ดูและฟัง

“ฉันมาฝึกงานเลขากับแม่ จบแล้วก็จะไปหางานทำ แต่ถ้าหาไม่ได้ก็จะเกาะแม่กินไปเรื่อยๆ แล้วพอเจอผู้ชายสักคนที่ดูดีเข้าท่าพอจะเลี้ยงฉันได้ก็แต่งงานไปให้เขาเลี้ยง และอยู่กับเขาไปจนแก่และตายไปในที่สุดค่ะ” ฝ้ายกัญญาจบคำพูดแบบผู้หญิงไร้สมองและมองใบหน้าที่นิ่งเฉยอย่างเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“แล้วหาคนเลี้ยงได้หรือยัง”

“ยังค่ะ เพราะที่เข้ามาไม่เข้าท่าสักคน”

“แล้วคนเข้าท่าสำหรับเธอเป็นแบบไหน”

“แบบคุณไง แต่...”

อังเดรปิดแฟ้มที่อ่านอยู่ แล้วตวัดสายตาขึ้นมองหญิงสาวอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ ทั้งๆที่เธอกวนอารมณ์เขาให้คุกกรุ่นอยู่ภายใน แล้วถามขึ้น “รู้จักนายพิพัฒน์ดีแค่ไหน”

“คุณจะรู้ไปทำไม หรือว่าที่คุณบินจากอากาศหนาวมาหาอากาศร้อน เพราะคิดว่ามีอะไรร้อนๆเกิดขึ้นที่นี่”

“แสดงว่าเธอรู้ว่ามีความร้อนเกิดขึ้น”

“ฉันไม่รู้หรอกคะ ฉันเดา ฉันมัวไปอย่างนั้นเอง เด็กฝึกงานอย่างฉันจะไปรู้เรื่องอะไร ถ้าเป็นเจ้าของอย่างคุณก็ว่าไปอย่าง”

“รู้แล้วหรือว่าฉันเป็นใคร”

ฝ้ายกัญญาส่ายหน้า ก่อนจะทำตาโตอย่างเคยชินเมื่อเผลอทำผิด เพราะไม่ควรส่ายหน้ากับเขาที่เธอคิดว่าตำแหน่งคงใหญ่พอสมควร

อังเดร จึงลุกขึ้นเดินมายืนข้างหลัง ฝ้ายกัญญาจึงหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขา และใจหวิวไปนิดเพราะเขายืนอยู่ใกล้จนหน้าผากเธอเกือบจะชนกับปลายจมูกเขา แล้วเอนตัวหนีพร้อมก้าวถอยหลังเมื่ออังเดรเดินเข้ามาชิดและชิดจนเธอถอยไปชนกับขอบโต๊ะ และตาโตขึ้นมาอีกเมื่อเขายกมือขึ้นมาเท้ากับขอบโต๊ะเสมือนกักตัวเธอไว้ในอ้อมแขน
อังเดรมองทุกรายละเอียดบนใบหน้างาม โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่มองมาอย่างไม่หวั่น ซึ่งน้อยคนจะกล้าสู้สายตาเขา แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจเขา แต่... เขาทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วบอกว่า

“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่”

ฝ้ายกัญญาไม่ได้ตกใจเพราะคิดอยู่แล้วว่าเขาคง ‘หญ่าย’ แต่ทำตัวสงบนิ่งขึ้น อังเดรที่จับตามองอยู่ก็หรี่ตาลงนิดๆ แล้วพูดต่อ

“เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาเสร็จจากประชุมแล้วจะกลับ แต่กลับไปที่อื่น ไม่ใช่กลับมาที่นี่”

“ก็เขาบอกไว้”

“แต่เธอเป็นแค่เด็กฝึกงานไม่ใช่เลขา ไม่น่าจะรู้”

“แต่ฉันเป็นลูกเลขา ก็เลยรู้”

“งั้นแสดงว่าแม่เธอเป็นเลขาที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะเอาเรื่องของเจ้านายไปบอกคนอื่น”

ฝ้ายกัญญาทำตาโตเพราะเผลอให้เขาย้อนกลับแล้วหน้าก็งออย่างไม่ชอบใจที่เขาตำหนิคนเป็นแม่ แล้วเชิดหน้าขึ้นบอกว่า “แม่ไม่ได้บอก แต่ฉันบังเอิญได้ยินเท่านั้นเอง”

“งั้นถ้าเธอจะบังเอิญบอกฉันว่าเขาไปที่ไหนต่อ ฉันก็จะไม่เอาผิดแม่เธอที่ทำงานไร้ประสิทธิภาพ”

“แม่ฉันไม่เกี่ยวนะ” เสียงหวานเริ่มขุ่นขึ้นเล็กน้อย “คุณไม่รู้จักแยกแยะหรือไงว่าแม่ฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือถือว่ามีอำนาจแล้วจะทำยังไงก็ได้ รู้ไหมว่าคุณทำแบบนี้ ไม่ใช่วิสัยของผู้บริหารที่ดีเลย แล้วคุณพิพัฒน์จะไปไหนยังไงต่อก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่ฉันหรือแม่ก็ไม่มีสิทธิไปรู้ไปเห็น แค่บังเอิญได้ยินยังโดนคุณเล่นงาน แล้วถ้าฉันกับแม่สอดรู้สอดเห็นจริงๆ คุณพิพัฒน์ที่เขาทำเรื่องๆร้อนๆให้คุณจากหนาวมาหา คงไล่แม่ฉันออกไปนานแล้ว”

“ตกลงจะไม่บอก”

“ก็ไม่มีอะไรจะบอก”

ดวงตาของอังเดรหรี่ลงนิดๆ แล้วยืดตัวขึ้น ฝ้ายกัญญาจึงคิดว่าเขาคงปล่อยเธอแล้ว จึงแอบผ่อนลมหายใจที่หวั่นๆอยู่ในอกออกมาเบาๆ เพราะใจจริงนั้นเธอกลัวเขา ไอ้ที่ทำเก่ง ก็ทำไปอย่างนั้นเอง แล้วตาก็โตหน้าก็เหวอ เมื่อเธอคิดผิด ถูกจับข้อมือไว้แน่น แล้วลากเธอออกไปจากห้องทันที

“คุณ เดี๋ยวซิจะพาฉันไปไหน คุณนี่ปล่อยนะ”

ฝ้ายกัญญาขืนตัวพลางบิดข้อมือและประท้วงออกมา แต่เป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า เพราะไม่มีวี่แววเขาจะปล่อย อังเดรลากหญิงสาวออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของกัญญา ซึ่งมองลูกสาวที่อยู่ในมือเจ้าของคริสเตียกรุ๊ปอย่างตกใจ

“ฝ้าย” เธอเรียกลูกสาวแล้วหันมามองชายหนุ่ม “มีอะไรกันหรือคะ หรือว่าลูกสาวดิฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอโทษด้วยค่ะ”

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับลูกสาวคุณ และจะพาไปคุยจนกว่าจะรู้เรื่อง แล้วจะปล่อยกลับมา แต่เมื่อไหร่ เวลาไหน ขึ้นอยู่กับปากลูกสาวคุณ และคุณไม่ต้องห่วงว่าเธอจะได้รับอันตรายผมรับประกันว่าตลอดเวลาที่เธออยู่กับผมเธอจะปลอดภัย”

อังเดรบอกแค่นั้นแล้วดึงร่างบางให้เดินตามไปทันที นางกัญญาได้แต่มองตามไปอย่างห่วงๆ และหวั่นใจไปพร้อมกัน เพราะการมาปรากฎตัวอย่างกระทันหันของอังเดร เจ้าของคริสเตียกรุ๊ป ต้องมีสาเหตุมาจากเรื่องร้อนๆที่กลายเป็นประเด็นให้พนักงานซุบซิบกันอยู่แน่ แม้เธอจะไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังมากนัก แต่ถ้าไม่มีมูลความเป็นจริง เจ้าของคงไม่โผล่มา และเธอก็ยังติดต่อคุณพิพัฒน์ไม่ได้ เพราะเขาปิดช่องทางการติดต่อเมื่อออกข้างนอก ซึ่งเธอก็รู้อีกนั่นแหละว่าเขาปิดทำไม แล้วจะทำยังไง นางกัญญาได้แต่กลุ้ม และยังจะกลุ้มเรื่องลูกสาวเธออีก ถูกเอาตัวไปอย่างนั้น คงกลายเป็นข่าวให้พวกสอดรู้สอดเห็นซุบซิบกันอีกแน่ๆ
*********
พิพัฒน์ พัฒนากุลแก้ว ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารคริสเตียกรุ๊ป จับมือกับเจ้าของบริษัทอะวาโค ทันทีที่ได้ลงนามในสัญญา และยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัยที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย

“ผมรับรองว่านับจากนี้ไปทุกโครงการที่คริสเตียกรุ๊ปได้ก่อสร้าง ต้องมีชื่ออะวาโคร่วมงานด้วยทุกครั้งแน่นอน”

“ขอบคุณครับ” นายประชายิ้มให้อย่างพอใจ แม้จะเสียเงินก้อนใหญ่ให้กับนายพิพัฒน์ แต่เพื่อประโยชน์ในภายหน้า เขาก็ต้องยอม และที่ยอมก็เพราะประโยชน์ที่จะได้กลับมามากกว่าเงินที่เสียไปนั่นเอง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พิพัฒน์ก็ออกจากอะวาโค แต่ไม่ได้กลับไปที่คริสเตียกรุ๊ป เขาสั่งให้คนรถขับรถพาเขาไปยังคอนโดหรู เมื่อรถจอดสนิท คนขับรถของเขาก็กลับไปบริษัทอย่างคนหูหนวกตาบอด เพราะไม่อยากตกงานในยุคของแพงเช่นนี้

พิพัฒน์เดินเข้าไปในคอนโด พร้อมกับดึงโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาใครบางคนให้จัดการเสี้ยนหนาม ที่เขาได้ข่าวมาอย่างลับๆ ว่าจะมาเขี่ยเขาทิ้ง เขาคุยไม่กี่คำก็เก็บโทรศัพท์ไว้ เดินเข้าลิฟต์ไปยังชั้นสี่ของคอนโด แล้วออกจากลิฟต์ เดินต่อไปยังห้องที่หมายตาไว้ เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ต้องเคาะให้เสียเวลา เพราะเขาเป็นเจ้าของนั่นเอง

“อร”

เขาเรียกเพียงคำเดียว สาวสวยที่ใส่ชุดแซกสั้นสีดำคอลึกแสนเซ็กซี่ก็เดินออกมาจากหลังบาร์เครื่องดื่ม พร้อมถือแก้วเบียร์เย็นฉ่ำมาเสิร์ฟให้ถึงปากและมอบรอยยิ้มหวานให้ถึงแก้ม พิพัฒน์ดื่มเบียร์แสนเย็นฉ่ำจนหมดแก้วก็ดื่มความหวานจากเรียวปากที่ยิ้มให้ จนพอใจก็ถอยไปนั่งที่โซฟา มองไก่วัดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ แต่อยากได้ความมั่นคงในหน้าที่การงาน จึงใช้เต้าไต่ขึ้นมา ด้วยสายตาแพรวพราว

“ชื่นใจไหมคะ”

พิพัฒน์พยักหน้าให้ อรพัชชาจึงยิ้มหวานให้มากขึ้น เธอวางแก้วเปล่าไว้บนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปนั่งใกล้ ช่วยถอดเสื้อสูท ถอดเสื้อเชิ้ตให้อย่างเอาใจ แล้วหยิบผ้าเย็นที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะมาลูบไล้บนอกแกร่ง พิพัฒน์หลุบตามองอย่างพอใจ แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา หลับตาลงพลางถามออกมา

“ครึ่งวันนี้ที่บริษัทเป็นไงบ้าง”

“เรียบร้อยดีค่ะ แต่มีเสียงซุบซิบดังมาจากชั้นผู้บริหารว่ามีฝรั่งสามคนมาที่บริษัท และหายเข้าไปในห้องของคุณ ไม่นานก็กลับกันออกไป”

พิพัฒน์ลืมตาขึ้นทันทีแต่ไม่มีแววแปลกใจ แล้วถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “รู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร”

“ไม่รู้ค่ะ แต่เสียงซุบซิบชื่นชมว่าคนที่มาหล่อเหลาขั้นเทพ เก้ง กว้าง บ่าง ชะนี ในบริษัท กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ และมีเสียงซุบซิบต่อมาอีกว่า เขาคงเป็นกิ๊กของยัยฝ้าย เพราะตอนที่เขากลับไปเขาลากยัยนั่นไปด้วย”

แววตาของนายพิพัฒน์ไหวไปนิด แล้วบอกอรพัชชาว่า “ไปเอาเบียร์ให้ผมอีกแก้วซิ”

อรพัชชาจึงลุกขึ้นไปจัดการให้แต่โดยดี ส่วนพิพัฒน์ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรหาคนที่เขาเพิ่งคุยไปเมื่อกี้อีกครั้ง แล้วย้ำให้เก็บกวาดให้หมดไม่ว่าใครก็อย่าให้มีชีวิตรอดกลับมาเป็นหนามมาแทงตำแหน่งเขาเด็ดขาด แล้วเก็บโทรศัพท์ไว้พร้อมๆกับที่อรพัชชาเอาเบียร์มาให้ เขารับมาดื่มและดึงเธอให้นั่งลงข้างๆ แล้วถามเรื่องที่คุยค้างไว้ต่อ

“แน่ใจหรือว่าเป็นแค่กิ๊กเด็กนั่น”

“ไม่แน่สักเท่าไหร่หรอกคะ แต่ถ้าเป็นจริง เลขาหน้าห้องคุณทำงานได้แย่มากเลยนะคะ ที่ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้เข้าไปในห้องคุณ ทั้งๆที่ห้องคุณนะสำคัญเพราะเป็นห้องผู้บริหารที่ใครก็ไม่มีสิทธิเข้าไปนอกจากคุณจะอนุญาต แต่กลับปล่อยให้ไอ้พวกฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้เข้าไปเที่ยวเล่นยังกับเป็นสวนสนุก เหมือนไม่เห็นความสำคัญของคุณเลย และในห้องก็มีแต่เอกสารสำคัญๆทั้งนั้น ถ้ามีอะไรหายไปคงแย่”

อรพัชชาว่าแล้วแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของพิพัฒน์ตึงขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาต้องไม่พอใจมากๆ แล้วเอาใจเพื่อหวังตำแหน่งหน้าห้อง ด้วยการลุกขึ้นไปยืนข้างหลัง แล้วบีบขมับไหล่ให้ผ่อนคลาย แล้วโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วถามว่า

“สบายไหมคะ”

พิพัฒน์หันมาเพื่อจะบอก แต่ยังไม่พูดเพราะเห็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าคำพูด นั่นคือทรวงอกอร่ามตาที่อรพัชชาจงใจยั่วเขา และยังถามเสียงหวานชิดใบหูเขาอีกว่า “ไม่ตอบ แสดงว่าอรนวดไม่สบายใช่ไหมคะ”

“ไม่ใช่หรอก”

“ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจ หรือกังวลเรื่องที่อรพูด แย่จัง ที่อรทำให้คุณทุกข์” สีหน้าและน้ำเสียงของเธอเศร้า แล้วแอบยิ้มเมื่อพิพัฒน์ดึงมือให้เดินมานั่งที่ข้างเขา อรพัชชาจึงออดอ้อนต่อ “อรขอโทษนะคะที่พูดเรื่องทำให้คุณไม่สบายใจ”

“ใครว่าเธอทำให้ฉันไม่สบายใจ กลับกันเธอทำให้ฉันได้รู้และได้คิดอะไรบางอย่างที่ฉันเห็นว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างแล้ว”

อรพัชชาหัวใจพองโต เพราะหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่า จะหมายถึงตำแหน่งหน้าห้องเขา แล้วช้อนสายตาหวานเยิ้มขึ้นมอง “คุณหิวหรือยังคะ อรสั่งอาหารเลิศรสมาเตรียมไว้ให้ ไปทานกันเลยไหมคะ”

“เอาไว้ก่อนได้ไหม เพราะฉันยังไม่หิวอาหารเลิศรส แต่หิว...”

พิพัฒน์ค้างคำพูดไว้แล้วใช้สายตามองอรพัชชา พลางใช้มือปัดสายชุดแซกที่คล้องไหล่ให้ตกไปอยู่ที่แขน แล้วก้มหน้าลงจูบเนื้อนวลที่ไหล่มนและเลื่อนขึ้นไปซุกไซร้ที่ซอกคอ อรพัชชาแหงนหน้าเปิดทางพลางยกมือขึ้นลูบไล้อกแกร่งเพื่อปลุกอารมณ์เขาให้ร้อนยิ่งขึ้น พิพัฒน์จึงระดมจูบไปทั่วผิวเนียนนุ่ม แล้ววกมาแนบสนิทที่ริมฝีปาก

ทั้งคู่แลกจูบเพิ่มอุณหภูมิสวาทกันจนร้อนก็ปลดเปลื้องสิ่งกีดขวางทางอารมณ์ออกจากตัว ซึ่งเร่าร้อนขึ้นจนโซฟาไม่อาจจะรองรับทั้งคู่ได้ จึงลงไปนัวเนียกันอยู่บนพื้นพรม แต่สวาทที่ร้อนระอุจนใกล้จะถึงสวรรค์มีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อฝ้ายกัญญาเบี่ยงสะโพกหนีแล้วบอกด้วยเสียงหวามรักว่า

“คุณขา อย่าเพิ่งค่ะ ใส่ถุงยางก่อน"

พิพัฒน์มองอรพัชชาอย่างอารมณ์เสีย ที่ต้องตกหลุมอากาศทั้งๆที่กำลังไต่ขึ้นไป แล้วถามเสียงเย็น “ทำไม”
อรพัชชายิ้มหวานให้อย่างไม่สะท้านกับความโกรธ แล้วลูบไล้หน้าอกเขาล่อเลี้ยงอารมณ์สวาทไว้ “อย่าเพิ่งโกรธซิคะ อรแค่อยากให้คุณใช้ถุงยางป้องกันความสัมพันธ์ของเราไว้เท่านั้น”

“แต่ฉันไม่ชอบ เพราะมันไม่สนุก”

“แต่จะทำให้เรามีความสุขกันไปนานๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาทำให้ความสุขเราจืดจางไป ไม่ดีกว่าเหรอคะ แล้วอีกอย่างเมื่อเรายังไม่พร้อม ยังสนุกกันอยู่ เราก็ควรจะป้องกันไว้”

“เธอกินยาคุมป้องกันคนเดียวไม่ได้หรือไง”

“ได้ค่ะ แต่เพื่อความไม่ประมาท ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายนี่ค่ะ นะคะ” อรพัชชาออดอ้อน เพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอท้องขึ้นมา จะส่งผลเสียต่อหน้าที่การงาน หน้าตา และชีวิตของเธอแค่ไหน ที่ยังไม่พร้อม ยังไม่ได้แต่งงานแต่ต้องมาท้อง มาเลี้ยงลูก เธอจึงต้องรอบคอบไว้เสียก่อนที่จะเสียใจในภายหลัง “ที่อรทำก็เพราะอรหวังดีต่อคุณนะคะ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา อาจจะกลายเป็นข่าวซุบซิบในบริษัท และที่สำคัญอรรักคุณนะค่ะ จึงได้ทำ”
พิพัฒน์หรี่ตาลงคิดและเห็นด้วย เพราะเธอยังใหม่ ยังสนองอารมณ์เขาได้อีกนาน จึงยอมลุกขึ้นไปหยิบถุงยางที่ซื้อมาไว้ป้องกันสัมพันธ์สวาทครั้งนี้ แล้วเดินกลับมาร่วมสวาทกับหญิงสาว โดยไม่ต้องกลัวจะมีความผิดพลาดขึ้นภายหลัง จนกระทั่งคำรามออกมาเพื่อสุขสมอารมณ์หมาย

ฝ้ายกัญญานอนซบกับอกเขาเพื่อปรับระดับการหายใจ ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นและมองพิพัฒน์อย่างเสน่หา และจูบหน้าอกเขาเบาๆ แล้วถามว่า

“เลยเที่ยงมาแล้ว คุณหิวหรือยังค่ะ” พิพัฒน์ยกตัวขึ้นพิงโซฟา อรพัชชาจึงขยับตัวไปแอบอิงอยู่ข้างๆ และฟังคำตอบพิพัฒน์ที่บอกว่า

“ไม่”

“ไม่ แต่ก็น่าจะทานหน่อยนะคะ เพราะหมดแรงไปเยอะ” อรพัชชาว่าแล้วยกตัวขึ้นก่ายเกยอยู่บนตัวพิพัฒน์แล้วถามต่ออย่างยั่วๆ “คุณน่ะชอบนัดอรมากินข้าวต้มตอนเที่ยงอยู่เรื่อย ไม่เบื่อบ้างหรือคะ”

“ไม่ เพราะเธอทำให้ฉันกินจนอิ่ม”

“แต่รอบอื่นอรก็ทำให้กินได้นะคะ เช่นรอบดึก”

“แล้วรอบดึกมีอะไรสนใจกว่ารอบนี้บ้างละ”

“ถ้าอยากรู้ วันนี้อยู่กินรอบดึกกันไหมคะ”

หึๆๆ พิพัฒน์หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกกกอดอรพัชชาให้สนองตัณหาเขา และแอบฉลองอยู่ในใจเพราะคาดหวังว่าแผนการที่วางไว้จะสำเร็จด้วยดี
*******
ฝ้ายกัญญานั่งอยู่ในรถยนต์คันหรูของเจ้าของบริษัท ที่เธอแอบเรียกว่าจอมบงการ เธอนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไร และไม่รู้ว่าวิ่งไปไหน ได้แต่มองสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไปจนเบื่อ ก็หันไปมองนายตัวดำบอร์ดี้การ์ดของเขา ซึ่งก็ตั้งใจทำหน้าที่โดยไม่ปริปากพูดออกมาคำเดียวเช่นกัน ส่วนอีกคนถูกจอมบงการสั่งให้ไปทำอะไรเธอก็ไม่รู้ เพราะเขาพูดกันโดยไม่ให้เธอได้ยิน จึงเดาเอาจากการที่เขาแยกตัวออกไป แล้วหันมามองจอมบงการที่ยังนั่งนิ่งอยู่ จึงแกล้งปั่นหัวเขาด้วยการทำตัวเหมือนเด็กซุกซน รื้อข้าวของในรถอย่างอยากรู้อยากเห็น ทั้งปรับแอร์ กดปุ่มต่างๆเล่น และอุทานออกมาเบาๆ อย่างตื่นเต้นเมื่อถูกใจความทันสมัยในรถหรู แต่สุดท้าย เมื่อไม่อาจเรียกความสนใจจากจอมบงการได้ เธอจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นมือไปจับแขนแกร่ง แล้วอุทานออกมาเสียงดัง

“โอ้โห นาฬิกาคุณสวยจังเลย” ฝ้ายกัญญาว่าแล้วพลิกข้อมือเขาดู “สวยมากเลย แล้วแบบนี้มีของผู้หญิงไหม” เธอถาม เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบก็พูดต่อ “คงจะมี และคงสวยไม่ต่างกัน แต่ฉันคงไม่มีปัญญาจะซื้อแน่ เพราะจน”

เธอบอกและชื่นชมนาฬิกาเรือนสวย โดยไม่เห็นว่าดวงตาคู่คมหลุบลงมองมือบางที่จับแขนเขาอยู่ แล้วพลิกข้อมือเปลี่ยนเป็นฝ่ายจับมือเธอไว้แทน ฝ้ายกัญญาจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา แล้วยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ พลางดึงมือออกจากมือหนา แต่กลับถูกจับไว้แน่น สีหน้าที่เจื่อนๆจึงมุ่ยขึ้นทันควัน
“จะบอกฉันได้หรือยังว่าเธอรู้อะไรเกี่ยวกับนายพิพัฒน์บ้าง”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้” ฝ้ายกัญญาปฏิเสธเสียงแข็ง ความจริงแล้วเธอก็พอรู้มาว่ามีการคดโกงกันขึ้นภายในบริษัท แต่เธอไม่มีหลักฐาน แค่คำพูดที่ได้ยินมาไม่อาจทำให้เธอปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาบอกเขาได้ เพราะถ้ามันไม่จริงก็จะกลายเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง แล้วเธอกับแม่ก็อาจจะกลายเป็นคนตกงานไปโดยปริยาย

“เธอคิดว่าการที่เธอไม่พูดจะทำให้แม่เธอพ้นจากการถูกไล่ออกเหรอ เธอคิดผิด เพราะคนแรกที่ฉันจะเล่นงานก็คือแม่ของเธอ เพราะเป็นหน้าห้องของนายพิพัฒน์ ที่อาจจะรู้เห็นเป็นใจในเรื่องร้อนๆที่ฉันสงสัยอยู่ และฉันจะไม่เเป็นเลี้ยงคนที่ไม่รักบริษัท ทั้งๆที่บริษัทให้ความดูแลทุกคนเป็นอย่างดี”

ฝ้ายกัญญาถึงกับหน้าเสีย แล้วจับมือเขาไว้แน่นพลางมองอย่างขอร้อง แต่แววตาไม่ได้ลดความกระด้างลงเลย เพราะผู้บริหารอย่างเขาต้องคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่คิดแค่อย่างเดียว ...เขาถูกปลูกฝังให้ทำงานมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อเขาเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูล ที่มีธุรกิจมากมายหลายอย่าง แต่พ่อของเขาดูแลธุรกิจก่อสร้างอย่างเดียว และเคยแต่งงานกับหญิงสาวที่คู่ควร แต่ได้ตายจากไปเพราะอุบัติเหตุ และไม่มีลูก จนกระทั่งได้มาพบรักอีกครั้งกับนางพยาบาลสาวไทยตอนที่มีอายุสี่สิบแล้วๆแต่งงานกัน จนมีเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ซึ่งต้องสืบทอดและดูแลทุกอย่างให้ดีที่สุด

“คุณทำอย่างนั้นไม่ได้นะ”

“ถ้าไม่อยากให้ฉันทำก็บอกฉันมาว่า เธอรู้เรื่องอะไรของนายพิพัฒน์บ้าง”

“คุณรู้ได้ไงว่าฉันรู้”

“เพราะถ้าเธอไม่รู้ เธอคงไม่พูดว่าฉันหนีหนาวมาหาเรื่องร้อนๆที่นี่จริงไหม”

ฝ้ายกัญญากัดริมฝีปากนิดๆ แล้วเคาะนิ้วกับมือเขาเพราะกำลังคิด อังเดรจึงหลุบตาลงมอง แล้วพยายามข่มอารมณ์แปลกๆในใจที่เกิดขึ้นจากการก่อกวนของหญิงสาว แต่คนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นในใจเขา แล้วคุกคามด้วยกระตุกข้อมือจนร่างบางถลาเข้ามาเกยอยู่บนตักเขา

“อุ๊ย” ฝ้ายกัญญาอุทานออกมาอย่างตกใจ พร้อมกับยกมือขึ้นดันอกเขา และมองหน้าเขาตาเขียว แล้วเชิดหน้าขึ้นข่มความหวั่นไหวไว้ภายใจ แล้วลอยหน้าลอยตาต่อว่าเขา “คุณจะทำอะไร จะจูบฉันเหรอ อ๋อ ใช้คำพูดไม่ได้จึงใช้กำลัง แย่ที่สุด...อุ๊บ”

เสียงอุทานที่ดังขึ้นเพราะปากที่กำลังพูดถูกปิดด้วยริมฝีปากหยักสวย และไม่ใช่แค่ปิดเฉยๆ แต่ยังขบเม้ม จนเรียวปากอิ่มแย้มออก แล้วฉกฉวยโอกาสเข้าไปหาน้ำหวานที่บริสุทธิ์ดังน้ำค้าง ขณะที่เจ้าของได้แต่ช็อกเหมือนโดนน็อค และตัวอ่อนเพราะความวาบหวิวที่เกิดขึ้น

อังเดรใช้มือข้างหนึ่งกอดร่างอรชรไว้ อีกข้างก็จับท้ายทอยเพื่อให้รับจูบเขา ที่บดขยี้อย่างหยามใจและไม่อยากถอยจากความหวานที่ได้พานพบ แต่จำต้องตัดใจเพราะลมหายใจของเธอใกล้จะหมด เขาถอนริมฝีปากออกมา แล้วมองใบหน้างามที่แดงก่ำขึ้นมาเพราะจูบเขา
ฝ้ายกัญญาไม่ได้โวยวาย เธอกะพริบตามองหน้าเขา พลางยกมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเบลอๆ ความซุกซน ร่าเริง สดใสที่มีก่อหน้านี้หายไปหมด เธอขยับตัวลงจากตักเขามานั่งที่เดิม เอียงหน้าซบกับกระจก จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ที่บังอาจไปเล่นกับไฟ จึงโดนไฟลวก แม้ไฟนั้นไม่ได้ทำร้ายร่างกาย แต่ได้ทำร้ายใจเธอ ให้รู้สึกหวั่นไหวกับเขา จึงต้องดับไฟด้วยการนิ่งเฉย ดีกว่าจะโวยวายออกมาเหมือนเอาน้ำมันไปราดลงบนกองไฟให้ลุกขึ้นมาอีก แต่แล้ว...

“ระวัง”

เสียงของฝ้ายกัญญาดังขึ้นพร้อมกับผวาไปหาอังเดร จนเขาเซ พร้อมๆกับเสียงปืนแผดดังขึ้น ปัง! ปัง! ปัง! อังเดรกดตัวเองและหญิงสาวลงหมอบหลบกระสุนที่เจาะผ่านกระจกเข้ามาจนนับไม่ทัน รถส่ายเลื้อยไปมาก่อนจะชนกับต้นไม้ข้างทางอย่างจัง

“โครม”

ฝ้ายกัญญาเจ็บ จุก ช็อก และยังไม่ทันหายจากอาการเหล่านั้น ตัวเธอก็ถูกกระชากลงมาจากรถ และโดนลากห่างออกมา และเพียงห่างออกมาไม่เท่าไหร่ ก็ต้องถูกกระชากให้หมอบลงอีก เมื่อมีเสียงระเบิดดังขึ้นตูมใหญ่ หลังจากนั้นเธอก็ถูกดึงถูกลากให้เดินและเดินจนกระทั่งแสงสว่างที่เห็นเบลอๆดับวูบลง

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นและมีแสงไฟลุกโชนขึ้นมา เรียกชาวบ้านให้แตกตื่น รถเริ่มติด หลายคนออกมาดู มือปืนจึงต้องขับรถไปแอบ และยืนมองรถที่ไฟท่วมอยู่ห่างๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงพูดปากต่อปากต่อกันมา ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีใครตายมีใครรอด แล้วดึงโทรศัพท์มือถือออกมาโทรรายงานผู้ว่าจ้าง

“รถระเบิด มีคนตาย แต่คงไม่ใช่มันและผู้หญิงคนนั้น เพราะเป็นชายผิวดำ ส่วนมันและผู้หญิงยังไม่รู้ว่าหายไปไหน และเป็นหรือตาย”

“หาให้เจอ แล้วปิดบัญชีนี้เสีย”

“ได้”

มือปืนรับคำสั่ง แล้วเก็บมือถือไว้ในกางเกง เดินปะปนไปกับไทยมุง พร้อมกวาดสายตามองหาคนที่รอดจากรถระเบิด ก่อนจะเดินไปตามถนนเพื่อหาเบาะแส แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่มันต้องการ จนพระอาทิตย์ตกดิน ทุกอย่างเข้าสู่ความมืด มันก็ต้องหยุดพักเมื่อไม่สามารถหาเบาะแสได้อีกต่อไปและปล่อยเวลาให้ผ่านไป จนความสว่างปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง
********
แสงแดดรำไรส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ดวงตาที่ปิดสนิทมาทั้งคืน เริ่มกะพริบแล้วค่อยๆลืมขึ้น ภาพเบลอๆค่อยๆชัดเจนจนเห็นว่าเป็นหลังคากระเบื้อง แล้วหันไปมองซ้ายมองขวา ก็เห็นว่าเป็นฝาไม้ ก็หันกลับมามองหลังคาอย่างเลื่อนลอย แล้วความทรงจำที่ดับสนิทไปกับการสลบก็เริ่มหลั่งไหลเข้า เสียงแผ่วๆจึงหลุดรอดริมฝีปากออกมา

“จอมบงการ”
เสียงนั้นทำให้คนที่กำลังบิดผ้าขนหนูหันมามอง แล้วขยับตัวมาเข้าใกล้ พลางเปิดยิ้มและพูดออกมา “หนู แม่หนู หนู” ดวงตาที่เลื่อนลอยกะพริบสองสามครั้ง แล้วหันมามองคนเรียก ที่ยิ้มให้อย่างสงสาร “แม่หนูเป็นไงบ้าง”

ฝ้ายกัญญาเริ่มตั้งสติ แล้วถามออกมา “ที่ไหนค่ะ”

“วัดจ้ะ”

“วัด” เธอทวนคำพูดที่ได้ยิน แล้วใช้สองมือยันตัวให้ลุกขึ้น และไม่สนใจว่าจะเป็นวัดอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน เพราะสมองของเธอเริ่มคิดถึงใครอีกคน “แล้วเพื่อนหนูละคะป้า”

“หนูหมายถึงผู้ชายฝรั่งใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“อยู่โรงพยาบาล เพราะบาดเจ็บ และเสียเลือดมาก แต่ปลอดภัยแล้ว ป่านนี้จะฟื้นหรือยังก็ไม่รู้”

“หนูจะไปโรงพยาบาล ป้าช่วยพาหนูไปหน่อยได้ไหมค่ะ”

“แต่หนูยังไม่แข็งแรงนะ”

“หนูแข็งแรงแล้วค่ะ นะคะป้า ช่วยพาหนูไปหน่อย หนูอยากไปดูเขา ว่าเป็นยังไงบ้าง” ฝ้ายกัญญารบเร้า จนหญิงวัยกลางคนยินยอม เธอยิ้มออกมาอย่างดีใจและยกมือไหว้อย่างขอบคุณ และระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาลเธอก็ขอให้ป้าใจ ซึ่งเพิ่งได้รู้ชื่อ เล่าให้ฟังว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

“ป้าก็ไม่รู้หรอก แต่ตาผลที่เป็นสัปเหร่อของวัด ไปรับศพเพื่อนบ้านที่โรงพยาบาล พอมาถึงวัดจะเอาศพลง ก็เห็นหนูกับเพื่อนนอนอยู่ท้ายกะบะข้างโลงศพ หนูก็ไม่ได้สติ เพื่อนหนูก็บาดเจ็บหนัก หลวงพ่อก็เลยให้เด็กวัดไปตามป้ามาให้ดูแลหนู แล้วไล่ตาผลให้พานายฝรั่งนั่นไปโรงพยาบาลและให้เฝ้าอยู่จนกระทั่งหมอบอกว่าปลอดภัย ก็กลับมาเล่าให้หลวงพ่อและป้าฟัง...”

ฝ้ายกัญญานั่งฟัง นั่งถามป้าใจจนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลและได้รู้ว่าตอนนี้เธออยู่แถวชานเมือง เธอเดินตามหลังป้าใจที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาล พาเธอไปยังห้องที่จอมบงการนอนรักษาตัวอยู่ ระหว่างทางที่เดินไป เธอก็มองซ้ายมองขวา และมองไปรอบๆ เพราะจำได้ดีว่า ที่เธอต้องมาอยู่ที่นี่และเขาเกือบตายเพราะอะไร และเมื่อมาถึงห้องที่เขานอนรักษาตัวอยู่ เธอก็ได้พบกับหมอ ซึ่งบอกว่า เขาไม่เป็นไรแล้ว แต่ต้องพักรักษาตัวสักระยะ เพราะเสียเลือดจากการถูกยิงที่หัวไหล่ และมีรอยถากที่ข้างลำตัว และยังมีบาดแผลตามร่างกายอีกหลายแห่ง

ฝ้ายกัญญาบอกหมอว่าเธอเป็นญาติและแต่งเรื่องโกหกว่าเธอกับเขาถูกแท็กซี่ปล้น แต่เขาขัดขืนและต่อสู้ก็เลยโดนยิง จึงพากันหนี และขอบคุณหมอที่ช่วยเขาไว้ และรับของที่นางพยาบาลเอามาให้พร้อมกับบอกว่าเป็นของคนเจ็บ ฝ้ายกัญญามองของที่อยู่ในถุงพลาสติกใส่ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ สร้อยคอที่มีแหวนห้อยอยู่ด้วย เธอครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น แล้วจัดการใช้เงินระหว่างที่เขานอนไม่ได้สติอยู่ เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าอะไรอีกหลายอย่าง เพื่อเตรียมไว้ให้เขาพักรักษาตัว โดยขอให้ป้าใจหาที่พักที่เงียบๆไม่พลุกพล่านให้ เธอจึงได้บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆ เป็นที่พัก และจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับเขาและเธอมาไว้ จนกระทั่งอีกสองวันต่อมาอังเดรก็ฟื้น

ภาพแรกที่เขาเห็นคือแสงขาวๆของดวงไฟ อังเดรปิดตาลง แล้วลืมขึ้นมาใหม่ก็ได้เห็นว่านอกจากดวงไฟแล้วก็มีฝ้าเพดาน สายน้ำเกลือ เตียงคนไข้ คนไข้ จึงทำให้รู้ว่าเขานอนอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วดวงหน้าของหญิงสาวที่เขาคิดถึงตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา ก็โผล่เข้ามาอยู่ในสายตา พร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกความดีใจ

“คุณฟื้นแล้ว เป็นไงบ้าง”

อังเดรสบตาที่มองอยู่แล้วบอกว่า “พาฉันออกจากโรงพยาบาล”

ฝ้ายกัญญาอยากจะค้าน แต่จำต้องพยักหน้าเพราะรู้ดีว่าเขาต้องการออกจากโรงพยาบาลทำไม จึงทำตามความต้องการของเขาโดยไปขอร้องคุณหมอ อ้างถึงความจำเป็นต่างๆนาๆ จนคุณหมออนุญาต ฝ้ายกัญญาไม่ถามว่าเขาจะให้เธอพาไปที่ไหน นอกจากเธอจะพาไปยังบ้านที่เช่าไว้ เมื่อมาถึงเธอก็ให้เขานอนพักบนเตียงในห้อง แล้วจะออกไปจากห้อง แต่เสียงที่ดังขึ้นทำให้เธอต้องหันกลับมามอง

“จำได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา”

“ค่ะ”

“บอกใครไปบ้างหรือยัง”

“ยังค่ะ ฉันไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าไว้ใจใคร เพราะ...กลัว” เสียงฝ้ายกัญญาสั่นนิดๆ เพราะเหตุการณ์วันนั้นยังทำให้เธอกลัวอยู่จริงๆ

“แล้วเรารอดมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“คุณจำไม่ได้เหรอคะ”

“จำได้แต่ไม่ทั้งหมด”

ฝ้ายกัญญาจึงเล่าให้ฟังจากที่ได้ยินมาจากป้าใจและเล่าต่อจนพาเขามาที่นี่ “ฉันขอโทษนะคะที่ใช้เงินคุณโดยไม่ได้ขออนุญาต”

“ไม่เป็นไรฉันเข้าใจ และขอบใจเธอมากที่ไม่ทิ้งฉัน”

“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ ถ้าคุณไม่ลากฉันออกมาจากรถ ฉันอาจจะตายแล้วก็ได้”

อังเดรจึงไม่พูดอะไรอีก นอกจากจะหลับตาลง ฝ้ายกัญญาจึงเดินออกไปจากห้อง เพื่อให้เขาพัก เพราะแผลที่โดนยิง รวมทั้งแผลที่โดนสะเก็ตระเบิดและยังแผลที่ถลอกปอกเปิดระหว่างการหนี คงทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
ฝ้ายกัญญาออกมาจัดการทำกับข้าวเตรียมไว้ให้เขา ครัวเล็กๆที่อยู่หลังบ้าน แม้จะไม่สะดวกเพราะเป็นเตาถ่าน ที่เธอไม่ถนัด แต่ก็พอทำได้ แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ทำให้เธอประทังชีวิตเขาและเธอได้ อาหารเย็นของเขากับเธอจึงเป็นไข่ต้มกับข้าวเละๆ และกล้วยน้ำหว้าที่ป้าใจเอามาทิ้งไว้ให้

“ฉันทำได้แค่นี้

อังเดรมองอาหารที่อยู่ตรงหน้า สลับกับมองหน้าคนทำ แล้วไม่พูดอะไร ฝ้ายกัญญาจึงป้อนให้เขาเพราะเห็นว่ามือเขายังเจ็บ อังเดรกินข้าวไปเงียบๆ จนหมดชาม ฝ้ายกัญญาก็ให้เขากินยา ทำแผล เช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ทั้งที่หน้าร้อนผ่าว และแก้มแดงให้อังเดรเห็นบ่อยๆ แล้วก็ออกจากห้องไป อังเดรมองตามไป แล้วหลับตาลง ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ห่มผ้าให้เขา แล้วจะเดินจากไปอีก

“จะไปไหน” อังเดรถามขึ้นพลางลืมตามองร่างบาง และได้เห็นว่าเธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นกางเกงขาสั้นแค่เข่าและเสื้อยืดตัวใหญ่ ฝ้ายกัญญาสบตาคมที่มองมาแล้วบอกว่า

“ฉันจะไปนอนข้างนอก”

“บ้านหลังนี้มีห้องเดียวไม่ใช่เหรอ และข้างนอกก็ไม่มีอะไรเลย ทั้งที่นอนหมอนมุ้ง เธอจะนอนได้ไง”

“ฉัน..

“นอนในนี้”

“ฉัน...

“นี่เป็นคำสั่ง”

ฝ้ายกัญญากัดริมฝีปากไว้แน่น และอยากจะขัดคำสั่งเขา แต่พอคิดถึงภาพที่เขาลากเธอออกมาจากรถ และช่วยเธอให้พ้นมาจากแรงระเบิดก็ทำให้เธอเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ หยิบหมอนกับผ้าห่มและผ้าบางๆมาปูกับพื้นใกล้เตียงนอน แล้วล้มตัวลงนอน นั่นแหละอังเดรจึงหลับตาลงได้
********
พิพัฒน์มาทำงานที่บริษัทเสมือนไม่รู้เรื่องอะไร ทั้งๆที่เลขาหน้าห้องอย่างนางกัญญาบอกเรื่องทั้งหมดให้รู้แล้ว แล้วทำท่าตกใจอย่างแนบเนียน ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มเหมือนนั่งอยู่กลางกองไฟ เพราะหลายวันมาแล้ว มือปืนที่เขาจ้างให้ทำงานก็ได้แต่ส่งข่าวมาบอกว่ายังหาศพไอ้อังเดรไม่เจอ ซึ่งนั่นหมายความว่ามันอาจจะยังไม่ตาย และถ้ามันไม่ตายแล้วกลับมาได้ คนที่จะตายต้องเป็นเขา เพราะตอนนี้ทุกอย่างกำลังบีบเขาเข้ามา ทั้งทางตำรวจ ทางพ่อของมันก็ส่งมือดีมาหาตัวมัน เมื่อมันไม่ได้ติดต่อกลับไป พิพัฒน์ทนความร้อนที่นั่งทับอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อหามือปืนที่เขาจ้างไว้อีกครั้ง และถามออกไป

“คืบหน้าบ้างหรือเปล่า”

“ก็มีข่าวดีบ้าง เพราะชาวบ้านบอกว่าวันที่เกิดเรื่อง มีชายหญิงคู่หนึ่งบาดเจ็บ กำลังตามรอยอยู่

“ดี รีบๆหาตัวมันให้เจอ แล้วปลิดลมหายใจมันเสีย ถ้าแกทำสำเร็จ ค่าจ้างที่ตกลงกันไว้ จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”

“ขอบคุณ”

“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นทำงานให้ฉัน ให้เสร็จเสียทีดีไหม แล้วฉันจะได้ขอบคุณแกกลับบ้าง”

ไม่มีเสียงตอบมาแล้ว พิพัฒน์จึงวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ แล้วเรียกหาคู่ขาเพื่อมาหาข้อมูล ซึ่งไม่นานอรพัชชาก็มาหาเขา “หน้าห้องของคุณนี่ไม่ไหวเลยนะคะ อรเดินเข้ามาก็ไม่ถาม ไม่ว่าอะไรสักคำ หละหลวมจริงๆ” อรพัชชาว่าพลางเดินเข้าไปหาพิพัฒน์ แล้วเปิดยิ้มหวานพลางหอมแก้มเขาและบอกว่า

“คิดถึงค่ะ”

พิพัฒน์ไม่ได้สนใจคำหวาน เพราะใจเขาร้อนจนไม่มีอะไรมาดับได้ ได้แต่ถามว่า “เด็กนั่นกลับมาหรือยัง”

“ใครค่ะ” อรพัชชาถามอย่างสงสัย

“ลูกสาวกัญญาไง”

“อ๋อ ข่าวเด็ดประเด็นร้อนนี่เอง อรไม่ยักจะรู้ว่าคุณสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย แต่ก็อย่างว่า เพราะเป็นข่าวดัง เดินไปตรงไหนก็ได้ยินตรงนั้น” อรพัชชาว่าอย่างหยันๆ แต่พอเห็นสายตาพิพัฒน์มองมาอย่างรอฟัง ก็บอกว่า “ยังไม่กลับมาหรอกค่ะ ป่านนี้คงแหลกเหลวไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เพราะถูกลากไปกับผู้ชายตั้งสามคน”

“แล้วกัญญาไม่ห่วงลูกสาวบ้างเหรอ”

“ก็คงห่วง เห็นนั่งหน้าเศร้าน่ารำคาญอยู่หน้าห้องคุณนั่นแหละคะ” อรพัชชาว่าอย่างเบื่อๆ โดยที่เธอไม่รู้ว่าที่นางกัญญาเป็นอย่างนั้น เพราะข้อความที่ฝ้ายกัญญาส่งมาบอกให้รู้ว่าเธอปลอดภัยดี แต่ไม่ให้บอกอะไรกับใครทั้งสิ้น เพื่อความปลอดภัยของเธอและเจ้าของบริษัท “แล้วนี่พัฒน์เป็นอะไรไปคะ นั่งหน้าเครียดเชียว หรือว่างานมีปัญหา” เธอถามเมื่อเห็นพิพัฒน์นั่งหน้าเครียดอยู่

“นิดหน่อย”

“งั้นไปหาอะไรเย็นๆดื่มและผ่อนคลายกันดีไหมคะ” เธอว่าพลางโน้มตัวลงกอดคอเขา “เราห่างกันหลายวันแล้วนะคะ อรคิดถึง”

พิพัฒน์ปรายตามองนิดๆ แล้วบอกว่า “อย่าเลย งานผมกำลังยุ่ง คุณจะไปช้อปปิ้งหรือไปไหนก่อนก็ได้”

“อรไม่ไปหรอกคะ ยิ่งคุณมีปัญหาอย่างนี้อรก็อยากช่วย เล่าให้อรฟังบ้างซิคะ จะได้สบายใจ แต่ถ้าไม่เล่า งั้นอรก็จะทำให้คุณผ่อนคลายดีไหมคะ”
อรพัชชาถามแต่ไม่รอคำตอบ เธอเริ่มที่จะทำให้เขาผ่อนคลาย ด้วยการสอดปลายนิ้วเข้าไปสัมผัสผิวใต้ร่มผ้า และลูบไล้ไปเรื่อยพร้อมมองอย่างเชิญชวน และจูบแก้ม เรื่อยมาหาริมฝีปากของพิพัฒน์อย่างยั่วยวน จนพิพัฒน์หลงไปกับพิศวาสที่ถูกปลุกขึ้น แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็ทำให้อรพัชชายิ้มอย่างสมใจ เพราะลุกขึ้นควงเธอออกไปหาความสำราญข้างนอก โดยไม่สนใจสายตาของพนักงานอื่นๆที่มองมา และไม่รู้ว่าตอนนี้เขาถูกจับตามองทุกฝีก้าว
*******
ฝ้ายกัญญานั่งพัดเตาถ่านให้ไฟลุกเพื่อจะได้หุงข้าวและทอดปลาที่ป้าใจเอามาให้ เธอนั่งพัดไปหยิบถ่านใส่ไป จนกระทั่งไฟติด ก็เอาหม้อข้าวที่เตรียมวางบนเตา แล้วเอามือไปเช็ดเหงื่อที่ขมับและปลายจมูก แล้วไปล้างมือมาตำน้ำพริกที่เธอถามป้าใจมาแล้วว่าทำยังไง เสียงโขลกพริกดังไปถึงห้องที่อังเดรนอนพักอยู่ เขาจึงลุกออกมาจากห้อง เพราะหลายวันที่ผ่านมาแผลเขาดีขึ้นมากแล้ว และนั่งมองแม่ครัวที่กำลังขมักเขม้นทำกับข้าวอยู่ พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาเพื่อหาสาเหตุและสรุปว่าใครที่อยากจะให้เขาตายมากที่สุด

“โอ๊ย” เสียงร้องของฝ้ายกัญญาที่ดังขึ้น ทำให้อังเดรต้องหยุดความคิดตัวเองเอาไว้ แล้วมองใบหน้างามที่หลับตาปี๋ ก็ถามออกมา “เป็นอะไร”

“พริกเข้าตา” ฝ้ายกัญญาบอกแล้วเดินสะเปะสะปะไปหาน้ำ เพื่อเอามาล้างตา ท่าทางที่เงอะๆงะๆของเธอทำให้อังเดรถามขึ้น

“จะเอาอะไร”

“น้ำ” ฝ้ายกัญญาบอกแล้วยืนรอเมื่อได้ยินเสียงอังเดรขยับตัว เพียงเดี๋ยวเดียวขันน้ำก็มาอยู่ในมือเธอ เธอจึงลืมตาในน้ำ เพียงครู่อาการแสบตาก็หายไป เธอวางขันน้ำไว้บนโต๊ะ แล้วหันมาขอบคุณเขา ก็ไปนั่งทำกับข้าวต่อจนเสร็จแล้วเอามาวางบนโต๊ะอย่างไม่แน่ใจว่าคนที่อยู่เมืองนอกอย่างเขาจะทานได้หรือเปล่า

อังเดรมองกับข้าวที่ดูดีกว่าทุกวัน แล้วตวัดสายตาขึ้นมองคนทำที่ยืนอยู่ไม่ห่าง “มาใกล้ๆฉันหน่อย”

“คุณจะเอาอะไร” ฝ้ายกัญญาถามเพราะคิดว่าเขาจะใช้เธอทำอะไรให้และไม่ขยับเข้าไปหา

“ฉันสั่งให้เธอมาหาฉัน ไม่ใช่ให้ถามฉัน”

“คุณก็บอกว่าซิว่าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันทำให้ แต่ทำไมต้องให้ฉันไปหาคุณด้วย”

ฝ้ายกัญญาเถียง อังเดรมองคนดื้อ แล้วบังคับด้วยสายตาให้เดินมาหาแต่ฝ้ายกัญญาก็ยังไม่เดินไปหา เขาจึงเดินไปหาเอง แล้วยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่แก้ม ฝ้ายกัญญาเกือบสะดุ้งแล้วเบี่ยงหน้าหนี เสียงดุๆจึงบงการออกมาอีกว่า

“อยู่นิ่งๆ”

แต่ฝ้ายกัญญาไม่นิ่งและถอยห่าง ฝ่ามือหนาจึงจับหมับเข้าที่ต้นคอ และออกแรงบังคับให้เธอนิ่ง หญิงสาวจำต้องนิ่งมองแค่ปลายคางเขา ไม่กล้ามองมากไปกว่านั้นเพราะรู้สึกแปลกๆกับปลายนิ้วแกร่งทว่านุ่มนวลที่เหมือนลูบไล้อยู่บนใบหน้าเธอ และสร้างความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในใจเธอเพราะความใกล้ชิด ขณะที่อังเดรก็มองใบหน้างามที่จับตาเขาตั้งแต่แรกเห็น และหยุดปลายนิ้วไว้ที่แก้มนวล แล้วก้มหน้าลงมา จนปลายจมูกใกล้แก้มนุ่ม ฝ้ายกัญญาก็ตวัดสายตาขึ้นมา แล้วต้องหลับตาลงเมื่อริมฝีปากร้อนรุ่มแนบลงบนเรียวปากเธอ จูบนุ่มนวลและอ่อนหวานค่อยเป็นค่อยไปจนเขาถอนริมฝีปากออกมา ฝ้ายกัญญากะพริบตาปริบๆ แล้วต้องบอกด้วยเสียงสั่นๆว่า

“คุณทานไปก่อนแล้วกัน ฉันจะไปอาบน้ำ”

เธอบอกแล้วรีบเดินไปด้วยใจที่เต้นระส่ำ อังเดรไม่ได้มองตามไป แต่นั่งลงที่โต๊ะทานข้าวเล็กๆ หลายวันที่อยู่ด้วยกัน การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดทำให้เกิดความรู้สึกชิดใกล้ จนนอกจากคิดถึงเรื่องการฆ่าแล้วเขาก็คิดถึง...เธอ

ฝ้ายกัญญาอาบน้ำเสร็จก็มานั่งหน้าแดงอยู่บนเตียง ปลายนิ้วเรียวแตะริมฝีปากอย่างเผลอๆ แม้จะเคยโดนเขาจูบมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นเธอไม่ได้มีความรู้สึกอะไรมากมาย ผิดกับครั้งนี้ที่เธอรู้สึกมันหวานเหลือเกิน ฝ้ายกัญญานั่งนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงสายฝนที่โปรยลงมากระทบหลังคา จึงเดินออกมาจากห้องนอนและได้เห็นจอมบงการนั่งอยู่ที่เดิม กับข้าวเท่าเดิม เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็เดินไปตักข้าวมาให้เขาและตัวเอง แล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ทานข้าวกันไปเงียบๆ ไม่นานก็รวบช้อน แล้วเธอก็ถามเขาว่า

“แผลคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว แล้วคุณจะทำยังไงต่อไป จะกลับไปหรือจะให้ฉันติดต่อใครให้หรือเปล่า”

“เธอคิดว่าไง”

“อะไรคะ” ฝ้ายกัญญาถามอย่างแปลกใจกับคำถามแปลกๆที่ได้ยิน แล้วพยักหน้าอย่างรับรู้ เมื่ออังเดรตอบว่า

“เรื่องที่เกิดขึ้น”

“คุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะคะ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพราะอะไร และใครที่อยากให้คุณไร้ลมหายใจ”

“ถ้าเป็นเธอจะคิดว่าใคร”

“ฉันตอบไม่ได้หรอกคะ เพราะฉันไม่รู้ว่าคนร่ำรวยอย่างคุณมีศัตรูที่ไหนบ้าง แต่ถ้าจะให้ช่วยคิดก็เดาได้ว่าคงเป็นใครสักคนที่คุณไปขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือไม่ก็ไปขัดแข้งขัดขาเขา โดยที่คุณไม่รู้ตัว”

“แล้วถ้าฉันรู้ล่ะ”

“ก็จบ”

ฝ้ายกัญญาตอบง่ายๆ แต่ความหมายไม่ได้ง่ายเพราะให้อังเดรคิดเอาเองว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไป แล้วลุกขึ้นเก็บจานไปล้าง ส่วนอังเดรก็คิดต่อไปว่าเขาควรจะจบอย่างเธอว่าเสียทีก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้แผลและร่างกายเขาดีขึ้น พอที่จะเอาคืนไอ้สารเลวที่คิดจะฆ่าเขาได้แล้วจริงๆ

สายฝนยังเทกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ ฝ้ายกัญญาปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในห้องนอน เธอไม่เห็นเขา ก็คิดว่าเขาคงจะไปอาบน้ำ จึงจัดยา และน้ำไว้ให้เขา แล้วปูที่นอนสำหรับตัวเอง ไม่นานอังเดรก็เดินเข้ามา หยดน้ำยังเกาะอยู่บนตัวเขา แล้วรีบหันหลังให้เมื่อเขาเดินไปใส่กางเกงนอน แต่พอจะล้มตัวลงนอน เสียงดุๆของจอมบงการก็ดังขึ้น

“อากาศเย็น พื้นก็คงเย็น ขึ้นมานอนบนเตียงซิ”

“ไม่เป็นไรคะ ฉันนอนได้”

“ทำตามที่ฉันบอกโดยไม่ดื้อสักครั้งได้ไหม” เสียงอังเดรเริ่มเข้มขึ้น ฝ้ายกัญญาเม้มริมฝีปากนิดๆ แล้วบอกว่า

“ได้ค่ะ แต่...”

“แต่อะไร หรือกลัวว่าฉันจะทำอะไรเธอ ฉันรับรองว่าจะไม่ทำอะไร แต่ถ้าเธอไม่ขึ้นมานอน ฉันจะลงไปนอนกับเธอ เลือกเอาแล้วกันว่าจะนอนกันที่ไหน”

คำพูดของเขาทำให้ฝ้ายกัญญาหน้าแดง และงอสลับกันไปอย่างโมโหที่เขาชอบบังคับ แม้เขาจะพูดถูก แต่จะให้เธอขึ้นไปนอนบนเตียงกับเขาได้ไง แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นกับความชิดใกล้ที่ได้อยู่ร่วมกันหลายวัน ก็ทำให้เธอเผลอใจไปให้เขาแล้ว

อังเดรจับตามองหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่ แล้วกินยาที่เธอเตรียมไว้ให้ พอกินเสร็จ เขาก็เดินไปหาเธอ ฝ้ายกัญญาจึงรีบลุกขึ้น และมองค้อนจอมบงการ เพราะสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะนอนบนเตียงกับเขา ด้วยเหตุผลเพราะเขายังเจ็บอยู่ และนอนชิดขอบเตียง จนแทบจะตก อังเดรมองเฉย เขาปิดไฟแล้วเดินไปนั่งที่เตียงอีกด้าน ก็ล้มตัวลงนอน เตียงที่เล็กทำให้เธอนอนห่างจากเขาแค่ฝ่ามือ และนอนเกร็ง ขณะที่เขานอนนิ่งโดยไม่ห่มผ้า ส่วนเธอห่มไปถึงคอ เพราะอากาศที่เย็นลงจากฝนที่ตกลงมา และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอนอนฟังเสียงฝนไปเรื่อยๆและนึกห่วงเขา เมื่อสายลมพัดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ฝ้ายกัญญานอนนิ่งอย่างชั่งใจ แล้วขยับตัวลุกขึ้น หยิบผ้าห่มมาห่มให้ร่างสูง แต่พอดึงมือออก มือบางของเธอก็ถูกจับไว้ แล้วกระตุกจนตัวเธอล้มทับลงบนตัวเขา และเสียงกระด้างที่ฟังแล้วนุ่มก็ดังขึ้น

“ขอบใจ”

“งั้นก็ปล่อยซิค่ะ” ฝ้ายกัญญาบอกแล้วจะดันตัวออก แต่อ้อมแขนแข็งแรงกลับกระชับและบอกอีกว่า

“อย่างนี้อุ่นกว่า”

“แต่ฉันร้อน” ฝ้ายกัญญาบอกทั้งๆที่หน้าร้อนผ่าวอยู่ในความมืด

“อยากร้อนกว่านี้ไหม”

ฝ้ายกัญญาอ้าปากค้างเพราะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่พอจะผละออกมา เสียงฟ้าก็ร้องจนเธอตกใจ ผวาเข้าไปซบอกเขาอีก อังเดรจึงยิ้มนิดๆแล้วนอนกอดร่างอรชรไว้ และลูบผมนุ่มๆเบาๆ และยิ้มมากขึ้น เมื่อฟ้าร้องดังขึ้นอีก ฝ้ายกัญญาซุกหน้ากับอกเขาและกอดเขาไว้แน่น อังเดรพยายามอดกลั้นกับความหอมละมุนจากกายสาวและร่างกายที่อ่อนนุ่ม แต่ยิ่งห้ามอารมณ์เขาก็ยิ่งร้อน เพราะสายฟ้าช่างไม่เห็นใจเขา จึงพลิกร่างบางให้นอนราบกับที่นอนแล้วได้เห็นใบหน้างามที่ระเรื่อแดงกับดวงตาที่หวาดหวั่นจากสายฟ้าที่ฟาดลงมา และเมื่อฟ้าร้องอีกครั้งความอดทนของเขาก็สิ้นสุด แนบริมฝีปากหยักสวยแนบลงบนเรียวปากอิ่ม คลอเคลียแย้มริมฝีปากบางจนเผยอออกและสอดปลายลิ้นเข้าไปหาความหวานละมุนที่ซ่อนอยู่ภายใน

ฝ้ายกัญญาเหมือนโดนช็อต แม้จะเคยถูกเขาจูบ แต่วันนั้นไม่เหมือนวันนี้ วันที่เธอรู้สึกถึงความเร่าร้อนที่แทบจะกลืนกินเธอ และทำให้เธอหลงใหลอยู่ในวังวนเสน่หา อังเดรควานหาความหวานไปทั่วเรียวปากนุ่ม เขาจูบซับอย่างโหยหา และคลอเคลียไม่ห่าง ขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไล้ไปทั่วร่างบาง ก่อนจะสอดเข้าไปสัมผัสผิวนุ่มใต้ร่มผ้า ทั้งหน้าท้องแบนราบและทรวงอกนุ่ม ที่เพียงได้สัมผัส แม้จะมีกรวยผ้าลูกไม้ห่อหุ้มไว้ก็ทำให้เลือดสวาทในตัวเขาพุ่งสูงขึ้น ปลายนิ้วจึงดันผ้าออก แล้วเคล้นคลึงทรวงงามอย่างย่ามใจ ขณะที่ริมฝีปากก็เลื่อนลงมาจูบซับซุกไซร้ผิวนุ่ม ฝ้ายกัญญาได้แต่กัดริมฝีปากไว้ไม่ให้เปล่งเสียงคราง เพราะสวาทที่เธอไม่เคยรู้กำลังบาดลึกไปทั้งตัว และรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง เธอจึงยึดมือหนาไว้

อังเดรเงยหน้าขึ้นจากผิวนุ่ม และสบตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นแล้วยิ้มให้ เมื่อรู้ว่าเธอกำลังกลัว และเขาก็กลัวเหมือนกัน แต่ไม่ได้กลัวที่จะผูกพันกับเธอ แต่ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เขาต้องจัดการ จึงต้องตัดใจข่มอารมณ์ที่ร้อนระอุให้เย็นลง แล้วบอกว่า

“นอนเถอะ”

ฝ้ายกัญญาจึงขยับตัวออกวงแขน แต่อังเดรไม่ปล่อย เธอจึงบอกเบาๆว่า “ปล่อยซิคะ”

“นอนตรงนี้แหละ ฉันสัญญาว่าจะไม่พรากความสาวเธอเด็ดขาด”

ฝ้ายกัญญาหน้าแดง แล้วหยิกคนพูดให้เธอได้อาย จนอังเดรต้องจับมือบางไปจูบ แล้วบอกว่า “แค่กอดคนดี นอนเถอะ” พูดจบเขาก็หลับตาลง ฝ้ายกัญญาจึงปล่อยตัวให้เขากอดและหลับตาลงด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบเพราะรักที่เธอเพิ่งประจักษ์อยู่ในหัวใจ
********



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2555, 15:55:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2555, 15:55:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 7781





   ตอนจบ >>
Coffee 14 พ.ค. 2555, 16:11:04 น.
อยากอ่านอีก


เพชร 14 พ.ค. 2555, 16:24:11 น.
หนุกๆๆๆ ค่ะ
คุณ pream เขียนชื่ออรพัชชา เป็น ฝ้ายกัญญา อยู่สองสามที่นะคะ ในช่วงที่อยู่คอนโดของอรพัชชา ^_^


sai 14 พ.ค. 2555, 16:32:46 น.
>< เขิลๆๆ

ปล.คุณPream ตรงชื่ออรพัชชา ช่วงที่มีอะไรกับพิพัฒน์เหมือนว่าจะพิมพ์สลับกับฝ้ายกัญญาอ่ะค่ะ


KipkeLucifer 14 พ.ค. 2555, 17:15:45 น.
ตามๆๆตาม ทุกเรื่องเลยค่ะ


ปูจ้า 14 พ.ค. 2555, 17:16:46 น.
ชอบๆๆๆๆๆ


เพลา 14 พ.ค. 2555, 17:54:30 น.
น่ารักอ่ะ


แว่นใส 14 พ.ค. 2555, 18:15:54 น.
โห สั้นจริง ๆ


น้องแสตมป์ 14 พ.ค. 2555, 18:49:19 น.
ใส่ชื่อผิดคนนะคะในท่อนหื่น เหอะๆ


น้องแสตมป์ 14 พ.ค. 2555, 19:07:40 น.
แค่ 2 ตอนจบคงไม่น่าจะพอนะคะ


roseolar 14 พ.ค. 2555, 19:34:57 น.
ชอบที่นางเอกแก่นแก้วยั่วโมโหเก่ง แล้วก็หลงรักพระเอกของคุณ pream อีกตามเคย ชอบมากค่ะ สนุกอีกแล้ว >__<


Asian 14 พ.ค. 2555, 20:48:38 น.
ถ้าเปนเรื่องสั้นสองตอนน่าจะกระชับกว่านี้นะคะ
เนื้อหาคล้าย ๆ เขียนเรื่องยาวค่ะ


tualek 14 พ.ค. 2555, 21:16:38 น.
ขนาดเรื่องสั้นยังสนุกเลยค่ะ มานั่งรอตอนต่อกับจอมใจค่ะ


kwangwara 14 พ.ค. 2555, 22:09:40 น.
ชอบมากๆเลยค่ะ ^^


nutcha 14 พ.ค. 2555, 22:51:00 น.
หนุกดีค่ะ รอตอนต่อไปค้าาาา


nunoi 15 พ.ค. 2555, 00:21:40 น.
ชอบๆๆๆ น่ารักมากอ่ะ


หมูบูลิน 15 พ.ค. 2555, 01:01:50 น.
ชอบค่ะชอบ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะค่ะ


CAMILLA 15 พ.ค. 2555, 03:12:55 น.
แหมสั้นสมชื่อนึกว่ามี2ตอนเลย(โลภมาก55+)
รอติดตามตอนหน้าและเรื่องจอมใจนางโลมจ้า


moohin 15 พ.ค. 2555, 07:46:37 น.
555 ชอบแต่ฉันเป็นลูกเลขาก็เลยรู้ ช้อบชอบ


moohin 15 พ.ค. 2555, 08:17:24 น.
อ้าวเฮ้ยฝ้ายกัญญาไปนอนกับพิพัฒน์ซะแล้ว


toulek 15 พ.ค. 2555, 08:45:04 น.
น่ารักจัง
ไม่มีชื่อเรื่องเหรอค่ะ


tonrang 15 พ.ค. 2555, 09:13:09 น.
อย่างนี้เขาเรียกว่ารักแรกพบหรือเปล่า


ทอฝัน 15 พ.ค. 2555, 09:33:41 น.
จะรอติดตามนะคะ :)))


กุ๊กๆ 15 พ.ค. 2555, 09:42:06 น.
แอบรู้สึกว่านางเอกออกจะกล้าเกินงามไปนิด ช่วงต่อปากต่อคำตอนแรกค่ะ พระเอกถึงได้รุกได้อย่างสะดวกโยธินแบบนี้^^

รอจอมใจนางโลมอยู่นะคะ ;)


ธนพร 15 พ.ค. 2555, 10:14:13 น.
หนุกมากค่ะ


kaero 15 พ.ค. 2555, 11:30:48 น.
มีชื่อของฝ้ายกัญญา ผิดที่อยู่ 2-3 ที่ค่ะพี่เปรม จริงๆๆต้องเป็นอรพัชชาค่ะพี่


jawa 15 พ.ค. 2555, 12:24:19 น.
ชอบค่ะ


Zephyr 15 พ.ค. 2555, 13:50:47 น.
รอตอนต่อไปค่ะ อยากรู้ต่อแล้ววววววว


icewinter 15 พ.ค. 2555, 22:41:14 น.
สนุกมากค่ะ รอตอนต่อไปละนะคะ


NamFah 16 พ.ค. 2555, 10:16:41 น.
ชอบๆๆๆๆๆค่ะ ชอบสไตล์นี้เลยเน้อพี่พรีม อิอิ><


ยิหวา 16 พ.ค. 2555, 23:06:10 น.
อร๊ายยยยยยยย อิจฉาอยู่ลึกๆ อิอิ


ผักหวาน 2 ต.ค. 2556, 21:17:35 น.
ไปเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ใกล้ชิดกันเข้าอีกแบบนี้ อีตาฝรั่งจะได้เสียดุลย์ให้หนูฝ้ายซะละมั้ง อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account