กาลรักปักใจ (สำนักพิมพ์ Touch Publishing)
ถ้าความรักที่มั่นคงต่อ 'กรบูร'
ทำให้ 'กรรเกด' สามารถกลายร่างเป็นสาววัย20
ในนาม 'กุ้งนาง'
เพื่อสานต่อความรักกับ 'กานต์กันย์'
ซึ่งมีบุคลิกหน้าตาเหมือนคนรักเก่า
การผลัดเปลี่ยนตัวตน เพราะความประหลาดมหัศจรรย์
จะช่วยทำให้เธอสมหวังในความรักหรือไม่?
เมื่อ 'เปรียว' คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่
................
กาลเวลาที่ยังอยู่ในช่วงหนึ่งของความทรงจำ
จะมีพลานุภาพให้กับความรักได้สมดังหวังหรือไม่?
แล้วเธอจะเลือกชีวิต 'กรรเกด'
หรือเธอ...จะเลือกชีวิต 'กุ้งนาง'
เพื่อค้นหาความรักกับการรอคอย



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

กาลรักปักใจ

ตอนที่ 1

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

คำพูดประโยคนี้เคยได้ยินนับหลายครั้งเมื่อยังเยาว์ เป็นบทเริ่มต้นของนิทานปรัมปราหลากเรื่องที่ผู้ใหญ่มักเล่ากล่อมเด็กเวลาเข้านอน หลายเรื่องแม้จะลืมเลือนไปแล้ว แต่สำหรับ ‘สโนไวท์’ ยังเป็นที่จดจำแก่กรรเกดตั้งแต่เด็กจวบจนอายุย่างเข้าเลขสาม

‘กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี’

กรรเกดนั่งจ้องหน้าตนเองในกระจกบานยาว มองด้วยความว่างเปล่า เงาสะท้อนที่เห็นทำให้หลายครั้งจิตประหวัดไปถึงใครบางคน ที่เคยยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเป็นคนตอบคำถามด้วยเสียงนุ่มทุ้มเสมอมา เมื่อหล่อนเอ่ยประโยคเมื่อครู่ต่อหน้ากระจก

‘จะมีใครสวยเท่าเกดของผมคงไม่มี’

เสียงเบาๆของกรบูรกระซิบอยู่ข้างหู จนถึงทุกวันนี้มันยังคงดังก้องทุกนาที สะท้อนความคิดถึงไปมาในโพรงอก ราวกับว่าเขายังไม่จากไปไหน

แล้วความรู้สึกจับจิตต่อความรัก ก็ปรากฏอยู่ในความคิดคำนึงทุกครั้งที่อยู่หน้ากระจก รวมถึงต่อเมื่อหลับใหลในนิทรา จนก่อร่างเป็นความฝันประหลาดเสมอมา

‘ชมเกดอย่างนี้ทุกวัน บูรไม่เบื่อเหรอ’

‘ต่อให้เกดไม่ถามแบบนี้หน้ากระจก ผมก็ยังรู้สึกเสมอว่าเกดสวยเป็นที่หนึ่ง หาใครมาเปรียบปานได้’

กรบูรโอบร่างของหล่อนไว้ในวงแขน ก่อนจะถือโอกาสหอมเรือนผมที่ยาวเคลียหลัง จนหล่อนต้องเอ่ยปราม

‘เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า มันจะไม่ดีนะ’

กรบูรจึงปล่อยร่างหล่อน ‘แต่เกดก็บรรลุนิติภาวะแล้วนะครับ’

‘แต่มันก็ไม่งามนะคะ เพราะเราสองคนเป็นแค่แฟนกันอยู่ เดี๋ยวคุณแม่เกดมาเห็นเข้า ท่านจะต่อว่าได้’

กรบูรจำนนต่อคำพูดรวมถึงสีหน้าคนรักที่บ่งให้รู้ว่า สิ่งใดควรหรือไม่ กรรเกดหันกลับไปมองตนเองผ่านกระจกอีกครั้ง ดวงตาคู่หวานมองผ่านไปยังชายคนรักซึ่งบัดนี้ยืนอยู่ด้านหลัง แต่เพียงประเดี๋ยวร่างสูงของเขาก็เหมือนค่อยๆเลือนหาย ร่างของเขาที่กำลังจางจืดเป็นเพียงกลุ่มควัน จนหล่อนต้องกรีดร้องเสียงสูง แล้วหล่อนก็ลุกพรวด หันหลังกลับไปมอง แต่ก็ไม่มีเขาอยู่ที่เดิม

แล้วหล่อนก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง เมื่อจู่ๆบานกระจกก็ร้าวเป็นทาง โดยไร้สาเหตุ ภาพของหล่อนที่เห็นเบื้องหน้าเป็นเพียงเงาสะท้อน เครื่องหน้าทุกส่วนแตกลานอยู่ตามช่องกระจก เสียงร่ำไห้ของหล่อนดังระงมจนก้องหู ในขณะที่หล่อนเรียกชื่อกรบูรไม่ขาดปาก

เสียงกรีดร้องจากในฝัน ดังประสานไปพร้อมกับที่กรรเกดสะดุ้งตื่นจากภวังค์รักในอดีต หล่อนผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียง มือสองข้างลูบหน้าไปมา เมื่อแน่ใจว่ามันเป็นความฝัน หล่อนจึงได้แต่ถอนหายใจซ้ำ

หล่อนไม่เข้าใจนักหรอก ว่าทำไมจึงฝันถึงเหตุการณ์เช่นนี้เสมอมา ทั้งที่ผ่านมานานนับสิบปีจากวารวัน

ดวงตาหม่นแสงลง เมื่อภาพกรบูรยังคงตราตรึงทุกลมหายใจ...

ฉัน คิดถึงบูรเหลือเกิน

หลังคลายความว้าวุ่นใจจากภาพอดีตในฝัน กรรเกดจึงลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างที่แต่งเนื้อแต่งตัว หล่อนเพ่งมองกระจกบานเดียวกับในฝันเมื่อครู่ แล้วก็ถามประโยคเดิมอันเคยชิน

มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีเสียงของกรบูร อย่างเคยคาดหวัง แม้จะทำใจยอมรับกับอดีตมานาน แต่หลายคราที่จมอยู่กับตนเอง ภาพเก่าๆที่เคยอยู่เคียงชิดใกล้ กลับผุดขึ้นในมโนสำนึกตลอด

คงยากที่จะลืมความรักระหว่างหล่อนกับกรบูรได้สนิทใจ ในเมื่อคนเล่านิทานให้หล่อนฟังเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก สนิทสนมผูกพันกันมาหลายสิบปี ต้องมาด่วนจากไปโดยไม่ทันตั้งตัว

คำสัญญาระหว่างกันใต้ต้นการบูร จึงผูกจิตสองดวงคงไว้

........................................

กรรเกดหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก เพื่อสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้า หน้าผม เรียกว่าต้อง ‘เป๊ะ’ กับภาพรวม เพราะความสวยงามทั่วเรือนกาย คือหน้าตาในอาชีพของหล่อน

“ผู้งามเลิศในปฐพีนี้ เห็นจะมีเพียงคุณเกดคนสวย เพียงคนเดียว” กรรเกดเลียนเสียงใหญ่ทุ้มชมตนเอง เสมือนว่านั่นคือคำพูดจากปากกรบูร

หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีขาวพิมพ์ลายจุดดำ ปาดไหล่โชว์ผิวขาวผ่อง กางเกงยีนสีซีดรัดต้นขายาวเลยหัวเข่าไปสองคืบ ผมทรงบ๊อบเทย้อมสีน้ำตาลคาราเมล

เมื่อเช็กระดับความมั่นใจเรียบร้อย กรรเกดจึงหยิบแว่นกันแดดสีชมพูขึ้นใส่ ซึ่งเข้ากับสีลิปสติกบนเรียวปาก รองเท้าคัตชูปลายแหลม รวมถึงกระเป๋าสะพายแบรนด์ดัง

หญิงสาวแต่งตัวไปทำงานดังเช่นทุกวัน เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจากการขับรถออกจากคอนโดฯหรูย่านใจกลางเมือง ก็มาถึงด้านหน้าออฟฟิซ

บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ขนาดสองชั้น ตกแต่งรูปแบบสมัยใหม่ แฝงความเรียบง่ายหากแต่มีรสนิยม ทาสีเขียวใบตองสลับกับสีขาวนวล ด้านหน้าบ้านเหนือประตูรั้วมีป้ายขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดว่า ‘MANNARA’

ห้องเสื้อแมนนาร่า กำลังเป็นแฟชั่นนิยม ในหมู่วัยรุ่นรวมไปถึงวัยทำงาน ออกแบบเสื้อผ้าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยมีกรรเกดเป็นดีไซเนอร์ประจำให้กับบริษัท มีคุณนราหรือที่เรียกกันติดปากในวงการแฟชั่นว่า ‘เจ๊มันนี่’ ซึ่งแผลงมาจากชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้ว่า ‘แมน’ เป็นเจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น

“มาสายจริงนะยะ แม่คอมเมนท์เตเตอร์”

ฉายา ‘คอมเมนท์เตเตอร์’ อันได้มาจากการที่หล่อนเป็นคนชอบติติงถึงผลงานของตนเอง ขณะที่ให้นายแบบหรือนางแบบลองใส่เสื้อในแต่ละคอลเลกชัน

คุณนราใส่จริตทักทายกรรเกด ขณะที่หล่อนหิ้วกระเป๋าเดินมาดมั่นเข้าไปข้างใน หล่อนวางกระเป๋าลงที่โต๊ะทำงานตนเอง จึงหันมองไปรอบห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นต่อกัน

“ทำไมวันนี้ในออฟฟิซเราถึงเงียบเชียบพิกลคะเจ๊มันนี่”

“ตายๆๆแล้ว คุณน้องขา มัวแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ถึงกับไม่รู้เรื่องเลยหรือจ๊ะ ว่าวันนี้ที่ออฟฟิซเรากำลังจะมีนายแบบน้องใหม่ อิมพอร์ตมาเซ็นสัญญาเป็นนายแบบประจำ ให้กับห้องเสื้อของเจ๊”

กรรเกดดึงมือของผู้พูดให้ลงนั่งข้างกัน “เจ๊มันนี่หมายความว่ายังไงคะ เกดไม่เห็นรู้เรื่องเลย สงสัยว่าเกดจะตกข่าว”

“เพราะคุณน้องขาเป็นอย่างนี้น่ะสิจ๊ะ ถึงได้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับคนอื่นเลย” คนพูดทำเสียงระอาใจแก่ผู้ฟัง “ที่ทุกคนหายตัวกันไปทั้งออฟฟิซ ไม่เหลือใครอยู่ ก็เพราะแต่ละคนแจ้นไปต้อนรับน้องกานต์ที่สนามบินสุวรรณภูมิน่ะสิ”

“ถึงกับต้องไปรับจนหมดทุกคนเลยเหรอ”

เจ้าของห้องเสื้อพยักหน้ารับ ประกายตาบ่งบอกว่ามีความสุขไม่น้อย เมื่อเอ่ยถึงนายแบบน้องใหม่นาม ‘กานต์กันย์’

“แล้วทำไมเจ๊มันนี่ไม่ไปกับทุกคนล่ะ”

“แหมๆๆ คนเขาอุตส่าห์หวังดีรอ กลัวคุณน้องขาจะอยู่โยงเฝ้าออฟฟิซคนเดียว ก็กะว่าจะชวนไปด้วยกันนั่นล่ะ...พอดีรถยนต์ของเจ๊ไม่อยู่ ก็กะว่าจะอาศัยรถคุณน้องขาไปซะหน่อย”

กรรเกดจึงควานหากุญแจรถในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ ยื่นใส่มือคุณนรา “เกดให้เจ๊มันนี่ยืมรถ แต่เกดขอตัวเฝ้าออฟฟิซให้ดีกว่า”

“ทำไมล่ะ วันๆจะสิงสถิตอยู่แค่ไม่กี่ที่เหรอจ๊ะ ไม่อยู่คอนโด ก็อยู่ที่ทำงาน จะโผล่ไปนู่นมานี่ทีก็ต้องเป็นธุระของออฟฟิซ คุณน้องขาไม่เบื่อมั่งเหรอ”

กรรเกดส่ายหน้าน้อยๆ พลางลุกขึ้นจากโซฟาบุนวมสีส้มแครอท ที่ตั้งชิดผนังสีเขียวใบตอง เดินไปยังโต๊ะทำงานของหล่อน แล้วทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวโปรดสีเดียวกับโซฟา

“เจ๊มันนี่ไม่เห็นเหรอคะ ว่าเกดมีงานเป็นเพื่อน” หญิงสาวทำทีเป็นรื้อแฟ้มที่ใส่กระดาษสเกตช์แบบเสื้อตรงหน้า

คุณนราจึงค้อนขวับใส่สาวรุ่นน้อง “ขยันอย่างนี้ สงสัยเจ๊ต้องขึ้นเงินเดือน ไม่ก็เพิ่มโบนัสให้คุณน้องขาอีกสามเด้ง ดีไหมจ๊ะ”

“ประชดเกดเหรอ”

คุณนราจึงหัวเราะเสียงใส “ใครจะกล้าไปประชดประชันดีไซเนอร์ชื่อดังอย่างคุณน้องขาล่ะจ๊ะ ขนาดเจ๊ว่าฝีปากแรงๆ ก็ไม่อาจสู้คำพูดเชือดเฉือนของเจ้าแม่คอมเมนเตอเตอร์แห่งวงการแฟชั่นหรอกค่า”

คนถูกว่ากระทบจึงย่นจมูกใส่ “เจ๊มันนี่ก็พูดเกินไป เกดก็ติเฉพาะเรื่องงานเท่านั้นล่ะ”

คุณนราดูนาฬิกาที่ข้อมือ เมื่อเห็นว่าสายเอาการ จึงถามย้ำ “แน่ใจนะจ๊ะว่าไม่เปลี่ยนใจ”

“เจ๊มันนี่ก็รีบไปเถอะ ขืนไปช้าระวังจะโดนยายหนูผีมันงาบนายแบบของเจ๊ไปเขมือบนะคะ”

กรรเกดสัพยอกผู้เป็นนายอย่างเป็นกันเอง โดยอ้างถึงเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวประเภทสองเช่นเดียวกับคุณนรา

“นั่นน่ะสิ งั้นเจ๊ยืมรถคุณน้องขาไปหน่อยนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

พูดจบคุณนราก็คว้ากระเป๋าสะพายสีแดงพริกขี้หนูคล้องบ่า แล้วกรีดกรายด้วยท่วงท่าเดินบิดซ้ายขวา อันเป็นเอกลักษณ์ สตาร์ทรถยนต์ได้ก็บึ่งออกจากหน้าออฟฟิซด้วยความเร็ว มุ่งสู่สนามบิน

ส่วนกรรเกดก็ได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ในออฟฟิซตามลำพัง

..........................................

กรรเกดในปัจจุบัน ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าให้กับห้องเสื้อแห่งนี้ มาร่วมสิบปี หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย หล่อนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่เป็นเพียงผู้ช่วยของคุณป่านปอ ด้วยวัยเพียงยี่สิบต้นๆ

เมื่อเริ่มชำนาญในเนื้องาน หล่อนจึงถูกเลื่อนขั้นทันที ที่คุณป่านปอคิดจะขยับขยายเป็นเจ้าของธุรกิจห้องเสื้อเองบ้าง คุณป่านปอจึงใช้ประสบการณ์ชีวิตบุกตลาดห้องเสื้อของตนเองในนาม ‘ป่านปอ’

ตั้งแต่วันนั้น คุณป่านปอจึงกลายเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับคุณนรา กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทั้งคู่พยายามชิงดีชิงเด่น และแย่งพื้นที่ทางการตลาด ด้วยแฟชั่นล้ำสมัย

กรรเกดเองจึงถูกปั้นขึ้นมาแทนที่คุณป่านปอ กว่าจะมีชื่อเสียงเป็นเจ้าแม่ดีไซเนอร์ชื่อดัง จึงต้องแลกกับหลายสิ่ง...ทั้งเวลา...ทั้งคนรัก

มันไม่คุ้มกับหล่อนเลยจริงๆ เมื่อหน้าที่การงาน บั่นทอนเอาความสนิทสนมใกล้ชิดที่มีต่อคนรักมายาวนานให้พังครืน ความรักของหล่อนต้องจบลงด้วยการจากลาอันเป็นนิรันดร์

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวเฝ้าโทษตนเองมาตลอด

กรรเกดหยิบแบบสเกตช์เสื้อเซตใหม่ ที่นั่งหลังขดหลังแข็งทำงานจนใกล้รุ่ง ออกมาเพ่งพิศถี่ถ้วน พลางนึกถึงนายแบบที่จะต้องมาสวม เมื่อแบบร่างในหน้ากระดาษกลายเป็นชุดที่สวมใส่ได้จริง

แบบเสื้อเซตใหม่เน้นแฟชั่นสีสันสดใสฉูดฉาด ให้สมกับเป็นฤดูร้อน แต่แฝงความเรียบง่ายแลดูอบอุ่นยามสวมใส่ ดั่งคอนเซปต์ที่คุณนราให้โจทย์ไว้ ‘ตะวันส่องในฤดูใบไม้ผลิ’

หล่อนหลับตาลงเบาๆ เมื่อนึกถึงผลงานชิ้นใหม่ ที่เน้นไปทางสีส้ม สีเขียวเป็นหลัก โทนสีซึ่งขัดกันเกินกว่าครึ่ง มันจะลงตัวและกลมกลืนตามความคิดมากน้อยขนาดไหน...เมื่อนึกถึงชิ้นงานอย่างมีความสุข ในเสี้ยววินาทีหนึ่งกลับคิดถึงกรบูร

วันสุดท้ายที่พบกัน ทะเลาะกัน วันนั้นเขาก็ใส่เสื้อสีส้มหมากสุก เป็นดั่งสีของดวงตะวันยามลับขอบฟ้า

แล้วน้ำตาก็ซึมตามขอบ จนหล่อนต้องรีบกรีดนิ้วปาดมันทิ้ง จากนั้นจึงควานหากระจกใบจิ๋วที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย เพื่อเช็กดูรายละเอียดบนใบหน้า ว่ายังผุดผ่องเป็นยองใยหรือไม่

เพราะคนอย่างกรรเกด ถ้าอยู่กับสังคมภายนอก หล่อนถือคติ ว่าตนเองต้องดูดีเสมอ เรื่องทุกข์ใจใดๆ จึงเก็บไว้ครุ่นคิด ยามอยู่ในโลกส่วนตัว

ครั้นสายตาจ้องกระจกบานจิ๋ว ขณะหยิบแป้งพัฟขึ้นซับหน้า ปรากฏร่างสูงของใครคนหนึ่งซึ่งหล่อนไม่รู้จัก ผ่านกระจกในมือ หล่อนรีบหันขวับไปยังชายคนนั้น

“คุณมาหาใครกัน แล้วเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

หากขณะปากเอ่ยถาม ยามหมุนตัวกลับบนเก้าอี้ คำพูดประโยคนั้นแทบจะชะงักค้าง เมื่อเห็นถนัดตาในรูปร่างหน้าตาของชายตรงหน้า

กรรเกดลุกพรวด เอ่ยเสียงแผ่วเบา “บูร...”

ผู้ชายตรงหน้ายิ้มกว้าง เผยรอยบุ๋มข้างแก้ม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายอบอุ่น ราวกับเคยคุ้นซึ่งกันและกัน องค์ประกอบบนเครื่องหน้าประพิมพ์ประพายกรบูรยิ่ง เพียงแต่ทรงผมนั้นตัดสั้นตามสมัยนิยม สีน้ำตาลเข้มขลับดำ

อีกทั้งการแต่งกายนั้น ก็บ่งบอกถึงรสนิยมตามแฟชั่นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเสื้อสีโอลด์โรสที่เขาใส่ มันทำให้หล่อนระลึกถึงกรบูรอีกครั้ง

แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางใช่คนรักเก่า

“คุณเป็นใครกัน พอดีตอนนี้ที่ออฟฟิซไม่มีคนอยู่ มาติดต่อธุระเรื่องอะไร”

เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวจึงเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ลงนั่งที่ชุดรับรองแขกด้านนอก โดยที่หล่อนเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่วางตา

“หน้าผมมีอะไรประหลาดรึเปล่าครับ เห็นพี่จ้องตั้งนาน จนผมทำตัวไม่ถูกแล้ว” เขาพูดอึกอัก

“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีฉันคิดว่าหน้าตาคุณบังเอิญไปคล้ายใครสักคน”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับและเริ่มแนะนำตนเอง “ผมชื่อกานต์กันย์ครับ จะแวะมาคุยเรื่องงานกับพี่มันนี่”

“คุณคือ...นายแบบ...เอ่อ...คนที่จะมาเป็นแบบให้เสื้อผ้าของแมนนาร่าอย่างนั้นหรือคะ”

“ใช่ครับ แต่ผมยังไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย เห็นพี่แก้วที่เป็นคนแนะนำผม บอกว่าพี่มันนี่จะเป็นคนดูแลแล้วก็จัดการธุระทุกเรื่องให้ ทั้งเรื่องถ่ายแบบลงนิตยสารด้วย อะไรประมาณนี้ล่ะครับ ผมก็ไม่แน่ใจ”

“คืองี้ค่ะ...พวกทีมงานในออฟฟิซ ต่างแห่ไปรับคุณที่สนามบินกันหมด แล้วนี่เป็นมายังไงคะ ถึงโผล่มาที่นี่คนเดียวได้”

กานต์กันย์รีบส่ายหัว เอามือกุมขมับทันที “โอย...ผมต้องขอโทษจริงๆครับ ไม่ทันได้แจ้งกับพวกพี่ก่อน ว่าผมมาถึงเมืองไทยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พอดีไปหาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่นิวยอร์กครับ ก็เลยตั้งใจว่าจะให้เพื่อนมาส่ง”

“แล้วเพื่อนคุณล่ะ” หล่อนชะเง้อมองไปยังนอกกรอบประตูกระจกใส

“เพื่อนไม่มาหรอกครับ ผมนั่งแท็กซี่มา”

กรรเกดมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ฉันชักจะงงกับเรื่องของคุณไปหมดแล้ว เป็นมายังไงกันคะ ถึงมาถูก ในเมื่อคุณไปอยู่เมืองนอกมาตั้งหลายปี”

กานต์กันย์จึงยื่นนามบัตรที่ด้านหลังมีแผนที่เสร็จสรรพส่งให้ฝ่ายหญิงรุ่นพี่ คนขี้สงสัยจึงพอเข้าใจว่าเขาคงจะมาตามเส้นทางที่นามบัตรระบุไว้นั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันขอตัวไปโทรศัพท์หาเจ๊มันนี่ก่อนนะคะ ว่าคุณกานต์มาถึงที่นี่แล้ว”

กรรเกดลุกจากที่ตรงนั้น หลบมุมไปยืนอยู่ด้านนอกตัวบ้าน บริเวณสวนหย่อมขนาดย่อม หล่อนกดโทรศัพท์แจ้งไปยังคุณนรา เมื่อวางสายเรียบร้อย หล่อนยังอยู่ที่เดิม เริ่มสับสนต่อการพบเจอกานต์กันย์

มันเป็นความฝันหรือความจริง ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเหมือนกับกรบูรแทบทุกกระเบียดนิ้ว อาจมีบางส่วนที่แตกต่างบ้าง แต่ก็เป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยบางอย่าง

แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปดี ฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขาเลย

กรรเกดคิดเช่นนั้น เพราะรู้สึกถึงใจที่ไหววูบแปรปรวน ราวกับต้นการบูรในคำสัญญา กำลังถูกมือใครบางคนมาจับที่โคนต้นแล้วเขย่าอย่างแรง

แล้วจู่ๆกลิ่นหอมของดอกการบูร โชยอ่อนมาแตะอยู่ปลายจมูก หล่อนจึงสูดกลิ่นหอมอวลอันคุ้นเคย หลับตาลงเบาๆอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

ใจมันสับสน ประหม่าต่อการจะอยู่ใกล้กานต์กันย์ แล้วกลิ่นนั้นกลับรุนแรงขึ้น จนหล่อนต้องเปิดเปลือกตามองไปโดยรอบ เมื่อหมุนตัวกลับ เดินผ่านบานกระจกซึ่งสูงจากพื้นจรดผนัง หล่อนแทบสะดุ้งสุดตัว

แม้เห็นเพียงหางตา แต่มันก็ทำให้หล่อนชะงักเท้าค้างไว้ จนต้องหันหน้าไปมองเงาตนเองในกระจก แต่มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เกิดขึ้นฉับพลัน โดยที่หล่อนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

เงาของหล่อนสะท้อนออกมาเป็นใครอีกคน ซึ่งหล่อนมั่นใจแน่แท้ ว่าไม่ใช่ตัวหล่อน ณ ขณะปัจจุบัน

แต่เพียงเสี้ยววินาทีของการนับลมหายใจ ทำไมเงานั้นถึงคล้ายตัวหล่อนในสมัยซึ่งย้อนกลับไปสิบปีก่อนหน้า เมื่อครั้งที่ยังไว้ผมยาวถึงกลางหลัง

หรือว่าหล่อนตาฝาด...

แต่แล้วภวังค์ในการครุ่นคิดต่อสิ่งพบเห็น ก็ตัดฉับด้วยเสียงของกานต์กันย์

“กำลังทำอะไรอยู่ครับ ผมเห็นพี่เอาแต่มองกระจกอยู่ตั้งนาน”

เมื่อรู้สึกตัว กลับมามองยังต้นเสียง ปรากฏใบหน้าของกานต์กันย์ซ้อนทับกับกรบูร ดวงหน้าลอยวนคล้ายภาพต่างมิติ มันหมุนวนไปมาจนหล่อนรู้สึกวิงเวียน

วินาทีนั้นเข่าเหมือนจะอ่อนจนทรุด แล้วก็ล้มพับลงโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงเรียกอันนุ่มทุ้มซ้อนไปมาดั่งคนกำลังฝัน

เสียงหนึ่งซึ่งสะท้อนเรียกชื่อหล่อน “เกด...เกด”

......................................................





พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2555, 21:08:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2555, 21:08:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1174





   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account