กาลรักปักใจ (สำนักพิมพ์ Touch Publishing)
ถ้าความรักที่มั่นคงต่อ 'กรบูร'
ทำให้ 'กรรเกด' สามารถกลายร่างเป็นสาววัย20
ในนาม 'กุ้งนาง'
เพื่อสานต่อความรักกับ 'กานต์กันย์'
ซึ่งมีบุคลิกหน้าตาเหมือนคนรักเก่า
การผลัดเปลี่ยนตัวตน เพราะความประหลาดมหัศจรรย์
จะช่วยทำให้เธอสมหวังในความรักหรือไม่?
เมื่อ 'เปรียว' คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่
................
กาลเวลาที่ยังอยู่ในช่วงหนึ่งของความทรงจำ
จะมีพลานุภาพให้กับความรักได้สมดังหวังหรือไม่?
แล้วเธอจะเลือกชีวิต 'กรรเกด'
หรือเธอ...จะเลือกชีวิต 'กุ้งนาง'
เพื่อค้นหาความรักกับการรอคอย



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

เสียงเพรียกหาชื่อกรรเกดดังแว่วไกลออกไป เมื่อลืมตาขึ้นพบเพียงกานต์กันย์นั่งกระสับกระส่ายอยู่ข้างกาย ในมือเขาใช้นิตยสารบนโต๊ะพัดวีไปมา

“พี่ครับ...พี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

กรรเกดยังคงรู้สึกวิงเวียน ในขณะยันกายลุกขึ้นนั่ง หัวคิ้วและขมับคล้ายปวดหนึบ แต่กระนั้นหล่อนยังฝืนยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เมื่อครู่พี่แค่หน้ามืดจะเป็นลม แต่ตอนนี้รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นมาก”

หญิงสาวกะพริบตาถี่เพื่อไล่ความปั่นป่วนใจ อันเกิดจากภาพในกระจกเมื่อครู่ หล่อนฝืนร่างลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน เพียงเพราะความรู้สึกบางอย่าง ที่บอกไม่ได้เช่นกัน ว่ามันคืออะไร ทำไมจึงรู้สึก ‘ใกล้เหมือนไกล’

เมื่อเหลือบมองชายหนุ่มรุ่นน้อง เห็นเขาขมวดคิ้วเป็นปุ่มปม หล่อนจึงเอ่ยย้ำ “เมื่อคืนพี่นอนเกือบสว่าง มัวแต่โหมทำงานหนัก เลยอาจทำให้เพลียนิดหน่อย แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรจริงๆ ขอบคุณมากนะ ที่ช่วยดูแลพี่เมื่อครู่”

ท้ายประโยคคนพูดเสียงอ่อย และหลุบตาลงเมื่อสบตาตรงๆเข้ากับเขา

ความไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย รวมถึงความอะไรต่อมิอะไร ชักนำเอาความเงียบ แผ่เข้าปกคลุมภายในห้องอย่างรวดเร็ว ยิ่งกานต์กันย์เอาแต่จ้องหน้าหล่อน เผยรอยยิ้มบางๆ มันทำให้ความประหม่าเพิ่มมากขึ้น

กรรเกดจึงทำลายความเงียบด้วยการชวนคุยอย่างเสียไม่ได้ นึกในใจอยากให้ทุกคนในออฟฟิซกลับเข้ามาโดยเร็ว

หล่อนไม่คุ้นเคยกับการอยู่ใกล้ชิดชายหนุ่มสองต่อสองโดยลำพัง หลังจากต้องสูญเสียคนรักเก่า แถมพ่อหนุ่มหน้ามนตรงหน้าช่างละม้ายคนในอดีต...หัวจิตหัวใจหล่อนจึงแตกกระเจิง จับต้นชนปลายไม่ถูก

การชวนเขาพูดคุย ดูจะไม่ราบรื่น เมื่อถ้อยคำถามค่อนข้างตะกุกตะกัก ผิดวิสัยอันฉะฉานที่เป็นบุคลิกของหล่อน แต่กระนั้นชายหนุ่มตรงหน้าก็พูดโต้ตอบด้วยมิตรไมตรี

“พี่แน่ใจเหรอครับ ว่าสบายดี ไม่เป็นอะไรมาก ผมเห็นพี่ตาลอยๆ”

“เหรอ...พี่...พี่สบายดีนะ เอ่อ...เอาอย่างนี้ดีกว่า เชิญคุณกานต์ตามสบายนะคะ เดี๋ยวพี่ขอตัวออกไปสูดอากาศด้านนอกสักครู่”

เมื่อผ่านพ้นจากบรรยากาศอึมครึม อันก่อเกิดจากจิตใจหล่อนซึ่งไม่ปรกติ หล่อนสูดอากาศด้านนอกเข้าเต็มปอด หวังคลายความสับสน แต่ก็ไม่เป็นดังหวัง เมื่อหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เห็นเขายืนอยู่ที่กรอบประตู

รอยยิ้มเต็ม เผยความสว่างวาบในหัวใจของเขาสู่หล่อน มันเป็นยิ้มเดียวกับกรบูร

ทำไมนะ...ทำไมผู้ชายคนนี้ช่างเหมือนบูร เหมือนเสียจนแยกไม่ออก และต้องนึกว่าเป็นบูรอยู่ร่ำไป

“คุณกานต์มีอะไรรึเปล่าคะ”

แม้จะยากเพียงไร แต่กรรเกดพยายามควบคุมความรู้สึกให้เป็นปรกติ ทั้งที่ตอนนี้หัวใจหล่อนเปรียบเสมือนลูกโป่งถูกอัดลมจนพอง มันแน่นภายในอก แต่มันแน่นเพราะความรู้สึกสับสนบางอย่าง

“พอดีผมเห็นแบบเสื้อพวกนี้วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เห็นสวยดีครับ ก็เลยจะถามพี่ว่าเป็นเสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่หรือเปล่าครับ”

กรรเกดจึงสังเกตถึงแผ่นกระดาษในมือเขา “ค่ะ เซตนี้คืองานที่ทางแมนนาร่าเตรียมไว้ต้อนรับฤดูร้อนประมาณเดือนมีนาถึงเมษา แต่ก็เป็นเพียงแค่ภาพร่างเท่านั้นล่ะ มีบางแผ่นที่พี่ลงสีไว้ไม่กี่ชุด”

“ผมชอบครับ...สวยสด สะดุดตา ชักอยากจะเห็นชุดจริงๆซะแล้วสิ”

กานต์กันย์เพ่งมองรูปสเกตช์ในมือ แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งทำให้หล่อนนึกฉงนใจไม่น้อย “ผมชอบสีส้มครับ เป็นสีที่โปรดปรานที่สุด”

เพียงแค่เอ่ยถึง ‘สีส้ม’ ความรู้สึกบางอย่างก็สะท้านสะท้อนไปมาในทรวงอก ทำไมเขาถึงชอบสีเดียวกับบูรเลย

คราวนี้ความตื่นเต้นระคนหวั่นไหวเริ่มคลาย แปรเปลี่ยนเป็นความใคร่รู้มาแทนที่ หล่อนเดินตามเขากลับไปภายในออฟฟิซอีกครั้ง แต่ยังคงรักษาระยะห่าง ไม่ให้อยู่ใกล้กันจนเกินไป

“น้องกานต์เป็นลูกครึ่งรึเปล่าคะ”

จู่ๆหล่อนก็อยากรู้ข้อมูลส่วนตัวของเขา...อยากรู้ว่าเขาจะมีองค์ประกอบส่วนใดอีกบ้าง ที่ละม้ายคนรักเก่า

“ผมไม่ได้เป็นลูกครึ่งครับ แต่ทางคุณปู่มีเชื้อฝรั่งอยู่บ้าง หน้าตาผมก็เลยอาจมีบางส่วนคล้ายคนต่างชาติ...อย่างผมนับว่าเป็นลูกเสี้ยวได้ไหมครับ”

หล่อนพยักหน้ารับ “แล้วไปเรียนอยู่ที่นิวยอร์กหรือคะ”

กานต์กันย์หัวเราะเสียงใส “ผมไม่อยากบอกเลยครับว่าไปยังไม่ถึงครึ่งปี แต่ผมมันไม่เอาไหน ดันคิดถึงบ้านเสียก่อน”

กรรเกดพลอยยิ้มไปด้วย หล่อนรู้สึกโล่งใจและคุ้นเคยขึ้น “แสดงว่าคุณกานต์ก็อยู่ที่เมืองไทยมาก่อน”

“ครับ...ผมเคยมาอยู่กรุงเทพฯได้ประมาณสามปีตอนเรียนช่วงม.ปลาย แต่ผมดื้อครับ ก็เลยเรียนไม่จบ จนต้องถูกเรียกตัวกลับไปอยู่ที่บ้าน ครั้นจะส่งผมไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ผมก็หัวไม่ไปครับ พูดได้งูๆปลาๆ ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง สู้กลับมาอยู่เมืองไทยดีกว่า”

พูดถึงเรื่องภาษาต่างประเทศ ทำให้หล่อนนึกย้อนกลับกันว่าระหว่างกานต์กันย์กับกรบูรนั้น คงแตกต่างกันมาก เพราะรายนั้นพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ เรื่องการเรียนก็ได้เกรดนิยมอันดับหนึ่ง เรียกว่าเป็นข้อแตกต่างที่เห็นเด่นชัดทีเดียว

แล้วความสงสัยข้อหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เมื่อนึกไปถึงที่อยู่อันเป็นบ้านเกิดซึ่งเขาพูดถึง “แล้วเดิมที คุณกานต์เป็นคนจังหวัดอะไรกันคะ”

“อ๋อ...ผมเป็นคนจังหวัด...”

ยังไม่ทันตอบคำถาม เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาพนักงานทั้งหมด ซึ่งแห่ไปรับกานต์กันย์ที่สนามบินก็เฮโลกันเข้ามา พร้อมกับประโยคคำถามระรัวเป็นชุดราวกับเสียงปืนกล

“อ๊าย...ตัวจริงหล่อมากค่า นายแม่ขา” เสียงของยาย ‘หนูผี’ ดังแหวกวงล้อมขึ้นมา

“นี่หล่อน อย่าไปถูกเนื้อต้องตัวน้องเขามากนะ เดี๋ยวของดีของเด่นจะสึกหรอ ออกมาให้หมดค่า” คุณนราดึงร่างเหล่าสาวแท้สาวเทียมที่ยืนล้อมว่าที่นายแบบออกห่าง

เมื่อทุกคนถูกแรงเจ๊ใหญ่สุดของแมนนาร่าดึงให้ห่างกายกานต์กันย์ ทีนี้ก็เลยเป็นทีของคุณนราบ้าง เมื่อสบโอกาสเจ๊มันนี่จึงโถมตัวเข้ากอดนายแบบหนุ่มไว้แนบแน่น จนเจ้าตัวแทบยืนแข็งทื่อ ด้วยเพราะคงไม่คุ้นกับพฤติกรรมเช่นนี้

“หล่อมาก...” คุณนราลากเสียงยาว

แต่แล้วยายหนูผีก็ขัดขึ้น “แหมเจ๊...กีดกันคนอื่น แล้วก็ถือโอกาสเข้าไปสวมรอยกอดไว้คนเดียว มันไม่ยุติธรรมเลยนะ”

“เอ๊ะ! ไม่ยุติธรรมตรงไหนยะ ใครใหญ่สุดยะ” คนพูดค้อนควัก

กรรเกดจึงได้แต่มองดูเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมสิบคนที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ต่างยืนล้อมชายหนุ่มคนนั้น แม้เขาอาจดูอึดอัดไปบ้าง แต่หล่อนก็เห็นถึงรอยยิ้มอันเปิดเผยชัดเจน ว่าเขามิได้รังเกียจรังงอนบรรดาสาวแท้สาวเทียมที่ชื่นชมอยู่รอบกาย แม้เพียงน้อยนิด

ชื่นชม...คำนี้ผุดขึ้นกลางหว่างใจ เห็นรัศมีความเป็นดาวเด่นจรัสแสง

แต่ใจอีกด้านกลับสุกสว่างมากกว่าดาวดวงไหนๆ เหมือนฟ้าประทานบางสิ่งบางอย่างมาทดแทนสิ่งซึ่งสูญเสีย

หากฟ้านั้นช่างเล่นตลกเสียนี่กระไร...ในเมื่อเธออายุย่างเข้าสามสิบ

เมื่อดูจากบุคลิกโดยรวมภายนอก...ชายหนุ่มผู้นี้ น่าจะมีอายุอ่อนกว่าหล่อน ร่วมสิบปีทีเดียวคิดแล้วจึงทอดถอนใจ ดาวที่สุกใสเมื่อครู่ หล่นวูบหายวับในบัดดล

..............................................

ภายในออฟฟิซดูจะโกลาหลไม่น้อย ไม่ว่าใครต่อใครดูจะปลาบปลื้มว่าที่นายแบบประจำห้องเสื้อ โดยเฉพาะคุณนรา ที่กันท่ายายหนูผีโจ่งแจ้ง กว่าจะเกาะติดประจ๋อประแจ๋จนเป็นที่พอใจก็นานเอาการ

กรรเกดได้แต่ยืนมองชายหนุ่มรุ่นน้องอยู่ห่างๆ...

ความรู้สึกแรกอันพึงใจรูปกายภายนอกที่ความหล่อเหลาในแบบฉบับลูกเสี้ยว มีส่วนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักจากความประทับใจเกือบเต็มร้อย มาจากรูปร่างหน้าตา อันเก็บรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วในความคล้ายคลึงใครบางคน

เปอร์เซ็นต์ที่ขาดแหว่งไป คงหายไปพร้อมกับอายุ

กรรเกดไม่เคยคิดว่าจะเปิดประตูใจรับใครเข้ามาแทนที่กรบูร แม้ว่าจะมีผู้ชายหลายคนที่สนใจ เฝ้าติดตามถามไถ่ หรือเสนอตัวมาเป็นตัวเลือกใหม่ แต่กระนั้นก็ไม่นึกว่าผู้ชายคนนี้จะเข้ามามีอิทธิพลทางจิตใจ ได้มากมายเพียงนี้

แม้เพียงแวบแรกที่เห็น จะไม่มีความคิดอยากคบหาหรือครอบครองใดๆ

แต่ตอนนี้ที่หล่อนยืนอยู่ห่างจากคนทั้งหมด กลับรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่คิดว่าบางที เขาอาจจะมา ‘แทนที่’ หรือมาเติมเต็มในส่วนที่เลือนหายไปนาน

ฉันอยากจะกลับไปเป็นผู้หญิงในรุ่นราวคราวเดียวกับเขาจังเลย

เมื่อคิดแค่นั้น จึงได้แต่ถอนใจ แล้วภาพในวันวานเมื่อครั้งที่หล่อนไว้ผมยาวถึงกลางหลัง กลับมาปรากฏในมโนภาพอีกครั้ง

หล่อนลืมไปเสียสนิทใจ เมื่อครู่นี้ที่หล่อนเห็นตนเองย้อนวันคืนไปเป็นสาวรุ่นวัยใกล้ยี่สิบ มันเป็นเพียงภาพหลอน หรือว่าหล่อนตาฝาด

สิ่งนั้นมันคืออะไร?

พลันความคิดนั้นสะดุดค้าง เมื่อเสียงของหนูนา หรือที่หล่อนชอบเรียกว่ายายหนูผี พูดเหน็บกระแทกกระทั้นหล่อน

“ดูเถอะค่านายแม่ ขนาดหนูเกดที่ว่าไม่สุงสิงกับใคร ยังมองน้องกานต์ไม่วางตา จ้องน้องเขาจังเลยนะ ฉันบอกไว้ก่อนนะยะ ว่าคนนี้ฉันจองแล้ว”

ไม่ทันขาดคำ คุณนรารีบสวน “มาจงมาจองอะไรกันยะยายหนูผี ไม่เจียมสังขารบ้าง อย่างหล่อนรับรองว่าต่อให้เหลือเป็นคนสุดท้ายในโลก น้องกานต์ก็ไม่มีทางเลือก แล้วก็คนอย่างคุณน้องขา เจ๊รับรองว่าไม่มีตาจะไปชำเลืองมองชายหนุ่มที่ไหนแล้วล่ะย่ะ เพราะว่า...”

คุณนราหุบปากฉับ เมื่อมือข้างหนึ่งของเกวลีเอื้อมมาปิดปากคนพูด “เจ๊คะ...ลืมไปแล้วเหรอคะ ว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องที่ทำให้เกดสะเทือนใจ”

เกวลีพูดเสียงเบา คุณนราหน้าเจื่อน พอๆกับที่สีหน้ากรรเกดสลดลง เพราะหล่อนเองก็พอรู้ในความคิดของผู้พูดดี ว่าจะเอ่ยถึงสิ่งใด

อดีตรักของหล่อนกับกรบูร กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ที่ทุกคนจะไม่เอ่ยถึง

อาการกระอักกระอ่วนใจของใครต่อใคร แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเดียว แต่มันก็ทำให้กานต์กันย์คงนึกสงสัย จึงเอ่ยขึ้น

“มีอะไรกันรึเปล่าครับ”

หากไม่มีใครตอบ คุณนราจึงคว้าตัวชายหนุ่มให้เดินตามเข้าไปในห้อง พร้อมกับหันหน้ามาสั่งบรรดาลูกน้องทุกคน

“ฟังทางนี้นะจ๊ะทุกคน เดี๋ยวเจ๊จะขอคุยเรื่องงานกับน้องกานต์ในห้อง ใครมีงานมีการของตัวเอง ก็ไปสะสางทำให้เรียบร้อย แล้วเดี๋ยวตอนบ่ายเข้าห้องประชุมนะจ๊ะ” คุณนราหันไปทางกรรเกด แล้วจึงเอ่ยต่อ “คุณน้องขา เอาแบบสเกตช์เสื้อที่เตรียมไว้ไปพบพี่ในห้องด้วยนะจ๊ะ”

กรรเกดจึงเดินตามหลังคุณนรากับกานต์กันย์ เข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของผู้เป็นนายจ้าง เมื่อยู่กันสามคน คุณนราจึงเอ่ยเป็นการเป็นงาน ท่าทางขี้เล่น พูดจาจ๊ะจ๋า เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ทีนี้เรามาคุยเรื่องงานกันเป็นกิจจะลักษณะเลยดีกว่านะจ๊ะน้องกานต์”

คุณนราเชื้อเชิญทั้งสองคนนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นกานต์กันย์พยักหน้ารับ เจ้าตัวจึงพูด “พี่แก้วที่เป็นคนแนะนำน้องกานต์มา อาจจะยังไม่ได้แจ้งรายละเอียดทั้งหมด เอาเป็นว่าเจ๊จะแจ้งให้ฟังแบบคร่าวๆ ส่วนรายละเอียดที่เหลือก็ให้น้องกานต์อ่านเอาจากสัญญาที่ระบุไว้”

กานต์กันย์รับเอกสารมาพลิกดูคร่าวๆ เป็นสัญญาเกี่ยวกับการว่าจ้าง ให้เขาเป็นนายแบบประจำให้กับห้องเสื้อแมนนาร่า โดยมีสัญญาผูกมัดสามปีต่อเนื่อง

“งานเดินแบบ งานถ่ายแบบ ที่ใช้เสื้อผ้าของแมนนาร่าทุกงานจะเชื่อมโยงกันหมด รายละเอียดที่ชัดเจน คงจะต้องรอผลสรุปจากการประชุมในช่วงบ่ายนี้ก่อน แต่ว่าเจ๊อยากจะคุยกับน้องกานต์ให้เคลียร์กันไปเลย ว่าถ้าจะมาร่วมงานกับเจ๊ มันก็อาจจะหนักและเหนื่อยบ้าง เพราะทุกอย่างมันต้องมีการเทรนด์ใหม่หมด ในฐานะที่น้องกานต์เป็นเด็กหน้าใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับงานในวงการบันเทิง”

กานต์กันย์ยิ้ม พร้อมรับคำโดยง่าย “ผมพร้อมครับพี่ แค่รู้ว่าเป็นห้องเสื้อแมนนาร่า ผมก็ตกลงใจตั้งแต่วินาทีแรก”

“อุ๊ยตาย! ปากหวาน”

“เอาเป็นว่ารายละเอียดเรื่องงาน เดี๋ยวเราคุยกันอีกทีนะจ๊ะ”

หลังจากนั้นคุณนราก็สัมภาษณ์ไปยังเรื่องส่วนตัวของกานต์กันย์อีกบางประเด็น แต่ข้อมูลทั้งหมดนั้น ถูกกรรเกดบันทึกเก็บไว้ในสมองอย่างสนอกสนใจทีเดียว หล่อนฟังเงียบๆโดยไม่ปริปาก ไม่ถามซอกแซก แม้อยากจะรู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาให้มากที่สุดก็ตาม

จนกระทั่งคุณนราเอ่ยให้หล่อน หยิบแบบสเกตช์งานมาโชว์ให้ชายหนุ่มดู “สวยไหมจ๊ะ นี่เป็นแบบร่างในแฟชั่นฤดูร้อนที่จะมาถึง งานนี้เจ๊เตรียมจะปั้นให้น้องกานต์ได้เกิดเลยนะจ๊ะ”

แววตาคนพูดเป็นประกาย ผนวกกับท่าทางตื่นเต้นสนใจของคนฟัง ทำให้กรรเกดเองรู้สึกมีพลังบางอย่างขับเคลื่อน อยากจะเร่งงานชิ้นนี้ให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

คุณนรายังพูดคุยอีกหลายประเด็น ทว่าหล่อนกลับสนใจฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง สืบเนื่องมาจากเผลอไผลนั่งมองท่วงท่าอิริยาบถในมุมต่างๆของพ่อหนุ่มน้อย

เพลินตาจนไม่ได้ยินคำถามของคุณนรา...

“ตกลงว่ายังไงคะคุณน้องขา รับปากรึเปล่าคะ”

“ค่ะ...ตกลงค่ะ” หล่อนพูดเออออไปเช่นนั้น ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณนราเอ่ยถามเรื่องอะไร

“ทีนี้ก็สบายใจได้แล้วนะจ๊ะน้องกานต์ เพราะนอกจากคุณน้องขา เจ๊เองก็ไม่วางใจคนอื่นในการดูแลสักเท่าไหร่” คุณนราหันไปบอกกับชายหนุ่ม

กรรเกดเริ่มงุนงงในบทสนทนานั้น แต่หล่อนยังคงนิ่งฟังต่อ แล้วก็ตกใจจนแทบจะหงายหลังจากเก้าอี้ เมื่อท่าทีดีอกดีใจของกานต์กันย์ชัดเจนมากขึ้น เขาหันมาจับมือถือแขนหล่อนอย่างกันเอง พร้อมกับส่งเสียงประมาณถึงความดีใจล้นหลาม

“ดีครับ ที่ให้พี่เกดเป็นคนช่วยดูแลผม”

เท่านั้นล่ะ...ที่ทำให้ดวงตากลมโตของหล่อนเบิกกว้าง พร้อมกับหันไปมองคุณนรา ก้อนตาดำเต็มไปด้วยคำถาม

“เจ๊ไม่ไว้ใจใคร...อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย คุณน้องขาเหมาะสมสุดด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าคุณน้องขาไม่ช่วย ก็ต้องรอจนกว่าเจ๊จะมองเห็นว่าใครมีคุณสมบัติจะมาช่วยดูแลน้องกานต์แทน”

กรรเกดจึงได้แต่อึกอัก “แต่เกด...”

“เจ๊จ่ายค่าตัวเพิ่ม นอกเหนือจากงานดีไซเนอร์...คุณน้องขาตกลงกับเจ๊แล้วเมื่อกี้ ห้ามบิดพลิ้วนะค้า”

โอละพ่อ...ทำอย่างไรดี

ไม่ใช่ว่าไม่นึกสนใจในสิ่งที่คุณนราเอ่ยปากไหว้วานทั้งหมด แต่มันจะดีจริงหรือ ในเมื่อหัวใจหล่อนอยู่อย่างสงบมานาน หากต้องใกล้ชิดกับกานต์กันย์ หล่อนกลัวจะพลั้งเผลอ ปล่อยหัวใจตน โดยที่รู้ว่าอย่างไรเสีย ก็ปราศจากความสมหวัง

ในเมื่อตัวเลขอันห่างกันร่วมสิบปี...ยี่สิบเก้า กับ สิบเก้า

................................................

ชีวิตอันอยู่แบบเรียบเรื่อยเกือบสิบปี หลังการสูญเสียคนรักเก่า กำลังเริ่มพลิกผัน เมื่อประโยคหนึ่งจากการเอ่ยปากของคุณนรา เป็นเหมือนประกาศิตจากนายจ้างถึงลูกน้อง

กรรเกดรู้ดีทีเดียว ว่านั่นมิใช่หน้าที่ของนักออกแบบเสื้อผ้าอันดับต้นๆของเมืองไทยพึงกระทำ แต่หล่อนก็ไม่อาจปฏิเสธส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจ

หล่อนกลัวความหวั่นไหวในใจมาก เมื่อต้องย้ำเตือนจิตใจตนเอง ว่าอย่างไรเสีย ต่อให้ใจคิดไปไกล มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้นตลอดเวลาช่วงบ่าย ที่หล่อนต้องนั่งอยู่ในห้องประชุมกับทีมงาน หัวสมองจึงเบลอ ข่าวสารที่ได้รับเป็นเหมือนตัวอักษรซึ่งประสมเป็นคำ แล้วลอยผ่านทะลุจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง

จนกระทั่งคุณนราที่จับสังเกตเห็นถึงความไม่คงที่ในอารมณ์หล่อน เอ่ยขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกผู้คนในขณะประชุม

“คุณน้องขา...ป่วยไข้รึเปล่าคะ เจ๊เห็นนั่งตาลอยนานแล้วนะจ๊ะ เมื่อคืนเร่งงานมากไปรึเปล่า เจ๊ว่าคุณน้องขาไปพักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวรายงานการประชุมส่วนที่เหลือ เจ๊จะให้เก๋เอาไปให้อีกที” พูดจบคุณนราก็สั่งให้เกวลี ช่วยประคองหล่อนออกมานอกห้องประชุม

กรรเกดจึงเพิ่งรู้ตัว ว่าหล่อนใจลอยขั้นหนัก จนเกือบเสียการเสียงาน

“เกดเป็นอะไรรึเปล่า เก๋เห็นนั่งเหม่อตั้งหลายที หรือว่าจะพักผ่อนน้อย อย่างที่เจ๊แกพูด” เกวลีเอ่ยอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงฝากเก๋จดสิ่งสำคัญในส่วนของเกดเผื่อด้วยนะ”

เกวลีรับคำ...หล่อนอยู่ในฐานะเพื่อนสนิทของกรรเกด แม้จะอ่อนอายุกว่าราวสามปี แต่ก็เรียกเพียงแค่ชื่ออีกฝ่าย มิได้ถือว่าเป็นการปีนเกลียว เมื่อกรรเกดต้องการเช่นนั้น...หล่อนเดินกลับเข้าไปยังห้องประชุมด้านใน เหลือเพียงกรรเกดซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

คล้อยหลังเพื่อนสนิท หล่อนจึงมองหาใครคนนั้น...ตัวการที่ทำให้ใจหล่อนเตลิดเปิดเปิง

หญิงสาวลุกขึ้นไปมองโดยรอบ ไม่เห็นเขา...จึงเดินออกไปนอกตัวบ้าน สีส้มโอลด์โรสของเสื้อเด่นโดดอยู่ท่ามกลางสีเขียวของพงไม้

แผ่นหลังของเขาช่างสง่าผ่าเผย บ่ากว้างช่างพอเหมาะกับรูปร่างสูงโปร่ง ใจหล่อนเต้นระทึกจับจ้องมองเขาอยู่นาน ยิ่งมองยิ่งคิดถึง

มันปั่นป่วนจิตใจทั้งวัน จากน้อยไปหามาก...ประเดี๋ยวก็โบยบินขึ้นที่สูง คุ้มดีคุ้มร้ายก็นึกจะร่วงผล็อยลงสู่พื้น ก็ไม่ทันตั้งตัว

นี่ล่ะ! ที่เขาเรียกว่าหัวใจ

กานต์กันย์หมุนตัวกลับมา ในจังหวะที่หล่อนยังยืนจ้องอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว เขายิ้มอย่างเคย ลักยิ้มอันตรึงตราและผูกมัด สะกดให้หล่อนถูกมนต์

“เอ่อ...พี่...พี่ออกมาเดินเล่นค่ะ”

“ประชุมเสร็จแล้วหรือครับ”

“ยังค่ะ...แต่เดี๋ยวก็คงเสร็จ ว่าแต่คุณกานต์เบื่อไหมคะ ที่ต้องเสียเวลามาอยู่ที่นี่ทั้งวัน” กรรเกดพยายามบังคับเสียงให้เรียบเป็นปรกติ

“ไม่เบื่อหรอกครับ เพราะผมก็ยังไม่รู้จะไปไหน”

ระหว่างสนทนากัน ไม่รู้ว่ากานต์กันย์ก้าวเท้ามาถึงตัวหล่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ดังนั้นจึงเกิดความประหม่าอีกคำรบ

“ผมยังไม่เคยทำงานในวงการสักอย่าง ถ้ายังไงต้องขอคำแนะนำจากพี่เกดด้วยนะครับ”

นับเป็นการเรียกชื่อหล่อนครั้งแรกเลยก็ว่าได้ แม้นจะดูติดขัดจากริมฝีปากเขา แต่มันก็เป็นการย้ำเตือนให้ชัดเจนขึ้นถึงความห่างไกลออกไป มิใช่คำว่า ‘คุณ’ หรือคำว่า ‘พี่’ อย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นการบ่งบอกถึงความต่างเรื่องของอายุ

มันเป็นภาพอันชัดเจนเกินไป

“พี่ไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลศิลปิน เหมือนผู้จัดการดาราหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าพี่อาจจะเคยช่วยเจ๊มันนี่แกดูแลนางแบบนายแบบคนก่อนๆมาบ้าง แต่ก็แค่ผิวเผิน เพราะหน้าที่ของพี่จริงๆ คือออกแบบเสื้อผ้าให้กับแมนนาร่า”

“ถ้าอย่างนั้นต้องนับเป็นความโชคดีที่สุดของผม”

หล่อนจึงยิ้มในหน้า...แล้วจู่ๆคำถามอันคั่งค้างจากเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ก็สะกิดให้หล่อนอยากรู้ “เมื่อครู่น้องกานต์ยังไม่ทันได้บอกพี่เลย ว่าเดิมทีเป็นคนจังหวัดไหนคะ”

“อ๋อ...ผมยังพูดไม่ทันจบดี”

แววตาของคนถามเป็นประกายอย่างมีความหวังทีเดียว ว่าจังหวัดที่หล่อนจะได้ยิน จะเป็นเช่นดังใจหมาย แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น

“ผมเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ครับ”

หัวใจหล่อนพองโตจนคับอก เมื่อรู้สึกว่าสายสัมพันธ์บางอย่าง ยังคล้องให้เขากับหล่อนเป็นคนมีพื้นเพถิ่นฐานเดียวกัน

“พี่ก็คนจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ”

ข้อมูลใหม่...จะเป็นไปได้ไหมหนอ ที่ผู้ชายคนนี้จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับกรบูร

..................................................







พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ค. 2555, 19:13:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2555, 19:13:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1242





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account