เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๔ ได้งาน
แม้ความดีใจจะท่วมท้นเมื่อได้พบหน้า ทว่าพอนึกขึ้นได้ถึงภาระอันหนักอึ้งในมือ แววอรุณก็รู้สึกโล่งอก ตัวเบา มีตัวกลางอย่างกวินค่อยสบายใจได้ เขาไม่อยากเจรจาเรื่องไร้สาระที่คาดการณ์ได้เลยว่าไม่มีวันสำเร็จผล โดยเฉพาะกับคุณนายชโลทรจอบเฮี้ยบด้วยแล้ว ไม่มีทางเสียหรอกจะยอมรับผู้หญิงวัยละอ่อนหน้าตาใสซื่อเข้าทำงานปลุกความโลดเต้นให้เฒ่าหัวงูอย่างสามีของตน
“เฮ้อ..ดีจ๊าย ดีใจ มาพอดีเวลาจริงๆเลยจ้ะพ่อรูปหล่อ” แววอรุณโพล่งออกมาพร้อมชูมือสองข้างทำท่าจะเข้าไปสวมกอดผู้มาใหม่ แต่เจ้าตัวก็ไวพอกัน เบี่ยงหลบความปรารถนาดีนั้นได้ทัน
“คิดถึงผมใช่มั้ยล่า เจ้แวว” กวินเอ่ยทีเล่นทีจริง
“อันนั้นล่ะแน่นอนค่ะ แต่อิชั้นโล่งใจซะมากกว่า”
“โล่งใจ?” หนุ่มตาหวานเลิกคิ้วสงสัย “เรื่องอะไรครับเจ้”
แววอรุณได้ทีจิกปาก พ่นลมหายใจยาว
“ก็จะอาร้าย..บอกตามตรงนะคะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอเด็กที่ไหนดราม่าเท่ายายหน้าจืดคนนั้นเลย”
คำอธิบายของ “เจ้แวว” ทำให้ชายหนุ่มมึนงงเข้าไปใหญ่
“เด็กหน้าจืด..ดราม่า?”
“โอ๊ยๆๆๆ” แววอรุณไล่เสียงจากต่ำไปสูงราวกับทำเมโลดี้ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ข้างหนึ่งยกขึ้นโบกกรีดกรายห้านิ้ว แหวนเพชรซึ่งไม่รู้จริงหรือเก๊พากันเล่นแสงวิบวับกระแทกตาชายหนุ่มจนต้องกระพริบตาปรับโฟกัสถี่ๆ
“สิบปีที่แล้วเป็นยังง้าย ตอนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ เล่นเกมยี่สิบคำถามกับเจ้อีกแล้ว” เลขาท่าสวยเม้มปากอย่างนึกหมั่นเขี้ยว “เครื่องหมายเควชชั่นมาร์คขึ้นเต็มหน้าเจ้เลยค่ะ”
“แหม เพิ่งสองคำถามเองครับเจ้..ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆนี่ครับ ว่าทำไม..”
คุณเจ้ของกวินถึงกับต้องรีบยกมือเบรก
“พอเถอะค่ะ เจ้กำลังจะอธิบายให้ฟังอยู่แล้วพ่อทูนหัว ใจเย็นๆ”
กวินยิ้มขันท่าทางของแววอรุณพลางพยักหน้าหงึกหงักรอฟังคำอธิบาย
“ก็นี่น่ะค่ะ คุณวินต้องรับผิดชอบแทนเจ้ด้วย” แววอรุณหยิบแฟ้มเอกสารปกหนังสีขาวบนโต๊ะประจำตำแหน่งขึ้นมาโชว์ “อย่าให้เจ้ต้องลำบากเผชิญหน้ากับคุณนายแม่ท่านเลยนะคะ เจ้ยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร”
กวินรับแฟ้มนั้นมาถือไว้ ฉลาดพอจะยับยั้งคำถามไว้ในลำคอ เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวเจ้แววต้องเล่าให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก
“มีเด็กผู้หญิงมาสมัครงานตำแหน่งมัณฑนากรค่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่ว่าสวยไม่เท่าเจ้หรอกค่ะ”
กวินยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆก่อนเอ่ย
“ก็ดีสิครับ เด็กผู้หญิงหน้าตาสวยๆ บริษัทเราจะได้สดชื่นมีชีวิตชีวา นี่ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาเจอแต่พนักงานผู้ชาย ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงเขาไปหลบมุมอยู่ตรงไหนกันหมด” กวินยังมีอารมณ์นึกสนุกแกล้งเย้าเลขาคนเคยคุ้นต่อ “ที่ว่าเด็กน่ะ..เด็กแค่ไหนครับ บรรลุนิติภาวะหรือยัง ถ้าซักสิบเจ็ดสิบแปดก็คงกำลังดี”
“กำลังดีอะไรคะคุณวิน แหม..แตกเนื้อหนุ่มไม่ทันไร แววคุณพ่อเริ่มออกลายเลยเชียว นี่แน่ะ” แววอรุณประทับฝ่ามือดังเผียะลงบนบ่าผึ่งผายเป็นเชิงหยอกล้อ “หมั่นไส้จริงๆ”
“ผมล้อเล่นน่าเจ้แวว” ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกทำตากรุ้มกริ่มหัวเราะเสียงหล่อ ไม่รู้เสียบ้างเลย ว่าทำเอาหัวใจสาวประเภทสองอย่างเจ้ละลายแล้วละลายอีก
“ว่าแต่ ผมยังไม่เห็นปัญหาน่าหนักใจตรงไหน ก็แค่ผู้หญิงคนนึงมาสมัครงาน”
“เฮ้อ..นั่นแหละตัวปัญหาค่ะ แล้วไอ้ที่คุณวินไม่เห็นพนักงานผู้หญิงน่ะก็ขอบอก ตั้งแต่คุณบินไปเมกา คุณวิสุทธิ์ก็เจ้าชู้ได้เจ้าชู้ดี กะลิ้มกะเหลี่ยเด็กเอ๊าะเกือบทุกแผนกจนคุณนายแม่เธอทนไม่ไหว ไล่สาวๆพวกนั้นออกไปหมด แถมยังเข้ามานั่งตำแหน่งประธานบริษัทอีกคน คุมคุณวิสุทธิ์แจเลยค่ะ”
“จริงเหรอเจ้ ผมไม่ยักรู้”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววประหลาดใจของจริง แววอรุณเลยอธิบายต่อเครียด
“โถ คุณวินจะไปรู้อะไร เรียนพิเศษอยู่กับบ้านทั้งวัน มาบริษัทซักกี่ครั้งกันเชียว พบปะหน้าตาผู้คนกันซักกี่มากน้อย มีแต่แววเนี่ยแหละต้องเทียวรับเทียวส่ง ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงของคุณวิน แถมยังต้องมานั่งเป็นเลขาหน้าห้องให้คุณนายแม่ของคุณอีก ปวดเศียรเวียนเกล้าสุดๆค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
“อืม..จะทำยังไงล่ะครับเนี่ย ฟังรูปการแล้วเด็กคนนี้ไม่น่าผ่าน”
“ก็ไม่ผ่านล้านเปอร์เซ็นอยู่แล้ว เจ้ตั้งใจจะไล่ไปให้พ้นหูพ้นตา แต่แม่นี่ดันมาต่อมน้ำตาแตกกลางบริษัท คนมองกันใหญ่ สดๆร้อนๆ ไม่กี่นาทีนี่เองค่ะ สวนกับคุณวินรึเปล่าก็ไม่รู้”
แววอรุณถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนทำใจเล่าต่อ
“ร้องห่มร้องไห้ ยัดเยียดไอ้แฟ้มปึกนี่มาให้แวว บอกว่าเป็นพอร์ตฟอริโอ้ ผลงานที่หล่อนคิดว่าเลิศสุดๆ โอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ต่อให้หล่อนเคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศคุณนายก็ไม่แลหรอก อยากเกิดมาเป็นผู้หญิง แถมยังสวย..หึ..น้อยกว่าเจ้หน่อยนึง” เลขาคนเก่งพยายามกัดฟันสุดฤทธิ์ ทว่าก็อดยอมรับความจริงที่สายตาตนเองเห็นไม่ได้
“เจ้แววรู้ว่าคุณแม่ไม่ยอมรับแน่ๆ แต่ไม่อยากถูกบ่น ก็เลยจะให้ผมไปเจรจาแทนใช่มั้ยครับ”
กวินเริ่มเดาใจเลขาคนสนิทออก
“อย่าเรียกว่าบ่นเลยค่ะ อาจจะหูชาไปสามวันเจ็ดวัน หนักกว่านั้นอาจโดนตัดเงินเดือน ข้อหาไม่รู้จักจำ”
“ไม่รู้จักจำ?”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขัน
“ไม่รู้จักจำกฎเหล็กของคุณนายน่ะสิคะ ข้อที่หนึ่งไม่รับผู้หญิง ข้อที่สองไม่รับผู้หญิง และจะข้อไหนก็ไม่รับผู้หญิง..โดยเฉพาะผู้หญิง..”
“สวย” กวินช่วยต่อให้อย่างรู้แกว
“ถูกค่ะ รู้หยั่งงี้แล้ว คุณวินจะเมตตาและเห็นใจเลขานุการร่างบอบบางคนนี้รึยังคะ”
หนุ่มตาหวานถึงกับระเบิดหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ แววอรุณเลยสะบัดหน้าบึ้งตึงทำเสียงไม่สบอารมณ์ในลำคอ
“อ่ะ..ล้อเล่น อย่าเพิ่งงอนผมสิครับคนสวย” กวินรีบเข้าไปลูบหลังลูบไหล่คุณเลขาตามประสาหนุ่มขี้อ้อน
“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเจ้เลยนะ..รีบๆเปิดดูเถอะ แม่หน้าจืดเค้าอุตส่าห์เสียน้ำตาถวายมาให้ ดูเสร็จก็ไปคุยให้เจ้ด้วย”
“อะไรกันผมเพิ่งกลับมาถึงก็จะใช้งานซะละ”
“ใครจะไปกล้าใช้ลูกชายหัวแก้วของคุณนายชโลทรล่ะคะ แต่ว่ามันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
“โอเคๆ เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้เอง แต่ว่าตอนนี้หิวแล้วอ้ะ” กวินว่าพลางลูบท้องให้รู้ว่าเขาพูดจริง “ท้องร้องจ๊อกๆแล้ว เจ้ไม่ได้ยินเหรอ พาผมไปกินข้าวก่อน เอาร้านเดิม เมนูเดิม ผมรู้ว่าเจ้ยังจำได้”
รอยหยักของริมฝีปากสวยฉบับผู้ชายทำให้แววอรุณต้องยอมโอนอ่อนตามใจเขาจนได้
“จริงๆเลยนะคุณวินเนี่ย”
พอดีกับเด็กเดินเอกสารคนหนึ่งเดินหอบงานมาส่ง คุณเลขาจึงฝากแฟ้มงานตัวปัญหาเข้าไปรอการพิจารณาในห้องด้านหลัง
“สมชายเอาแฟ้มนี่ไปเก็บในห้องทำงานคุณวินที วางไว้บนโต๊ะนะ”
เด็กหนุ่มโค้งศีรษะรับแฟ้มไปถือ ก่อนจะรีบเดินอ้อมไปยังห้องดังกล่าวอย่างรู้งาน
“ห้องทำงาน?”
“ค่ะ..คุณชโลทรจัดสรรไว้ให้แล้ว ห้องนี้ล่ะ ทันทีที่คุณวินมาถึง หน้าที่ทั้งหมดท่านจะถ่ายโอนให้ รวมถึง..” แววอรุณทำปากเบะอย่างนึกเหนื่อยใจแทนชายหนุ่ม
“หน้าที่เฝ้าคุณวิสุทธิ์..รายงานพฤติกรรมส่อพิรุธทันที่สงสัย!”
รถแท็กซี่คันใหม่เอี่ยมเคลื่อนมาจอดเทียบทางเดินยกระดับหน้าอาคารรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ประตูฝั่งผู้โดยสารถูกผลักออกมาพร้อมกับเรียวขาเพรียวยาว หญิงสาวในชุดแส็คสีม่วงพาสเทลยาวถึงเข่า เรียกความสนใจให้กับรปภ.หน้าประตูกระจกได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากท่าทางกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเดินทาง ใบหนึ่งมีล้อลาก อีกใบหนึ่งมีสายคล้องไว้สะพายบนบ่า
ดวงตารูปหงส์ใต้แว่นกันแดดสีชาทอดมองดอกกุหลาบสีขาวสองข้างทางระหว่างที่เดินเข้าสู่ตัวอาคาร ประกายตาแรงกล้าถูกซ่อนไว้มิดชิด กระแสบางอย่างที่หากชายฉกรรจ์สองคนได้มีโอกาสเห็นจะต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่น้อยเลยทีเดียว เดินนำมาถึงจุดรับรองแขกชั้นล่าง ชายสองคนผายมือ โค้งศีรษะเชื้อเชิญให้สตรีผู้มาเยือนนั่งรอบนชุดโซฟาหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“คุณผู้หญิงเป็นแขกของคุณชโลทรหรือครับ”
แพรวายิ้มเก๋ ริมฝีปากอวบอิ่มกับลิปสติกสีชมพูนู้ดเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้เพศตรงข้ามต้องมองเคลิ้ม แทบไม่อยากละสายตา
“อ้อ..คุณนายแม่หรือคะ” หล่อนบอกอย่างสนิทสนม แต่น้ำเสียงก็ฟังดูเรียบร้อย อ่อนน้อม ไม่แสดงกิริยาออกนอกหน้าจนเกินงาม “ไม่ใช่หรอกค่ะ..ดิฉันเป็นแขกของคุณวิน แต่ก็ตั้งใจจะเอาของฝากมาให้คุณนายแม่ท่านด้วย”
“ผู้หญิงอะไรสวยทั้งรูป หวานทั้งเสียงเลยว่ะ” สมศักดิ์หันไปบอกเพื่อนซี้ด้วยระดับเสียงที่พอจะได้ยินกันเงียบๆ
“คุณวินทำงานอยู่รึเปล่าคะ” แพรวาถามเสียงเกรงใจ “หวังว่าดิฉันคงไม่ได้มารบกวน”
“เอ่อ คือคุณกวินเพิ่งออกไปข้างนอกกับคุณแวว เลขาคุณชโลทรเมื่อครู่นี้เองครับ”
หญิงสาวสังเกตได้ชัดว่านัยน์ตาของสองหนุ่มดูมีแววกังวลใจซ่อนอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันนั่งรอตรงนี้เอง”
รปภ.หนุ่มสองคนมองหน้ากันเลิ่กลัก จนแพรวาเริ่มรู้สึกอึดอัดปนรำคาญ ทว่าหล่อนก็เก็บอารมณ์นั้นไว้อย่างเงียบเชียบ
“ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกว่ะ แต่จะมั่นใจได้ไงว่าเป็นคนสนิทคุณกวินจริง”
สมศักดิ์เดินหันหลังออกมากระซิบถามเพื่อนคู่หูหลังจากบอกให้แขกสาวสวยพริ้งนั่งรอไปพลางๆก่อน
“ก็คงสนิทอยู่มั้ง เห็นเรียกคุณชโลทรว่าคุณนายแม่ ถ้าไม่สนิทกับนายน้อยจริง ไม่เรียกนายใหญ่เราแบบนั้นหรอก”
“เอ็งอย่ามั้งสิวะไอ้คิด ถ้าคุณผู้หญิงคนนั้นเค้าโกหกเราล่ะซวยเลย นี่ใกล้เวลาท่านประธานกำลังจะเข้าบริษัทแล้ว เห็นผู้หญิงสาวสวยเสน่ห์แรงนั่งอยู่ พวกเราเละแน่”
“ไหนๆก็พาเค้ามาถึงในนี้แล้ว เลยตามเลยเหอะว่ะ”
สมศักดิ์พยายามปลอบใจตัวเอง
“เอ็งนี่ตลอดเลย..เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้”
สมคิดเพื่อนสนิทโยนให้เป็นความผิดของอีกฝ่าย
“อ้าวๆ พูดงี้ได้ไง เอ็งนั่นแหละ แหม..สะแหลนหน้าออกไปก่อนข้าอีก”
สองหนุ่ม รปภ.คุยอะไรกันยุกยิกอยู่ครู่ใหญ่ เสียงกังวานใสเป็นเอกลักษณ์ก็ดังใกล้เข้ามาเหมือนจงใจให้ได้ยิน
“ค่ะ..แพรอยู่ที่บริษัทของคุณ พอดีเปลี่ยนใจอยากไปดูรถวันนี้เลย ไม่อยากให้คุณต้องลำบากย้อนกลับไปรับแพรอีกก็เลยมารอ”
สมศักดิ์ค่อยๆเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นหญิงสาวเดินคุยโทรศัพท์มาเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกรงใจคนที่นี่ แพรนั่งรอข้างล่างก็สบายดีอยู่แล้ว”
คราวนี้หญิงสาวทำท่าละล้าละลังเหลือบตามองพนักงานหนุ่มเป็นพักๆ
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ...ก็ได้ค่ะ”
สาวหุ่นเพรียวไม่เพียงมองมาทางพวกเขาแล้ว ทว่าเดินตรงเข้ามาพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้
“รบกวนนิดนึงนะคะ..พอดีคุณวินอยากคุยกับคุณสองคนน่ะค่ะ”
สมศักดิ์ทำท่าละล้าละลังเหมือนจะเกี่ยงให้สมคิดรับสาย สุดท้ายก็เป็นฝ่ายรับโทรศัพท์เสียเอง
“ครับคุณวิน..”
แพรวาได้ยินพนักงานคนนั้นคุยกับคนสนิทของหล่อนไม่อยู่ไม่กี่คำ ส่วนมากจะเป็นฝ่ายตอบรับและทำหน้าเหมือนกินอาหารผิดสำแดงในบางครั้ง เหมือนกับได้รับคำสั่งที่ฝืนใจ ลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ..เอางั้นหรอครับคุณวิน ดะ ได้ครับ”
นายสมศักดิ์ยื่นโทรศัพท์คืนให้แขกวีไอพีสาว ก่อนเชื้อเชิญ
“คุณวินให้คุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งรอในห้องทำงานครับ เชิญทางนี้ครับ”
แพรวาก้มศีรษะน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณ ไม่มีวี่แววสมน้ำหน้า หรือสะใจหลุดออกมาเลย
“ความจริงแพรเกรงใจนะคะ ทีหลังจะเช็คให้ดีก่อนว่าคุณวินอยู่รึเปล่า พวกคุณจะได้ไม่ลำบากใจ”
สมศักดิ์ได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตอนแรกหวั่นใจลึกๆ ว่าถ้าเจ้านายใหญ่ของเขารู้จะเกิดปัญหา ทว่าเห็นแบบนี้แล้ว คุณชโลทรก็คุณชโลทรเถิด...คงไม่ใจไม้ไส้ระกำกับหญิงสาวผู้อ่อนหวานเรียบร้อยคนนี้ได้ลงคอ
ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวผนึกวอลเปเปอร์สีฟ้าลายน้ำทะเล แพรวานั่งเอนหลังบนเก้าอี้เบาะหนังสีน้ำเงินเข้ม หล่อนกวาดสายตาสำรวจรายละเอียดไปรอบห้อง ด้านหลังโต๊ะทำงานมีตู้ไม้ขนาดใหม่ปิดกระจกเลื่อน ภายในบรรจุหนังสือและอุปกรณ์จำพวกวาดเขียนจำนวนมาก หล่อนไม่รู้หรอกว่าเกี่ยวกับงานของสถาปนิกหรืออะไร รู้แต่ว่าองค์ประกอบทุกอย่าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาให้โปร่งบาง สไตล์มีเอกลักษณ์
หญิงสาวมองหลายสิ่งในห้องด้วยความสนใจ ทว่ามาสะดุดตาอยู่กับแฟ้มปกหนังหนาเตอะบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่ากวินจะรีบร้อนขยันทำงานขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อสายนี่เอง
ความช่างสังเกตอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้หล่อนเปิดแฟ้มออกมาดู หน้าแรกเป็นกระดาษเอสี่สีขาวสอดอยู่ใต้พลาสติกใส กวาดสายตามองคร่าวๆหล่อนก็เห็นว่าเป็นรีซูเม่ หน้าประวัติแนะนำตัวพนักงาน ชื่อ และนามสกุล บรรทัดแรก ทำให้หล่อนต้องกระพริบตาถี่ๆ โฟกัสตัวอักษรให้แน่ใจอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
“นางสาวมุกดา วิจิตร อายุ 22 ปี ชื่อเล่น..ไข่มุก”
แพรวาอ่านทวนอยู่บรรทัดเดียวถึงสามครั้ง ความรู้สึกรุนแรงก็กระตุกวาบขึ้นในใจ หล่อนรีบเก็บรายละเอียดที่เหลือต่ออย่างรวดเร็ว พลิกดูหน้าถัดไปก็เป็นภาพถ่ายผลงานเกี่ยวกับการออกแบบจัดแต่งบ้าน ในลักษณะต่างๆ หน้าสุดท้ายแนบทรานสคริป หรือผลการเรียนตลอดสี่ปีการศึกษามาด้วย ถึงหน้านี้หญิงสาวยิ้มเย็นที่มุมปาก บอกความรู้สึกบางอย่าง..อาจหมายถึงความสมใจ
บรรยากาศในห้องสีสันสบายตากลับกลายเป็นอับทึบ เงียบงัน ไปพักใหญ่ อาคันตุกะสาวหลับตานิ่งนาน เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น นิลเนตรสีดำสนิทมีประกายวาบ หล่อนหันกลับไปสำรวจตู้กระจกด้านหลังโต๊ะทำงานอีกครั้ง นิตยสารแฟชั่นปึกใหญ่วางซ้อนกันอยู่ในมุมหนึ่ง สมองสั่งการรวดเร็ว...
แพรวาก้มลงมองแฟ้มงานในมืออีกครั้ง..ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสมใจ
คืนนั้นกวินกลับมาที่ห้องทำงานของเขาอีกครั้ง หลังจากไปช่วยเพื่อนสาวเลือกรถ ต่อด้วยดินเนอร์
ในภัตตาคารหรูย่านสุขุมวิท แล้วพาแพรวาไปส่งที่คอนโดของหล่อน อันที่จริงเขาตั้งใจจะขับรถกลับเข้าบ้าน แต่ระหว่างนั่งทอดอารมณ์รอการจราจรติดขัด ความทรงจำในตอนเที่ยงวันก็ผุดขึ้นมา..เขาลืมพอร์ตฟอริโอ้ของเด็กสาวผู้มีโชคชะตาน่าสงสารคนนั้น
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องสงสาร รู้เพียงแต่ว่าความสงสารนำพาเขาให้ขับรถย้อนกลับมายังบริษัทที่เขากำลังจะได้เป็นเจ้าของเต็มตัว ความสงสารลากจูงเขาให้ผลักประตูเข้ามาในห้องซึ่งเคยเป็นของมารดา
ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ไฟในห้องถูกเปิดสว่างตัดกับท้องฟ้ามืดสนิทนอกหน้าต่างกรุกระจกหลังห้อง แล้วเขาก็บรรจงเปิด..บรรจงอ่าน ค่อยๆพิจารณาทุกอย่างในแฟ้มปกหนังสีขาวเล่มนั้น ด้วยคิดว่าจะหาวิธีช่วยเจ้าของแฟ้มอย่างไรดี เพื่อให้ได้งาน และไม่ต้องถูกแม่ของเขากีดกัน
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอสิ่งนี้..สิ่งที่เขาปรารถนา และเฝ้านึกถึงอยู่เกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมา แล้วก็เป็นเรื่องไม่คาดคิด...ว่าเขาจะได้พบเจอกับความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน!
“พี่ลิน..พี่ลินว่าไข่มุกจะได้งานมั้ย”
มุกดาถามพี่สาวด้วยความร้อนใจพลางเขย่าแขนไพลินอย่างลืมตัว คุณครูสาวเจ้าระเบียบต้องตวัดสายตาดุคมใต้แว่นกรอบดำหนาเตอะเป็นเชิงเตือน
“ยายไข่มุก..พี่ตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ ต้องใช้สมาธิ” ไพลินเอ่ยเสียงเรียบทว่าจริงจัง
“ก็ไข่มุกเครียดนี่ ดูซิตั้งสองวันแล้ว ไม่เห็นมีใครโทรมาหาเลย แปลว่าเค้าไม่รับแล้วใช่มั้ยอะพี่ลิน” มุกดาบอกเสียงอ่อย ท่าทางหงอยซึมทำให้ไพลินไม่กล้าเอ็ดน้องสาวต่อ
“ถ้าเชื่อมั่นว่าผลงานเราดี เราเป็นคนมีความสามารถ เดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาเองนั่นแหละ” หล่อนได้แต่นึกคำปลอบใจเท่าที่จะทำได้
“ข้อนั้นน่ะไข่มุกมั่นใจล้านเปอร์เซ็น..ผลงานไข่มุกไม่เป็นรองใคร”
หญิงสองกอดอกเชิดคอ เชื่อมั่นกว่าท่าทางเมื่อครู่เหมือนเป็นคนละคน จนไพลินอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาขยุกขยิกปากกาทำหน้าที่ครู ตรวจการบ้านกองโตต่อไป
“แล้วผลการเรียนล่ะ..แน่ใจเหรอไม่เป็นรองใคร” เสียงยียวนเจ้าเก่าตะโกนทะลุกลางปล้องเข้ามา
“ไม่เป็นรองที่โหล่ล่ะสิไม่ว่า ฮ่าๆ”
มุกดาหันขวับไปทำตาเขียวใส่พี่สาวหน้ากลมที่เดินถือขนมมาเต็มสองมือ ปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยๆ
“นี่เพ..หยุดแขวะเค้าสักวันจะเป็นอะไรมั้ย”
เพทายทำเดินลอยหน้า เหมือนไม่ได้ยิน ก่อนจะลงไปนั่งขัดสมาธิข้างกายพี่สาวอีกคน ขนมที่ถืออยู่สองมือก็รวบไปถือไว้ในมือเดียว มือที่ว่างอยู่ก็หยิบสมุดบนโต๊ะขึ้นมาดูอย่างคนอยู่นิ่งไม่ได้
“โอ้โห..นี่กลอนสุภาพ หรือกลอนกักขฬะวะเนี่ย ฮาเป็นบ้าเลย”
“ยายเพ..วางลงเดี๋ยวนี้ ไม่มีมารยาท ดูซิ มือก็เลอะขนม วางเดี๋ยวนี้เลย”
ไพลินเอ็ดเสียงเข้ม พร้อมกับตีเผียะลงไปที่มือซุกซนของน้องสาว เสียงร้องโอดโอยลากยาวตามมาติดๆ
“โหดจังนะ..เจ้ระเบียบ” เพทายย่นจมูกใส่ก่อนจะรีบกระถดตัวหนี “ไปก็ด้ะ..เฮ้อ คนนี้ก็โหด คนนั้นก็เห่ย..แบร่ๆ”
ไม่ทันจะต่อว่าต่อขานอะไร เจ้าตัวก็วิ่งปู๊ดกระโดกกระเดกขึ้นบันไดหายวับ ไพลินได้แต่ฮึ่มฮั่มในลำคอ พยายามสูดลมหายใจเข้าออกทำสมาธิใหม่อีกคำรบ
“กรี๊ดดด..”
เสียงแผดร้องมาพร้อมกับคนตัวบางกระโดดโลดเต้นค้ำหัวอยู่เบื้องบน ไพลินสัญญากับตัวเองในตอนนั้น..หล่อนต้องหาโต๊ะตัวสูงกว่านี้ กับเก้าอี้ไว้นั่งทำงานคงจะปลอดภัยขึ้น
“เค้ารับหนูแล้วพี่ลิน เค้ารับไข่มุกเข้าทำงานแล้ว เย้ๆ”
เมื่อเห็นพี่สาวขยับแว่นลอดสายตามองด้วยความฉงน มุกดาจึงรีบอธิบายต่อด้วยความตื่นเต้น
“ทางบริษัทเค้าโทรมาเมื่อกี้ บอกให้ไข่มุกไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้”
“อืม..ดีใจด้วยจ้ะ..แต่ทีหลังไม่ต้องกระโดดเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้ก็ได้”
ไพลินเอ็ดไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่หล่อนก็แอบดีใจไปกับน้องสาว
“คนโทรมาเสียงดุมากเลยนะ เป็นผู้ชาย..น่าจะยังหนุ่มๆอยู่นี่แหละ แต่ดุชะมัดเลย”
“เขาดุเราว่าอะไรล่ะ” ไพลินถาม
“ก็กำชับอยู่นั่นแหละว่าให้ไข่มุกไปคนเดียว ไปตัวเปล่า ไม่ต้องเอาอะไรไป..แล้วก็ไม่ต้องเอาใครไปด้วย”
“เฮ้อ..ดีจ๊าย ดีใจ มาพอดีเวลาจริงๆเลยจ้ะพ่อรูปหล่อ” แววอรุณโพล่งออกมาพร้อมชูมือสองข้างทำท่าจะเข้าไปสวมกอดผู้มาใหม่ แต่เจ้าตัวก็ไวพอกัน เบี่ยงหลบความปรารถนาดีนั้นได้ทัน
“คิดถึงผมใช่มั้ยล่า เจ้แวว” กวินเอ่ยทีเล่นทีจริง
“อันนั้นล่ะแน่นอนค่ะ แต่อิชั้นโล่งใจซะมากกว่า”
“โล่งใจ?” หนุ่มตาหวานเลิกคิ้วสงสัย “เรื่องอะไรครับเจ้”
แววอรุณได้ทีจิกปาก พ่นลมหายใจยาว
“ก็จะอาร้าย..บอกตามตรงนะคะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอเด็กที่ไหนดราม่าเท่ายายหน้าจืดคนนั้นเลย”
คำอธิบายของ “เจ้แวว” ทำให้ชายหนุ่มมึนงงเข้าไปใหญ่
“เด็กหน้าจืด..ดราม่า?”
“โอ๊ยๆๆๆ” แววอรุณไล่เสียงจากต่ำไปสูงราวกับทำเมโลดี้ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ข้างหนึ่งยกขึ้นโบกกรีดกรายห้านิ้ว แหวนเพชรซึ่งไม่รู้จริงหรือเก๊พากันเล่นแสงวิบวับกระแทกตาชายหนุ่มจนต้องกระพริบตาปรับโฟกัสถี่ๆ
“สิบปีที่แล้วเป็นยังง้าย ตอนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ เล่นเกมยี่สิบคำถามกับเจ้อีกแล้ว” เลขาท่าสวยเม้มปากอย่างนึกหมั่นเขี้ยว “เครื่องหมายเควชชั่นมาร์คขึ้นเต็มหน้าเจ้เลยค่ะ”
“แหม เพิ่งสองคำถามเองครับเจ้..ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆนี่ครับ ว่าทำไม..”
คุณเจ้ของกวินถึงกับต้องรีบยกมือเบรก
“พอเถอะค่ะ เจ้กำลังจะอธิบายให้ฟังอยู่แล้วพ่อทูนหัว ใจเย็นๆ”
กวินยิ้มขันท่าทางของแววอรุณพลางพยักหน้าหงึกหงักรอฟังคำอธิบาย
“ก็นี่น่ะค่ะ คุณวินต้องรับผิดชอบแทนเจ้ด้วย” แววอรุณหยิบแฟ้มเอกสารปกหนังสีขาวบนโต๊ะประจำตำแหน่งขึ้นมาโชว์ “อย่าให้เจ้ต้องลำบากเผชิญหน้ากับคุณนายแม่ท่านเลยนะคะ เจ้ยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร”
กวินรับแฟ้มนั้นมาถือไว้ ฉลาดพอจะยับยั้งคำถามไว้ในลำคอ เพราะรู้ว่าประเดี๋ยวเจ้แววต้องเล่าให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก
“มีเด็กผู้หญิงมาสมัครงานตำแหน่งมัณฑนากรค่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่ว่าสวยไม่เท่าเจ้หรอกค่ะ”
กวินยิ้มมุมปาก หัวเราะเบาๆก่อนเอ่ย
“ก็ดีสิครับ เด็กผู้หญิงหน้าตาสวยๆ บริษัทเราจะได้สดชื่นมีชีวิตชีวา นี่ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาเจอแต่พนักงานผู้ชาย ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงเขาไปหลบมุมอยู่ตรงไหนกันหมด” กวินยังมีอารมณ์นึกสนุกแกล้งเย้าเลขาคนเคยคุ้นต่อ “ที่ว่าเด็กน่ะ..เด็กแค่ไหนครับ บรรลุนิติภาวะหรือยัง ถ้าซักสิบเจ็ดสิบแปดก็คงกำลังดี”
“กำลังดีอะไรคะคุณวิน แหม..แตกเนื้อหนุ่มไม่ทันไร แววคุณพ่อเริ่มออกลายเลยเชียว นี่แน่ะ” แววอรุณประทับฝ่ามือดังเผียะลงบนบ่าผึ่งผายเป็นเชิงหยอกล้อ “หมั่นไส้จริงๆ”
“ผมล้อเล่นน่าเจ้แวว” ถึงจะบอกไปอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกทำตากรุ้มกริ่มหัวเราะเสียงหล่อ ไม่รู้เสียบ้างเลย ว่าทำเอาหัวใจสาวประเภทสองอย่างเจ้ละลายแล้วละลายอีก
“ว่าแต่ ผมยังไม่เห็นปัญหาน่าหนักใจตรงไหน ก็แค่ผู้หญิงคนนึงมาสมัครงาน”
“เฮ้อ..นั่นแหละตัวปัญหาค่ะ แล้วไอ้ที่คุณวินไม่เห็นพนักงานผู้หญิงน่ะก็ขอบอก ตั้งแต่คุณบินไปเมกา คุณวิสุทธิ์ก็เจ้าชู้ได้เจ้าชู้ดี กะลิ้มกะเหลี่ยเด็กเอ๊าะเกือบทุกแผนกจนคุณนายแม่เธอทนไม่ไหว ไล่สาวๆพวกนั้นออกไปหมด แถมยังเข้ามานั่งตำแหน่งประธานบริษัทอีกคน คุมคุณวิสุทธิ์แจเลยค่ะ”
“จริงเหรอเจ้ ผมไม่ยักรู้”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววประหลาดใจของจริง แววอรุณเลยอธิบายต่อเครียด
“โถ คุณวินจะไปรู้อะไร เรียนพิเศษอยู่กับบ้านทั้งวัน มาบริษัทซักกี่ครั้งกันเชียว พบปะหน้าตาผู้คนกันซักกี่มากน้อย มีแต่แววเนี่ยแหละต้องเทียวรับเทียวส่ง ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงของคุณวิน แถมยังต้องมานั่งเป็นเลขาหน้าห้องให้คุณนายแม่ของคุณอีก ปวดเศียรเวียนเกล้าสุดๆค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
“อืม..จะทำยังไงล่ะครับเนี่ย ฟังรูปการแล้วเด็กคนนี้ไม่น่าผ่าน”
“ก็ไม่ผ่านล้านเปอร์เซ็นอยู่แล้ว เจ้ตั้งใจจะไล่ไปให้พ้นหูพ้นตา แต่แม่นี่ดันมาต่อมน้ำตาแตกกลางบริษัท คนมองกันใหญ่ สดๆร้อนๆ ไม่กี่นาทีนี่เองค่ะ สวนกับคุณวินรึเปล่าก็ไม่รู้”
แววอรุณถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนทำใจเล่าต่อ
“ร้องห่มร้องไห้ ยัดเยียดไอ้แฟ้มปึกนี่มาให้แวว บอกว่าเป็นพอร์ตฟอริโอ้ ผลงานที่หล่อนคิดว่าเลิศสุดๆ โอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ต่อให้หล่อนเคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศคุณนายก็ไม่แลหรอก อยากเกิดมาเป็นผู้หญิง แถมยังสวย..หึ..น้อยกว่าเจ้หน่อยนึง” เลขาคนเก่งพยายามกัดฟันสุดฤทธิ์ ทว่าก็อดยอมรับความจริงที่สายตาตนเองเห็นไม่ได้
“เจ้แววรู้ว่าคุณแม่ไม่ยอมรับแน่ๆ แต่ไม่อยากถูกบ่น ก็เลยจะให้ผมไปเจรจาแทนใช่มั้ยครับ”
กวินเริ่มเดาใจเลขาคนสนิทออก
“อย่าเรียกว่าบ่นเลยค่ะ อาจจะหูชาไปสามวันเจ็ดวัน หนักกว่านั้นอาจโดนตัดเงินเดือน ข้อหาไม่รู้จักจำ”
“ไม่รู้จักจำ?”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขัน
“ไม่รู้จักจำกฎเหล็กของคุณนายน่ะสิคะ ข้อที่หนึ่งไม่รับผู้หญิง ข้อที่สองไม่รับผู้หญิง และจะข้อไหนก็ไม่รับผู้หญิง..โดยเฉพาะผู้หญิง..”
“สวย” กวินช่วยต่อให้อย่างรู้แกว
“ถูกค่ะ รู้หยั่งงี้แล้ว คุณวินจะเมตตาและเห็นใจเลขานุการร่างบอบบางคนนี้รึยังคะ”
หนุ่มตาหวานถึงกับระเบิดหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ แววอรุณเลยสะบัดหน้าบึ้งตึงทำเสียงไม่สบอารมณ์ในลำคอ
“อ่ะ..ล้อเล่น อย่าเพิ่งงอนผมสิครับคนสวย” กวินรีบเข้าไปลูบหลังลูบไหล่คุณเลขาตามประสาหนุ่มขี้อ้อน
“ไม่ต้องมาตบหัวแล้วลูบหลังเจ้เลยนะ..รีบๆเปิดดูเถอะ แม่หน้าจืดเค้าอุตส่าห์เสียน้ำตาถวายมาให้ ดูเสร็จก็ไปคุยให้เจ้ด้วย”
“อะไรกันผมเพิ่งกลับมาถึงก็จะใช้งานซะละ”
“ใครจะไปกล้าใช้ลูกชายหัวแก้วของคุณนายชโลทรล่ะคะ แต่ว่ามันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
“โอเคๆ เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้เอง แต่ว่าตอนนี้หิวแล้วอ้ะ” กวินว่าพลางลูบท้องให้รู้ว่าเขาพูดจริง “ท้องร้องจ๊อกๆแล้ว เจ้ไม่ได้ยินเหรอ พาผมไปกินข้าวก่อน เอาร้านเดิม เมนูเดิม ผมรู้ว่าเจ้ยังจำได้”
รอยหยักของริมฝีปากสวยฉบับผู้ชายทำให้แววอรุณต้องยอมโอนอ่อนตามใจเขาจนได้
“จริงๆเลยนะคุณวินเนี่ย”
พอดีกับเด็กเดินเอกสารคนหนึ่งเดินหอบงานมาส่ง คุณเลขาจึงฝากแฟ้มงานตัวปัญหาเข้าไปรอการพิจารณาในห้องด้านหลัง
“สมชายเอาแฟ้มนี่ไปเก็บในห้องทำงานคุณวินที วางไว้บนโต๊ะนะ”
เด็กหนุ่มโค้งศีรษะรับแฟ้มไปถือ ก่อนจะรีบเดินอ้อมไปยังห้องดังกล่าวอย่างรู้งาน
“ห้องทำงาน?”
“ค่ะ..คุณชโลทรจัดสรรไว้ให้แล้ว ห้องนี้ล่ะ ทันทีที่คุณวินมาถึง หน้าที่ทั้งหมดท่านจะถ่ายโอนให้ รวมถึง..” แววอรุณทำปากเบะอย่างนึกเหนื่อยใจแทนชายหนุ่ม
“หน้าที่เฝ้าคุณวิสุทธิ์..รายงานพฤติกรรมส่อพิรุธทันที่สงสัย!”
รถแท็กซี่คันใหม่เอี่ยมเคลื่อนมาจอดเทียบทางเดินยกระดับหน้าอาคารรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ประตูฝั่งผู้โดยสารถูกผลักออกมาพร้อมกับเรียวขาเพรียวยาว หญิงสาวในชุดแส็คสีม่วงพาสเทลยาวถึงเข่า เรียกความสนใจให้กับรปภ.หน้าประตูกระจกได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากท่าทางกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือกระเป๋าเดินทาง ใบหนึ่งมีล้อลาก อีกใบหนึ่งมีสายคล้องไว้สะพายบนบ่า
ดวงตารูปหงส์ใต้แว่นกันแดดสีชาทอดมองดอกกุหลาบสีขาวสองข้างทางระหว่างที่เดินเข้าสู่ตัวอาคาร ประกายตาแรงกล้าถูกซ่อนไว้มิดชิด กระแสบางอย่างที่หากชายฉกรรจ์สองคนได้มีโอกาสเห็นจะต้องรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่น้อยเลยทีเดียว เดินนำมาถึงจุดรับรองแขกชั้นล่าง ชายสองคนผายมือ โค้งศีรษะเชื้อเชิญให้สตรีผู้มาเยือนนั่งรอบนชุดโซฟาหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“คุณผู้หญิงเป็นแขกของคุณชโลทรหรือครับ”
แพรวายิ้มเก๋ ริมฝีปากอวบอิ่มกับลิปสติกสีชมพูนู้ดเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้เพศตรงข้ามต้องมองเคลิ้ม แทบไม่อยากละสายตา
“อ้อ..คุณนายแม่หรือคะ” หล่อนบอกอย่างสนิทสนม แต่น้ำเสียงก็ฟังดูเรียบร้อย อ่อนน้อม ไม่แสดงกิริยาออกนอกหน้าจนเกินงาม “ไม่ใช่หรอกค่ะ..ดิฉันเป็นแขกของคุณวิน แต่ก็ตั้งใจจะเอาของฝากมาให้คุณนายแม่ท่านด้วย”
“ผู้หญิงอะไรสวยทั้งรูป หวานทั้งเสียงเลยว่ะ” สมศักดิ์หันไปบอกเพื่อนซี้ด้วยระดับเสียงที่พอจะได้ยินกันเงียบๆ
“คุณวินทำงานอยู่รึเปล่าคะ” แพรวาถามเสียงเกรงใจ “หวังว่าดิฉันคงไม่ได้มารบกวน”
“เอ่อ คือคุณกวินเพิ่งออกไปข้างนอกกับคุณแวว เลขาคุณชโลทรเมื่อครู่นี้เองครับ”
หญิงสาวสังเกตได้ชัดว่านัยน์ตาของสองหนุ่มดูมีแววกังวลใจซ่อนอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันนั่งรอตรงนี้เอง”
รปภ.หนุ่มสองคนมองหน้ากันเลิ่กลัก จนแพรวาเริ่มรู้สึกอึดอัดปนรำคาญ ทว่าหล่อนก็เก็บอารมณ์นั้นไว้อย่างเงียบเชียบ
“ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกว่ะ แต่จะมั่นใจได้ไงว่าเป็นคนสนิทคุณกวินจริง”
สมศักดิ์เดินหันหลังออกมากระซิบถามเพื่อนคู่หูหลังจากบอกให้แขกสาวสวยพริ้งนั่งรอไปพลางๆก่อน
“ก็คงสนิทอยู่มั้ง เห็นเรียกคุณชโลทรว่าคุณนายแม่ ถ้าไม่สนิทกับนายน้อยจริง ไม่เรียกนายใหญ่เราแบบนั้นหรอก”
“เอ็งอย่ามั้งสิวะไอ้คิด ถ้าคุณผู้หญิงคนนั้นเค้าโกหกเราล่ะซวยเลย นี่ใกล้เวลาท่านประธานกำลังจะเข้าบริษัทแล้ว เห็นผู้หญิงสาวสวยเสน่ห์แรงนั่งอยู่ พวกเราเละแน่”
“ไหนๆก็พาเค้ามาถึงในนี้แล้ว เลยตามเลยเหอะว่ะ”
สมศักดิ์พยายามปลอบใจตัวเอง
“เอ็งนี่ตลอดเลย..เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้”
สมคิดเพื่อนสนิทโยนให้เป็นความผิดของอีกฝ่าย
“อ้าวๆ พูดงี้ได้ไง เอ็งนั่นแหละ แหม..สะแหลนหน้าออกไปก่อนข้าอีก”
สองหนุ่ม รปภ.คุยอะไรกันยุกยิกอยู่ครู่ใหญ่ เสียงกังวานใสเป็นเอกลักษณ์ก็ดังใกล้เข้ามาเหมือนจงใจให้ได้ยิน
“ค่ะ..แพรอยู่ที่บริษัทของคุณ พอดีเปลี่ยนใจอยากไปดูรถวันนี้เลย ไม่อยากให้คุณต้องลำบากย้อนกลับไปรับแพรอีกก็เลยมารอ”
สมศักดิ์ค่อยๆเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นหญิงสาวเดินคุยโทรศัพท์มาเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เกรงใจคนที่นี่ แพรนั่งรอข้างล่างก็สบายดีอยู่แล้ว”
คราวนี้หญิงสาวทำท่าละล้าละลังเหลือบตามองพนักงานหนุ่มเป็นพักๆ
“เอาอย่างนั้นเหรอคะ...ก็ได้ค่ะ”
สาวหุ่นเพรียวไม่เพียงมองมาทางพวกเขาแล้ว ทว่าเดินตรงเข้ามาพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้
“รบกวนนิดนึงนะคะ..พอดีคุณวินอยากคุยกับคุณสองคนน่ะค่ะ”
สมศักดิ์ทำท่าละล้าละลังเหมือนจะเกี่ยงให้สมคิดรับสาย สุดท้ายก็เป็นฝ่ายรับโทรศัพท์เสียเอง
“ครับคุณวิน..”
แพรวาได้ยินพนักงานคนนั้นคุยกับคนสนิทของหล่อนไม่อยู่ไม่กี่คำ ส่วนมากจะเป็นฝ่ายตอบรับและทำหน้าเหมือนกินอาหารผิดสำแดงในบางครั้ง เหมือนกับได้รับคำสั่งที่ฝืนใจ ลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“เอ่อ..เอางั้นหรอครับคุณวิน ดะ ได้ครับ”
นายสมศักดิ์ยื่นโทรศัพท์คืนให้แขกวีไอพีสาว ก่อนเชื้อเชิญ
“คุณวินให้คุณผู้หญิงขึ้นไปนั่งรอในห้องทำงานครับ เชิญทางนี้ครับ”
แพรวาก้มศีรษะน้อยๆเป็นเชิงขอบคุณ ไม่มีวี่แววสมน้ำหน้า หรือสะใจหลุดออกมาเลย
“ความจริงแพรเกรงใจนะคะ ทีหลังจะเช็คให้ดีก่อนว่าคุณวินอยู่รึเปล่า พวกคุณจะได้ไม่ลำบากใจ”
สมศักดิ์ได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตอนแรกหวั่นใจลึกๆ ว่าถ้าเจ้านายใหญ่ของเขารู้จะเกิดปัญหา ทว่าเห็นแบบนี้แล้ว คุณชโลทรก็คุณชโลทรเถิด...คงไม่ใจไม้ไส้ระกำกับหญิงสาวผู้อ่อนหวานเรียบร้อยคนนี้ได้ลงคอ
ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวผนึกวอลเปเปอร์สีฟ้าลายน้ำทะเล แพรวานั่งเอนหลังบนเก้าอี้เบาะหนังสีน้ำเงินเข้ม หล่อนกวาดสายตาสำรวจรายละเอียดไปรอบห้อง ด้านหลังโต๊ะทำงานมีตู้ไม้ขนาดใหม่ปิดกระจกเลื่อน ภายในบรรจุหนังสือและอุปกรณ์จำพวกวาดเขียนจำนวนมาก หล่อนไม่รู้หรอกว่าเกี่ยวกับงานของสถาปนิกหรืออะไร รู้แต่ว่าองค์ประกอบทุกอย่าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาให้โปร่งบาง สไตล์มีเอกลักษณ์
หญิงสาวมองหลายสิ่งในห้องด้วยความสนใจ ทว่ามาสะดุดตาอยู่กับแฟ้มปกหนังหนาเตอะบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่ากวินจะรีบร้อนขยันทำงานขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อสายนี่เอง
ความช่างสังเกตอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้หล่อนเปิดแฟ้มออกมาดู หน้าแรกเป็นกระดาษเอสี่สีขาวสอดอยู่ใต้พลาสติกใส กวาดสายตามองคร่าวๆหล่อนก็เห็นว่าเป็นรีซูเม่ หน้าประวัติแนะนำตัวพนักงาน ชื่อ และนามสกุล บรรทัดแรก ทำให้หล่อนต้องกระพริบตาถี่ๆ โฟกัสตัวอักษรให้แน่ใจอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด
“นางสาวมุกดา วิจิตร อายุ 22 ปี ชื่อเล่น..ไข่มุก”
แพรวาอ่านทวนอยู่บรรทัดเดียวถึงสามครั้ง ความรู้สึกรุนแรงก็กระตุกวาบขึ้นในใจ หล่อนรีบเก็บรายละเอียดที่เหลือต่ออย่างรวดเร็ว พลิกดูหน้าถัดไปก็เป็นภาพถ่ายผลงานเกี่ยวกับการออกแบบจัดแต่งบ้าน ในลักษณะต่างๆ หน้าสุดท้ายแนบทรานสคริป หรือผลการเรียนตลอดสี่ปีการศึกษามาด้วย ถึงหน้านี้หญิงสาวยิ้มเย็นที่มุมปาก บอกความรู้สึกบางอย่าง..อาจหมายถึงความสมใจ
บรรยากาศในห้องสีสันสบายตากลับกลายเป็นอับทึบ เงียบงัน ไปพักใหญ่ อาคันตุกะสาวหลับตานิ่งนาน เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น นิลเนตรสีดำสนิทมีประกายวาบ หล่อนหันกลับไปสำรวจตู้กระจกด้านหลังโต๊ะทำงานอีกครั้ง นิตยสารแฟชั่นปึกใหญ่วางซ้อนกันอยู่ในมุมหนึ่ง สมองสั่งการรวดเร็ว...
แพรวาก้มลงมองแฟ้มงานในมืออีกครั้ง..ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสมใจ
คืนนั้นกวินกลับมาที่ห้องทำงานของเขาอีกครั้ง หลังจากไปช่วยเพื่อนสาวเลือกรถ ต่อด้วยดินเนอร์
ในภัตตาคารหรูย่านสุขุมวิท แล้วพาแพรวาไปส่งที่คอนโดของหล่อน อันที่จริงเขาตั้งใจจะขับรถกลับเข้าบ้าน แต่ระหว่างนั่งทอดอารมณ์รอการจราจรติดขัด ความทรงจำในตอนเที่ยงวันก็ผุดขึ้นมา..เขาลืมพอร์ตฟอริโอ้ของเด็กสาวผู้มีโชคชะตาน่าสงสารคนนั้น
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องสงสาร รู้เพียงแต่ว่าความสงสารนำพาเขาให้ขับรถย้อนกลับมายังบริษัทที่เขากำลังจะได้เป็นเจ้าของเต็มตัว ความสงสารลากจูงเขาให้ผลักประตูเข้ามาในห้องซึ่งเคยเป็นของมารดา
ชายหนุ่มหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ไฟในห้องถูกเปิดสว่างตัดกับท้องฟ้ามืดสนิทนอกหน้าต่างกรุกระจกหลังห้อง แล้วเขาก็บรรจงเปิด..บรรจงอ่าน ค่อยๆพิจารณาทุกอย่างในแฟ้มปกหนังสีขาวเล่มนั้น ด้วยคิดว่าจะหาวิธีช่วยเจ้าของแฟ้มอย่างไรดี เพื่อให้ได้งาน และไม่ต้องถูกแม่ของเขากีดกัน
เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอสิ่งนี้..สิ่งที่เขาปรารถนา และเฝ้านึกถึงอยู่เกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมา แล้วก็เป็นเรื่องไม่คาดคิด...ว่าเขาจะได้พบเจอกับความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน!
“พี่ลิน..พี่ลินว่าไข่มุกจะได้งานมั้ย”
มุกดาถามพี่สาวด้วยความร้อนใจพลางเขย่าแขนไพลินอย่างลืมตัว คุณครูสาวเจ้าระเบียบต้องตวัดสายตาดุคมใต้แว่นกรอบดำหนาเตอะเป็นเชิงเตือน
“ยายไข่มุก..พี่ตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ ต้องใช้สมาธิ” ไพลินเอ่ยเสียงเรียบทว่าจริงจัง
“ก็ไข่มุกเครียดนี่ ดูซิตั้งสองวันแล้ว ไม่เห็นมีใครโทรมาหาเลย แปลว่าเค้าไม่รับแล้วใช่มั้ยอะพี่ลิน” มุกดาบอกเสียงอ่อย ท่าทางหงอยซึมทำให้ไพลินไม่กล้าเอ็ดน้องสาวต่อ
“ถ้าเชื่อมั่นว่าผลงานเราดี เราเป็นคนมีความสามารถ เดี๋ยวเขาก็ติดต่อมาเองนั่นแหละ” หล่อนได้แต่นึกคำปลอบใจเท่าที่จะทำได้
“ข้อนั้นน่ะไข่มุกมั่นใจล้านเปอร์เซ็น..ผลงานไข่มุกไม่เป็นรองใคร”
หญิงสองกอดอกเชิดคอ เชื่อมั่นกว่าท่าทางเมื่อครู่เหมือนเป็นคนละคน จนไพลินอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาขยุกขยิกปากกาทำหน้าที่ครู ตรวจการบ้านกองโตต่อไป
“แล้วผลการเรียนล่ะ..แน่ใจเหรอไม่เป็นรองใคร” เสียงยียวนเจ้าเก่าตะโกนทะลุกลางปล้องเข้ามา
“ไม่เป็นรองที่โหล่ล่ะสิไม่ว่า ฮ่าๆ”
มุกดาหันขวับไปทำตาเขียวใส่พี่สาวหน้ากลมที่เดินถือขนมมาเต็มสองมือ ปากก็ยังเคี้ยวตุ้ยๆ
“นี่เพ..หยุดแขวะเค้าสักวันจะเป็นอะไรมั้ย”
เพทายทำเดินลอยหน้า เหมือนไม่ได้ยิน ก่อนจะลงไปนั่งขัดสมาธิข้างกายพี่สาวอีกคน ขนมที่ถืออยู่สองมือก็รวบไปถือไว้ในมือเดียว มือที่ว่างอยู่ก็หยิบสมุดบนโต๊ะขึ้นมาดูอย่างคนอยู่นิ่งไม่ได้
“โอ้โห..นี่กลอนสุภาพ หรือกลอนกักขฬะวะเนี่ย ฮาเป็นบ้าเลย”
“ยายเพ..วางลงเดี๋ยวนี้ ไม่มีมารยาท ดูซิ มือก็เลอะขนม วางเดี๋ยวนี้เลย”
ไพลินเอ็ดเสียงเข้ม พร้อมกับตีเผียะลงไปที่มือซุกซนของน้องสาว เสียงร้องโอดโอยลากยาวตามมาติดๆ
“โหดจังนะ..เจ้ระเบียบ” เพทายย่นจมูกใส่ก่อนจะรีบกระถดตัวหนี “ไปก็ด้ะ..เฮ้อ คนนี้ก็โหด คนนั้นก็เห่ย..แบร่ๆ”
ไม่ทันจะต่อว่าต่อขานอะไร เจ้าตัวก็วิ่งปู๊ดกระโดกกระเดกขึ้นบันไดหายวับ ไพลินได้แต่ฮึ่มฮั่มในลำคอ พยายามสูดลมหายใจเข้าออกทำสมาธิใหม่อีกคำรบ
“กรี๊ดดด..”
เสียงแผดร้องมาพร้อมกับคนตัวบางกระโดดโลดเต้นค้ำหัวอยู่เบื้องบน ไพลินสัญญากับตัวเองในตอนนั้น..หล่อนต้องหาโต๊ะตัวสูงกว่านี้ กับเก้าอี้ไว้นั่งทำงานคงจะปลอดภัยขึ้น
“เค้ารับหนูแล้วพี่ลิน เค้ารับไข่มุกเข้าทำงานแล้ว เย้ๆ”
เมื่อเห็นพี่สาวขยับแว่นลอดสายตามองด้วยความฉงน มุกดาจึงรีบอธิบายต่อด้วยความตื่นเต้น
“ทางบริษัทเค้าโทรมาเมื่อกี้ บอกให้ไข่มุกไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้”
“อืม..ดีใจด้วยจ้ะ..แต่ทีหลังไม่ต้องกระโดดเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้ก็ได้”
ไพลินเอ็ดไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่หล่อนก็แอบดีใจไปกับน้องสาว
“คนโทรมาเสียงดุมากเลยนะ เป็นผู้ชาย..น่าจะยังหนุ่มๆอยู่นี่แหละ แต่ดุชะมัดเลย”
“เขาดุเราว่าอะไรล่ะ” ไพลินถาม
“ก็กำชับอยู่นั่นแหละว่าให้ไข่มุกไปคนเดียว ไปตัวเปล่า ไม่ต้องเอาอะไรไป..แล้วก็ไม่ต้องเอาใครไปด้วย”
ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2555, 18:18:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2555, 18:22:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 1845
<< กุหลาบสีขาวหางาน (ต่อ) | บทที่ ๕ ความทรงจำสีจาง >> |