เมียใหม่(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ใครที่ชอบตบแล้วจูบ จูบแล้วตบ พบกับเมียคนนี้ได้ ทั้งแรง ทั้งเหวี่ยง...เพื่อทวงความเป็นเมีย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4

เมื่อคุณปานระพีไปถึงร้านเสริมสวยเจ้าประจำ ซึ่งตั้งอยู่ในเป็นเอกเทศริมถนนย่านการค้า ผู้มาใช้บริการที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลมีชื่อเสียง ถ้าไม่มีคำขานเรียกต้นชื่อว่า ‘คุณหญิง’ หรือ ‘คุณนาย’ ก็จะต้องเป็นคนดังในวงสังคมต่างๆ ดังนั้นจึงไม่แปลก เมื่อสถานเสริมความงามแห่งนี้ กลายเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาภริยาผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงเข้ามาคบค้าสมาคมร่วมกัน

อย่างเช่นขณะนี้ ที่เจ้าของร้านกำลังวุ่นวายกับการดูแลเหล่าคุณหญิงทั้งสองท่าน ที่มาแต่งหน้าทำผม เพื่อจะไปออกงานราตรีสโมสรช่วงกลางคืน

ดังนั้นเมื่อคุณปานระพีเยี่ยมหน้าเข้าไป จึงกล่าวทักทายอย่างอ่อนน้อมแก่คุณหญิงทั้งสอง “สวัสดีค่ะคุณหญิงแม้น คุณหญิงรำไพ ไม่พบหน้ากันเสียนาน วันนี้เตรียมตัวจะไปออกงานที่ไหนกันคะ”

แม้ว่าคุณปานระพีจะมีศักดิ์มิใช่ดังภริยาผู้มียศคู่นั้น แต่ท่านก็มิได้วางตัวเฉกเช่นผู้ด้อยกว่าแต่อย่างใด ท่านกลับแสดงออกอย่างผู้มีพร้อมด้วยรูปเป็นทรัพย์ และมั่งมีด้วยทรัพย์

“อ้าว ดิฉันมองตั้งนาน แทบจะจำไม่ได้...ที่แท้ก็คุณนายปานนั่นเอง เป็นอย่างไรบ้างคะ ตั้งแต่เสร็จจากงานศพลูกชาย ก็ไม่เห็นหน้าค่าตาของคุณนายออกงานในวงสังคมสักที่...แล้วงานตอนเย็นวันนี้คุณนายปานไม่ได้รับบัตรเชิญหรอกหรือคะ เป็นงานที่คุณนายถนอมศรีเป็นแม่งานด้วยตัวเอง”

คุณหญิงแม้นพูดด้วยสีหน้าปรกติ ทว่าคำพูดนั้นสะกิดใจถึงสองเรื่อง...หนึ่งคือเรื่องลูกชายที่เสียชีวิต เมื่อมีใครกล่าวถึง ในอกมันก็เหมือนจะรุมๆคล้ายมีไข้ระทมอยู่ร่ำไป หนำซ้ำในเรื่องหลังเมื่อกล่าวถึงคุณนายถนอมศรี ให้รู้สึกว่าตนเองถูกมองข้าม

คุณนายถนอมศรีก็คือมารดาของหนูวาว หรือถวิกา หญิงสาวผู้ที่คุณปานระพีกับสามีเล็งเห็นว่าเหมาะสมจะเป็นสตรีคู่ชีวิตของป้อมปราบ จนเกิดการหมั้นไว้ก่อนหน้าการเสียชีวิตของป้อมปราบราวสามเดือน และยังมีกำหนดการแต่งงานตามฤกษ์มงคลในอีกไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ถ้าไม่เกิดเหตุเสียก่อน

กระนั้นเมื่อทราบความ ถึงการจัดงานรื่นเริง โดยมีคุณนายถนอมศรีเป็นโต้โผ จึงให้นึกว่าท่านไม่มีความสำคัญแล้วหรือไร ฝั่งโน้นถึงไม่กล่าวเชื้อเชิญกันบ้าง พานให้คิดว่าตัวท่านจะถูกตัดรอนในน้ำใจไมตรีไปด้วยหรือไม่

ยังไม่ทันตอบ คุณหญิงรำไพเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียก่อน “คุณพี่หญิงล่ะก็ ลูกชายคุณนายปานเพิ่งมาด่วนจากไปไม่พ้นอาทิตย์ด้วยซ้ำ ใครจะมีกะจิตกะใจไปงานรื่นเริงสังสรรค์กันอยู่อีกล่ะคะ”

คุณหญิงแม้น ผู้เป็นภริยาของท่านทูตจึงเออออห่อหมกไปตามเรื่องตารมราว “พี่ก็ลืมนึกไป ขอโทษทีนะคะคุณนายปาน”

คุณปานระพียิ้มตอบอย่างอ่อนหวานทั้งที่กล้ำกลืนฝืนความรู้สึกไม่น้อย ทักทายกับคุณหญิงทั้งสองท่านอีกเพียงเล็กน้อย จึงเดินอ้อมไปนั่งคอยยังชุดรับแขกริมกระจกห้องเล็ก ซึ่งทางร้านกั้นเอาไว้เป็นส่วนตัว

“ดิฉันคิดว่าจะไม่พบหน้าคุณนายปานแล้วซะอีก”

เจิมจิตผู้เป็นเจ้าของร้าน ละมือจากการเกล้าผมให้คุณหญิงแม้นชั่วคราว แล้วเข้ามาต้อนรับคุณปานระพีด้วยตนเอง ด้วยอัธยาศัยไมตรีก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนนั่นคือความช่างจ้อ ชอบพูด ชอบเล่า ในเมื่อตนมีเรื่องอยากซักถาม อยากบอกกล่าวแก่แขกผู้นี้ ความคันปากตามประสา จึงเปิดประเด็นตั้งแต่ก้นยังไม่ทันถึงที่นั่งดีด้วยซ้ำ
“คุณเจิมมีเรื่องอะไรจะพูด ก็พูดมาเถอะ”

คุณปานระพีสังเกตเห็นถึงท่าทางพิพักพิพ่วนของเจิมจิต ทำให้นึกอึดอัดไม่น้อย ผู้ถูกถามก็รอจังหวะพูดขึ้น หลังจากเด็กในร้านถือแก้วใสบรรจุน้ำผลไม้คั้นจากเสาวรส วางลงบนโต๊ะกลางเรียบร้อย

เจิมจิตป้องปาก ราวกับว่าจะมีใครแอบฟัง “จริงแล้ว ดิฉันก็ไม่อยากพูดนักหรอกค่ะ แต่ทีนี้เห็นว่าคุณนายเป็นคนกันเองกับทางร้าน มีอะไรดีๆก็มักจะนึกถึงดิฉันเสมอ”

“อย่าพูดวกวนให้ฉันฟังแล้วประสาทกลับหน่อยเลย นี่ฉันก็ตรงดิ่งมาที่ร้านคุณเจิมจิต ไม่ได้ไปแวะที่ไหน ก็อยากจะมาหาความสุขสบายใส่ตัว มีอะไรก็รีบเล่ามาเถอะ อย่ามัวพิรี้พิไรให้รำคาญใจกันเปล่าๆ”

ด้วยตะกอนยังตกค้างมาจากบ้าน เจิมจิตจึงถูกต่อว่ากลายๆ แต่เรื่องในปากมันยุบยิบเกินกว่าจะมาถือสาหาความกับลูกค้าผู้นี้ “คืออย่างนี้ ดิฉันได้ข่าวมาค่ะ ว่าคุณนายถนอมศรี จะจับหนูวาวหาคู่แต่งงานคนใหม่ค่ะ ที่อาสาเป็นแม่งานในคืนนี้ เห็นว่าเตรียมตัวจะเร่เอาลูกสาวมาใส่พาน ให้เป็นแม่รจนาเสี่ยงพวงมาลัย ยังไงยังงั้น”

“คุณเจิมจิตหมายความว่าทางนั้นจะหาผู้ชายคนใหม่มาดูตัวหนูวาวอย่างนั้นหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่หรอกค่ะ ในงานนี้เห็นว่าทางสามีคุณนายถนอมศรี ลงทุนเชิญบรรดาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย ที่ลูกชายยังอยู่เป็นโสดมากันทั้งนั้น ถ้าเป็นประเภทที่มีแต่ลูกสาว หรือลูกชายมีคุณลักษณะไม่เข้าตา เห็นว่าไม่ได้ส่งบัตรเชิญซะด้วยซ้ำ” เจิมจิตเล่าไป ชำเลืองไป และกล่าวถึงบุคคลที่อยู่ในร้านเมื่อครู่ด้วย “ลูกชายคุณหญิงแม้น กับคุณหญิงรำไพนั่นก็คงอยู่ในตัวเลือกเหมือนกันล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกเชิญ”

“คุณเจิมจิตอย่าพูดจาซี้ซั้วนะ ฉันไม่ชอบ”

ผู้กระจายข่าวยกมือขึ้นปิดปากตน “รับประกันเลยค่ะ ดิฉันไม่ใช่พวกปากหอยปากปู เอาข่าวโคมลอยมาพูดนักหรอกค่ะ ต้นตอของข่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คุณหญิงทั้งสองคนนั่นล่ะค่ะ ก่อนคุณนายปานจะมา ท่านคุยโว อวดลูกชายแข่งกันซะยกใหญ่ นัยว่าอยากจะดองกับตระกูลหนูวาวเต็มแก่ ดิฉันไม่ได้แกล้งว่านะคะ เดี๋ยวจะหาว่ามานินทาลูกค้าตนเอง...ลองถ้าคุณหญิงสองคนนั้น ไม่ได้บารมีสามีมาค้ำชูล่ะก็ ดิฉันเห็นว่าจะสุกใสเฉพาะแต่ข้างนอก ส่วนข้างในก็เป็นโพรงกลวง เทียบกับทางคุณนายปานไม่ติดสักกระพี้เดียว พอได้ยินแบบนี้มันก็อดคันปากไม่ได้ นึกแล้วก็เสียดายแทนนะคะ ดิฉันว่าคนที่เหมาะกับหนูวาวไม่มีใครเกิน เห็นจะมีแต่คุณป้อมคนเดียว ไม่น่าอายุสั้นเลยเชียว”

ท้ายประโยคเจิมจิตพูดเสียงอ่อน หน้าตาละห้อย นึกเสียดายอย่างปากพูด ไม่มีเสแสร้ง มันยิ่งทำให้คุณปานระพีนึกคล้อยไปตามคำ เสียดายในตัวถวิกาขึ้นมาจับใจ

เจิมจิตขอตัวไปทำผมให้คุณหญิงทั้งสองท่านต่อ ปล่อยให้คุณปานระพีนั่งอ่านนิตยสารไปพลาง เนื่องจากลูกค้าในร้านมีพอสมควร จึงจำเป็นต้องนั่งคอย แต่ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ผู้ที่เป็นแม่งานในคืนนี้ก็โผล่หน้าเข้ามายังส่วนนั่งเล่น ตรงมุมที่คุณปานระพีกำลังนั่ง พอเงยหน้าเห็นกันอย่างจัง ดูเหมือนความกินแหนงแคลงใจเล็กๆ ไม่อาจจะกลบได้มิด

จึงทักกันอย่างเสียไม่ได้!

........................................................

คุณนายถนอมศรีในชุดผ้าไหมไทยสีเขียวตองเดินดิ้นทอง ดูภูมิฐานไม่ด้อยไปกว่าคุณปานระพี ต่างกันตรงที่รูปร่างของฝ่ายแรกหุ่นเจ้าเนื้อกว่า น้ำหนักตัวขึ้นเอาๆในช่วงสี่ห้าปีหลัง จนเสื้อผ้าชุดเก่าๆท่านต้องโละทิ้ง แล้วตัดใหม่...แต่กระนั้นก็ยังเลือกเสื้อผ้าได้สมวัย รวมถึงเครื่องประดับอาภรณ์ครบครัน ไม่มีน้อยหน้าใคร

เมื่อผู้มาใหม่ไม่ได้ด้อยฐานะไปกว่ากัน แถมยังได้บารมีของสามีซึ่งในอดีตเคยติดโผตำแหน่งทางการเมือง ควบไปกับความมั่งมีของธุรกิจห้างสรรพสินค้าขายปลีกขนาดใหญ่ จนผู้อยู่ในวงสังคมยกย่องให้เป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์และศักยภาพสูงสุด ถึงกับมีนักหนังสือพิมพ์ ขนานนามท่านหลายชื่อดังว่า ‘ท่านรองฯ’ บ้างก็ ‘นายห้าง’

ชื่อแรกที่เรียกขานก็มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอดีต เป็นถึงรัฐมนตรีผู้ช่วยกระทรวงสำคัญในรัฐบาล แม้จะเป็นเพียงปีเดียว ก็มีเหตุให้ท่านเบื่อหน่าย และขอลาออกเองเสียก่อน...ส่วนตำแหน่งหลัง ก็เป็นชื่อที่เรียกขานมาจากการเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ของห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางกรุง

แต่ชื่อที่ท่านถูกเรียกติดปากมากที่สุด และเห็นจะชอบใจกว่าชื่ออื่นๆก็คือ ‘เจ้าสัวอเนก’

จึงไม่แปลกที่คุณนายถนอมศรีจะถือยศถือตัว ท่านเข้าไปนั่งยังเบาะสีครีมซึ่งตรงกันข้ามกับคุณปานระพี ยิ้มบางๆพอเป็นพิธี อีกทั้งดูประหยัดคำทักทาย ราวกับว่ารู้จักกันเพียงผิวเผิน ทั้งที่แต่ก่อนหน้าไม่นาน ลูกสาวกับลูกชายทั้งสองฝั่ง เกือบจะดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้ว

“มานานแล้วหรือคะ”

คำพูดสั้นๆจากผู้ทักทาย ทำให้คุณปานระพีนั่งตัวแข็งก็จริง แต่ก็ฝืนยิ้มและชวนคุยปรกติ เสมือนไม่เคยเกิดความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน

“มาก่อนหน้าคุณพี่สักครู่เดียวค่ะ ตั้งใจว่าจะมาทำผมเสียใหม่ ของเดิมที่เกล้าไว้เองหลวมๆมันก็ไม่ได้ทรงเท่าไหร่นัก แล้วคุณพี่ล่ะคะ วันนี้แวะมาที่ร้านคุณเจิมจิตแต่วัน...จะไปออกงานที่ไหนหรือเปล่าคะ”

คุณปานระพีแสร้งทำไม่รู้ความ มีจุดมุ่งหวังคือลองใจอีกฝ่าย ต้องการดูเจตนาว่าคุณนายถนอมศรี แท้จริงต้องการปิดบังเรื่องงานราตรีสโมสรในคืนนี้ หรือเป็นด้วยเหตุผลอื่นกันแน่

แล้วความจริงก็กระจ่างแก่ใจผู้ถาม เมื่อคุณนายถนอมศรีไม่กล่าวถึง และพูดเลี่ยง “คุณพี่ก็มาแต่งหน้าทำผมเหมือนๆที่เคยมาเป็นประจำนั่นล่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ”

ในใจคุณปานระพีจะว่าเดือดดาลก็ไม่เชิง แต่นับว่าอึดอัดอย่างที่สุด เพิ่งค้นพบบางอย่างว่าสัจธรรมข้อหนึ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเองก็คือ มิตรภาพมักมาพร้อมผลประโยชน์ร่วมกัน

การที่คุณนายถนอมศรีจะปั้นปึ่ง ชาเมินใส่ นับไม่เป็นเรื่องแปลก ก็ในเมื่อลูกสาวของท่านคือถวิกา ต้องกลายเป็น ‘ม่ายขันหมาก’ โดยที่ข่าวซุบซิบจากบุคคลแวดล้อม นินทากันสนุกปากในทำนองว่าลูกสาวของท่านเป็นได้ก็แค่เมียผู้ถูกสวมเขา คนรักที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงคู่หมั้น แอบไปลักลอบมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น จนถึงขั้น ‘หนี’ วิวาห์ ไปจดทะเบียนสมรสกันอย่างเงียบ

ถ้าเกิดถึงเวลาที่ได้เข้าพิธีมงคลสมรสกันไปแล้ว ถวิกาจจะมิกลายเป็นผู้จดทะเบียนซ้อนกระนั้นหรือ...คุณนายถนอมศรีมิอาจทนกับคำครหาถึงลูกสาวตนได้ แม้ว่าจะมีเสียงเข้าข้างในช่วงหลังว่าดีแล้ว ที่เกิดเหตุเช่นนี้ เพราะชีวิตลูกสาวของท่าน จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความอาดูรสูญสิ้นในภายหลัง เมื่อถึงเวลานั้น อะไรๆในชีวิตลูกผู้หญิงของถวิกาที่สูญเสียไปแล้ว ก็คงไม่อาจเรียกกลับคืน

เรื่องสินสอดทองหมั้น ผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงจึงเข้าไปรวบรัดตัดความ ไม่คืนให้ฝ่ายชายทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากในบัญชีตัวเลขหลักล้าน เครื่องเพชรซึ่งมีทั้งที่เป็นสินสมรสเดิมจากผู้ใหญ่ฝ่ายชาย รวมถึงที่จัดหามาจากร้านจิวเวอรี่อีกหลายชุด ไม่นับที่ดินอีกผืนหนึ่งในย่านธุรกิจ ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างพอควร รวมถึงแหวนเพชรหลายกะรัตที่ถูกบรรจงสวมนิ้วนางถวิกา เป็นเครื่องหมายตีตราจองไว้ เบ็ดเสร็จมูลค่าทั้งหมดมีไม่น้อยทีเดียว

คุณนายถนอมศรีมองว่านั่นเป็นสิ่งที่มาชดเชยต่อความเสียหายในชื่อเสียงถวิกา ซึ่งด่างพร้อยจนติดตัวไปจนวันตาย หรืออีกนัยหนึ่ง ท่านถือว่าเงินทองเมื่อ ‘เข้า’ กระเป๋าแล้ว ก็ไม่ควรให้ ‘ออก’ โดยใช่เหตุ

จึงนับว่าคุ้มไม่น้อยกับสิ่งที่ลูกสาวสูญเสียเพื่อแลกกับมัน ถึงแม้ว่าครอบครัวของท่านจะมั่งมีเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆอยู่แล้ว แต่เรื่องความตระหนี่ถี่ถ้วน จนสามีเคยเปรยว่า ‘เค็ม’ จึงทำให้ท่านออกปากกับคุณทยุตทันที ตั้งแต่วันแรกหลังจัดการเผาศพป้อมปราบเสร็จสิ้น

ข้ออ้างก็คือ ‘เรื่องราวมันจะได้จบกันไป ไม่ต้องมายืดเยื้อ คาราคาซัง เดี๋ยวพอเจอหน้ากันคราวหลัง ทางฝ่ายดิฉันจะได้ไม่ต้องมาทวงถาม ขืนต้องพูดรอบสองรอบสาม จะหาว่าดิฉันเห็นแก่เงินทอง ทรัพย์สมบัติเล็กๆน้อยๆของครอบครัวคุณ’

ความคิดทางฝั่งคุณนายถนอมศรีประมาณนี้ ขณะที่คุณปานระพีนั้นคิดอีกอย่าง คืออยากขอโอกาสให้คู่หมั้นลูกชายค่อยๆคิดทบทวนความสัมพันธ์ เพราะมองว่าป้อมปราบคงกระทำจากความไม่ตั้งใจ อ้างว่าเรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะผู้หญิงลักกินขโมยกินคนนั้นแต่เพียงผู้เดียว

แต่ดูเหมือนถวิกาจะไม่มีปากไม่มีเสียง มารดาตนว่าอย่างไร ก็ว่าตามกัน ทั้งที่ส่วนลึกของหล่อน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้เลยสักนิด ว่าเมื่อสิ้นบุญของป้อมปราบไปแล้ว หล่อนแอบนึกลิงโลดใจขึ้นมาอยู่ในหัวอกเสียด้วยซ้ำ เพราะแท้จริง ชายในดวงใจที่หล่อนนึกอยากร่วมหอลงโรงด้วย มิใช่ป้อมปราบ แต่เป็น ‘ใครอีกคน’ ในครอบครัวนั้น

แล้ววันนี้ ถวิกาก็มิได้ต้องการผูกสมัครรักใคร่กับชายคนใด อย่างที่คุณนายถนอมศรีหวังนัดพบดูตัวและพยายามจับคู่ให้ใหม่ โดยอ้างงานสโมสรเข้ามาบังหน้า

สตรีผู้สูงส่งด้วยเกียรติทั้งสองฝ่ายนั่งคุยกันชนิดถามคำตอบคำ ในสิบห้านาทีมันช่างยาวนานราวกับเป็นครึ่งค่อนวัน ในความรู้สึกของคุณปานระพี สุดท้ายท่านก็เป็นฝ่ายถามถึงถวิกาขึ้นเสียก่อน

“แล้วตอนนี้หนูวาวเป็นยังไงบ้างคะ”

ถามถึงลูกสาวปุบปับ เหมือนจี้โดนใจดำ หางเสียงคุณนายถนอมศรีจึงสะบัดเล็กน้อย และกล่าวกระทบกระเทียบอย่างที่ใจคิดอยากพูดนับแต่นาทีแรก “หนูวาวอยู่ดีมีสุขค่ะ ถึงแม้ว่าอาทิตย์ก่อน แทบจะออกไปไหนก็ไม่ได้ ต้องทนอับอายอยู่แต่ในบ้าน ทั้งที่เจ้าตัว ก็ไม่ใช่คนก่อเรื่องเสียหายสักนิด”

ถูกตอกหน้าเบาๆจนชาวาบ เกรงว่าความอดทนจะหมดไป คุณปานระพีระงับอารมณ์โกรธ อยากจะต่อคำอย่างที่เคยก่นด่ากับคนในบ้าน ด้วยรู้ว่าขืนโต้ตอบ รังแต่จะเป็นฝ่ายเสียมากกว่าได้ จึงหักห้ามใจ และเอ่ยขอตัวทันทีที่ลุกขึ้น ไม่คิดจะอยู่รอทำผมอย่างตั้งใจแต่แรก

เห็นทีจะต้องระงับอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวล ด้วยการแวะเข้าวงไพ่อย่างที่สามีพูด

........................................................................

ตั้งแต่คุณปานระพีออกจากบ้านไป นุชนารถก็จัดแจงนำรังนกไปใส่ชามให้คุณทยุต เสร็จจากนั้นก็ต้องรีบกลับ เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามาติดต่อเรื่องงานได้สองสามหน คุณทยุตจึงเอ่ยขอบใจอีกครั้ง

ระหว่างที่คุณทยุตกำลังลิ้มรสจากรังนกอันหอมละมุนในปาก มิรันตีลงมาจากชั้นบน ก้าวผ่านจากโถงด้านนอกมาข้างในห้องรับประทานอาหาร ได้ยินเสียงใสๆถามถึงท่านกับนางสายใจ ก่อนที่ตัวจะโผล่มาถึงเสียอีก ท่านจึงเชิญให้หล่อนลงนั่งร่วมโต๊ะ แล้วถามขึ้น

“หนูจะทานรังนก หรือว่าเต้าทึงดี”

มิรันตีไม่อยากทานอะไรในเวลานี้ แต่ก็มิได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที ท่านก็จัดแจงไปสั่งนางสายใจเสียเอง ขณะพยักพเยิดหันมาบอกมิรันตี “ทานรังนกเหมือนผมดีกว่านะ ยังมีอีกถุง คนฝากก็ซื้อมาให้เสียเยอะแยะ ทำยังกับว่าผมคนเดียวจะทานหมด”

นางสายใจจึงปฏิบัติตามที่นายสั่ง เทรังนกอีกถุงใส่ชาม แล้ววางตรงหน้ามิรันตี แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะลงมือตักเข้าปาก คุณทยุตเหมือนเพิ่งจะนึกบางอย่างออก จึงเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวก่อนจะทาน...ผมคงต้องบอกหนูเอาไว้ก่อนนะ ว่านับจากนี้ เวลาร่วมโต๊ะรับประทานอาหาร ขอให้หนูมานั่งเก้าอี้ทางขวามือของผม แต่เป็นตัวที่อยู่ติดกับหัวโต๊ะฝั่งโน้น เพราะเก้าอี้ที่หนูกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ เคยเป็นที่นั่งประจำของตาป้อม ปกติเมียผมชอบความเป็นหลักแหล่ง มีระเบียบ มักจะจุกจิกเรื่องพวกนี้ ที่นั่งของใครก็เป็นของคนนั้นไป แล้วตอนนี้ก็ชอบคิดว่าตาป้อมยังมีชีวิตอยู่ เวลาจัดอาหารทีไร จึงมักจะวางจาน ช้อน หรืออาหารตรงที่ตาป้อมนั่งอยู่สม่ำเสมอไม่เคยขาด”

คุณทยุตไม่ได้อธิบายครบ ว่าเก้าอี้ที่เหลือเป็นที่นั่งประจำของใครบ้าง บอกแต่เพียงเก้าอี้ตัวที่หล่อนสมควรนั่ง และเก้าอี้ตัวไหนที่หล่อนไม่ควรนั่ง...มิรันตีเข้าใจความปรารถนาส่วนลึกของชายตรงหน้าดี ด้วยเกรงว่าจะเกิดการวิวาทะบนโต๊ะอาหาร ถ้าเกิดหล่อนนั่งผิดที่ผิดทาง

แต่ก็อีกนั่นล่ะ...เมื่อห้าม หล่อนก็จะทำ!

มิรันตีขยับตัวไปนั่งประจำที่ ตามคำของประมุขบ้าน แอบคิดว่าคุณปานระพีนี่ช่างเจ้ายศเจ้าอย่าง คิดเรื่องเล็กน้อยจุกจิกเสียนี่กระไร ดังนั้นจึงมองเห็นจุดอ่อนของแม่สามีแล้ว...เรื่องที่จะยั่วโมโหฝ่ายนั้น จึงผุดขึ้นในความคิด ราวกับดอกเห็ดบานท่ามกลางฝนพรำ

หล่อนค่อยๆตักรังนกเข้าปากอย่างช้าๆ ความหวานละมุนกระจายไปทั่วปาก แต่มันก็ชืดในคราวเดียวกัน เมื่อนึกว่าเวลาที่หล่อนทานอาหารตามวิสัยการใช้ชีวิตแบบที่เป็นมา สุดแสนจะเรียบง่าย ธรรมดา ไม่เห็นต้องมีพิธีรีตองให้วุ่นวาย นึกอยากทานอาหารข้างทาง เห็นแล้วน่าลิ้มรส ก็แวะเข้าร้าน นึกอยากนั่งตรงไหนก็นั่งได้ ไม่ต้องมาเจาะจงว่านั่นที่ฉัน นั่นที่เธอ...พานให้นึกต่อไปอีกว่า ถ้าเป็นกรณีออกไปทานอาหารนอกบ้านล่ะ คุณปานระพียังจะต้องเว้นที่ไว้เผื่อ ‘ผี’ ผู้ตายไปแล้วด้วยหรือไม่

“อร่อยไหมหนู รังนกเจ้านี้เป็นของโปรดผมที่สุดเลยนะ ลองทานที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า บางที่นั้นปรุงรสหวานซะจนนึกว่าน้ำตาลเชื่อม บางที่ก็จืดเสียจนไม่ออกรส ยังกับว่าลืมใส่น้ำตาล แต่เจ้านี้ ผมติดใจทานมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ จนตอนนี้อาแปะคนขาย อีตายไปได้ห้าหกปีแล้ว ตอนนี้จึงให้ลูกชายมาทำต่อ ยังดีว่าสูตรการทำยังคงรสชาติได้เหมือนแต่ก่อน ไม่ผิดเพี้ยน ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียลูกค้าไปอีกหลายรายทีเดียว”

คุณทยุตร่ายยาวอย่างนึกภูมิใจในสิ่งนั้น ทำให้มิรันตีคิดหาเรื่องชวนคุยกับท่านบ้าง “ถึงว่าอร่อยจนไม่อยากหยุดทานเลยค่ะ กลิ่นมันหอมขึ้นจมูก เวลารับรสที่ลิ้นครั้งแรก ถ้าพูดตามภาษานิยาย หนูคงต้องบอกว่า เหมือนมีกลิ่นดอกไม้หอมโปรยไว้ในปากเต็มไปหมด”

คุณทยุตหัวเราะเสียงใส หน้าตาเบิกบานอย่างที่ไม่ได้แย้มยิ้มมานาน “หนูพูดคล้ายๆกับลูกชายของผมเลยเชียว รายนั้นตอนทานครั้งแรก บอกว่าหอมเหมือนลอยด้วยดอกมะลิ”

มิรันตีฟังแล้วมีสีหน้าสลดลง “หมายถึงคุณป้อมน่ะหรือคะ”

ทว่าอีกฝ่ายส่ายหัวพลัน “ใช่ที่ไหนกัน...ผมหมายถึงลูกชายคนโตต่างหากล่ะ”

มิรันตีขมวดคิ้วยังงุนงงไม่น้อย เพราะก่อนหน้าที่จะเยี่ยมกรายมาบ้านนี้ เพื่อเป็น ‘ตัวตน’ของมาลาตี ข้อมูลเท่าที่สืบมา รู้แต่ว่าคุณทยุตกับภรรยา มีลูกชายคนโต คือป้อมปราบ และมีลูกชายคนเล็ก ซึ่งยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย...ชื่อจริงว่าอะไรนั้น หล่อนก็จำไม่ได้ถนัดนัก รู้แต่ว่าใครๆต่างก็เรียก ‘นายปืน’

แล้วลูกชายคนโตที่คุณทยุตกล่าวถึง เป็นใครกันล่ะ?

ในเมื่อป้อมปราบนั้นตายไปแล้ว...กำลังจะเอ่ยถามถึง เสียงเข้ม ห้วนของใครสักคนก็ดังแทรกขึ้นทะลุกลางป้อง แต่มิได้ต้องการสื่อสารกับใครในห้องนี้ เขาคนนั้นกำลังพูดกับนางสายใจ ด้วยน้ำเสียง ‘กด’ ว่าตนเหนือกว่า

“ร้อนจะตายชัก ป้าไปหาน้ำมาให้สักแก้ว...แล้วในครัวมีอะไรกินมั่ง เมื่อเช้าไม่มีอะไรตกถึงท้องสักอย่าง ทั้งต้องรีบนั่งรถออกไปให้ทันสอบ หิวก็หิว สมาธิไม่มีซักกะติ๊ด”

ชายหนุ่มผู้บ่นเป็นหมีกินผึ้ง คงจะร่ายอีกเป็นชุด ถ้าไม่บังเอิญเหลียวมายังโต๊ะอาหาร ทันเห็นผู้หญิงแปลกหน้าในสายตาเขาเสียก่อน เขาจึงหยุดเสียงลงเพียงแค่นั้น และก้าวมายังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับที่มิรันตีนั่งอยู่ โดยมิได้ละสายตา ซ้ำยังเป็นการจ้องชนิดว่าไม่มีมารยาทด้วยซ้ำ

“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

คล้ายๆว่าปวเรศคงคุ้นหน้ามิรันตี จึงโพล่งออกไปอย่างคิด โดยไม่ได้ให้เกียรติหล่อนสักนิด ว่าจะต้องมีอายุอานามมากกว่าหรือไม่ และสมควรจะเรียกหล่อนด้วยคำนำหน้าว่า ‘พี่’ หรือไม่

ดังนั้นมิรันตีจึงยียวนแผลงฤทธิ์เข้าให้ “ถามฉันหรือเปล่า”

ปวเรศขึงตามอง ด้วยความไม่สบอารมณ์ “ในห้องนี้ก็มีเธอเท่านั้น ที่เป็นคนแปลกหน้า...แล้วคิดว่าเราจะถามใคร”

มิรันตีจึงแสร้งหัวเราะเบาๆ พลางคิดว่า ‘เด็กหนอเด็ก’ แทนตัวว่า ‘เรา’ กับ ‘เธอ’ คงจะคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกระมัง หล่อนเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามแบบยียวนตามเดิม

“ถ้าเธอจะมาสอบประวัติฉัน ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ทำอาชีพอะไร เห็นทีว่าคงต้องใช้เวลาคุยกันยาว แต่เอาเถอะนะ ฉันคิดว่าเราคงต้องอยู่ร่วมบ้านกันไปอีกนาน เอาไว้เธอค่อยๆถาม...ค่อยๆรู้จักฉัน จะดีกว่าไหม”

ปวเรศเหลือบมองบิดา เห็นท่านส่งสายตาปรามอย่างระอาแก่ใจ จึงตอบกลับแบบแกนๆ “ก็ได้...ถ้าเธอคิดว่าจะยังอยู่เจอหน้ากันอีกนาน เห็นทีเราคงต้องหาโอกาสได้สอบสัมภาษณ์กันเป็นส่วนตัวซะแล้ว”

แววตาครั้งหลังของปวเรศมันช่างกรุ้มกริ่ม มีแววล้อแสงไฟ จนมิรันตียังเกือบสะดุ้ง...แต่ก็เก็บอาการนั้นอย่างมิดชิด และตอบหน้าตาย เหมือนท้าทายกลับ “เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น”

มิรันตีรู้ในกิตติศัพท์ความกะล่อนของปวเรศมาบ้าง แม้เขาจะยังเป็นเพียงนักศึกษา แต่แววเจ้าชู้ก็โจ่งแจ้ง มิได้ปิดบังตน...เห็นทีงานนี้ หล่อนจะรับศึกในบ้านถึงสองทาง คงต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น

ปวเรศยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะผละออกไปจากห้อง

...........................................................



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2555, 13:37:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2555, 13:37:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1550





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
ณจรร 20 พ.ค. 2555, 13:52:53 น.
เพิ่งเข้ามาอ่าน แต่ชอบๆๆจ้า


พู่ไหมบุรามฉัตร 20 พ.ค. 2555, 17:26:11 น.
ขอบคุณครับ ณจรร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account