เมียใหม่(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ใครที่ชอบตบแล้วจูบ จูบแล้วตบ พบกับเมียคนนี้ได้ ทั้งแรง ทั้งเหวี่ยง...เพื่อทวงความเป็นเมีย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

บนเนื้อที่ประมาณร่วมห้าไร่ อยู่ในเขตเศรษฐกิจของเมืองกรุง พื้นที่แต่เดิมตรงนี้ถูกปลูกสร้างเป็นตลาดสดเก่าแก่มานานร่วมสามสิบปี ตั้งแต่รุ่นพ่อกับแม่ของคุณทยุตยังมีชีวิตอยู่ เมื่อหลายสิบปีก่อน ยังเป็นเพียงตลาดเล็กๆที่ปลูกเป็นอาคารเปิดโล่ง ให้แม่ค้ามาเช่าพื้นที่ไม่กี่ราย เริ่มขยับขยายมากขึ้น เมื่อมีคนให้ความสนใจ จนปัจจุบันนี้ สภาพภายในตลาดสด ‘ประเสริฐเกียรติ’ นั้น ถือเป็นสังคมชุมชนผู้นิยมจับจ่ายสินค้าตลาดแบบดั้งเดิม ที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ อุดมไปด้วยสินค้าจำนวนมาก อีกทั้งยังปลูกสร้างอาคารพาณิชย์อยู่รอบตัวตลาด จนกลายเป็นแหล่งรวมแม่บ้านในละแวกทุกเช้าเย็น

เหตุที่คุณทยุตพัฒนาตลาดแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากปัจจัยหลายประการ หนึ่งคือการแข่งขันของตลาดค้าปลีกในประเทศไทย มีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ หลังจากที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เริ่มขยายตัวไปทั่วประเทศ เกิดการแบ่งพื้นที่การขายไปมาก แต่ถึงกระนั้น ‘ตลาดสด’ ยังถือเป็นที่นิยม อยู่คู่คนไทยมาชั่วนาตาปี

ดังนั้นเมื่อคุณทยุตประสบอุบัติเหตุ จนถึงกับทำให้ต้องตัดขาทิ้งทั้งสองข้าง กลายเป็นชายร่างพิการ เขาจึงจำเป็นจะต้องวางมือจากการบริหารงานจริงจังสักที โดยเริ่มมอบหมายให้ป้อมปราบเข้ามาเป็นคนประสานงานต่อ ด้วยเจตนารมณ์หนึ่งที่ภรรยาขอร้องแกมสนับสนุน

ป้อมปราบได้โอกาสพิสูจน์ฝีมือ แม้ไม่สนใจนัก แต่ด้วยความเป็นคนหัวอ่อน มารดาว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ไม่คิดขัดใจท่าน จึงเข้ามาสานงานทุกเรื่อง แต่แล้วด้วยอ่อนประสบการณ์หัวทางธุรกิจไม่ไวพอ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงคู่ค้า จึงทำงานพลาดไปจากเป้าหมายติดกัน ตัวเลขที่แบ่งกำไรในแต่ละไตรมาส มีแต่ลดน้อยถอยลงทุกวัน

ระยะเวลาสองปี ทำให้คุณทยุตไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก จึงเรียกตัวลูกติดภรรยาคนแรกอย่างทีปต์ กลับมาช่วยงาน ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดการกินแหนงแคลงใจกับแม่เลี้ยงที่ตั้งป้อมรังเกียจ แต่ขืนปล่อยเป็นหน้าที่ของป้อมปราบผู้เดียว การค้าที่ตกทอดมายาวนาน มีหวังพังพาบด้วยน้ำมือรุ่นลูก

แล้วมันก็ไม่ราบรื่นนัก เมื่อคุณปานระพี ซึ่งตั้งแง่กับลูกเลี้ยงในทุกเรื่อง นึกห่วงสมบัติพัสถานทั้งหมด เกรงว่าสามีจะแบ่งให้ลูกอย่างไม่ยุติธรรม โดยนัยคือคุณปานระพีอยากจะได้ไว้ให้ลูกแท้ๆของตนทั้งสองมากที่สุด ส่วนลูกเลี้ยง ยิ่งได้น้อยเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นความยินดีปรีดา

แต่การณ์กลับพลิกผันจนล้มคว่ำคะมำหงาย เมื่อระหว่างที่ป้อมปราบดูแลกิจการที่ตลาดแห่งนี้ ไม่รู้ไปคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง จนถึงขั้นแอบไปจดทะเบียนสมรสกันลับๆ จนเกิดการมีปากเสียงขั้นรุนแรง ทั้งกับตัวท่านและฝ่ายผู้หญิงคนนั้น จนเกิดอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตบุตรชาย...

นับจากงานศพป้อมปราบผ่านพ้น ผู้ที่เข้ามาดูแลงานอย่างเต็มตัว จึงกลายเป็นทีปต์ ซึ่งตอนนี้กำลังเปิดเอกสารบนโต๊ะทำงานอย่างเคร่งขรึม

เขาพลิกแฟ้มไปมาสองสามรอบก็วางลงที่เดิม สายตาเหลือบไปยังภาพข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งถือติดมือมาด้วย มองรูปผู้หญิงชุดสีแดงเพลิงในกรอบอย่างตรึกตรอง...แม้เขาจะไม่นึกอยากสนิทสนม ผูกมิตรกับแม่เลี้ยงเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังให้ความเคารพในฐานะที่เป็นภรรยาของพ่อ ฉะนั้นเมื่อผู้หญิงในรูป แสดงออกด้วยการไม่ให้เกียรติผู้ตาย จะด้วยวาจาแสบสันต์ตามเนื้อข่าวที่ลง หรือด้วยการแต่งตัวที่หมิ่นเหม่ ไม่รู้กาลเทศะ เขาก็เห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีงามในสายตาสักนิด

ความรู้สึกรังเกียจ ไม่ถูกชะตา จึงผุดขึ้นในใจ!

‘คุณเป็นใคร มาจากไหน ผมไม่รู้ แต่ผมถือว่าสิ่งที่คุณกระทำ ลบหลู่คนที่คุณเรียกว่าสามี เหยียดหยามคนที่น่าจะอยู่ในฐานะแม่ผัวของตัวเอง ในเมื่อคนที่ตาย ถือเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของผม ฉะนั้นต่อจากนี้ไป ถ้าคุณเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของผม คุณก็จะได้รับบทเรียนกลับคืนไปเช่นกัน’

ความคิดวูบนั้น เข้ามารบกวนในสมองชั่วครู่หนึ่ง และหายไปเมื่อเสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานดังขึ้น นุชนารถผู้ทำหน้าที่เลขาฯส่วนตัว ถือแฟ้มเอกสารมาอีกหอบใหญ่ วางลงตรงหน้า และแจกแจงรายละเอียด

“เดี๋ยวนายช่วยเซ็นเอกสารให้ด้วยนะคะ มีของบริษัทที่ส่งขายสินค้าหลายแห่ง ต้องการให้อนุมัตินำของมาวางจำหน่ายในซูปเปอร์มาเก็ต แล้วก็มีพ่อค้าแม่ค้าเพิ่มอีกเกือบสิบเจ้า ที่จะมาขอทำสัญญาเช่าที่ขายของในส่วนของตลาดสดด้วย”

เขาพยักหน้ารับและถามต่อ “แล้วตรงอาคารพาณิชย์ที่คนเช่าเดิมย้ายออกไปล่ะ ยังว่างอยู่กี่ห้อง”

“ถ้าจำไม่ผิด...ดิฉันว่าน่าจะเต็มหมดแล้วนะคะ รวมถึงส่วนที่เป็นห้องแถวด้านหลังตลาดด้วย คนเช่าเดิมยังอยู่ครบ การจ่ายเงินก็ดูจะตรงเวลาขึ้น มีอยู่สองสามรายเท่านั้นนะคะ ที่ดิฉันได้รับแจ้งว่าอาจจะจ่ายค่าเช่าช้า แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่”

นุชนารถแจกแจงถึงรายการผู้เช่าอาศัยตัวอาคารพาณิชย์ ซึ่งปลูกรอบตลาดสด และหมายถึงห้องเช่าขนาดเล็ก ซึ่งแบ่งซอยไว้ให้กับผู้เช่าที่มีฐานะไม่สู้ดีนัก ได้เสียค่าเช่าในราคาถูก เป็นการเอื้อเฟื้อและจุนเจือต่อกัน

ผู้เป็นเจ้านายหนุ่มรับทราบ กำลังจะจับแฟ้มตรงหน้าขึ้นมาดู เลขาฯสาวก็อึกอักขึ้น “แต่มีอยู่หนึ่งหลังนะคะ ที่ผลัดค่าเช่ามาสองสามเดือนแล้ว คนไปเก็บเงินบอกกับดิฉัน ว่าเจ้านี้เก็บเงินยาก ไม่รู้ว่านายจะให้ทำยังไงดีคะ”

“ชื่อแซ่อะไรล่ะ แล้วอยู่กับเรามานานรึยัง”

“ชื่อป้ามลค่ะ...เช่าแผงขายของอยู่ในตลาดของเรานี่ล่ะค่ะ แต่ดิฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง เห็นว่าค่าแผงที่ขายก็ผลัดอยู่เรื่อย ยังดีที่เก็บได้ครบ มีก็แต่ค่าเช่าบ้านนี่ล่ะค่ะ ที่มีปัญหา ส่วนเช่าอยู่ที่นี่มานานรึยัง เห็นว่าก็น่าจะเกือบๆสองปีมั้งคะ คงตั้งแต่ช่วงที่คุณป้อมเป็นคนมาดูแล”

ทีปต์มองหน้าผู้เล่าอย่างตริตรอง ฟังจากที่เล่าก็พอเข้าใจถึงสถานะของผู้เช่า ด้วยความเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นรอบข้างเสมอ จึงสั่งไปอย่างที่เลขาฯสาวก็นึกไม่ถึง

“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้ป้าแกผัดผ่อนไปก่อน สองปีก็ถือว่านานพอสมควร เดี๋ยวมีเมื่อไหร่ก็คงจะมาจ่ายเอง ยิ่งถ้าแกขยันทำมาหากินแบบนี้ ไม่ได้งอมืองอเท้า เดี๋ยวเงินมันก็งอก...”

นุชนารถแอบคันปาก อดไม่ได้จึงอธิบายบางสิ่งเพิ่ม “แต่บางทีเงินของแก มันก็งอกมาจากวงไพ่นะคะนาย”

ชายหนุ่มเข้าใจความหมายที่เลขาฯสาวบอก ได้แต่อมยิ้มกึ่งขัน หากก็ไม่ติดใจมากนัก จึงกล่าวแค่ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวคุณนุชช่วยจดหมายเลขแผงกับแผนที่บ้านของป้าคนนั้นให้ผมทีละกัน ว่าอยู่ตรงหลังไหน”

เขาไม่ได้แจงเหตุผลว่าถามไปทำไม ครั้นเลขาฯสาวจดสิ่งที่ขอลงในกระดาษยื่นให้เจ้านายเรียบร้อย กำลังจะหมุนตัวเดินกลับออกไป ผู้เป็นนายก็ฉุกคิดขึ้นได้
“เดี๋ยวก่อนคุณนุช วันนี้ผมว่าจะรบกวนคุณอีกอย่าง”

“มีอะไรเพิ่มเติมคะ”

“เดี๋ยวช่วงบ่ายสองโมง ผมจะไปดูสถานที่ก่อสร้างแห่งใหม่ที่ชลบุรี คิดว่าจะค้างสักหนึ่งคืน คุณช่วยโทร.จองห้องพักให้ด้วยนะ ขอที่เดิมก็ได้ แล้วก็ผมจะรบกวนคุณช่วยซื้อรังนกร้อนๆ เพิ่มปริมาณสักสองถุง ขอเจ้าคุณลุงที่เช่าแผงอยู่หน้าตลาดของเรา เอาไปฝากให้คุณพ่อของผมที่บ้านหน่อย...อ้อ แล้วก็ขอเต้าทึงเผื่ออีกสักสองสามชุด ให้น้าปานด้วย” เขาระบายยิ้มให้แก่เลขาฯสาว

เขานึกถึงสิ่งที่สั่งเลขาฯนำไปฝากให้บิดา ‘รังนก’ อันเป็นสื่อถึงความใส่ใจ และ ‘เต้าทึง’ นั้น คุณปานระพีก็บ่นว่าอยากทานมาหลายวัน

นี่คือสิ่งเล็กๆน้อยๆในตัวเขา

......................................................

คุณปานระพีจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เมื่อมิรันตีทำทีประจบสามีตน แล้วพูดถึงอีกหนึ่งชีวิตในครรภ์ อย่างไรท่านก็ไม่อาจยอมรับ เพราะในเมื่อตัว ‘เมีย’ ของลูก ยังไม่อยู่ในสายตา ไฉนเลยจะแน่ใจได้ว่าเด็กที่มิรันตีพูดถึง จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่เกิดกับป้อมปราบจริง ท่านสะบัดหน้าพรืดอย่างสุดจะทน หมุนตัวกลับ เดินคอตั้งหลังตรงอย่างถือตน แล้วจ้ำเท้าขึ้นบันไดไม้ หายไปตามเหลี่ยมซึ่งหักศอกทอดไปยังชั้นบน
เหลือคุณทยุตอยู่ลำพังกับมิรันตี เริ่มถามไถ่ถึงเด็กในท้องด้วยความเอ็นดู ไม่สนถึงที่มาที่ไปทั้งก่อนหน้าและต่อจากนี้เท่าไรนัก

“นี่ท้องได้กี่เดือนแล้ว ไหนลองเล่าให้ผมฟังสักหน่อยสิ”

มิรันตีขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่เบาะตามเดิม เล่าตามที่รู้มาจากป้ามลและแพทย์ผู้ตรวจพบ “หนูท้องได้สองเดือนกว่าๆแล้วค่ะ”

“แล้วแพ้ท้องบ้างไหม...ยังไงซะตอนนี้ หนูต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษนะ เพราะว่าคนกำลังท้องกำลังไส้ ต้องพักผ่อนเยอะๆ ทานแต่อาหารที่เป็นประโยชน์ แล้วก็ปัญหาเรื่องวุ่นวายใจ ก็ควรจะโยนมันทิ้งไปซะ เพราะถ้าหนูเครียด มันจะส่งผลต่อลูกในท้อง...นึกแล้วก็อยากจะให้หนูคลอดวันนี้ พรุ่งนี้ซะจริง ชักอยากจะเห็นหลานปู่ซะแล้ว”

คุณทยุตกลายเป็นปู่ที่เอ็นดูสะใภ้และหลาน ถ้อยคำเต็มไปด้วยความห่วงใย แววตาก็ลึกซึ้งจับใจด้วยความปรารถนาดี...ท่านเรียกให้มิรันตีขยับกายลงนั่งใกล้ๆ และพูดอีกหลายสิ่งเหมือนอย่างที่ ‘คนวัยทอง’ มักพูดกัน

“ผมอยากมีลูกผู้หญิง ก็ไม่เคยสมหวังสักครั้ง มีแต่ลูกชายทั้งหมด...พอจะมีสะใภ้สักคน ก็เลยอยากจะได้ผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน จึงสรรหาผู้หญิงที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับลูกชายของตัวเองให้มากที่สุด แต่ก็ลืมนึกไปอยู่ข้อนึง ว่าผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้แต่งงานกับผมหรือว่าเมียผม ฉะนั้นคนที่ควรจะมีสิทธิ์เลือก ก็คือคนที่จะต้องอยู่เป็นคู่ชีวิตกันให้ยาวนานที่สุด ซึ่งก็คือลูกชายของผม แต่มันก็สายเกินไป...ทุกอย่างไม่มีทางแก้ไข”

มิรันตีไม่เข้าใจอารมณ์ของคนพูดนัก แต่ก็ปลอบด้วยความรู้สึกเห็นใจจากก้นบึ้ง “หนูเข้าใจค่ะ”

“ฉะนั้นผมอยากจะขอร้องหนู ว่าอย่าไปถือสาหาความกับเมียของผมนักเลย คุณปานน่ะเป็นคนแบบนั้นเองล่ะ ปากร้าย เจ้าอารมณ์ แต่เนื้อแท้ของเธอ ก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเชียว ทำหน้าที่ของเมียไม่เคยขาดตกบกพร่อง ถึงแม้บางอย่างอาจจะมากเกินไปก็เถอะ แต่ผมก็เลือกที่จะมองข้ามมันทิ้ง” เขาถอนหายใจยาว เว้นวรรคคำพูดไปราวกับมันจุกอยู่ที่ลำคอ “ผมอยากให้หนูอยู่ที่นี่ ในฐานะลูกสะใภ้ของตาป้อม แต่ผมก็อยากจะเห็นหนูเข้ากันได้ดีกับเมียของผม ยังไงหนูก็ช่วยเอาอกเอาใจ คุยกันดีๆ ไม่ใช้อารมณ์ ผมว่าสักวันพอหลานเกิดมา เมียผมก็ใจอ่อนไปเอง หนูจะทำได้ไหม”

มิรันตีบอกตนเองในใจ ว่านั่นเป็นเรื่องยากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเจตนาเดิมของหล่อน คือการเอาคืนคุณปานระพี ซึ่งทำตัวเป็นผู้ลากมากดีนั่นต่างหาก มิใช่ต้องการพินอบพิเทา ยอมอ่อนเป็นเบี้ยใต้ล่าง แต่เมื่อมองแววตาผู้ถาม ก็อดที่จะรับคำไม่ได้
วงหน้ากลมของคุณทยุตมีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา ผมบนศีรษะบางเรียบ สง่าราศีไม่จับ คงเนื่องจากอาการป่วยทั้งกายและใจ แต่ทว่ายามมอง จะเห็นได้ถนัดถึงความอารี โอบอ้อม และดูเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าอารมณ์...ร่างกายของท่านสวมเสื้อผ้าป่านสีขาวคอกลุมติดกระดุมผ่ากลาง นุ่งผ้าแพรเนื้อดีสีน้ำตาลเข้ม และตลอดเวลาไม่ว่าท่านจะนั่งอยู่บนรถเข็นหรือขณะนี้เมื่ออยู่บนโซฟาก็ตาม ท่านจะมีผ้าผืนบางวางทาบอยู่บนตักเป็นนิจ

ก่อนมาที่บ้านแห่งนี้ หล่อนสืบทราบมาว่าคุณทยุตประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ก็ไม่เคยรู้ถึงอาการของท่านว่าหนักหรือเบาแค่ไหน การได้พบตัวจริงของท่านในวันนี้ ทำให้หล่อนนึกสงสารจับใจ ที่ชะตากรรมนำพาให้คนมีฐานะในเกณฑ์ดีมาก กลับประสบความทุกข์อย่างใหญ่หลวงไม่น้อย

หล่อนมองความว่างเปล่าไปยังส่วนที่อยู่บนพื้น ซึ่งน่าจะมีขาสองข้างของคุณทยุตทาบอยู่ ลืมตัวมองด้วยสายตาหดหู่ ราวกับมีคำถามปรากฏชัด ท่านจึงพูดขึ้นว่า “หนูคงแปลกใจสินะ ถึงได้มองผมอย่างนั้น”

“ขอโทษจริงๆค่ะ หนูก็แค่...”

“เอาเถอะ...ผมมันเป็นคนพิการไปแล้ว ก็ต้องยอมรับตัวเองให้ได้ ในเมื่อขาทั้งสองข้างจำต้องตัดทิ้ง อะไรก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้”

มิรันตีอ้อมแอ้มถาม “แล้วทำไมคุณพ่อไม่ใส่ขาเทียมล่ะคะ”

หญิงสาวยังคงเรียกชายตรงหน้าว่า ‘คุณพ่อ’ ได้อย่างสนิทปาก ด้วยรู้สึกถึงความเมตตา ความอบอุ่นที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งนั้นมีให้ ความสนิทใจจึงบังเกิด

“ผมไม่ชอบ มันยังไม่ชิน รู้สึกรำคาญเหมือนมันเกะกะ เป็นส่วนเกินของร่างกายยังไง ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”

“แล้วตอนนี้ ใครเป็นคนดูแลท่านล่ะคะ ได้จ้างพยาบาลพิเศษหรือเปล่า”

คุณทยุตพยักหน้ารับ “ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่อาทิตย์ก่อนพยาบาลคนนั้นขอลากลับไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยอยู่ต่างจังหวัดน่ะ มันฉุกละหุกหลายเรื่อง พอดีจังหวะกับที่ตาป้อมมาเสียซะก่อน ผมก็เลยยังไม่ได้หาคนใหม่มาแทน ตอนนี้ก็เลยอาศัยคนในบ้านนี่ล่ะ ผลัดกันมาดูแล”

มิรันตีสบตา บอกออกไปอย่างจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นให้หนูเป็นคนดูแลท่านจะได้ไหมคะ เวลาอยู่ที่บ้านนี้ หนูก็จะได้มีอะไรทำด้วย”

“หนูไม่รังเกียจคนแก่ คนพิการหรอกหรือ”

คุณทยุตได้คำตอบจากปากลูกสะใภ้ จึงแย้มยิ้มอย่างพึงใจ มีความคิดอ่านบางอย่างปรากฏขึ้น โดยที่มิรันตีไม่อาจรู้ได้...จากนั้นท่านก็เรียกหานางสายใจ แล้วเอ่ยปากให้หญิงสาวไปพักผ่อน

“เดี๋ยวแม่สายใจพาหนูใหม่ขึ้นไปบนห้องนอนด้วยนะ แล้วก็ช่วยยกกระเป๋าไปให้ด้วย...ห้องนอนเดิมก็ทำความสะอาดไว้เรียบร้อยดีใช่ไหม”

นางสายใจขมวดคิ้ว “ห้องไหนคะคุณท่าน”

“ก็ห้องนอนเดิมของตาป้อมน่ะสิ คนเป็นผัวเป็นเมียกัน จะให้ไปนอนที่ห้องไหนกันเล่า แม่สายใจนี่ก็พิลึกคน ไป...ไป๊ เผื่อหนูใหม่จะได้ดูห้องหับ ว่าขาดเหลืออะไรบ้าง...ว่าไงล่ะหนูใหม่ คงพอจะอยู่ห้องของตาป้อมได้ ไม่กลัวใช่ไหม” ท้ายประโยค หันมาทางหล่อน

หญิงสาวสั่นหน้าเบาๆ และตอบสั้นๆ “ค่ะ”

“มีอะไรขาดเหลือ ก็บอกแม่สายใจได้เลย หรือจะเรียกหายายหวาน หลานนางสายใจก็ได้”

มิรันตีกระพุ่มมือไหว้อย่างซึ้งในน้ำใจ จากนั้นจึงเดินตามหลังนางสายใจ ซึ่งยกสัมภาระเดินนำลิ่วไปล่วงหน้า

แอบนึกหวั่นใจเล็กน้อย ที่ต้องอยู่ในห้องนอนของผู้ชายที่มีศักดิ์เป็น ‘สามี’ แต่ในนาม โดยไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน แถมบัดนี้เจ้าตัวก็ลับลาโลกไปแล้ว

ถามว่ากลัวหรือ...คำตอบคือ ‘ไม่กลัว หรือไม่แน่ใจ’

.....................................................

คล้อยหลังมิรันตีเข้าห้องหับไปแล้ว คุณทยุตต้องการลงไปชมสวน ท่านจึงบอกให้นางสายใจช่วยเข็นรถไปยังบริเวณร่มไม้ครึ้มนอกตัวบ้าน จากนั้นจึงสั่งให้นางสายใจไปทำงานต่อที่ค้าง ส่วนท่านจะอยู่ในบริเวณนี้ตามลำพัง

คุณทยุตสดชื่นขึ้น เมื่อได้มาทอดอารมณ์อยู่ตามจุดพักรอบบ้าน ซึ่งตกแต่งไว้อย่างแปลกและลงตัว แนวไม้ซึ่งตีเป็นระแนงจากชานนอกบ้าน ถูกออกแบบให้ตีลาดมาเรื่อยทั้งที่เป็นทางเดินเชื่อมบ้านกับเรือนนั่งเล่นเข้าด้วยกัน โดยใช้โครงสร้างเหล็กทำสีดำ ปูพื้นไม้ในทางเดินชั้นบน ให้ความร่มยังส่วนล่าง ซึ่งปูพื้นแกรนิต รอบทางเดินที่รถเข็นกำลังผ่านไป รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งท่านเป็นคนลงมือปลูกตั้งแต่สมัยที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ใหม่ๆ เมื่อครั้งได้แต่งงานกับภรรยาคนแรก คือคุณพิมพา

ท่านกับภรรยาเก่าเข้ากันได้ดีทุกเรื่อง ชอบอะไรคล้ายกัน โดยเฉพาะเรื่องของการปลูกต้นไม้ จึงไม่แปลก เมื่อยามที่ท่านได้มองเห็นแต่ละต้นเจริญเติบโตขึ้นในทุกปี ท่านก็มักจะยิ้มพรายอย่างสุขใจ แต่เมื่อต้นใดที่เหี่ยวแห้งตาย ก็รู้สึกหดหู่

รถเข็นของท่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนเล็กซึ่งปลูกเป็นสองชั้นอย่างง่ายๆ ด้านล่างโปร่งโล่งเป็นสี่เหลี่ยมคล้ายโรงเก็บของ แต่ปูไม้ระแนงที่พื้นชนิดยกสูง วางแคร่ไม้เรียบๆโทนสีเดียวกับพื้นชานไม้ ถัดจากชานเป็นส่วนแรก ได้ขุดร่องระหว่างกลางไปยังส่วนที่สองเป็นแอ่งน้ำ ทำน้ำตกเทียมด้วยการตั้งปูนรูปปั้นให้น้ำไหลตลอดเวลา ตรงกลางระหว่างสองชาน สร้างความเพลินตาด้วยการห้อยสายชิงช้า โยงเชือกสี่เส้นยึดจากตงเหล็กใต้ชั้นลอยลงมาเหนือบ่อน้ำ

‘พิมจะทำไว้ให้ลูกนั่งเล่นค่ะ’

ภรรยาเก่าบอกเช่นนั้น ท่านจึงแย้ง ‘จะไหวหรือ เด็กตัวเล็กๆ ถ้าขืนนั่งไป มีหวังตกน้ำตกท่ากันพอดี’

แล้วมันก็เป็นไปตามคาด มีคนตกน้ำจากชิงช้าที่ห้อยโต่งเต่ง แต่มิใช่ใครอื่น ภรรยาเก่านั่นเอง...และมันก็เป็นสิ่งสะเทือนใจมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าไม่ทำให้เลือดตกยางออกในทันใด แต่เจ้าตัวก็เริ่มเจ็บนั่น เจ็บนี่มาตลอด และเป็นผลอย่างร้ายแรง เมื่อครั้งที่เริ่มท้องทีปต์...ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เมื่อกำลังจะเห็นหน้าลูกคนแรก แต่ดูเหมือนชะตาฟ้าจงใจกลั่นแกล้ง ให้เขา ‘ได้’ และ ‘เสีย’ ในวันเดียวกัน
ลูกคนแรกลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ในขณะที่ภรรยาต้องหลับตาเป็นนิรันดร!

ภาพเก่าๆผุดพรายขึ้นในมโนสำนึก ขณะกำลังทอดอารมณ์อย่างเพลินใจ พลันสะดุดให้ความร้าวรอนเข้ามาทดแทนอย่างช่วยไม่ได้ ชายที่วัยใกล้หกสิบ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกินครึ่งชีวิต ถึงกับน้ำตาซึมตามขอบ จำต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอดให้ลึก เพื่อหวังจะลืมอดีตของตน ซึ่งฝังใจมาตลอดยี่สิบเจ็ดปี เท่ากับอายุของทีปต์

“มาอยู่ตรงนี้เองหรือคุณ”

เสียงของคุณปานระพีดังแว่วมาใกล้ๆ เขาหันไปมองพบว่าบัดนี้เจ้าตัวได้แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดใหม่แล้ว รูปร่างที่อวบ เจ้าเนื้อแต่ไม่ถึงกับอ้วนท้วม สวมชุดผ้าชีฟองเนื้อบาง คอกว้างแต่รัดรูป กระโปรงแนบลำตัวยาวคลุมเข่า สีของชุดยังเน้นดำ มีเพียงขลิบขาวอยู่ที่จีบรูดตรงปลายแขนสองข้างเท่านั้น ผมดำสนิท เกล้าเป็นรูปขดไว้กลางศีรษะอย่างเคยทำ

มองโดยรวมจึงเห็นได้ว่าคุณปานระพีเป็นผู้ดูแลตนเองทุกกระเบียดนิ้ว การแต่งกายสง่า บ่งบอกความเป็นผู้มีฐานะ โดยเฉพาะเครื่องประดับอาภรณ์ติดตัว ล้วนวูบวาบชวนตะลึง รอบข้อมือข้างหนึ่งเป็นสร้อยมรกตล้อมเพชรลายเหมือนดอกไม้ขดตัวซ้อนกัน เข้ากับต่างหูขนาดจิ๋ว และสร้อยคอห้อยจี้แบบเดียวกัน ส่วนอื่นที่เห็นระยับตาคือแหวนมรกตล้อมเพชรวงงามบนนิ้วนาง ซึ่งเป็นแหวนที่ท่านใส่ติดตัวมาตลอด นับแต่คืนแรกที่ได้รับการแต่งงานอย่างถูกพิธีรีตอง

ส่วนดวงหน้าเรียวที่ตึงกว่าคนรุ่นเดียวกัน ด้วยการเข้าคอร์สดูแลความงามด้วยโปรแกรมสารพันนั้น ตกแต่งสีอ่อนเพื่อลดอายุ

“คุณจะออกไปไหนแต่หัววันเลย ยังไม่ถึงอาหารเที่ยงด้วยซ้ำ”

คุณปานระพีตอบเรียบอยู่ในที แต่มีแววเยาะแฝงไว้ “ในเมื่อคุณรับนังนั่นเข้ามาอยู่ในบ้าน ฉันก็จะเป็นฝ่ายออกไปข้างนอกเอง”

“โธ่...ไม่เห็นคุณจะต้องทำขนาดนั้น”

“ฉันจะแวะไปร้านทำผม แล้วก็จะเลยไปหาเพื่อนๆ อาจจะกลับค่ำหน่อย ฉันสั่งแม่สายใจไว้แล้วเรื่องกับข้าวกับปลาตอนเย็น อ้อ...แต่ฉันให้ทำเผื่อไว้แค่คุณกับตาปืนแค่สองคนหรอกนะ ส่วนคนอื่น ถ้าหิว ก็จัดการเรื่องปากเรื่องท้องเอาเอง”

เข้าใจความหมายของผู้พูดโดยง่าย สำหรับตนกับลูกชายคนเล็ก ภรรยาจะจัดแจงดูแลให้ทุกวัน ส่วนทีปต์นั้น เขาขอแยกเป็นส่วนตัว ไม่ติดทานข้าวที่บ้าน เพราะเลิกงานไม่เป็นเวลา จึงไม่อยากให้คนที่บ้านต้องรอทานพร้อมกัน ดังนั้นกรณีนี้ คุณปานระพีจงใจหมายถึงมิรันตีนั่นเอง

“เอาก็เอา ถ้าคุณคิดว่าออกไปข้างนอก แล้วมันทำให้คุณสบายใจ ถ้ายังไงก็อย่ากลับให้มืดค่ำนัก”

เขารู้ดีอีกข้อ เวลาที่ภรรยาเอ่ยปากว่าจะไปหาเพื่อน ในบรรดาสมาคมแม่บ้านด้วยกัน ถ้าไม่จับกลุ่มชวนดูเรื่องเครื่องเพชรเครื่องพลอย ก็จะจับกลุ่มชวนกันนินทาสามีสู่กันฟัง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ‘ปรึกษา’ อย่างที่คุณปานระพีมักพูดให้ฟัง แต่ประเด็นที่แม่บ้านทั้งหลายทำกันเป็นนิจ ก็คือตั้งวงไพ่...แม้จะเล่นเพื่อคลายเครียด เอาสนุก แต่บางทีก็อาจลืมวันลืมคืน

ผู้เป็นภรรยาช่วยเข็นรถกลับมายังบริเวณหน้าบ้านตามเดิม กำลังจะก้าวไปยังรถยนต์ประจำตัว ซึ่งจอดอยู่ในโรงรถอีกฝั่งรั้ว จังหวะเดียวกับที่เสียงรถของใครสักคนมาจอดเทียบอยู่ด้านนอก คุณปานระพีจึงชะลอฝีเท้า เมื่อประตูรั้วเลื่อนออก ท่านจึงทักทายกับผู้มาเยือน เมื่อรับไหว้จากอีกฝ่ายเรียบร้อย

“ลมอะไรหอบให้เธอมาถึงบ้านฉันได้ล่ะ แม่นุชนารถ”

ท่านเรียกชื่อเต็ม ทิ้งช่องว่างให้ดูห่างชั้น เพื่อบ่งให้รู้ว่าตนคือเจ้านาย ส่วนอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกน้อง ซึ่งตั้งแง่เอาไว้ ว่าใครก็ตามที ที่ทำงานอยู่ใกล้กับทีปต์ ท่านก็พลอยเหมาว่าเป็นพวกเดียวกัน

นุชนารถชูถุงในมือจำนวนหลายใบ จึงเอ่ยอย่างรวบรัด “พอดีดิฉันเป็นธุระให้คุณทีปต์ค่ะ ช่วงบ่ายมีงานด่วนที่คุณทีปต์จะต้องเดินทางไปดูโครงการปลูกสร้างตลาดแห่งใหม่ที่ชลบุรี และจำเป็นต้องค้างหนึ่งคืน คุณทีปต์จึงบอกให้ดิฉันซื้อรังนกเจ้าประจำที่หน้าตลาดมาฝากนายท่าน”

ผู้เป็นนายเก่ายิ้มรับไมตรีนั้น ปลาบปลื้มกับรังนกที่ลูกชายพิถีพิถันเลือกมาให้ จึงเอ่ยปาก “ขอบใจหนูมากนะ ยังไงวานหนูเอาไปให้แม่สายใจที่ในครัวหน่อยละกัน บอกให้เทใส่ชาม เดี๋ยวผมจะขึ้นไปทาน”

นุชนารถรับคำ พูดจานอบน้อมด้วยรู้ว่ากำลังเจรจาอยู่กับใคร แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังพูดไม่หมด จึงเอ่ยขึ้นเมื่อกำลังจะค้อมตัวเดินผ่านนายหญิงแห่งบ้าน

“แล้วเต้าทึงนี่ล่ะคะ...คุณทีปต์ฝากให้คุณนาย จะให้ดิฉันเทใส่ชามเลยไหมคะ”

คุณปานระพีหยุดกึก ท่านสะกิดใจอยู่บ้างกับสิ่งที่ลูกเลี้ยงให้นำมาฝาก เพราะเต้าทึงนี่ล่ะ คือสิ่งที่ตนบ่นวันก่อนนี่เอง ว่าอยากจะทาน แต่แล้วความทิฐิซึ่งแรงกล้ากว่า เจ้าตัวจึงหันหลังกลับ ไม่สนใจต่อการเรียกขานของสามี

“ไม่อยู่ทานเต้าทึงก่อนล่ะคุณ เสร็จแล้วค่อยออกไปก็ยังทัน”

.......................................................





พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2555, 16:48:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2555, 16:48:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1465





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account