เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖ งานวันแรก

มุกดาต้องขยี้ตาตัวเองหลายครั้งเมื่อบรรยากาศรอบตัวที่เคยคุ้นดูแปลกไป เสมือนมายืนอยู่อีกโลกหนึ่ง บ้านเรือนไทยสีน้ำตาลแก่หลังคาทรงปั้นหยามีหน้าจั่ว กลับกลายเป็นบ้านแบบสมัยเก่าทรงหกเหลี่ยม ทาสีขาวโดยรอบ หน้าต่างมีบานเกล็ดไม้กรอบสีเขียวก้านมะลิ ใต้ถุนเตี้ยๆพอสุนัขรอดได้ กลายเป็นใต้ถุนยกสูงเท่าคนรอดได้

เสียงแห่แหนดังแว่วมาแต่ไกล หญิงสาวพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา มันเป็นเสียงประโคมดนตรีพื้นบ้านร้องเล่นกันสนุกสนาน หล่อนพยายามเพ่งมอง มีขบวนถือขันหมาก หนุ่มสาวแต่กายด้วยชุดไทยพื้นบ้าน ฝ่ายหญิงก็ร่ายรำหน้าตาเบิกบาน ฝ่ายชายก็พากันส่งเสียงร้องโห่ฮิ้ว มุกดาเดาได้ลางๆว่านี่คงเป็นขบวนแห่ขันหมาก และชายหนุ่มเสี้ยวหน้าคมสันรูปร่างผึ่งผายที่หล่อนเห็นเพียงด้านข้างก็คงจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าว ของลูกสาวบ้านนี้...ลูกสาวบ้านนี้...บ้านใคร?

ขณะที่มุกดากำลังพินิจพิเคราะห์ว่าบ้านที่หล่อนเห็นคือบ้านของใคร ทั้งที่หล่อนรู้สึกคุ้นเคยเหมือนบ้านตัวเอง แต่จากรูปลักษณ์ชนิดไม่เคยพบเจอ ก็เป็นข้อคัดค้านชัดเจนแล้วว่ามันไม่ใช่บ้านของหล่อน เสี้ยวหน้าของชายหนุ่มในชุดไทยสีขาวหันมามองหล่อน เห็นใบหน้าทั้งหมดอย่างเต็มตา..พี่วิน!

ไม่ทันคาดคิด...ว่าที่เจ้าบ่าวผู้เคยคุ้นก็ยิ้มให้หล่อนอย่างหยดย้อย มุกดาแทบไม่รู้สึกตัวว่าสีเลือดสูบฉีดขึ้นบนพวงแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมหล่อนต้องเขินอายเขาด้วย

ยืนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ไม่นาน ภาพตรงหน้าก็หายวับเหมือนใครเอาฉากสีดำมากั้นกลาง ก่อนที่แสงสว่างต่อมาจะฉายภาพหญิงสาวผิวขาวผุดผาด ใบหน้าพริ้มเพราคนหนึ่งผลักบานหน้าต่างเยี่ยมหน้าออกไปมองขบวนขันหมาก หล่อนอยู่ในชุดสไบพาดเฉียงปักเลื่อมลายงดงามบนผ้าเนื้อดีสีเขียวใบเตยทิ้งชายยาวจรดพื้น มุกดายืนมองเหมือนคนอยู่นอกฉาก ไม่รู้ว่าเงาตัวเองอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าเมื่อหญิงสาวคนนั้นหันกลับเข้ามาข้างใน หล่อนแทบผงะหงาย...ใบหน้าพริ้มเพราและเรือนร่างแบบบางนั่นมันพิมพ์เดียวกับหล่อนทุกกระเบียดนิ้ว!

กระพริบตาอีกทีฉากเดิมก็มลายหายไป สลับเปลี่ยนเป็นฉากใหม่..บนเตียงนอนที่มีกลีบดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์จัดเรียงเป็นรูปหัวใจ และคู่บ่าวสาวที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้าหอนั่งเคียงกันอยู่บนนั้น

“พี่จะรักแม่มะลิคนเดียว..น้องคือดวงใจของพี่”

เจ้าบ่าวที่หน้าตาละม้าย “พี่วิน” พรมจูบลงบนหน้าผากมนของผู้หญิงที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับหล่อน มุกดารู้สึกว่าอากาศภายในห้องเริ่มอับทึบมากขึ้นทุกที ไอร้อนผะผ่าวผิวกาย ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงใสแจ๋วของเพื่อนซี้ดังเข้ามาในโสตประสาทราวกับเจ้าตัวมาตะโกนอยู่ข้างหู

“ยายขี้เซา..ตื่นได้แล้วววว”

มุกดากระพริบตาถี่ๆ แพขนงอนยาวกระพือขึ้นลงอีกหลายครั้ง กว่าจะโฟกัสจนได้เป็นรูปหน้าแขกผู้มาเยือนยามอรุณรุ่ง

“ฉันอยู่ที่ไหนเหรอจอย”
มุกดาเอ่ยถามเสียงงัวเงียเหมือนคนละเมอมากกว่าคนรู้สึกตัวเต็มตื่น
“อ้าวๆ ความจำเสื่อมซะงั้น ตื่นยังเนี่ยหล่อน”
ลลิตพรรณเขย่าแขนเพื่อนรักที่ยังนอนแหม็บอยู่บนเตียงจนสั่นไปทั้งร่าง

“ฉันฝันไปเหรอเนี่ย” เมื่อสติสตางเริ่มเข้าที่ เจ้าของห้องก็รีบยันตัวเองขึ้นจากเตียงพลางสั่นศีรษะเร็วๆเหมือนอยากสลัดความทรงจำบางอย่างออกไป “เฮ้ย..นี่เราเครียดขนาดเก็บเอาไปฝันเลย ม่ายนะ ฉันบ้าไปแล้ว” มุกดาทำหน้าเบ้ปากเบะเหมือนเด็กกำลังจะร้องไห้

“หยุด!” ลลิตพรรณรีบยกมือห้ามทันควัน “อย่าเพิ่งมาต่อมน้ำตาแตกตอนนี้ เล่าให้ฉันฟังก่อน ฝันเรื่องอะไร”
“ก็ฝันว่าตัวเองแต่งงานกับ..” เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดจนจบก็เบรกตัวเองไว้ด้วยการตบปากหนึ่งที ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “นี่กี่โมงแล้ว เริ่มงานวันแรกเสียด้วย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยเธอ เล่าให้จบสิ แต่งงานกับใคร?” เพื่อนรักยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หนังตาเบิกกว้างอย่างคนอยากรู้เต็มที่

มุกดาทำท่าอึกอัก หล่อนไม่เคยชินกับการโกหกจึงเลือกที่จะไม่พูดเสียดีกว่า แสร้งทำเป็นควานหานาฬิกาบนเตียงแล้วกระเด้งตัวออกจากเตียง

“หกโมงแล้ว..ฉันจะไปทันมั้ยเนี่ย”
“จะไม่ทันได้ไง วันนี้วันเสาร์เค้าเริ่มงานกันเก้าโมงไม่ใช่เหรอ”
ลลิตพรรณเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับอุปนิสัยของเพื่อนซี้
“ไม่ได้หรอก ทำงานวันแรกตั้งสร้างเฟิร์สอิมเพรสชั่นให้เจ้านาย ต้องไปก่อนเวลา แล้วเนี่ยบ้านเราอยู่ชานเมืองนะ ไม่ใช่กรุงเทพฯ ต้องเผื่อเวลารถติดอีก”
มุกดาทำสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง เพื่อนสาวส่ายหัวให้กับความรับผิดชอบที่โอเวอร์ของหล่อน

“จะติดอะไรนักหนา ไม่ใช่วันจันทร์กะวันศุกร์ ชิลๆเถอะย่ะ อย่าไปคิดมาก”
“ไม่รู้ล่ะ ไหนๆเธอก็มาแล้ว ฉันขอติดรถเธอเข้ากรุงเทพด้วยละกัน”

มุกดาหันมาทำสายตาวิงวอน หลังจากเหตุการณ์ขับรถชนกำแพงบ้านฝั่งตรงข้ามคราวนั้น ครูสอนขับรถต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลพร้อมนักเรียนซุ่มซ่ามอย่างหล่อน คุณหญิงนารีจึงไม่ไว้ใจให้ขับรถไปไหนเอง..แล้วก็ไม่คิดจะซื้อรถให้หล่อนอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

“เธอไม่ต้องขอ ฉันก็ตั้งใจจะจัดให้อยู่แล้วย่ะ พอรู้ว่าเธอได้งานฉันดีใจจะแย่ ไม่ส่งข่าวเพื่อนฝูงมั่งเลย” ลลิตพรรณตัดพ้อทีเล่นทีจริง
มุกดายิ้มแหยอย่างคนสำนึกผิด
“ขอโทษที..พอดีฉันมัวแต่ตื่นเต้นเลยไม่ได้โทรไปบอก”
“ช่างมันเถอะ..อาบน้ำได้ละ ฉันจะลงไปขอข้าวต้มกุ้งป้าเนียมกินรองท้องซะก่อน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
ลลิตพรรณรีบโบกมือไล่ กลัวเพื่อนสนิทจะสาธยายคำขอโทษอีกยืดยาว มุกดายิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเข้าห้องน้ำตามคำสั่ง


ภายในห้องทำงานสีครามสดใสกลับเป็นสีหม่นเทาได้ในชั่วพริบตา เมื่อเจ้าของเก่าอย่าง “คุณนายแม่” ของกวินก้าวย่างเข้ามาในห้อง ผู้เป็นพ่อแทบสะดุ้งเมื่อกระเป๋าหลุยส์ใบใหญ่ถูกวางปึงลงบนโต๊ะทำงาน

“หัวเราะคิกคักอะไรกันสองพ่อลูก”
คือคำทักทายยามเช้าที่มาพร้อมอารมณ์ไม่สู้ปกตินักของคุณชโลทร อดีตประธานบริษัทแค่เพียงข้ามวัน
“แหมคุณก็..ผมจะคุณเรื่องบันเทิงกับลูกบ้างไม่ได้หรือไง ให้นั่งทำหน้าเครียดใส่ลูกแบบคุณ ผมทำไม่ลงหรอก” คุณวิสุทธิ์พยายามฝืนยิ้มใจดีสู้เสือ “ตาวินเพิ่งกลับมาไม่กี่วัน หาเรื่องเครียดให้ลูกทำไม”
“ก็มันนั่นแหละหาเรื่องเครียดให้ตัวเอง..” คุณนายแม่ เอ่ยเสียงเครียด แววตาขุ่นขึ้งเมื่อตวัดไปมองลูกชายตัวดี
“เรื่องเครียดอะไรหรือครับคุณแม่..มีแต่เรื่องดีทั้งนั้น” กวินทำเสียงใสได้เป็นธรรมชาติ เขามีความสามารถพิเศษที่ทำให้บรรยากาศย่ำแย่กลายเป็นดีได้เสมอ
“บริษัทเราจะได้สดใส พนักงานไม่หน้าดำคร่ำเครียด ดูสิครับ คุณพ่อหน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลย”
แต่เขาไม่น่าจี้เส้นคุณนายด้วยวิธีโยนหมากให้บิดาเช่นนี้เลย หล่อนแว้ดขึ้นมาทันที
“สดใสเพราะจะได้คั่วนังเด็กนั่นน่ะสิ..อย่าเชียวนะคุณ..อย่าแม้แต่จะคิด”
คุณชโลทรส่งเสียงเป็นเชิงข่มขู่
“ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจ จะพาคุณพ่อไปฮันนีมูนต่างประเทศ หรือให้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านก็ได้นะครับ” กวินรีบเสนอทางออก ก่อนที่พ่อเขาจะหัวหดลงไปกว่านี้

“ผมดูแลเองได้ครับ ถ้ามีปัญหาจริงๆ ผมจะโทรไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่อีกที”
ข้อเสนอนี้ทำให้ “คุณนายแม่” เริ่มยิ้มออก..แต่เป็นยิ้มเพียงมุมปาก เพราะตัวปัญหายังลอยหน้าอยู่ในบริษัทของหล่อน
“ก็ดี..แต่แม่ไม่เข้าใจ ลูกรับมันเข้ามาทำไม”
“ยุคเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ คุณแม่จะไม่เห็นใจผู้หญิงตัวเล็กๆหน่อยหรือครับ คุณแม่ที่ผมเคยรู้จักเป็นคนใจดีมีเมตตา น่ารักออกจะตายไป” กวินส่งประกายตาวิงวอนเพิ่มคะแนน “จะปล่อยให้เด็กหน้าตาท่าทางซื่อๆ เดินเตะฝุ่นได้ลงคอหรือครับ ถ้าเขาไม่เดือนร้อนจริงๆคงไม่ร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าเจ้แววขนาดนั้น”
“มารยาหญิงน่ะสิ..แกอย่าได้ไปหลงกลแม่นั่นเชียวนะ เห็นใสๆแบบนั้น แม่ไม่ไว้ใจ”

คุณชโลทรยังคงค่อนขอด แต่เสียงอ่อนลงไปมาก แสดงว่าเริ่มยอมจำนนกับลูกชายช่างอ้อนคนนี้แล้ว คุณวิสุทธิ์ลอบยิ้มสมใจพลางยักคิ้วให้ลูกชายเป็นเชิงขอบคุณ ทว่าไม่สามารถรอดพ้นสายตาคมเหยี่ยวไปได้

“คุณวิสุทธิ์..คุณต้องพาฉันไปเที่ยวยุโรปให้หนำใจเลยนะ สามเดือนพอไหมคะ”
เสียงหวานของหล่อนเยียบเย็นลงไปถึงขั้วหัวใจคุณพ่อจอมกะล่อน กวินได้ทีรีบขอถอนตัวออกจากสงครามจิตวิทยาโดยเร็ว เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วทำเสียงตกใจ
“ตายละ..เกือบชั่วโมงแล้ว ปล่อยให้มัณฑนากรคนใหม่รอตั้งนาน”
คุณชโลทรหันมาส่งสายตาคำถาม กวินจึงอธิบายต่อ
“คุณมุกดาน่ะครับ วันนี้เธอมาถึงบริษัทตั้งแต่แปดโมง เป็นไงล่ะครับ เธอมีความรับผิดชอบสูงมากเลยนะเนี่ย”
“จะไปไหนก็ไปเถอะตาวิน..แม่ขี้เกียจฟังแกบรรยายสรรพคุณพนักงานใหม่ หมั่นไส้!”
ลูกชายหัวแก้วโค้งคำนับให้มารดาทีบิดาทีพร้อมยิ้มอย่างเด็กได้ของถูกใจ ก่อนจะรีบหมุนตัวออกไปจากห้อง


มุกดาลุกขึ้นยืนพร้อมกับประนมมือไหว้ระดับอก ก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองด้านหลังชายหนุ่ม มองหาคนที่คิดว่าน่าจะเดินออกมาด้วยกัน

“มองหาอะไรครับ”
กวินเลิกคิ้วถาม
“คุณนาย เอ่อ ท่านประธานคนเก่าล่ะคะ”

หล่อนถามประสาซื่อ เพราะก่อนเข้าไปในห้องหล่อนเห็น บุคคลที่พนักงานในบริษัทคนหนึ่งเล่าให้หล่อนฟังว่า..นี่แหละ คุณชโลทร ท่านประธานบริษัทคนเก่า จ้องมองหล่อนด้วยสายตาไม่ค่อยเป็นมิตร ทว่าก็ทักทายด้วยดีอย่างคนมีมารยาท ตามติดด้วยคนที่หล่อนคิดว่าน่าจะเป็นสามีของคุณชโลทร สายตากรุ้มกริ่มที่ชายวัยกลางคนผมเริ่มแซมสีดอกเลามองมา..หญิงสาวยังจำติดตา

“คุณมีอะไรจะคุยกับแม่ผมหรือ”
เมื่อเขายิงคำถามพร้อมแววตายียวนแบบนั้น หล่อนจึงได้แต่ส่ายศีรษะก้มหน้านิ่ง
“ไม่มีแล้วถามหาทำไม..” กวินแสร้งทำเสียงขรึม ทำเอามุกดาตัวลีบลงไปอีก ประกายตาของชายหนุ่มซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่มิด
“อ้อ..แล้วอีกอย่าง ไม่ต้องไหว้ผมบ่อยนักก็ได้ ผมยังไม่อยากแก่ วันละครั้งก็พอ ไม่ต้องทุกครั้งที่เจอกัน”

เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินรุดหน้าออกไปโดยไม่ได้หันมาเชื้อเชิญหญิงสาว มุกดายืนทำหน้าเก้ออยู่พักหนึ่ง พอนึกได้ก็รีบเดินแทบจะเป็นวิ่งไล่หลังคนขายาวที่ก้าวไปหยุดอยู่หน้าลิฟท์เพียงไม่กี่อึดใจ

“สวัสดีครับคุณวิน” ชายมาดดีหน้าตาคุ้นๆคนหนึ่งปราดเข้ามาเมื่อประตูลิฟทิ์เปิดออก กวินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“เรียกผมว่า..กวิน ดีกว่าครับ” ปกติแล้ว กวินเป็นคนง่ายๆ สบายๆกับคนรอบตัว ไม่ได้เย่อหยิ่งกับพนักงาน แต่ถ้าใครที่เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล หรือไม่ถูกชะตาด้วยแล้ว ชายหนุ่มจะวางตัวไปอีกแบบ..แบบที่ทำกับกฤษดาเป็นต้น

มุกดายืนอยู่ข้างๆเขา หล่อนยังแอบรู้สึกไม่พอใจแทนผู้มาใหม่ เห็นเขาสีหน้าเจื่อนลงถนัดตา หล่อนยิ่งนึกสงสาร

“ครับ..คุณกวิน”
นิ่งเงียบกับไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งทั้งสามเข้ามาอยู่ในลิฟท์ และประตูปิดเข้าหากัน
“จะพาคุณมัณฑนากรคนใหม่ไปแนะนำงานหรือครับ” กฤษดาปรับเสียงให้เป็นปรกติ ถึงจะโกรธเจ้านายคนใหม่แค่ไหน เขาก็อยากรู้เรื่องของมุกดามากกว่า
“ใช่..ผมจะพาเธอไปดูที่ทำงานของตัวเอง” กวินตอบอย่างสั้นที่สุด
“อ้อ..คงจะเป็นแผนกที่ครีเอทีฟโฆษณาอยู่กันใช่ไหมครับ..คุณ..”

กฤษดาส่งสายตาเป็นเชิงถามชื่อหญิงสาวกรายๆ พอดีมุกดายืนอยู่ข้างเขา ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้านายกับหล่อนพอดี และก่อนที่มุกดาจะชิงแนะนำตัวเอง กวินก็พูดตัดหน้าขึ้นมา

“คุณมุกดา..ขอโทษทีครับคุณกฤษดา ผมลืมแนะนำ” ไม่พูดเปล่า ท่านประธานคนใหม่ยังย้ายที่ยืนมาแทรกระหว่างกลาง กฤษดาแทบกระเถิบตัวถอยออกมาไม่ทัน เรียกได้ว่าเบียดเข้าไปยืนแทนที่ถึงจะถูก
“คุณมุกดา..นี่คุณกฤษดา หัวหน้าฝ่ายการตลาด” กวินแนะนำไปแกนๆ เหมือนทำตามมารยาทเสียมากกว่า มัณฑนากรคนสวยหันไปยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เพื่อนร่วมงานที่เพิ่งรู้จักกันอย่างเป็นทางการ หล่อนเพิ่งนึกออกว่าเขาคือหนุ่มมาดเนี้ยบที่เข้ามาแนะนำตัวกับหล่อนในวันแรกที่มาสมัครงาน

“สวัสดีครับคุณมุกดา ยินดีที่ได้รู้จักครับ” กฤษดายิ้มพราวทั้งปากและตา
“เรียกไข่มุกก็ได้ค่ะ..” หญิงสาวยิ้มตอบ
“ชื่อน่ารักมากครับ”

เท่านั้นแหละ หญิงสาวแค่เอ่ยตามประสาคนเข้ากับคนง่าย กวินทำเสียงกระแอมไอในลำคอขัดจังหวะ

“ผมว่าคุณควรรีบไปศึกษางานนะ วันนี้บริษัทเราปิดบ่ายโมง มัวแต่มา..” เขาเว้นคำอย่างจงใจให้คิด “เดี๋ยวจะไม่ได้สาระอะไรกลับไป”

ตอนนั้นทั้งสามเดินออกมาจากลิฟท์แล้ว ฝ่ายการตลาดอยู่ปีกซ้ายฝั่งตรงข้าม กับเป้าหมายของกวินและมุกดา กฤษดาจึงรีบขอตัวไปทำงานส่วนที่ค้างอยู่...ก็เจ้านายพูดขนาดนั้นแล้ว ถ้าเขายังอยู่ก็ถือว่าหน้าหนาเต็มทน

คนที่หน้าจ๋อยสุดๆคือมุกดา..หล่อนไม่เข้าใจว่าหล่อนทำผิดอะไร วันนี้เจ้านายถึงได้หาเรื่องแขวะอยู่ตลอดเวลา..หรือกวินอาจจะเกลียดขี้หน้าหล่อน เพราะขนาดความทรงจำแสนดีเขายังเขวี้ยงทิ้งไม่มีเหลือ นับประสาอะไรกับการพบกันใหม่ในครั้งนี้...คิดแล้วหญิงสาวก็เริ่มน้ำตาซึมขึ้นมาอีก

“บริษัทเราเพิ่งเปิดรับมัณฑนากรประจำเป็นครั้งแรก ก็เลยยังไม่ได้เตรียมแยกแผนกออกมาเป็นสัดส่วน ช่วงนี้คุณคงต้องทำงานรวมกับฝ่ายครีเอทีฟไปก่อนนะ..ไข่มุก”

คำเรียกชื่อนั้นทอดเสียงนุ่มนวล มัณฑนากรคนใหม่กำลังซึมๆอยู่ถึงกับเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยิน
“ทำไม..ผมเรียกชื่อเล่นคุณบ้างไม่ได้หรือไง”
เขาหาเรื่องยียวนหล่อนอีกแล้ว มุกดานึกในใจ

“ทีกับนายกฤษดา คุณยังเสนอ..เอ้ย ยังแนะนำให้เรียกชื่อเล่นแทน” กวินเอ่ยเสียงเหยียดๆ
มุกดาเกลียด “พี่วิน” ที่สุดในตอนนี้ เกลียดแววตา เกลียดน้ำเสียง “พี่วิน” คนเดิมของหล่อนหายไปไหน..

เกือบครึ่งวันที่กวินเอาแต่ทำเสียงเป็นการเป็นงานอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่ “มัณฑนากรประจำ” แบบคร่าวๆ โดยมากจะเน้นให้หล่อนศึกษาผลงานการออกแบบคอนโดของบริษัทครั้งก่อนๆ วาดแผนงานสำหรับโครงการในอนาคต แล้วนำมาส่งให้เขาดูพอเห็นไอเดียในเบื้องต้นเสียก่อน ที่ทำงานของหล่อนก็เหมือนกับที่เห็นในบริษัทหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลาย มีบล็อกพลาสติกกั้นเป็นคอกๆ มีคอมพิวเตอร์พร้อมชุดโต๊ะทำงานสำเร็จรูป เพิ่มเติมมาหน่อยก็คือชุดวาดเขียน อุปกรณ์จำเพาะอื่นๆอีกเล็กน้อยสำหรับการออกแบบภายใน

มุกดาพยายามทำใจให้เป็นปกติ หล่อนไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากพยักหน้ารับฟังคำอธิบายงานของชายหนุ่ม แน่นอน..ระหว่างเดินคุยงานในแผนกครีเอทีฟซึ่งประกอบไปด้วยพนักงานหนุ่ม ติสต์แตก มัน ฮา ดิบ เถื่อน ผู้หญิงคนเดียวอย่างหล่อนย่อมถูกลวนลามทางสายตา และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาเจ้านายหนุ่มไปได้ กวินกระแอมไอไปหลายทีจนคอแห้ง เริ่มกระหายน้ำและหิวข้าวขึ้นมาจริงๆ

“ผมหิวแล้ว..”
จู่ๆเขาก็เปรยขึ้น มุกดาแทบปรับสีหน้าไม่ถูก
“คะ?”
หญิงสาวถามเสียงเก้อ หากไม่มีตัวช่วยอย่างแพรวามาแยกเขากับหล่อนให้ห่างออกจากนิดหนึ่ง มุกดาคงนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น นึกคำพูดต่อไปไม่ทัน
“หิวก็ไปกินข้าวซีคะ” เสียงกังวานใสเป็นเอกลักษณ์มีอยู่คนเดียว กวินหันไปยิ้มให้กับเจ้าของเสียงก่อนจะเห็นกันเต็มตาเสียอีก มุกดาแอบเห็นแววตาลึกซึ้งนั้นก็อดเสียดแทงในใจไม่ได้
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับแพร ไม่โทรมาบอกก่อนจะได้ไปรับ”
เสียงตอบรับนุ่มนวล ไม่เหมือนที่คุยกับหล่อนสักนิด
“เกรงใจค่ะวิน” แพรวายิ้มเก๋อย่างเคย ก่อนจะหันมาทางน้องสาว “ไข่มุกไปทานข้าวข้างนอกกับพี่นะ”

มุกดาเหลือบมองพี่สาวที เจ้านายที ก็พอจะรู้สึกได้ว่าหากหล่อนไปก็เป็นก้างขวางคอเสียเปล่า

“ไข่มุกกินที่ฟู้ดคอร์ดดีกว่าค่ะ พี่แพรไปกับคุณวินเถอะ”
มุกดาฝืนยิ้ม
“อื้ม ผมว่าเรากินที่ฟู้ดคอร์ดก็ดีเหมือนกันนะแพร จะได้ไม่ต้องไปๆกลับๆ ข้างนอกแดดก็ร้อน”
กวินรีบเสนอ นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นยังจับอยู่ที่ดวงหน้าพริ้มเพราอย่างลืมตัว และมันก็ไม่พ้นสายตาของคนฉลาดอย่างดีไซเนอร์สาว
“ดีสิคะ แพรก็ชักขี้เกียจแล้วเหมือนกัน ”

เป็นอันว่ามื้อเที่ยงวันนี้ ทั้งสามคนก็ตกลงมุ่งไปที่เดียวกันคือศูนย์อาหารติดแอร์ภายในอาคารชั้นล่าง มีแบ่งส่วนเอาไว้สำหรับผู้บริหารและหัวหน้าแผนกสำคัญๆมีแผ่นกระจกใสติดม่านหรูกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว แต่เมนูอาหารก็จะอยู่ด้านนอก เลือกได้เท่าที่เห็นเหมือนกับพนักงานทั่วไป

“ทำไมคุณไม่บอกผม..ว่าไข่มุกเป็นน้องสาวคุณ เธอเป็นเจ้าของเรือนกุหลาบด้วยใช่ไหมแพร”
กวินเอ่ยเสียงค่อนข้างเครียดเมื่อดึงตัวแพรวาออกมาคุยกันสองคนได้ ขณะที่มุกดากำลังเดินเลือกอาหารอยู่
“หือ..อะไรคะวิน” หญิงสาวทำหน้าเหลอหลา “ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองนะคะ ว่าน้องสาวฉันคือคนเดียวกับไข่มุกที่คุณบอกว่าเพิ่งรับเข้าทำงาน”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่คุณรู้ไหม เธอคือเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมเล่าให้คุณฟังบ่อยๆ”
เสียงของกวินยิ่งเข้มและเครียดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
แพรวาเบิกตากว้าง
“จริงหรือคะ แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันแต่แรก”
กวินส่ายหน้าให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่เขาต้องการสื่อ

“ที่ผมอยากรู้คือ..ทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่ห้าปีก่อน ว่าน้องสาวคุณชื่อไข่มุก”
แพรวาทำหน้างงหนักเข้าไปอีก หญิงสาวยิ้มขันอย่างเป็นเรื่องตลก

“ใครจะไปรู้คะ ว่าไข่มุกน้องสาวฉันจะเป็นคนเดียวกับเด็กหญิงไข่มุกของคุณ..ชื่อคนมันซ้ำกันได้ค่ะ”

แววตาเขาอ่อนแสง ความหดหู่ในใจทอประกายออกมาอย่างจะให้คนตรงหน้ารับรู้

“เธอคือเด็กหญิงคนนั้น..และตอนนี้เธอก็มีเจ้าของแล้ว”
อีกหนึ่งวันที่มุกดาตื่นเช้า แม้จะเป็นวันอาทิตย์ คนส่วนใหญ่รวมถึงคนในเรือนกุหลาบต่างพักผ่อนยาว ไม่มีใครรีบร้อนตื่น เพราะไม่มีภาระคั่งค้าง ทว่าหญิงสาวตื่นเช้าจนเป็นนิสัย ไม่แบ่งวันหยุดวันทำงาน มีความสุขที่ได้ตื่นมารดน้ำต้นไม้บริเวณหลังบ้าน มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน บริเวณนี้ค่อนข้างสงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน อาจจะได้ยินเสียงเรือหางยาววิ่งผ่านนานๆครั้ง

พื้นที่ส่วนน้อยจากจำนวนเกือบห้าร้อยไร่ หล่อนยังแอบสงวนรักษาไว้เพื่อนึกถึงบิดาของหล่อน ซึ่งจะแวะมาเยี่ยมเดือนละครั้ง ส่วนมารดาจะพาครอบครัวไปเที่ยวปราณบุรีก็เห็นจะสองครั้งต่อปี หล่อนอยากมีสัญลักษณ์ที่ทำให้นึกถึงผู้เป็นพ่อ จะได้เหมือนมีท่านมองดูหล่อน อยู่ข้างๆ คอยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งที่ปรึกษาเหมือนตอนเยาว์วัย

สนามหลังบ้านติดลำธารสายนี้แหละที่พ่อของหล่อนชอบพาลูกมานั่งเล่น อาจเป็นเพราะตรงนี้ไม่ค่อยได้ยินเสียงก่นด่า หรือเสียงแหลมสูงของคุณหญิงนารี มารดาของหล่อน มันเงียบ มันสงบเกินไป ไม่เจริญหูเจริญตาสำหรับคุณหญิงนัก จึงเป็นสาเหตุหลักที่หล่อนมักเห็นพ่อมีความสุขเมื่ออยู่กับลูกๆ ณ มุมนี้ ก่อนที่พ่อจะตัดสินใจ แยกตัวออกไปอยู่เพียงลำพัง อย่างเด็ดขาดในช่วงที่หล่อนเข้าโรงเรียนประจำ สมัยมัธยมต้น

สาเหตุเดียวกันนี้ หล่อนจึงคอยรดน้ำทั้งต้นไม้ โดยมากเป็นพืชผลกินได้ เช่น มะม่วง กล้วย ฝรั่ง เป็นต้น และไม้ประดับประจำบ้านอย่างดอกกุหลาบ แต่ตรงส่วนนี้จะมีแต่กุหลาบตัดดอกก้านตรง พันธุ์ไฮบริดที เพราะสามารถปลูกติดกันได้หลายต้นในพื้นที่ที่ไม่กว้างนัก มีหลากสีทั้งแดง ส้ม ชมพู เหลือง เน้นสีสันสดใส อย่างที่พ่อชอบ

อันที่จริง บ้านของมุกดายังมีพืชสวนสมุนไพรอีกมาก แต่เมื่อขาดการดูแล และบางทีก็จงใจทำลาย เพื่อเอาพื้นที่ไปสร้างคฤหาสน์ใหญ่ทรงทันสมัย ตอนนี้จึงแทบไม่มีเหลือ คิดมาถึงตรงนี้หล่อนก็นึกถึง..มรกต พี่สาวคนเก่งของบ้าน

ซุ้มไม้ระแนงล้อเกวียนตรงนั้น มรกต เคยเอานิทานหลายสิบเล่มมาเล่าให้หล่อนฟัง หล่อนนึกถึงความสุขยามที่ได้หนุนตักพี่เขียว ลมโชย หอบเอาไอเย็นจากผิวน้ำ เสียงหัวเราะที่พี่น้องสี่คนเคยมีร่วมกัน ถึงแม้เพทายจะชอบจับแมลงทับน่าเกลียดน่ากลัวมาแกล้วหล่อน..มันอาจเขียวเลื่อมเหลืองพราย สวยสดสำหรับใครบางคน แต่มันน่ากลัวสำหรับมุกดา

มรกตเป็นพี่ที่ให้ความอบอุ่น เป็นแสงสว่างแก่น้องๆ เป็นความสดใสของทุกคนในบ้าน ไม่เว้นป้าแก่ ลุงแก่ทั้งหลาย ที่ทำงานรับใช้เรือนกุหลาบมาตั้งแต่สมัยย่าทวดของคุณพ่อ พี่เขียวของหล่อนทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องปลูกต้นไม้ ติดตา ปักชำ เร่งดอก พี่เขียวรับถ่ายทอดมากจากคุณพ่อได้หมด เป็นลูกสาวคนเดียวที่หัวไวกับเรื่องพันธุ์นี้ ผู้เป็นพ่อได้พยายามสอนลูกเป็ดขี้เหร่อย่างหล่อนเหมือนกัน แต่หล่อนไม่ถนัดเอาเลย เข้าหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวาไปหมด

เพทายยังพอรู้เรื่องการดูแลต้นไม้ใหญ่น้อยแบบงูๆปลาๆ แต่สำหรับไพลินกับมุกดานั้นไม่เอาถ่านแม้แต่น้อยในเรื่องนี้

หญิงสาวยังจำได้ เมื่อก่อนตอนหกเจ็ดขวบ ไพลินจัดว่าหน้าตาดีอันดับสองของบ้านรองจากแพรวา ก็ตอนนั้นพี่สาวคนนี้ยังไม่มีแว่นตากรอบดำหนาเตอะ ไม่มีผมหน้าม้าตัดตรงมาปิดบังความงาม สมัยนั้นแก้มยังแดงเป็นลูกตำลึง พ่อหล่อนชอบบอกว่าน่าฟัดน่าหอม จมูกนิดปากหน่อย แต่พอโตขึ้น ไม่รู้พี่ลินของหล่อนเครียดกับการเรียน ยึดมั่นในระเบียบวินัย หรืออ่านหนังสือในที่มืดมากไปหรือเปล่า จึงทำให้กลายมาเป็นสภาพคุณครูสุดเชย แถมยังเจ้าระเบียบ เนี้ยบดุไม่มีใครเกิน

ชิงช้าไม้ระแนงตรงนั้นเคยมีกุหลาบเลื้อยพันธุ์ climber สีฟ้าพันประดับบนเพดานระแนง ตอนนี้เหี่ยวเฉาไปหมด ไพลินชอบอุ้มตุ๊กตาเด็กอ่อนมาไกวตัวเล่น โยกเยกไปมา

หญิงสาวปะพรมน้ำบนดอกกุหลาบแถวสุดท้ายเสร็จสรรพก็วางกระป๋องน้ำลง หล่อนมีความสุขที่สุดเมื่อเห็นกลีบดอกบานรับแสงตะวัน รู้สึกเหมือนหัวใจของหล่อนผลิบานตามดอกไม้ อากาศบริสุทธิ์อย่างที่หาได้ยากในเมืองกรุงทำให้หล่อนยินดีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

กำลังจะเดินไปนั่งทอดอารมณ์ต่อที่ศาลาแปดเหลี่ยมหลังคาสองชั้นตรงริมน้ำ เงาร่างใครบางคนก็ปรากฏเด่นอยู่ก่อนแล้ว

ชายหนุ่มนั่งเท้าคางมองหล่อนด้วยรอยยิ้มจางๆ...คนที่อยู่ในฝันหล่อนทุกคืนใบหน้าพร่างพรมไปด้วยความสุขชนิดที่หล่อนไม่คิดว่าจะได้เห็น





ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2555, 18:56:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2555, 21:21:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1866





<< บทที่ ๕ ความทรงจำสีจาง   บทที่ ๗ ลึกสุดใจ >>
jink 7 ก.ค. 2555, 09:34:19 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account