มาเฟียจำเป็น
เมื่อเขาโดนยัดเยียดให้เป็นเจ้าพ่อมาเฟีย
Tags: มาเฟีย เจ้าพ่อ ประธานบริษัท ปืน
ตอน: บทที่ 7
บทที่ 7
ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วลืมตาขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียงกุกกักเกือบนับชั่วโมงแล้ว เผยให้เห็นร่างบางในชุดเดียวกับเมื่อคืนนี้กำลังยืนหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หนานเฟยไม่สามารถรับรู้ได้ ทว่าความสงสัยก็ต้องมีอันพับลงเมื่อหนานเฟยรู้สึกถึงกลิ่นบะหมี่โชยเข้ามาแตะจมูก
“เอาล่ะ แค่นี้ก็เรียบร้อย” ร่างบางเอ่ยปากพูดคนเดียวด้วยภาษาที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจพลางหมุนตัวกลับมาทางหนานเฟย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนป่วยกำลังเอียงคอมองอยู่ “เอ่อ ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตื่น พอดีกลิ่นบะหมี่ที่ฉันทำมันแรงไปหน่อย”
คราวนี้อีกฝ่ายพูดกลับมาด้วยภาษาจีนกวางตุ้งเหมือนเดิม แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยปากถาม หลิวก็ชิงดักพูดขึ้นมาก่อน
“ลองทานบะหมี่นี่หน่อยดูไหมคะคุณลีโอ ฉันเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่นี้เอง” ไม่ว่าเปล่าเพียงอย่างเดียว ยังหันกลับไปหยิบชามบะหมี่ขึ้นมาให้ชายหนุ่มดูด้วย “ถึงมันจะเป็นแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ก็อร่อยใช้ได้เลยนะคะ”
พอพูดจบ อีกฝ่ายก็เดินถือชามบะหมี่เข้ามาก่อนจะนำมันวางไว้บนโต๊ะไม้สำหรับวางอาหารของคนป่วย
“คุณยังเจ็บอยู่ คงทานบะหมี่ไม่สะดวก เดี๋ยวฉันจะป้อนให้คุณเองนะ”
ว่าแล้วก็จับตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาเป่าทันที ทำเอาหนานเฟยรีบแย้งกลับไป
“ไม่ต้องครับคุณหลิว ผมทานเอง...อุบ!” ชายหนุ่มแทบนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดหลังจากใช้ความพยายามในการแย่งตะเกียบกับชามมา ซึ่งทำเอาร่างบางหัวเราะเบาๆ
“ดูท่าแขนของคุณจะไม่ยอมทำตามอย่างที่พูดไว้เลยนะคะ” คำพูดหยอกล้อของหลิวทำเอาหนานเฟยพูดไม่ออก ส่วนร่างบางเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดตอบกลับมาแล้ว ก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาเป่าสองสามทีพลางยื่นเข้ามาใกล้ ซึ่งทำให้หนานเฟยได้แต่มองหน้าหลิวสลับกับบะหมี่ในตะเกียบอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากงับบะหมี่มาเคี้ยวอย่างเงียบๆ ไม่นานนักชายหนุ่มก็ได้รับรู้รสเผ็ดปนเปรี้ยวของบะหมี่ที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน “เป็นไงบ้างคะ พอใช้ได้ไหม”
“ครับ”
“ดีแล้วค่ะที่คุณชอบ เพราะส่วนมากคนที่นี่ไม่ค่อยนิยมบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” หญิงสาวพูดตอบพลางหยิบซองบะหมี่ขึ้นมาให้ดู แลเห็นตัวหนังสือยี่ห้อของซองบะหมี่ที่ชายหนุ่มไม่คุ้นตา แต่พอเดาได้ว่าบะหมี่ซองนี้เป็นของที่ผลิตมาจากต่างประเทศ “บะหมี่ซองนี้ผลิตในประเทศไทย เป็นรสต้มยำกุ้ง รสชาติจะออกเปรี้ยวๆเผ็ดๆ ...”
“อืม หมอว่าบะหมี่ซองนี้ น่าจะหวานมากกว่าเผ็ดนะ ว่าไหมพ่อหนุุ่ม”
เสียงแหบแห้งพูดแทรกขัดจังหวะ ทำเอาหนานเฟยผละออกห่างจากหญิงสาวทันที ส่วนหลิวเมื่อเห็นหมอจางเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงเดินถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้อีกฝ่ายได้เดินเข้ามาอย่างสะดวก
“ถ้าพ่อหนุ่มไม่ว่าอะไร หมอขอตรวจร่างกายก่อนได้ไหม”
“ได้ครับหมอจาง”
แล้วหมอจางก็ตรวจร่างกายหนานเฟยทันที
ด้านเทียนชิงเมื่อสั่งลูกน้องออกตามหาหนานเฟยอยู่หลายชั่วโมงแล้วก็ไม่พบ ชายหนุ่มก็ได้ย้อนกลับมาตรวจสอบสภาพที่เกิดเหตุ และได้รับข้อมูลความเสียหายว่าฝ่ายตนตายสิบสองราย บาดเจ็บสาหัสยี่สิบ ครั้นไปสำรวจที่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว กลับสร้างความประหลาดใจให้กับเลขาหนุ่มยิ่งนัก เพราะศพเหล่านั้นแต่งกายไม่บอกสังกัด ใกล้ๆ กัน คือศพของมือปืนที่พ่ายหมิงส่งมา
...มือที่สามรึ?
เทียนชิงครุ่นคิดในใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชายหนุ่มต้องตามสืบหาต้นตอให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แล้วจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้เทียนชิงต้องหยุดคิดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าปลายสายเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดรับแล้วแนบหูฟัง
“ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะท่านเลขา ไม่สิ ต้องมือขวาท่านอดีตประธานไป่ถึงจะถูก”
น้ำเสียงทุ้มของปลายสายดังลอดเข้ามา ทำเอาเลขาหนุ่มถึงกับมุ่นคิ้ว
“แกเป็นใคร”
“เป็นใครบางคนที่นายอาจเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นก็ได้” อีกฝ่ายพูดตอบกวนอวัยวะเบื้องล่าง “ว่าแต่ของขวัญที่ฉันส่งมาต้อนรับท่านประธานคนใหม่เมื่อคืนนี้เป็นยังไงล่ะ ถูกใจดีไหม”
ทว่าเทียนชิงไม่ตอบ เลยทำให้อีกฝ่ายต้องกรอกเสียงกลับมาอีกครั้ง
“หึ ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าตอนนี้ขอให้สนุกกับการออกตามหาท่านประธานล่ะ”
แล้วเสียงก็ถูกตัดออกไป ทำเอาเทียนชิงนึกแค้นที่ไม่สามารถเดาน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย รู้แต่เพียงว่าอีกฝ่ายเคยรู้จักตนเป็นอย่างดี แถมยังรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาเกือบแทบทุกฝีก้าวด้วย
...ในแกงค์มีหนอนบ่อนไส้?
Trr…
เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มรีบกดรับพร้อมตะคอกเสียงกลับไปโดยไม่ดูเบอร์ให้เสียเวลา
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าแกเป็นใครกันแน่?!”
ดูเหมือนปลายสายเงียบไปชั่วครู่อึดใจ ก่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหู
“ฉันนะหรือ ฉันก็เป็นเจ้านายของแกไงอาชิง”
หนานเฟยเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ซึ่งบัดนี้มาในชุดเสื้อสูทธรรมดา ผิดตรงที่ทรงผมออกจะรุงรังเล็กน้อยราวกับเจ้าตัวรีบบึ่งมาที่นี่โดยไม่ได้ใส่ใจจะหวีมัน แถมยังมุ่นคิ้วมองมาที่เขาสลับกับหลิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยด้วยความสงสัย
“ต้องขอโทษที่ให้มารับ พอดีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยนะอาชิง” หนานเฟยพูดพลางส่งยิ้มแห้งๆ ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับปากกับเรื่องที่เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์ไปก่อนหน้านี้รึไม่ ก่อนจะหันหน้าไปทางหลิวกับหมอจางต่อ “เพื่อนที่ทำงานของผมเอง ชื่อเทียนชิง อาชิง นี่หมอจางคนที่ช่วยรักษาให้ ส่วนผู้หญิงคนนี้ชื่อหลิว เป็นคนไปเจอฉันก่อนจะพามารักษาที่นี่นะ”
เลขาหนุ่มฟังที่หนานเฟยพูดก็พยักหน้าพลางหันไปทางหลิวกับหมอจาง
“ขอบคุณพวกคุณทั้งสองที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีพวกคุณ เพื่อนของผมคงแย่”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
หมอจางกับหลิวพูดพร้อมกัน แล้วเทียนชิงก็หันมาทางหนานเฟยต่อราวกับต้องการบอกเป็นนัยยะว่า’สมควรแก่เวลาแล้ว’ ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปบอกลากับหมอจาง
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อืม แล้วอย่าลืมกลับมาที่นี่ทุกเย็นเพื่อดูอาการด้วยล่ะพ่อหนุ่ม” หมอจางบอก ซึ่งหนานเฟยพยักหน้าตอบตกลง “เอ้อ จริงสิ ไหนๆพวกเธอก็จะกลับอยู่แล้ว แวะไปส่งอาหลิวที่มหาวิทยาลัยหน่อยก็ดีนะ”
หนานเฟยถึงกับมุ่นคิ้วพลางเหลือบไปมองเลขาตัวแสบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้หันมองกลับมาที่ตน จึงตัดสินใจตอบตกลงไปทันที
“ได้ครับหมอจาง”
ระหว่างการเดินทางกลับไปส่งหลิวที่หอพักมหาวิทยาลัยนั้น ทำให้หนานเฟยได้เห็นบอดีการ์ดชุดสูทสีดำเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่หลายคน ถึงแม้จะไม่เป็นที่ผิดสังเกตก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ทราบดีว่าพวกนั้นเป็นใคร มาทำอะไรอยู่แถวนี้ ครั้นพอถึงหอพักแล้ว หลิวก็หันหน้ามามองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะคะที่พวกคุณอุตส่าห์มาส่งหลิวถึงที่”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เล็กน้อย” หนานเฟยตอบกลับ ผิดกับเลขาตัวแสบที่แอบเหลือบมองมาที่หลิวสลับกับมองไปที่อื่นเป็นระยะๆ “ช่วงนี้คุณก็อย่าออกเดินไปไหนค่ำๆมืดๆโดยไม่มีเพื่อนไปด้วยเด็ดขาดนะครับ เพราะมันไม่ค่อยปลอดภัย”
“หลิวรับทราบค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ถ้างั้นผมกับอาชิงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เพราะต้องรีบกลับบ้านก่อน”
“ค่ะ แล้วพบกันนะคะ”
“ครับ แล้วพบกันอีก”
หนานเฟยตอบพลางหมุนตัวเดินกลับตามเลขาที่ออกเดินนำไปก่อนแล้ว เมื่อเดินพ้นมุมตึกหอพักแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปขึ้นรถยุโรปสีดำที่มีเทียนชิงยืนรอเปิดประตูอยู่ ครั้นพอขึ้นรถเสร็จสรรพ ไม่ทันที่หนานเฟยจะได้เอ่ยปากถามบาดแผลที่ถูกยิงของเลขา อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนขับก็ดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมขอแนะนำท่านว่าอย่าได้จับเด็กสาวมาเป็นคู่นอนเด็ดขาด”
“ว่ายังไงนะ?!”
หนานเฟยถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ผมกำลังบอกท่านว่า ท่านอย่าได้จับเด็กคนนั้นมาเป็นคู่นอนเด็ดขาดนะครับ” เทียนชิงตอบหน้าตายในขณะที่กำลังสาละวนหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งขึ้นมาจากลิ้นชักเก็บของ “เพราะเธอผู้นั้นไม่คู่ควรกับตำแหน่งของท่าน หากจะเลือกหญิงสาวที่ต้องการ ควรจะเลือกผู้หญิงที่มีอายุซักประมาณยี่สิบแปดขึ้นไป และจำต้องมีฐานะที่สูงพอสมควร ไม่ใช่เด็กกะโปโลหรือเด็กที่เพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะครับ”
ดูเหมือนเทียนชิงจะไม่รู้ว่าคนที่พูดถึงอยู่นั้นได้มีอายุปาเข้าเกือบเลขสามแล้ว!
ถึงหลิวจะมีอายุเท่ากับตน แต่หนานเฟยก็ไม่คิดจะทำตามที่เทียนชิงพูดอยู่แล้ว เพราะหลิวเป็นเพียงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา และนอกจากนี้ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะลากหลิวเข้ามาสู่ในวงการมืดโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เด็ดขาด
“ขอบใจสำหรับคำแนะนำ แต่ทีหลังไม่ต้อง” หนานเฟยพูดตอบปัดอย่างรำคาญ “ว่าแต่บาดแผลที่ถูกยิงเป็นยังไงบ้าง”
“กระสุนแค่เฉี่ยวหัวเข่าซ้าย ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตครับ ท่านประธานจะให้ผมรายงานจำนวนบอดีการ์ดกับจำนวนคนร้ายให้ฟังด้วยไหมครับ”
“อืม”
ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วลืมตาขึ้นมามองเมื่อได้ยินเสียงกุกกักเกือบนับชั่วโมงแล้ว เผยให้เห็นร่างบางในชุดเดียวกับเมื่อคืนนี้กำลังยืนหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หนานเฟยไม่สามารถรับรู้ได้ ทว่าความสงสัยก็ต้องมีอันพับลงเมื่อหนานเฟยรู้สึกถึงกลิ่นบะหมี่โชยเข้ามาแตะจมูก
“เอาล่ะ แค่นี้ก็เรียบร้อย” ร่างบางเอ่ยปากพูดคนเดียวด้วยภาษาที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจพลางหมุนตัวกลับมาทางหนานเฟย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนป่วยกำลังเอียงคอมองอยู่ “เอ่อ ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตื่น พอดีกลิ่นบะหมี่ที่ฉันทำมันแรงไปหน่อย”
คราวนี้อีกฝ่ายพูดกลับมาด้วยภาษาจีนกวางตุ้งเหมือนเดิม แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยปากถาม หลิวก็ชิงดักพูดขึ้นมาก่อน
“ลองทานบะหมี่นี่หน่อยดูไหมคะคุณลีโอ ฉันเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่นี้เอง” ไม่ว่าเปล่าเพียงอย่างเดียว ยังหันกลับไปหยิบชามบะหมี่ขึ้นมาให้ชายหนุ่มดูด้วย “ถึงมันจะเป็นแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ก็อร่อยใช้ได้เลยนะคะ”
พอพูดจบ อีกฝ่ายก็เดินถือชามบะหมี่เข้ามาก่อนจะนำมันวางไว้บนโต๊ะไม้สำหรับวางอาหารของคนป่วย
“คุณยังเจ็บอยู่ คงทานบะหมี่ไม่สะดวก เดี๋ยวฉันจะป้อนให้คุณเองนะ”
ว่าแล้วก็จับตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาเป่าทันที ทำเอาหนานเฟยรีบแย้งกลับไป
“ไม่ต้องครับคุณหลิว ผมทานเอง...อุบ!” ชายหนุ่มแทบนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดหลังจากใช้ความพยายามในการแย่งตะเกียบกับชามมา ซึ่งทำเอาร่างบางหัวเราะเบาๆ
“ดูท่าแขนของคุณจะไม่ยอมทำตามอย่างที่พูดไว้เลยนะคะ” คำพูดหยอกล้อของหลิวทำเอาหนานเฟยพูดไม่ออก ส่วนร่างบางเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้พูดตอบกลับมาแล้ว ก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาเป่าสองสามทีพลางยื่นเข้ามาใกล้ ซึ่งทำให้หนานเฟยได้แต่มองหน้าหลิวสลับกับบะหมี่ในตะเกียบอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากงับบะหมี่มาเคี้ยวอย่างเงียบๆ ไม่นานนักชายหนุ่มก็ได้รับรู้รสเผ็ดปนเปรี้ยวของบะหมี่ที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน “เป็นไงบ้างคะ พอใช้ได้ไหม”
“ครับ”
“ดีแล้วค่ะที่คุณชอบ เพราะส่วนมากคนที่นี่ไม่ค่อยนิยมบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” หญิงสาวพูดตอบพลางหยิบซองบะหมี่ขึ้นมาให้ดู แลเห็นตัวหนังสือยี่ห้อของซองบะหมี่ที่ชายหนุ่มไม่คุ้นตา แต่พอเดาได้ว่าบะหมี่ซองนี้เป็นของที่ผลิตมาจากต่างประเทศ “บะหมี่ซองนี้ผลิตในประเทศไทย เป็นรสต้มยำกุ้ง รสชาติจะออกเปรี้ยวๆเผ็ดๆ ...”
“อืม หมอว่าบะหมี่ซองนี้ น่าจะหวานมากกว่าเผ็ดนะ ว่าไหมพ่อหนุุ่ม”
เสียงแหบแห้งพูดแทรกขัดจังหวะ ทำเอาหนานเฟยผละออกห่างจากหญิงสาวทันที ส่วนหลิวเมื่อเห็นหมอจางเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงเดินถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้อีกฝ่ายได้เดินเข้ามาอย่างสะดวก
“ถ้าพ่อหนุ่มไม่ว่าอะไร หมอขอตรวจร่างกายก่อนได้ไหม”
“ได้ครับหมอจาง”
แล้วหมอจางก็ตรวจร่างกายหนานเฟยทันที
ด้านเทียนชิงเมื่อสั่งลูกน้องออกตามหาหนานเฟยอยู่หลายชั่วโมงแล้วก็ไม่พบ ชายหนุ่มก็ได้ย้อนกลับมาตรวจสอบสภาพที่เกิดเหตุ และได้รับข้อมูลความเสียหายว่าฝ่ายตนตายสิบสองราย บาดเจ็บสาหัสยี่สิบ ครั้นไปสำรวจที่ฝ่ายตรงข้ามแล้ว กลับสร้างความประหลาดใจให้กับเลขาหนุ่มยิ่งนัก เพราะศพเหล่านั้นแต่งกายไม่บอกสังกัด ใกล้ๆ กัน คือศพของมือปืนที่พ่ายหมิงส่งมา
...มือที่สามรึ?
เทียนชิงครุ่นคิดในใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ชายหนุ่มต้องตามสืบหาต้นตอให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ แล้วจู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้เทียนชิงต้องหยุดคิดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าปลายสายเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดรับแล้วแนบหูฟัง
“ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะท่านเลขา ไม่สิ ต้องมือขวาท่านอดีตประธานไป่ถึงจะถูก”
น้ำเสียงทุ้มของปลายสายดังลอดเข้ามา ทำเอาเลขาหนุ่มถึงกับมุ่นคิ้ว
“แกเป็นใคร”
“เป็นใครบางคนที่นายอาจเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นก็ได้” อีกฝ่ายพูดตอบกวนอวัยวะเบื้องล่าง “ว่าแต่ของขวัญที่ฉันส่งมาต้อนรับท่านประธานคนใหม่เมื่อคืนนี้เป็นยังไงล่ะ ถูกใจดีไหม”
ทว่าเทียนชิงไม่ตอบ เลยทำให้อีกฝ่ายต้องกรอกเสียงกลับมาอีกครั้ง
“หึ ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าตอนนี้ขอให้สนุกกับการออกตามหาท่านประธานล่ะ”
แล้วเสียงก็ถูกตัดออกไป ทำเอาเทียนชิงนึกแค้นที่ไม่สามารถเดาน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย รู้แต่เพียงว่าอีกฝ่ายเคยรู้จักตนเป็นอย่างดี แถมยังรู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาเกือบแทบทุกฝีก้าวด้วย
...ในแกงค์มีหนอนบ่อนไส้?
Trr…
เสียงโทรศัพท์ดังอีกครั้ง ทำให้ชายหนุ่มรีบกดรับพร้อมตะคอกเสียงกลับไปโดยไม่ดูเบอร์ให้เสียเวลา
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าแกเป็นใครกันแน่?!”
ดูเหมือนปลายสายเงียบไปชั่วครู่อึดใจ ก่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหู
“ฉันนะหรือ ฉันก็เป็นเจ้านายของแกไงอาชิง”
หนานเฟยเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ ซึ่งบัดนี้มาในชุดเสื้อสูทธรรมดา ผิดตรงที่ทรงผมออกจะรุงรังเล็กน้อยราวกับเจ้าตัวรีบบึ่งมาที่นี่โดยไม่ได้ใส่ใจจะหวีมัน แถมยังมุ่นคิ้วมองมาที่เขาสลับกับหลิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยด้วยความสงสัย
“ต้องขอโทษที่ให้มารับ พอดีเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยนะอาชิง” หนานเฟยพูดพลางส่งยิ้มแห้งๆ ซึ่งชายหนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับปากกับเรื่องที่เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์ไปก่อนหน้านี้รึไม่ ก่อนจะหันหน้าไปทางหลิวกับหมอจางต่อ “เพื่อนที่ทำงานของผมเอง ชื่อเทียนชิง อาชิง นี่หมอจางคนที่ช่วยรักษาให้ ส่วนผู้หญิงคนนี้ชื่อหลิว เป็นคนไปเจอฉันก่อนจะพามารักษาที่นี่นะ”
เลขาหนุ่มฟังที่หนานเฟยพูดก็พยักหน้าพลางหันไปทางหลิวกับหมอจาง
“ขอบคุณพวกคุณทั้งสองที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีพวกคุณ เพื่อนของผมคงแย่”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
หมอจางกับหลิวพูดพร้อมกัน แล้วเทียนชิงก็หันมาทางหนานเฟยต่อราวกับต้องการบอกเป็นนัยยะว่า’สมควรแก่เวลาแล้ว’ ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปบอกลากับหมอจาง
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อืม แล้วอย่าลืมกลับมาที่นี่ทุกเย็นเพื่อดูอาการด้วยล่ะพ่อหนุ่ม” หมอจางบอก ซึ่งหนานเฟยพยักหน้าตอบตกลง “เอ้อ จริงสิ ไหนๆพวกเธอก็จะกลับอยู่แล้ว แวะไปส่งอาหลิวที่มหาวิทยาลัยหน่อยก็ดีนะ”
หนานเฟยถึงกับมุ่นคิ้วพลางเหลือบไปมองเลขาตัวแสบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้หันมองกลับมาที่ตน จึงตัดสินใจตอบตกลงไปทันที
“ได้ครับหมอจาง”
ระหว่างการเดินทางกลับไปส่งหลิวที่หอพักมหาวิทยาลัยนั้น ทำให้หนานเฟยได้เห็นบอดีการ์ดชุดสูทสีดำเดินเพ่นพ่านไปมาอยู่หลายคน ถึงแม้จะไม่เป็นที่ผิดสังเกตก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็ทราบดีว่าพวกนั้นเป็นใคร มาทำอะไรอยู่แถวนี้ ครั้นพอถึงหอพักแล้ว หลิวก็หันหน้ามามองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะคะที่พวกคุณอุตส่าห์มาส่งหลิวถึงที่”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เล็กน้อย” หนานเฟยตอบกลับ ผิดกับเลขาตัวแสบที่แอบเหลือบมองมาที่หลิวสลับกับมองไปที่อื่นเป็นระยะๆ “ช่วงนี้คุณก็อย่าออกเดินไปไหนค่ำๆมืดๆโดยไม่มีเพื่อนไปด้วยเด็ดขาดนะครับ เพราะมันไม่ค่อยปลอดภัย”
“หลิวรับทราบค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ถ้างั้นผมกับอาชิงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ เพราะต้องรีบกลับบ้านก่อน”
“ค่ะ แล้วพบกันนะคะ”
“ครับ แล้วพบกันอีก”
หนานเฟยตอบพลางหมุนตัวเดินกลับตามเลขาที่ออกเดินนำไปก่อนแล้ว เมื่อเดินพ้นมุมตึกหอพักแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปขึ้นรถยุโรปสีดำที่มีเทียนชิงยืนรอเปิดประตูอยู่ ครั้นพอขึ้นรถเสร็จสรรพ ไม่ทันที่หนานเฟยจะได้เอ่ยปากถามบาดแผลที่ถูกยิงของเลขา อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนขับก็ดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมขอแนะนำท่านว่าอย่าได้จับเด็กสาวมาเป็นคู่นอนเด็ดขาด”
“ว่ายังไงนะ?!”
หนานเฟยถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ผมกำลังบอกท่านว่า ท่านอย่าได้จับเด็กคนนั้นมาเป็นคู่นอนเด็ดขาดนะครับ” เทียนชิงตอบหน้าตายในขณะที่กำลังสาละวนหยิบเอกสารจำนวนหนึ่งขึ้นมาจากลิ้นชักเก็บของ “เพราะเธอผู้นั้นไม่คู่ควรกับตำแหน่งของท่าน หากจะเลือกหญิงสาวที่ต้องการ ควรจะเลือกผู้หญิงที่มีอายุซักประมาณยี่สิบแปดขึ้นไป และจำต้องมีฐานะที่สูงพอสมควร ไม่ใช่เด็กกะโปโลหรือเด็กที่เพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะครับ”
ดูเหมือนเทียนชิงจะไม่รู้ว่าคนที่พูดถึงอยู่นั้นได้มีอายุปาเข้าเกือบเลขสามแล้ว!
ถึงหลิวจะมีอายุเท่ากับตน แต่หนานเฟยก็ไม่คิดจะทำตามที่เทียนชิงพูดอยู่แล้ว เพราะหลิวเป็นเพียงผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา และนอกจากนี้ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะลากหลิวเข้ามาสู่ในวงการมืดโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เด็ดขาด
“ขอบใจสำหรับคำแนะนำ แต่ทีหลังไม่ต้อง” หนานเฟยพูดตอบปัดอย่างรำคาญ “ว่าแต่บาดแผลที่ถูกยิงเป็นยังไงบ้าง”
“กระสุนแค่เฉี่ยวหัวเข่าซ้าย ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตครับ ท่านประธานจะให้ผมรายงานจำนวนบอดีการ์ดกับจำนวนคนร้ายให้ฟังด้วยไหมครับ”
“อืม”
dragonp
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2555, 22:52:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2555, 22:09:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 1699
<< บทที่ 6 |
dee_jung 26 พ.ค. 2555, 12:04:14 น.
รักษาตัวนะคะ
รักษาตัวนะคะ
lookAme 26 พ.ค. 2555, 16:11:37 น.
หวานๆ แววๆ
หวานๆ แววๆ