มาเฟียจำเป็น
เมื่อเขาโดนยัดเยียดให้เป็นเจ้าพ่อมาเฟีย
Tags: มาเฟีย เจ้าพ่อ ประธานบริษัท ปืน
ตอน: บทที่ 6
บทที่ 6
หลังจากนั้นหนานเฟยก็ได้คุยกับหมอจาง ทำให้ชายหนุ่มพอรู้คร่าวๆว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหมอประจำอยู่คลินิกใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังในฮ่องกง ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บของตนนั้นก็ไม่หนักหนาสาหัส พักผ่อนซักสองสามวันก็หายแล้ว
“ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกถูก” ร่างบางเอ่ยปากถามหลังจากที่หมอจางปล่อยให้พวกเขาได้อยู่กันสองคนตามลำพัง แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็ดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ฉันหลิว มาจากประเทศไทย เพิ่งย้ายมาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยที่นี่เป็นวันแรกนะ”
พอพูดจบ ร่างบางก็ได้ส่งมือราวกับต้องการให้หนานเฟยจับมือทักทายแบบอเมริกันอีกด้วย ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงก้มมองดูมือสลับกับคนพูดไปมา ก่อนจะยื่นมือขวาจับทักทายตอบกลับไป
“ลีโอ ผมลีโอ”
“ลีโอที่แปลว่าราชสีห์นะรึ” หลิวพูดพลางมุ่นคิ้วจ้องหนานเฟย “สมแล้วที่เป็นลูกครึ่ง แม่คุณนี่ตั้งชื่อได้เจ๋งดีนะ”
คราวนี้เป็นชายหนุ่มต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจบ้าง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่ง ซึ่งสมัยนี้แค่สีนัยน์ตาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญชาติอะไร แถมช่วงนี้คอนแทคเลนส์ชนิดสีก็เป็นที่แพร่หลายในหมู่วัยรุ่นด้วย
“ว่าแต่คุณไม่คิดจะโทรกลับไปหาครอบครัวบ้างหน่อยหรือ ป่านนี้พวกเขาคงเป็นห่วงแย่แล้วมั้ง”
อีกฝ่ายถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งทำเอาชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย
...ถ้ามีคนให้โทรกลับก็ดีสิ
หนานเฟยครุ่นคิดตอบในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนลืมเทียนชิงไปเสียสนิทใจ เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วอีกฝ่ายจะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหันกลับไปถามหลิวเพื่อขอยืมโทรศัพท์ไปหาเลขาอยู่นั้น หมอจางก็เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีพวกชุดดำกำลังมาที่คลินิกนี้ รีบเข้าไปซ่อนตัวเร็วเข้า!”
“ซ่อนตัว? ซ่อนไปทำไมหรือคะหมอจาง”
ร่างบางถามกลับด้วยความสงสัย หากแต่หมอจางไม่ตอบ กลับดึงข้อมือหนานเฟยให้ลงจากเตียงพลางดันชายหนุ่มให้เข้าไปซ่อนตัวในตู้ล็อกเกอร์เก็บไม้กวาด ก่อนจะรีบล็อกกุญแจเสียแน่น
“อยู่เงียบๆจนกว่าพวกมันจะไปล่ะพ่อหนุ่ม”
“ครับ”
แล้วหนานเฟยก็ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของหลายคนวิ่งเข้ามา
“พวกแกเป็นใคร จู่ๆ เข้ามาเอะอะโวยวาย ที่นี่มันคลินิกนะ!”
เสียงหมอจางพูด แต่ก็โดนเสียงทุ้มตอกกลับใส่แบบห้วนๆ
“บอกมาไอ้แก่ มีคนถูกยิงมาที่นี่หรือเปล่า!”
“คนถูกยิงหรือ? มีที่ไหนเล่า” หมอจางเถียงย้อน “ตอนนี้ที่นี่มีแต่ฉันกับคนไข้เด็ก ไสหัวกลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะโทรไปแจ้งตำรวจ!”
“คนไข้เด็ก หรือเมียเด็กกันแน่ คุณหมอ ดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้น่ะ?!”
“พูดจาระวังปากหน่อย!! คนมันจะป่วย มันเลือกเวลากันได้ด้วยหรือไง ถึงเวลาพวกแกอย่าคลานมาขอให้รักษาก็แล้วกัน!”
แล้วเสียงก็เงียบไป ทำให้หนานเฟยเดาไม่ออกว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง แต่ก็พอรู้ได้ว่าหมอจางกับหลิวคงกำลังอึดอัดใจที่ต้องมาเผชิญหน้ากับพวกนักฆ่าอย่างแน่นอน
“กลับเว้ย!”
เสียงนั้นตอบก่อนจะตามด้วยฝีเท้าเดินจากไป ซึ่งหนานเฟยยืนรอได้ไม่นาน ตู้ล็อกเกอร์ก็ได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความโล่งใจของหมอจาง
“พวกมันไปแล้วพ่อหนุ่ม ออกมาเถอะ”
“ครับ”
หนานเฟยตอบพลางเดินออกมา ก่อนจะเห็นหลิวกำลังนั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงที่ตนเคยใช้นั่งเมื่อครู่นี้
...คงจะกลัวอยู่สินะ
ชายหนุ่มครุ่นคิดในใจ เพราะเดิมทีคนทั่วไปย่อมต้องกลัวเรื่องพวกนี้เป็นของธรรมดา ครั้นพอชายหนุ่มจะเอ่ยปากพูดขอโทษ อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นพรวดจากเตียง ทำเอาหนานเฟยกับหมอจางถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ว้าว! ตะกี้น่าตื่นเต้นเป็นบ้า!” หลิวพูดด้วยน้ำเสียงยินดี ซึ่งผิดกับใบหน้าซีดเมื่อครู่นี้ลิบลับ “ชายชุดดำเอย ปืนเอย อย่างกะหลุดเข้ามาในหนังภาพยนตร์ประเภทบู้เลือดเดือดของพวกมาเฟียเลยแฮะ”
...ไม่ใช่หลุด แต่เจอจังเบอร์เลยล่ะ
หนานเฟยกับหมอจางต่างครุ่นคิดตอบคำถามเหล่านั้นในใจพร้อมกัน
“ว่าแต่พวกเขาเป็นใครหรือคะคุณลีโอ ถึงได้ตามตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย”
หญิงสาวถามต่อพลางจ้องไปที่ต้นแขนขวาของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย
...จะให้ตอบว่าพวกนั้นต้องการฆ่าเพราะเขาเป็นถึงประธานบริษัทยักใหญ่ของฮ่องกงได้งั้นหรือ?
...ไม่มีทางเด็ดขาด
หนานเฟยครุ่นคิดในใจ เพราะถึงแม้ตนจะเป็นถึงประธานบริษัทก็จริง แต่อีกใจก็อยากจะใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้ ชายหนุ่มก็อยากจะปกปิดเรื่องของตัวเองไว้ก่อน
“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ” หนานเฟยตอบก่อนจะพูดปั้นเรื่องต่อ “เพราะผมมองผู้หญิงคนหนึ่งเพลินๆ ตอนเดินกลับจากที่ทำงาน แล้วจู่ๆ ก็โดนเล่นงานอย่างเห็นนี่แหละครับ”
“เอ แปลกคนแฮะ อยู่ๆก็มายิงคนโดยไร้สาเหตุนี่ได้ยังไงกัน จริงไหมคะหมอจาง” ร่างบางพูดพลางหันไปถามความเห็นกับคุณหมอ ซึ่งทำเอาคนถูกถามก็อดพลอยพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น
“นั่นสิ ปกติพวกนี้มันไม่ยิงคนโดยไม่มีเหตุหรอก แต่ที่บอกว่ามองผู้หญิงคนหนึ่งเพลินๆ มันคงเข้าใจว่าพ่อหนุ่มจะไปเกาะแกะผู้หญิงของนายมันเข้าล่ะสิท่า” หมอจางพูดพลางเอามือลูบคางใช้ความคิด แต่แล้วก็ปล่อยมือออกจากคาง “เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หนูหลิวพักที่ห้องผู้ป่วยที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินกลับไปก็ไม่สายนะ เพราะตอนนี้มันอันตราย”
หมอจางบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะเกรงว่าถ้าหญิงสาวเดินกลับหอพักไปตอนนี้อาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
“ค่ะหมอจาง” ร่างบางตอบก่อนจะหันหน้ามาทางหนานเฟย “แล้วคุณล่ะคะ จะทำไงต่อ”
"ก็พักด้วยกันที่นี่แหละ บาดเจ็บอยู่ แล้วก็ดึกมาก อีกอย่างโดนปองร้ายขนาดนี้ พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ หรอกนะ" หมอจางกล่าวแทรกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วผายมือให้หลิวเข้าไปในห้องผู้ป่วย
"ไว้พรุ่งนี้เช้า ค่อยว่ากันอีกที ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปข้างนอก แล้วหนานเฟยก็ล้มตัวนอนลงโดยที่ใจยังระแวงว่าพวกมันจะย้อนกลับมาอีก และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาในตอนนี้ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องหลิวกับหมอจางได้ ไหนจะเทียนชิงอีกคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วจะมีชะตากรรมร้ายดียังไง ซึ่งนั่นก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะลิขิตเอา
“แฮ่กๆ!” ร่างสูงในชุดสูทสีดำกึ่งเทาที่เคยเรียบกริบมาบัดนี้ยับยู่ยี่กำลังยืนพิงตู้โทรศัพท์หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะมองปืนในมือขวาที่เปื้อนเลือดพลางครุ่นคิดย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากตนได้ถูกนักฆ่ายิงที่หัวเข่าขวาแล้ว จึงตัดสินใจผลักเจ้านายตนเองที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยให้ตกหล่นไปในคลองที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกรากพอสมควร จากนั้นค่อยหันไปจัดการพวกนักฆ่าที่เหลือ ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ถึงแม้จะจัดการพวกนั้นสำเร็จ เทียนชิงก็ต้องสูญเสียพรรคพวกที่เป็นบอดีการ์ดไปจนเกือบหมด เหลืออยู่สองคนเท่านั้นที่กำลังยืนคุมเชิงทั้งที่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักพอๆกับตน พอคิดได้ดังนั้นจึงหยิบมือถือขึ้นมากดปุ่มโทรออก จนกระทั่งเสียงปลายสายตอบรับกลับมาแล้วจึงค่อยกรอกเสียงลงไป “นี่ฉันเอง เรียกรถพยาบาลด่วน จัดคนตามหาท่านประธานด้วย น่าจะสลบอยู่แถวมหาวิทยาลัย ใช่ ปิดปากให้สนิท เท่านี้นะ”
เทียนชิงกดวางสายพลางถอนลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“พี่ชิงไปโรงพยาบาลก่อนเถอะพี่ เจ็บหนักขนาดนี้” บอดีการ์ดคนหนึ่งถามขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นแววตาของเลขาหนุ่ม “ยะ...ยัง...ไม่ต้องไปก็ได้ครับพี่ ผมแค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
เทียนชิงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง โดยหมอกับพยาบาลเป็นคนของมังกรกรุ๊ป ส่วนคนของเทียนชิงที่เพิ่งจะมาถึงโดยรถตู้สีดำ เลขาหนุ่มได้สั่งให้ออกตามหาหนานเฟยทันที
ปล.ไม่อยู่หลายวันค่ะ ไปรพศิริราช สี่ห้าวันได้ค่ะ อย่าเพิ่งหนีคนเขียนไปไหนนะคะ
หลังจากนั้นหนานเฟยก็ได้คุยกับหมอจาง ทำให้ชายหนุ่มพอรู้คร่าวๆว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหมอประจำอยู่คลินิกใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังในฮ่องกง ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บของตนนั้นก็ไม่หนักหนาสาหัส พักผ่อนซักสองสามวันก็หายแล้ว
“ว่าแต่คุณชื่ออะไรล่ะ ฉันจะได้เรียกถูก” ร่างบางเอ่ยปากถามหลังจากที่หมอจางปล่อยให้พวกเขาได้อยู่กันสองคนตามลำพัง แต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบ อีกฝ่ายก็ดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ฉันหลิว มาจากประเทศไทย เพิ่งย้ายมาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยที่นี่เป็นวันแรกนะ”
พอพูดจบ ร่างบางก็ได้ส่งมือราวกับต้องการให้หนานเฟยจับมือทักทายแบบอเมริกันอีกด้วย ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงก้มมองดูมือสลับกับคนพูดไปมา ก่อนจะยื่นมือขวาจับทักทายตอบกลับไป
“ลีโอ ผมลีโอ”
“ลีโอที่แปลว่าราชสีห์นะรึ” หลิวพูดพลางมุ่นคิ้วจ้องหนานเฟย “สมแล้วที่เป็นลูกครึ่ง แม่คุณนี่ตั้งชื่อได้เจ๋งดีนะ”
คราวนี้เป็นชายหนุ่มต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจบ้าง เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่ง ซึ่งสมัยนี้แค่สีนัยน์ตาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสัญชาติอะไร แถมช่วงนี้คอนแทคเลนส์ชนิดสีก็เป็นที่แพร่หลายในหมู่วัยรุ่นด้วย
“ว่าแต่คุณไม่คิดจะโทรกลับไปหาครอบครัวบ้างหน่อยหรือ ป่านนี้พวกเขาคงเป็นห่วงแย่แล้วมั้ง”
อีกฝ่ายถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งทำเอาชายหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย
...ถ้ามีคนให้โทรกลับก็ดีสิ
หนานเฟยครุ่นคิดตอบในใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนลืมเทียนชิงไปเสียสนิทใจ เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วอีกฝ่ายจะเป็นยังไงบ้าง ซึ่งในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหันกลับไปถามหลิวเพื่อขอยืมโทรศัพท์ไปหาเลขาอยู่นั้น หมอจางก็เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มีพวกชุดดำกำลังมาที่คลินิกนี้ รีบเข้าไปซ่อนตัวเร็วเข้า!”
“ซ่อนตัว? ซ่อนไปทำไมหรือคะหมอจาง”
ร่างบางถามกลับด้วยความสงสัย หากแต่หมอจางไม่ตอบ กลับดึงข้อมือหนานเฟยให้ลงจากเตียงพลางดันชายหนุ่มให้เข้าไปซ่อนตัวในตู้ล็อกเกอร์เก็บไม้กวาด ก่อนจะรีบล็อกกุญแจเสียแน่น
“อยู่เงียบๆจนกว่าพวกมันจะไปล่ะพ่อหนุ่ม”
“ครับ”
แล้วหนานเฟยก็ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของหลายคนวิ่งเข้ามา
“พวกแกเป็นใคร จู่ๆ เข้ามาเอะอะโวยวาย ที่นี่มันคลินิกนะ!”
เสียงหมอจางพูด แต่ก็โดนเสียงทุ้มตอกกลับใส่แบบห้วนๆ
“บอกมาไอ้แก่ มีคนถูกยิงมาที่นี่หรือเปล่า!”
“คนถูกยิงหรือ? มีที่ไหนเล่า” หมอจางเถียงย้อน “ตอนนี้ที่นี่มีแต่ฉันกับคนไข้เด็ก ไสหัวกลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะโทรไปแจ้งตำรวจ!”
“คนไข้เด็ก หรือเมียเด็กกันแน่ คุณหมอ ดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้น่ะ?!”
“พูดจาระวังปากหน่อย!! คนมันจะป่วย มันเลือกเวลากันได้ด้วยหรือไง ถึงเวลาพวกแกอย่าคลานมาขอให้รักษาก็แล้วกัน!”
แล้วเสียงก็เงียบไป ทำให้หนานเฟยเดาไม่ออกว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง แต่ก็พอรู้ได้ว่าหมอจางกับหลิวคงกำลังอึดอัดใจที่ต้องมาเผชิญหน้ากับพวกนักฆ่าอย่างแน่นอน
“กลับเว้ย!”
เสียงนั้นตอบก่อนจะตามด้วยฝีเท้าเดินจากไป ซึ่งหนานเฟยยืนรอได้ไม่นาน ตู้ล็อกเกอร์ก็ได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความโล่งใจของหมอจาง
“พวกมันไปแล้วพ่อหนุ่ม ออกมาเถอะ”
“ครับ”
หนานเฟยตอบพลางเดินออกมา ก่อนจะเห็นหลิวกำลังนั่งหน้าซีดอยู่บนเตียงที่ตนเคยใช้นั่งเมื่อครู่นี้
...คงจะกลัวอยู่สินะ
ชายหนุ่มครุ่นคิดในใจ เพราะเดิมทีคนทั่วไปย่อมต้องกลัวเรื่องพวกนี้เป็นของธรรมดา ครั้นพอชายหนุ่มจะเอ่ยปากพูดขอโทษ อีกฝ่ายกลับลุกขึ้นพรวดจากเตียง ทำเอาหนานเฟยกับหมอจางถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ว้าว! ตะกี้น่าตื่นเต้นเป็นบ้า!” หลิวพูดด้วยน้ำเสียงยินดี ซึ่งผิดกับใบหน้าซีดเมื่อครู่นี้ลิบลับ “ชายชุดดำเอย ปืนเอย อย่างกะหลุดเข้ามาในหนังภาพยนตร์ประเภทบู้เลือดเดือดของพวกมาเฟียเลยแฮะ”
...ไม่ใช่หลุด แต่เจอจังเบอร์เลยล่ะ
หนานเฟยกับหมอจางต่างครุ่นคิดตอบคำถามเหล่านั้นในใจพร้อมกัน
“ว่าแต่พวกเขาเป็นใครหรือคะคุณลีโอ ถึงได้ตามตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย”
หญิงสาวถามต่อพลางจ้องไปที่ต้นแขนขวาของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย
...จะให้ตอบว่าพวกนั้นต้องการฆ่าเพราะเขาเป็นถึงประธานบริษัทยักใหญ่ของฮ่องกงได้งั้นหรือ?
...ไม่มีทางเด็ดขาด
หนานเฟยครุ่นคิดในใจ เพราะถึงแม้ตนจะเป็นถึงประธานบริษัทก็จริง แต่อีกใจก็อยากจะใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้ ชายหนุ่มก็อยากจะปกปิดเรื่องของตัวเองไว้ก่อน
“ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ” หนานเฟยตอบก่อนจะพูดปั้นเรื่องต่อ “เพราะผมมองผู้หญิงคนหนึ่งเพลินๆ ตอนเดินกลับจากที่ทำงาน แล้วจู่ๆ ก็โดนเล่นงานอย่างเห็นนี่แหละครับ”
“เอ แปลกคนแฮะ อยู่ๆก็มายิงคนโดยไร้สาเหตุนี่ได้ยังไงกัน จริงไหมคะหมอจาง” ร่างบางพูดพลางหันไปถามความเห็นกับคุณหมอ ซึ่งทำเอาคนถูกถามก็อดพลอยพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น
“นั่นสิ ปกติพวกนี้มันไม่ยิงคนโดยไม่มีเหตุหรอก แต่ที่บอกว่ามองผู้หญิงคนหนึ่งเพลินๆ มันคงเข้าใจว่าพ่อหนุ่มจะไปเกาะแกะผู้หญิงของนายมันเข้าล่ะสิท่า” หมอจางพูดพลางเอามือลูบคางใช้ความคิด แต่แล้วก็ปล่อยมือออกจากคาง “เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หนูหลิวพักที่ห้องผู้ป่วยที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินกลับไปก็ไม่สายนะ เพราะตอนนี้มันอันตราย”
หมอจางบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะเกรงว่าถ้าหญิงสาวเดินกลับหอพักไปตอนนี้อาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
“ค่ะหมอจาง” ร่างบางตอบก่อนจะหันหน้ามาทางหนานเฟย “แล้วคุณล่ะคะ จะทำไงต่อ”
"ก็พักด้วยกันที่นี่แหละ บาดเจ็บอยู่ แล้วก็ดึกมาก อีกอย่างโดนปองร้ายขนาดนี้ พวกมันคงไม่รามือง่ายๆ หรอกนะ" หมอจางกล่าวแทรกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วผายมือให้หลิวเข้าไปในห้องผู้ป่วย
"ไว้พรุ่งนี้เช้า ค่อยว่ากันอีกที ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปข้างนอก แล้วหนานเฟยก็ล้มตัวนอนลงโดยที่ใจยังระแวงว่าพวกมันจะย้อนกลับมาอีก และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาในตอนนี้ก็ไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องหลิวกับหมอจางได้ ไหนจะเทียนชิงอีกคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วจะมีชะตากรรมร้ายดียังไง ซึ่งนั่นก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะลิขิตเอา
“แฮ่กๆ!” ร่างสูงในชุดสูทสีดำกึ่งเทาที่เคยเรียบกริบมาบัดนี้ยับยู่ยี่กำลังยืนพิงตู้โทรศัพท์หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะมองปืนในมือขวาที่เปื้อนเลือดพลางครุ่นคิดย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา หลังจากตนได้ถูกนักฆ่ายิงที่หัวเข่าขวาแล้ว จึงตัดสินใจผลักเจ้านายตนเองที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยให้ตกหล่นไปในคลองที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกรากพอสมควร จากนั้นค่อยหันไปจัดการพวกนักฆ่าที่เหลือ ซึ่งใช้เวลานานพอสมควร ถึงแม้จะจัดการพวกนั้นสำเร็จ เทียนชิงก็ต้องสูญเสียพรรคพวกที่เป็นบอดีการ์ดไปจนเกือบหมด เหลืออยู่สองคนเท่านั้นที่กำลังยืนคุมเชิงทั้งที่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักพอๆกับตน พอคิดได้ดังนั้นจึงหยิบมือถือขึ้นมากดปุ่มโทรออก จนกระทั่งเสียงปลายสายตอบรับกลับมาแล้วจึงค่อยกรอกเสียงลงไป “นี่ฉันเอง เรียกรถพยาบาลด่วน จัดคนตามหาท่านประธานด้วย น่าจะสลบอยู่แถวมหาวิทยาลัย ใช่ ปิดปากให้สนิท เท่านี้นะ”
เทียนชิงกดวางสายพลางถอนลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“พี่ชิงไปโรงพยาบาลก่อนเถอะพี่ เจ็บหนักขนาดนี้” บอดีการ์ดคนหนึ่งถามขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นแววตาของเลขาหนุ่ม “ยะ...ยัง...ไม่ต้องไปก็ได้ครับพี่ ผมแค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
เทียนชิงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง โดยหมอกับพยาบาลเป็นคนของมังกรกรุ๊ป ส่วนคนของเทียนชิงที่เพิ่งจะมาถึงโดยรถตู้สีดำ เลขาหนุ่มได้สั่งให้ออกตามหาหนานเฟยทันที
ปล.ไม่อยู่หลายวันค่ะ ไปรพศิริราช สี่ห้าวันได้ค่ะ อย่าเพิ่งหนีคนเขียนไปไหนนะคะ
dragonp
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 00:03:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2555, 23:04:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1588
<< บทที่ 5 (อัพ 100%) | บทที่ 7 >> |
ทองหลาง 16 พ.ค. 2555, 05:05:26 น.
มาแบบสะเก็ดดาว
มาแบบสะเก็ดดาว
lookAme 16 พ.ค. 2555, 13:21:57 น.
จะเป็นยังไงต่อละเนี่ย
จะเป็นยังไงต่อละเนี่ย
lookAme 20 พ.ค. 2555, 00:11:44 น.
ว้าว มาเพิ่มแล้ว
ว้าว มาเพิ่มแล้ว