แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: หน้าที่พระราชธิดา


เมืองคราม เป็นราชธานีชั้นเอกเมืองหนึ่ง บ้านเมืองรายล้อมด้วยเทือกเขาเป็นแนวยาวกั้นสองด้าน แม่น้ำไหลผ่านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยภูมิประเทศที่ดี มากมีผลไม้หลากชนิด และการเลี้ยงสัตว์เพื่อบริโภค ไพร่ฟ้ารักความสงบสุข ที่ผ่านมาหลายรัชสมัยใช้วิธีผูกไมตรีกับเมืองใหญ่โดยการส่งราชธิดาเป็นคู่อภิเษก กับแว่นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่เป็นเมืองขึ้นแก่ใคร
เจ้านครผู้ครองเมืองทรงอยู่ในวัยชรา ทรงรับไมตรีจากหริวงศ์ เพราะทรงใคร่ครวญดูแล้ว เจ้าหริวงศ์ ทรงมีความเมตตา พระองค์จึงคาดหวังชีวิตสมรสของเจ้านางอมราผู้เป็นราชบุตรีเพียงพระองค์เดียว เจ้านางอมราจะทรงเป็นพระมเหสีที่มีความสุข ที่ไม่ส่งเจ้านางอมราไปยังแคว้นธารปุระ เพราะพระมาตุฉาซึ่งถูกส่งไปเป็นพระเทวีของพ่อเจ้าผู้เป็นกษัตริย์เมืองธารปุระ ทรงมีราชสาสน์ลับมายังพระมารดาของพระองค์ว่า
ทูลแม่เจ้า ผู้ทรงเป็นผู้ประทานชีวิตแก่ลูกน้อยคนนี้
‘ลูกเขียนสาสน์นี้ด้วยดวงใจที่แตกสลาย ลูกกราบทูลด้วยน้ำเนตรที่มิอาจให้รินหลั่งออกมานอกอกได้ นับแต่จากอกเมืองครามมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับธารปุระในฐานะหน้าที่ของเจ้านาง ลูกได้เห็นน้ำพระทัยของกษัตริย์เมืองธารปุระนี้โดยแน่แท้ ทรงโปรดปรานการสงคราม มิไยดีในอิสตรี แม้ลูกอยู่ฐานะเหนืออิสตรีอื่น หากมิได้มีความสุขสักเพลาเดียว อย่าว่าแต่นั่งเคียงข้างราชบัลลังก์เลย แม้ในที่บรรทมยังแทบไม่โปรดให้รับสนองเบื้องยุคลบาท ถึงจะได้รับใช้ ก็มิอาจหาความสุขได้ ทรงมีความกักขฬะยิ่ง แม้มิเคยรับรู้ความเป็นอยู่เยี่ยงเมียโจรเป็นเช่นไร หากในความคิดของลูกเวลานี้ เห็นว่าชีวิตของลูกได้ตกในสภาพเดียวกับหญิงผู้อยู่ในมือของบุรุษต่ำทรามคนหนึ่ง หากมีลูกหลานเป็นเจ้านางแล้วไซร้ ลูกทูลขอเป็นคำมั่น เพื่อมิให้วงศ์วานเดียวกับลูกต้องทุกข์ทรมานอันหาสิ่งใดเปรียบได้ ลูกขอเป็นเจ้านางองค์เดียว และองค์สุดท้ายที่เป็นพระสุนิสาเมืองธารปุระ เมืองที่กษัตริย์มีน้ำพระทัยกระหายเลือดเยี่ยงสัตว์ป่า’
ราชฐานชั้นใน พระแม่ยั่วหัวทรงประทับนั่งเคียงข้างกับเจ้านางซึ่งเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เจ้านางอมรามีสิริโฉมงดงาม วรกายอวบอัดเต็มชันษาสิบหก แววเนตรคมดุอย่างประหลาด เป็นเจ้านางที่ข้าราชบริพารทั้งวังต่างทราบดี
ทรงเอาแต่พระหทัย ดุร้าย และมีน้ำพระหทัยเด็ดขาด ไม่ยอมพ่ายแพ้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น นางกำนัลคนสนิทชื่อ กาสาหมอบเฝ้าใกล้ชิดเพียงคนเดียวในห้องบรรทม
พระแม่ยั่วหัวแย้มพระโอษฐ์ด้วยความสมหวัง นับเนื่องแต่ หริวงศ์ราชาส่งสาสน์มาผูกไมตรี โดยสู่ขอเจ้านางอมราไปเป็นมเหสีเอก
หากราชธิดากลับไม่มีทีท่าสำราญพระหทัยนัก พระแม่ยั่วหัวจึงเวียนเข้ามาปลอบให้เห็นคล้อยตามความพระประสงค์ เจ้านางอมราทำเป็นนั่งเล่นเครื่องประดับมากค่าราวไม่สนพระหทัยฟังพระราชมารดา พูดตามสามัญชน ว่าพร่ำ จนปากเปียก ปากแฉะ
“อมราน้อย จงจำคำแม่ไว้”พระราชธิดาหาฟังไม่ ทรงทอดพระเนตรคมมองพระเกยูรในพระหัตถ์เสียอย่างนั้น พระมารดา คว้าไปจากหัตถ์ หากเจ้านางอมราฉวยหนีได้ทัน ทั้งยังสรวลชอบพระทัย พระมารดาค้อนเคืองระอาในความดื้อดึง จึงกระแทกใส่
“ดื้อดึงอย่างนี้ พอพ้นอกแม่ ใครจะคุ้มครอง”
“ทรงบอก หริวงศ์มีน้ำพระทัยเมตตานักมิใช่หรือ”แสดงว่ามิได้ฟังโสตซ้ายทะลุโสตขวา
“ถ้าเจ้าดื้อดึง เจ้าจะเป็นแม่เมืองได้อย่างไร”
“ลูกมิได้ต้องการจะเป็นหนึ่งในร้อยของพ่อขุน ลูกต้องการเป็นหนึ่งเดียวเพคะ”
“อมราน้อย”พระมารดาทรงอ่อนพระหทัย “พ่อขุนเป็นเจ้าแผ่นดิน ต้องทรงมีนางห้าม เป็นการพระบารมียิ่งใหญ่ เจ้าจะใจแคบดังคิดหาได้ไม่”
พระเนตรคมจ้องพระเกยูรนิ่ง หากแล้วเนตรคมดุกลับเบิกกว้างด้วยความเกรี้ยวโกรธ เหวี่ยงพระเกยูรลงในพานทอง เกยูรกระเด็นจะตก ดีแต่ กาสา นางกำนัลร่างบางเอามือรองรับได้ทัน พระเทวีทรงขึ้นสุรเสียงดุดังไม่พอพระทัยที่เห็นกิริยาอาละวาดดังพวกไร้การอบรม
“อมรา ”
เจ้านางมิได้ตรัสตอบ หากขนงเรียวเข้มขมวดเป็นปมไม่พอพระทัยที่จะรับพระราชเสาวนีย์ พระมารดาจึงอ่อนให้อย่างเคย รู้ทั้งรู้ไม้แข็งใช้ไม่เคยได้ผล ทรงลูบอังสะเจ้านาง ตรัสเบาลง
“เมื่อเป็นแม่เมืองแล้วเจ้าต้องมีน้ำใจดั่งแม่โคจึงถูกต้อง บรรทมเถิดอมราน้อย ผิวพรรณจักได้ผ่องใส หาไม่จักแพ้ผิวชาวหริวงศ์”
“หญิงเมืองนั้นงามนัก จะมาสู่ขอลูกไย”ทรงย้อนเสียงเกือบแหว ดีว่าฉุกพระทัยเสียก่อน ว่ากำลังอาละวาดใส่นั้น คือพระราชมารดา มิใช่นางกำนัล
“หริวงศ์ราชาทรงรักเจ้า นับแต่มาเยือนเมื่อศกก่อน”
เจ้านางเชิดพักตร์ ถือดีในความงามเป็นที่ต้องพระหทัยกษัตริย์หนุ่มรูปงามพระองค์นั้น
“หน้าที่ของเจ้านาง ไม่ว่าแว่นแคว้นเมืองใด เป็นเพียงแต่เชื่อมไมตรี”
“อมรา ลูกรัก เจ้าโชคดีกว่านั้น เพราะหริวงศ์ราชาทรงปฏิพัทธ์ในตัวลูก”
“แต่ลูกมิได้รักนี่เพคะพระมารดา”
“เอาเถิดลูก แม่เชื่อว่าความอ่อนโยนมีน้ำพระหทัยอันดี ของหริวงศ์ราช จะทำให้เจ้ามีความสุขเหนือยิ่งสตรีอื่น”
เจ้านางน้อยซบอุระมารดา พระองค์พาเสด็จสู่ห้องบรรทม ประคองพระราชธิดาลงบนแท่นพระที่นุ่ม ลูบไล้เรียวกรอ่อนโยน เจ้านางอมราเยื้อนโอษฐ์รับ พริ้มเนตรหลับลง
หริวงศ์นคร เป็นเมือง ที่มีความรุ่งเรืองทั้งทางด้านเกษตรกรรม และการค้าที่เปิดกว้าง ความมั่งคั่งจึงทำให้มีอำนาจแกร่งปกครองตนเองได้
เจ้าผู้ครองนคร พระนามเดียวกับชื่อเมือง นับกันเป็นรัชกาล พ่อขุนหริวงศ์พระองนี้เป็นราชาที่ทรงมีน้ำพระทัย อ่อนโยน นางสนมนับร้อย แต่พระองค์ทรงมีเมตตาให้หมดทุกคน ไม่มีใครเกลียด หรือแก่งแย่งกัน
แต่ เมื่อทรงเสด็จประพาสเมืองคราม เพราะข่าวลือเลื่องในสิริโฉมเจ้านางน้อย แรกได้พบพักตร์ ท่าทีถือองค์ไม่หวั่นไหวต่อพ่อขุนรูปงามของเจ้านางอมรา ทั้งสิริโฉมงดงามแปลกตา ดวงเนตรคมดุสานสบตอบพระองค์มีความวาบหวามในที ครานั้นพ่อขุนหริวงศ์ได้ซึ้งในน้ำพระทัยองค์เองแล้วว่า ความรักที่แท้จริงได้พึงบังเกิด
กลับจากเมืองคราม ทรงถึงกับละเลยราชกิจ และไม่เชยชมพระสนมคนใด เพราะความรุ่มร้อนในแรงเสน่หาเจ้านางอมราแห่งเมืองคราม เสนาอำมาตย์จึงพากันเห็นพ้องว่าสมควรแล้วที่พระองค์จะทรงมีมเหสีเป็นปิ่นนครหริวงศ์
เมื่อได้กราบทูล พระองค์ทรงเกษมสำราญถึงกับนับวันคอยแทบไม่ไหว เมื่อราชสาสน์ตอบกลับมา ยินดีรับราชไมตรีในการอภิเษกในครั้งนี้ของสองนคร
พ่อขุนหริวงศ์ทรงมีพระวรกายสูงโปร่ง วงพักตร์งามยิ่งทุกส่วนประทับยืนเพียงลำพัง โดยมีองครักษ์คู่พระทัยสนองเบื้องยุคลบาทเพียงคนเดียว ท่าทางปีติยินดีของพ่อขุนหริวงศ์ทำให้ราชองค์รักษ์ มีรอยยิ้มอย่างมิอาจกลั้นได้ รินน้ำจัณฑ์ถวายจอกแล้วจอกเล่า จนเริ่มเวียนพระเศียร หากยังประทับมองจันทร์นวลที่สาดส่องอย่างรื่นภิรมย์หฤทัย
เจ้าอนุวงศ์ อนุชาธิราชร่วมอุทรเดียวกันมีความละม้ายในองค์เชษฐาเกือบทุกอย่าง เว้นแต่พระเศียรล้านกว้างกว่า พระองค์เสด็จมาโดยลำพัง
เมื่อทอดพระเนตรเห็นองค์เชษฐาแต่ไกล ในดวงเนตรปรากฏรอยริษยายิ่ง ความคิดแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของพระเชษฐามีมาแต่เยาว์วัย ไม่ว่าเรื่องใดพระเชษฐาล้วนได้สิ่งดีกว่า จากพระราชบิดา หรือพระราชมารดาทรงประทาน ทั้งที่เจ้าอนุวงศ์ดำริเสมอ ทรงเป็นน้อง น่าที่จะได้รับการเหลียวแลมากกว่า
แต่ มิใช่เลย ทุกอย่างไม่เคยได้เป็นที่หนึ่ง ทรงต้องรอรับการประทานจากองค์เชษฐาเท่านั้น
พ่อขุนหริวงศ์เหลือบพระเนตรเห็นพระอนุชาเสด็จมา เจ้าอนุวงศ์ถวายบังคมอย่างงดงาม พระเชษฐาสรวลรับชักชวนให้เสวยน้ำจัณฑ์ เจ้าอนุวงศ์สนองพระประสงค์ ทั้งทูลในเรื่องที่พระเชษฐาพอพระทัยยิ่ง
“ว่าที่พระมเหสีคงจะเสด็จถึงในเร็ววันนี้แล้วสิ เจ้าพี่”พ่อขุนหริวงศ์เยื้อนพระโอษฐ์ด้วยความสุขลึกล้ำ ดวงพระหทัยแล่นลิ่วถึงเมืองคราม จับเฉพาะดวงเนตรคม งามประหลาดนัก เจ้าอนุวงศ์ทูลเอาพระทัยต่อ
“น้องขอถวายพระพรล่วงหน้า เจ้าพี่คงมีความสุขเหนือบุรุษทุกคนในแดนดินนี้”
“ขอบใจ ขอบใจเจ้านักน้องรัก พี่มีสุข เจ้าก็ต้องมีสุขด้วย มาเถอะ เรามาดื่มกันให้สำราญ”
ท่าทีที่ทรงแสดง เต็มไปด้วยความจงรักภักดีฉาบทา หากในส่วนลึกมีถ้อยกระแสขัดแย้งดังลั่น พระทัยเต็มไปด้วยความคิดแก่งแย่งชิงดี
ทุกอย่างของเจ้าพี่ ต้องเป็นของข้าน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เว้น แม้แต่ราชบัลลังก์
อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่จากเมืองหริวงศ์ พร้อมทหารอารักษ์ขา จำนวนหนึ่ง เดินทางสู่เมืองครามเชิญเครื่องบรรณาการ มารับเสด็จเจ้านางแห่งเมืองคราม
อำมาตย์คลานเข่าเข้าเฝ้าพ่อเจ้าแห่งเมืองคราม และพระแม่ยั่วหัว ทั้งสองพระองค์ตรัสทักทายด้วยน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตา พร้อมรับสั่งให้จัดเตรียมขบวนส่งเสด็จเจ้านางอมราอย่างยิ่งใหญ่
ครานั้นเจ้าเมืองคราม และแม่ยั่วหัว รู้สึกพระทัยแทบขาดรอนเมื่อพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวต้องจากอ้อมอุระไปเพื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์ไมตรีให้เกิดความมั่นคงโดยการอภิเษกสมรสสองนคร เจ้านางอมราบังคมลาจากพระราชบิดา และพระราชมารดา ทรงกลั้นความเศร้าโศกในการพลัดพรากเก็บแน่นในดวงหฤทัย ด้วยคำที่ว่า
‘ไม่มีเจ้านางองค์ใดได้รู้จักความรักก่อนการอภิเษก ทุกพระนางประสูติมาเพื่อทำหน้าที่แทนคุณแผ่นดิน’
น้ำพระเนตรแห่งความอ่อนแอจักไม่มีวันได้เกิดกับเจ้านางที่ทรงพระนาม อมรา
พระหัตถ์นุ่มแตะปรางค์น้อยของอินทรามาตย์พระอนุชาซึ่งยังทรงพระเยาว์ พระหน่อเจ้าทรงโผเข้ากอดพระพี่นางแนบแน่นกรรแสงไห้ราวกับจะขาดพระทัยลงแล้ว เจ้านางอมราทรงหยอกทั้งที่อยากทำเช่นเดียวกับอนุชา ไม่มีวันที่ใครสักผู้จักได้เห็นน้ำอสุชลของพระนาง
“เป็นไรไปน้องพี่ มิดีใจดอกรึ จากนี้ไปจักไม่มีผู้ใดแกล้งเจ้าแล้ว”
“พี่นาง…อย่าไปจากน้องเลยนะเจ้า”
“พี่ไปในวันนี้ เพื่อเจ้าในวันหน้านะน้องพี่”พระอนุชาแหงนเงยสบพระเนตรคมที่ทอดลงมอง พระแม่ยั่วหัวเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นด้วยความอาดูร เจ้าเมืองผู้ครองนคร คราม เอื้อมพระหัตถ์แตะอังสะราชธิดา ตรัสเสียงแผ่วแทบไม่รอดริมพระโอษฐ์
“ได้ฤกษ์แล้วเจ้าอมรา”
“ลูกทูลลา”ทรงย่อชานุลงอย่างดงาม เป็นจริยาวัตรที่เห็นไม่บ่อยนัก เพราะทุกคนในเมืองครามแห่งนี้ต่างทราบดี ทรงแข็ง เกินดัดจริงๆ
พระวรกายงดงามเคลื่อนขึ้นสู่วอทอง ขบวนเสด็จเริ่มจัดอย่างเป็นระเบียบพร้อมที่จะเดินทาง วิสูตรสีขาวทั้งสี่ด้านปิดลงเมื่อเสียงสังข์เป่าบอกฤกษ์เสด็จ ในม่านวิสูตรที่ไม่มีสายตาผู้ใดได้เห็น เจ้านางแห่งเมืองคราม ปล่อยน้ำพระเนตรรินไหลเป็นทางยาว ไร้เสียงสะอื้นไห้ ด้วยไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดได้ยินความเสียใจของพระนาง
เมื่อใดเล่าจะได้คืนกลับสู่แผ่นดิน แม่ อีกครั้งหนึ่ง หนทางข้างหน้าจักมีขวากหนามมากสักเพียงใด เรื่องในราชสำนัก และการแก่งแย่งชิงดี มีหรือจะไม่ทรงทราบ แม้แม่ยั่วหัวผู้เป็นใหญ่เหนืออิสตรีฝ่ายในทั้งมวล ยังแอบกรรแสง…พ่อเจ้าทรงโปรดนางเล็กๆมากกว่า
บัดเดี๋ยวนี้ เจ้านางต้องไปยืนในที่ๆ พระราชมารดาได้ยืนอยู่ เป็นเจ้านางสูงสุดในแดนดินที่พระนางไม่รู้จักสักนิด เหลือแต่ความแกร่งในหฤทัยที่ มีมากกว่าพระราชมารดา ดังนั้นเจ้านางอมราคนนี้จะไม่เป็นเพียงผู้เฝ้ารอ จะทรงเป็นผู้ชี้หัตถ์สั่งการเอง…
จากเมืองสู่เมืองหริวงศ์ต้องเดินทางผ่านป่าใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ทั้งสัตว์กินเนื้อ และกินพืช ชายผู้เป็นนายพรานนำทางเป็นผู้มีร่างกายกำยำไม่สูงนัก ท่าทางทะมัดทะแมง เป็นผู้นำทางมีความชำนาญในการหลบเลี่ยง หรือการระวังภัยเป็นอย่างดี กล่าวกับอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่
“การเดินทางผ่านป่าไปได้สักครึ่งทาง ตัดผ่านเขตเมืองโขนลำพงแต่เพียงชั้นนอก เราจะถึงแม่น้ำใหญ่”
“อืม เราเห็นชอบในความคิดนี้ การเดินทางโดยทางน้ำ จะทำให้เจ้านางไม่ตรากตรำ”
อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่แห่งเมืองหริวงศ์ ปรึกษาหารือกับขุนนางฝ่ายเมืองครามที่มาส่งเสด็จ
เมื่อดูทำเลที่ตั้งพลับพลาที่ประทับพักการเดินทางในเวลากลางคืน นางกำนัลในคนสนิทเฝ้าถวายการรับใช้ใกล้ชิดในพลับพลาที่ปิดม่านวิสูตรหลายชั้น ไม่ให้ทหารไพร่ ทั้งจากเมืองคราม และเมืองหริวงศ์ได้เห็นโฉมเจ้านางได้
เจ้านางอมราประทับบนแท่นพระที่ ปูลาดยี่พู่นุ่ม แม้ไม่สะดวกดังอยู่ในวัง หากนับว่าดีมากแล้วในป่าทึบเช่นนี้ กาสาคลานเข้าเข้าไปใกล้แท่นประทับ
“สรงน้ำเถิดเจ้า เจ้านาง นางข้าไทตักน้ำมาถวายแล้ว”
ส่วนแยกในพลับพลา ยิ่งกั้นผ้ามิดชิด มีครุใส่น้ำตั้งอยู่หลายครุ กาสาปลดผ้าทรงออกจากวรกายเจ้านาง ทรงตรัสถาม
“อีกกี่เพลาจักถึงเมืองหริวงศ์”
“ข้าน้อยได้ยินท่านอำมาตย์ปรึกษากับเสนาฝ่ายเราว่า จะอ้อมเมืองโขนลำพงเพื่อลัดไปเดินทางทางแม่น้ำ”
“หนทางนั้นยิ่งอ้อมมิใช่หรือ”
“ต่างเกรงเจ้านางจะเหนื่อยล้าจากการเสด็จ ไปทางน้ำจักได้พักผ่อนอิริยาบถไปด้วยเจ้า”
“หญิงเมืองหริวงศ์คงอ่อนแอนักล่ะสิ พวกอำมาตย์จึงต้องทะนุถนอมนัก” ทรงค่อนคิดในใจ เถอะน่า แล้วจะทรงกวาดไม่ให้เหลือมาแข่งกับพระองค์สักนางเดียว
“ทรงแย้มสรวลเรื่องใดเจ้า เจ้านาง”กาสาทูลถามเบาๆพอได้ยินตามลำพัง
“ข้า ได้ยินมาว่า หริวงศ์ราชา มีนางสนมมากจนนับไม่ไหว”
“เอ่อ…”กาสา เกรงน้ำพระทัยที่ตระหนักดี…ดุเหมือนเสือ แม่ลูกอ่อน
ยังไม่ทันถึงเมือง ทรงคิดทำอะไรเข้าแล้ว จึงมีแววเนตรมาดหมายดังที่นางเองอกสั่นขวัญหายอยู่บ่อยๆ หากไม่ทรงโปรด สั่งฆ่าได้โดยไม่ปราณี พ่อเจ้า และแม่เจ้ายังเกรงน้ำพระทัยเด็ดขาดเรื่องนี้นัก
ควันไฟจากการก่อเป็นกอง หย่อมป้องกันสัตว์ร้าย และไฟจากการหุงต้มเพื่อเป็นอาหารในเพลาเช้า เสียงพูดคุยเป็นไปแต่เพียงเบาๆ
นายพรานมือฉมังเอนอิงพิงโคนไม้ใหญ่นอนไกลจากขบวนเสด็จ ความชำนาญเสียงทำให้เขาตื่นไปทั้งกาย แผ่นดินสะเทือนเพียงนิด คนอื่นไม่รู้ หากไม่ใช่เขาแน่ ร่างกำยำพลิกกายแนบหูกับพื้นดิน
ไกลออกไป ขบวนม้าควบตะบึงมุ่งตรงมาทางพลับพลาที่ประทับ บุรุษแต่งกายมืดมิดด้วยสีดำปลอด ปกปิดหมดทั้งกายและใบหน้า ทุกผู้เผยให้เห็นแววตาของเพชฌฆาตนายพรานกระโจนพรวดเข้าไปในขบวน ครานั้นหัวหน้ากองรักษาการณ์รีบเข้าขวางถามเสียงรัว
“พรานป่า มีเรื่องใด ทำหน้าราวกับมีช้างป่าบุกเข้ามาสักโขลง”
“ยิ่งกว่านั้นพ่อนาย”หัวหน้ากองทหารสะอึกถามเสียงดัง ทหารคนอื่นตื่นตัวเหลียวหน้ามาดูเป็นทางเดียว
“ข้าได้ยินเสียงม้าควบมาทางนี้สิบสองม้า”
“คนเดินป่า หรือกองลาดตระเวน”
“คนเดินป่าคงไม่มีธุระร้อน กองลาดตระเวนไม่จำเป็นต้องใช้ม้าศึก”นายพรานกล่าว สีหน้าวิตกยิ่ง พาลให้หัวหน้ากองมิอาจนิ่งเฉยได้แล้ว เขารีบเดินกึ่งวิ่งไปที่กระโจมพักของท่านอำมาตย์ทั้งสองเมืองที่พักร่วมกัน ทหารยามเปิดทางให้นายกองซึ่งส่งเสียงนำเข้าไปก่อน
“มีเรื่องร้อนเจ้าข้า”สองอำมาตย์ที่ต่างนอนแคร่ไม้ไผ่สร้างหยาบๆ ต่างคนต่างตื่นจากแคร่ของตน หัวหน้ากองรีบเข้าไปค้อมกายกล่าวเสียงสั่น
“พรานป่าได้ยินเสียงม้าศึกตรงมาทางนี้ มันว่าได้ยินถึงสิบสองม้า”
ภายนอกอึกกระทึก เสียงม้าที่ว่าได้เข้ามาแล้ว ทหารรักษาการณ์ทำหน้าที่ปกป้องไม่มีใครได้ทันเอ่ยถามจุดประสงค์ของยมทูตผู้มาเยือน
พวกมันล้วนสวมชุดดำคลุมหน้าเหลือเพียงดวงตาดุร้าย ดาหน้าเข้ามาราวกับพวกกระหายเลือด ทั้งดาบ และทวนยาวในมือ แต่ละคนเข่นฆ่าทุกผู้ที่กรูเข้าใกล้ อาวุธจากมือของทหารเมืองคราม และหริวงศ์ไม่ได้ดื่มเลือดจากผู้มาเยือน
เสียงร้องโหยหวนดังลั่นป่า ปลุกคนที่หลับใหลให้ตื่นกลัว คนที่กำลังทำหน้าที่อยู่ต่างขวัญหาย เสียงร้องถาม และเสียงแห่งความตายสร้างความน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ม้ายังห้อตามบังเหียนที่ชัก
อำมาตย์เมืองหริวงศ์จับดาบกุมไว้มั่นในมือ ตวาดถามคนที่มีเค้าเป็นหัวหน้ากองโจร
“อ้ายโจรป่า มึงมิรู้รึว่านี่เป็นขบวนเสด็จ ถ้าไม่อยากตาย รีบไสหัวไปบัดเดี๋ยวนี้”
“ชะช้า”เสียงห้าวหยันออกมา กวัดแกว่งดาบเข้าไป พร้อมค้อมกายลงต่ำ ชิดปลายดาบใกล้อำมาตย์ ท่านรับพลางสั่งทหารไปป้องกันเจ้านางอมรา
“อารักขาเจ้านางบัดเดี๋ยวนี้”
ทหารทุกคนที่รอดกรูกันเข้าไปกันหน้าพลับพลาที่ประทับ กาสาแตกตื่นรีบถลาไปใกล้เจ้านางอมรา เจ้านางตวาดถามไม่พอพระทัย
“เอะอะอันใด แล้วนั่น”พระนางถลันไปหน้าพลับพลา กาสาฉวยฉุดพระกรไว้แน่นทูลเสียงสั่น
“โจรป่าเจ้า เจ้านาง อย่าเจ้า อย่าออกไปจากที่นี่”
เสียงโลหะปะทะกัน เกิดไฟพะเนียง หัวทหารคนหนึ่งกระเด็นลอดเข้ามาในพลับพลา กาสากรีดร้องหวีด วิงเวียนแทบเป็นลม เจ้านางอมราถลันออกไปภายนอก
สายตาบุรุษชุดดำสนิทกวาดมาทางพระนาง หญิงสูงศักดิ์ยังอยู่ในชุดทรงเพียงผ้าแถบ ไม่ทรงเครื่อง เกศายาวดำสนิท สลวยดังเส้นใยไหมชั้นดีเคลียอังสะ มิได้รัดเกล้าเช่นเจ้านางชั้นสูงคงเพราะไม่ถึงเวลาอันควร เนตรงามประหลาดทอดมองผู้มาเยือนด้วยความเกรี้ยวโกรธไม่เกรงกลัว
พลันปรากฏ แววยินดีในดวงตาผู้มาอย่างไม่ประสงค์ดี เขาเร่งดาบใหญ่เข้าประหารอำมาตย์เมืองหริวงศ์ ม้าอีกตัวถลันเข้ามาสอดราวกับรู้ใจคนเป็นหัวหน้า เขารีบผละไปทางเจ้านาง พระนางถอยวรกายไปก้าวหนึ่ง สะดุดเข้ากับศีรษะ ทหารที่ขาดกองอยู่ความลื่นของหยาดเลือดทำให้เจ้านางเสียหลัก
หากพระเนตรคมของเจ้านางอมราเหลือบเห็นดาบไร้รอยเปื้อนแห่งโลหิตตกอยู่ พระนางก้มกายลงหยิบมากุมไว้มั่น ท้าทายผู้ที่อยู่บนหลังม้าอย่างไม่หวาดหวั่นต่อ ภัยอันตราย
“เข้ามาเลยอ้ายโจรชั่ว ข้าหากลัวไม่”
บุรุษบนหลังม้า มองกิริยาห้าวหาญ ดวงเนตรคมประหลาดล้ำไม่มีรอยหวาดกลัวดุจดังวาจาที่เอ่ยท้าทาย ทหารที่รอดตายประกาศก้อง
“คุ้มกันเจ้านาง”
ม้าศึกของคนร่างใหญ่โผนทะยาน อีกคราเข้าฟาดฟันผู้ที่ตนเห็นเป็นข้าศึก กลุ่มคนของตนดาหน้าเข้าฟาดฟันอาวุธเพิ่มแรงเป็นสองเท่า
อา…ฝีมือช่างแตกต่างราวกับครูดาบปะมือ กับเด็กพึ่งหัดกำกิ่งไม้ก็ไม่ปานกัน หัวแล้วหัวเล่าขาดกระเด็นด้วยคมดาบ เจ้านางอมราหลับเนตรฟันดาบไปข้างหน้า เสียงโลหะปะทะ แรงสตรีมีน้อยกว่าแรงผู้บุกรุก ดาบปลิวหลุดจากอุ้งหัตถ์ ปลายดาบ คมเชยหนุเจ้านางให้แหงนเงย
กาสาถลาเข้ามากอดบาทเจ้าเหนือชีวิตตน กายสั่นเทาด้วยความกลัว เจ้านางกัดริมพระโอษฐ์กลั้นความโทสะและความหวาดหวั่นที่ประเดประดังขึ้นมาสุมในอุระอย่างที่พระนางคาดไม่ถึง ชีวิตนี้จักมีอันใดน่ากลัวยิ่งกว่าความตายที่กำลังเกิดขึ้นนี้เล่า
“เก็บดาบของเจ้าขึ้นมาสู้กับข้าใหม่สิ คนกล้า”เสียงทุ้มเยาะเย้ย เจ้านางเดือดดานถลันไปหมายหยิบดาบที่กระเด็นหลุดจากมือทหาร หากสะดุดซากศพหนึ่ง หยาดเลือดนองพื้นทำให้ลื่นเสียหลักไม่สามารถเก็บดาบมาได้ เงยพักตร์เคร่งเครียดกราดเกรี้ยวยิ่งทรงเปล่งเสียงด้วยความแค้นพระทัย
“ข้าเป็นหญิง ไม่มีกำลังทัดเทียมเจ้า หาไม่ข้าจักฆ่าเจ้าให้จงได้”บุรุษผู้นั้นหัวเราะดังสะท้อนก้องป่า เจ้านางอมราปัดพระแสงดาบให้พ้นปลายหนุ ผู้มาเยือนรีบตวัดออกเองด้วยเกรงคมดาบจะดื่มโลหิตจากหัตถ์พระนาง เจ้านางจึงพึงทราบ ชายผู้นี้ไม่ได้คิดเอาชีวิต พระนางยิ่งลำพองพระทัย ตรัสสั่งไม่หวั่นเกรง
“หากไม่ต้องการบั่นหัวข้า ก็หลีกทางไป”
“จะรีบไปสยุมพรหรือเจ้านางอมรา”เสียงที่ตอบทำให้เจ้านางอมราฉุกพระทัย ชายคนนี้ ย่อมไม่ใช่โจรธรรมดา พระนางถอยพระกาย สะดุดเข้ากับซากศพ เสียหลัก หากยังไม่ทันล้ม ร่างบุรุษใหญ่ชักบังเหียนม้าโผนเข้ามาใกล้ ค้อมกายลงมาฉวยวรกายเจ้านางเข้าสู่อ้อมแขนแข็งแรง
กาสาถลันกายตาม ยังไม่ทันได้ทำการใด บุรุษผู้สอดมือเข้าปะดาบกับอำมาตย์เมืองหริวงศ์ ได้เด็ดชีพคู่ต่อสู้ลงได้ เขาชักบังเหียนควบมาทางนางกำนัลคนสนิท คว้าร่างนางขึ้นหลังม้าตามหัวหน้าไป กาสาไม่ยินยอมโดยง่าย นางใช้กำลังที่มี ทั้งทุบตี ผลักไส
“เจ้าโจรชั่ว อย่าได้ถูกตัวข้า”
“ข้าหาได้มีความพิศวาสเจ้าไม่”เสียงทุ้มกล่าวตอบเย็นชา “ข้าจะนำเจ้าไปรับใช้เจ้านางในวัง”
“วัง”กาสาทวนคำ ก่อนเงยหน้าถามอย่างฉงนละคลตกใจ “วังใดกัน”
“ธารปุระ”เสียงตอบไม่ไยดี หาก กาสาแตกตื่น
ธารปุระแดนอริยะธรรมที่ปกครองโดยคนป่าเถื่อนนั้นหรือ!!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 09:48:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 09:48:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1967





<< ทีฆายุเจ้า   ชิงนาง หวังศึก >>
zilvermoon 27 พ.ค. 2555, 11:49:36 น.
ลงชื่อรอตอนต่อไปค่ะ..ว่าแต่เรื่องนี้จะลงแค่ไหนอะคะ ^^"


นางแก้ว 27 พ.ค. 2555, 12:27:44 น.
ลงจบทุกฉากทุกตอนค่ะเรื่องนี้ มี20ตอน สองภาคค่ะ ไม่มีตอนพิเศษ ลงแบบสมบูรณ์ตามต้นฉบับเลยค่ะ มาเร็วไปเร็วค่ะเรื่องนี้


จิงโกะ 27 พ.ค. 2555, 15:20:53 น.


Zephyr 27 พ.ค. 2555, 18:29:23 น.
เย้ ลงจบ ว้าว จะติดตามอย่างใกล้ชิดเลยค่ะ


คิมหันตุ์ 28 พ.ค. 2555, 01:32:03 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account