แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: ชิงนาง หวังศึก


ครานั้นกองโจรนิรนามสังหารพวกขบวนเสด็จลงไปเกือบหมด เหลือรอดเพียงนางสนองโอษฐ์ไม่กี่คน

ก่อนม้าสุดท้ายจะจากไป เขาได้ขว้างกระบอกไม้บรรจุแผ่นหนังจารอักอักขระบอกนามผู้มาเยือนไปให้เสนา

ฝ่ายเมืองครามที่เขาไว้ชีวิตให้รอด เสนาคนนั้นรับไว้ตามสัญชาติญาณ

มือเรียวสั่นเทาขณะดึงแผ่นหนังคลี่ออกอ่าน ใบหน้าชราซีดเผือด รู้ชัด ใครคือโจรป่า

“พ่อเจ้าทีฆายุ”

ผู้รอดตายเข่าอ่อน พากันซวนทรุดลงกับพื้น บางคนลูกคอของตนที่ยังอยู่บนบ่า บางคนถึงกับน้ำตา

ไหลพรากทหารเมืองใดเล่าไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์

ไม่มีแผ่นดินใดไม่ลุกเป็นไฟ หากทัพเมืองธารปุระเคลื่อนผ่าน ไม่มีศีรษะอริราชศัตรูคนใด

อยู่บนคอได้ครบตัว หากได้ปะมือกับทหารโหดเมืองนี้

“เจ้านางถูกฉุดคร่าจากทีฆายุ”เสนาย้ำคำพูดไปมาราวกับคนเสียสติ ทหารคนสนิทได้ความคิด

“รีบกลับไปทูลพ่อเจ้าเถิดจักทำประการใด”

“เกิดศึกแน่แล้ว”

ทหารเมืองหริวงศ์ที่เหลือรอด ต่างมีความเห็นเดียวกัน หากเขาจะกลับไปทูลเจ้าเหนือหัวของตน ว่าที่

อัครมเหสีได้ถูกฉุดไปโดยเจ้าเมืองธารปุระ อย่างบังอาจ

อ้อมแขนแกร่งกอดรัดวรกายอุ่นนิ่มแนบกระชับ เจ้านางอมราไม่สิ้นฤทธิ์ ทั้งดิ้นรนและร้องสั่งให้ปล่อย บุรุษผู้

นั้นทำหูทวนลม พระนางกาง นขาคมยาวข่วนไปยังใบหน้าที่ปกปิดด้วยผ้าดำ เขาเบือนหลบอย่างรวดเร็ว

เจ้านางจึงทุบตีแผ่นอกกว้างไม่ยั้งแรง หากเขากลับไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังหัวเราะชอบใจในลำคอ

“อ้ายคนชั่วช้า ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ ปล่อย”

“กล่าววาจาโง่อันใดเช่นนั้นเจ้านาง”

“บังอาจนัก เจ้ากล้าด่าข้า”

“ทำยิ่งกว่าด่า ยังมีสิ่งใดที่ข้าจักไม่กล้าทำต่อเจ้าเล่า”

เจ้านางสะท้านไปทั้งกาย แววตาที่หลุบลงมองพระนางมีความประหลาดนัก ดังแววตาของหริวงศ์ราเทวี

มทอดพระเนตรมองพระนางก่อนวันเสด็จกลับ

อย่าหมาย อย่าหมายเลย เจ้าคนชั้นต่ำ หากเจ้าคิดย่ำยีเจ้านางสูงส่งเยี่ยงข้า เจ้าจักได้เสพสมกับร่างที่ไร้

วิญญาณของข้าเท่านั้น พระนางออกแรงดิ้นอีกครั้ง ครานี้เกือบหลุดจากอ้อมแขนจวนพลัดตก ดีแต่บุรุษนั้น

โอบกระชับคืนกลับได้ดังเดิม ดุดันด้วยวาจา

“หากตกจากม้าเจ้าต้องตายไม่รู้หรือ”

“ตายนั้นคือสิ่งน่ายินดีกว่าจะตกเป็นทาส ของอ้ายโจรชั่วเยี่ยงเจ้า”

บุรุษนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เวลานั้นเองที่เจ้านางได้ทีกางหัตถ์ฉวยฉุดผ้าปิดหน้าไปจนได้ ใบหน้าคม

คร้ามสง่างามและน่าเกรงขามปรากฏขึ้น ทีฆายุ พ่อเจ้าแห่งเมืองธารปุระ

“เจ้าซนเกินไปแล้วเจ้าอมรา”เสียงนั้นดุ “หากยังขืนอวดดีล่ะก็”ทรงละคำตรัส

“ฆ่าข้าเลย”พระนางเชิดพักตร์ท้าทาย ทีฆายุเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ แสงแดดส่องลอดใบไม้กระทบสาดพระ

พักตร์ แล แววเนตรทอแสงระริก กระซิบใกล้ริมโสต พระนางรีบเบือนหนีด้วยความรังเกียจยิ่ง

“ข้าจะเอาเจ้าเป็นเมียเสีย บนหลังอาชานี้ อมรา”

“อ้าย”นาสิกโด่งงามเป็นสันตรงก้มลงมาใกล้ จะทำอย่างที่ตรัส เจ้านางอมราแทบกลั้นพระทัยตายให้รู้แล้ว

ชายผู้ที่พระนางไม่รู้จักบังอาจย่ำยี และมีวาจาชั้นต่ำกับพระนาง ศักดิ์ศรีใดๆไม่เหลือแล้ว พระนางดิ้นรนใคร่

หาความตายอีกครั้ง ครานี้ทีฆายุเจ้าตบพระหัตถ์ที่ทัดดอกไม้ของพระนาง เสียงดัง

“พล็อก”พระนางร่างระทวยอ่อนสิ้นพระสติในทันที ทีฆายุเจ้าเร่งฝีเท้าม้ามากยิ่งขึ้น

กองพลลาดตระเวนสองนคร ได้รับข่าวจากพวกที่รอดตายในเวลาไม่ห่างกันมากนัก เมืองครามอกสั่น เจ้า

เมืองพระพักตร์ซีดเซียว แม่ยั่วหัววาโยกำเริบครั้งแล้วครั้งเล่า เสนาอำมาตย์ฝ่ายในรีบทูล

“เห็นทีว่าทางธารปุระทำโดยความแค้นที่ไม่ส่งเจ้านางไปให้”

“แค้นอันใด ทีฆายุไม่มีสาสน์มาบอกว่าต้องการอมรา หาไม่ข้าหรือจะส่งไปหริวงศ์”

“แต่การทำการโดยพละการเยี่ยงนี้เท่ากับประกาศสงครามทั้งกับเราและทางหริวงศ์”

“ข้าไม่ทำสงครามกับทีฆายุเป็นแน่ ข้าแก่แล้ว ลูกชายข้ายังเยาว์นัก อีกทั้งอมราก็ตกในเงื้อมมือทีฆายุไป

แล้ว”

“เช่นนั้นทางเราน่าที่จะรีบเข้าไปขอสมาลาโทษทางธารปุระ”
“ท่านเสนาบดี”ขุนนางคนหนึ่งไม่เห็นด้วยจึงขัดแย้ง “ธารปุระผิด แต่เราจะไปขอสมาเห็นทีจะไม่เหมาะ ไป

ทางไหนก็อับอายเสียทั้งนั้น”

“หรือท่านจะทูลให้เข้าร่วมกับหริวงศ์”สองขุนนางชั้นผู้ใหญ่แตกคอกัน เจ้าเมืองชรา ถอนพระทัยหนัก ไม่มี

ดำริใดๆออกมาสักอย่าง ทรงตื้นไปหมดแล้วในเวลานี้

“หริวงศ์เป็นเมืองใหญ่ เราควรที่จะเข้าทางนั้น”

“ธารปุระเล่า”เสนาบดีกลัวความโหดเหี้ยมของธารปุระมากกว่า เห็นชัดกับตาว่า คนเพียงสิบสองคนฆ่ากอง

ทหารได้เป็นร้อยๆคน

“การกระทำของทีฆายุเจ้าเป็นการหยั่งเชิงศึกเป็นแน่ พวกนั้นไม่มีความหวาดกลัวในความยิ่งใหญ่ของหริวงศ์สักนิด”

ขุนนางหลายฝ่ายต่างคิดคล้อยตาม ในสามเมืองนี้ เมืองครามจัดว่าเป็นเมืองที่ไม่มีอำนาจที่สุด หริวงศ์ได้

ชื่อว่าเป็นเมืองร่ำรวย แต่ไม่มีชื่อเสียงในการรบ ผูกไมตรีกับนานาประเทศโดยการแลกเปลี่ยนสินค้า และ

การสมรสของราชวงศ์ต่อราชวงศ์

ส่วนเมืองธารปุระทั้งรวย และเหี้ยมโหด เมืองใดเล่า ไม่รับม้าอุปการที่พ่อเจ้าแห่งธารปุระทรงไป เมืองนั้นไม่

พ้นสงคราม อาณาจักรธารปุระจึงแผ่กว้างด้วยพระเดชอันเกริกไกร

“ร่างสาสน์ส่งให้ทีฆายุเจ้า”เจ้าเมืองครามดำรัสสั่ง “ข้ายอมรับผิดที่ไม่ส่งเจ้าอมราให้เป็นบรรณาการแต่แรก”


“พ่อเจ้า”ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยใคร่ทักท้วง หากพวกฝ่ายตนมีน้อยนัก จึงมิอาจทัดทาน ความที่ตนเห็นว่าไม่

ชอบ หากเจ้าเมืองเห็นทางรอดของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

“แล้วส่งสาสน์ไปเมืองหริวงศ์ว่าเรามิได้รู้เห็นต่อการกระทำของธารปุระ หากเขาคิดต่อตีกัน ให้พวกเขาทำกันตามลำพัง”

“จักทำเช่นนั้นได้หรือพ่อเจ้า”ขุนนางทักท้วง พ่อเจ้ากระทืบบาท พิโรธไปเสียทั้งหมด แต่ที่โกรธนักคือ ไม่

ทรงมีแรงปะมือธารปุระ

“ยังดีกว่านั่งเฉยทำเป็นไม่รู้ร้อนมิใช่หรือ”

ขุนนางทั้งนั้นพากันก้มหน้ามองพื้น ความเงียบจึงเกิดขึ้นทั่วท้องพระโรง

พ่อขุนหริวงศ์พระทัยร้าวแทบแตกสลายเมื่อทรงรับฟัง เจ้านางอมราถูกทีฆายุเจ้าชิงตัวไปอย่างอุกอาจ ร่ำๆ

ให้ประกาศสงคราม หากได้รับการทัดทาน และให้เกิดการไตร่ตรองใหม่

“มันทำการหยามเรา แล้วยังให้เราเป็นเต่าหดหัวกระนั้นหรือ”

“หามิได้พ่อขุน”

“แล้วทัดทานข้าทำไม”ทรงแผดเสียงกึกก้อง ปวดร้าวพระทัยแทบขาด กว่าทหารจะมาส่งข่าวถึงหริวงศ์

ป่านนี้เจ้านางอมราคงถูกย่ำยีไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้วกระมัง

“ธารปุระ พึ่งรบชนะสองเมืองใหญ่ที่กล้าแข็ง ได้ทาสบริวารเป็นอันมาก ทางเรานั้นได้เมืองพันธมิตรเป็นแต่


ทางค้าขายและรักสงบ”

“ข้าคนเดียวก็จักสู้ หากพวกเจ้ากลัวมัน”
เจ้าอนุวงศ์กรอกเนตรไปมา แล้วยุส่ง

“เจ้าพี่ไม่ควรให้ทีฆายุหมิ่นพระเกียรติได้ ต้องทรงนำทัพออกไปรบ”

“ส่งสาสน์ท้ารบไป หากไม่ส่งอมราคืนมา ข้าจักประกาศสงคราม”


“พ่อขุน”ขัตติยะ เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทัดทานอีก “หากธารปุระไม่มีกลศึกที่ดี มีหรือจักอาจหาญกระทำการเยี่ยงนี้”

“ท่านเสนาบดีกล่าวราวกับไม่อยากให้เจ้าพี่ของข้ารักษาเกียรติของกษัตริย์”

“หามิได้เจ้า พระอนุชา แต่เพราะเกรงจะเสื่อมยศของพ่อขุนจึงกราบทูลทัดทาน”

“ยิ่งกล่าวยิ่งไม่เข้าใจ”เจ้าอนุวงศ์ชักสีพักตร์ไม่พอใจ ทั้งยังแย้มโอษฐ์เห็นรอยเย้ยหยัน


พ่อขุนหริวงศ์เขม่นมองข้าราชการที่พร้อมกันเข้าเฝ้าเป็นรายคนไป ขัตติยะเสนาบดียกมือขึ้นถวายบังคม

เหนือหัว

“พ่อขุนเป็นกษัตริย์เมืองใหญ่ไม่แพ้ธารปุระ หากทรงมีน้ำพระทัยเมตตากว่าทีฆายุเจ้ามากมายนัก การที่จะ

ทรงยกทัพไปชิงเจ้านางที่อยู่ในเงื้อมมือทีฆายุเจ้าเสียแล้วจะมีสิ่งใดได้ หรือมิได้ประโยชน์”เจ้าอนุวงศ์ขยี้

หัตถ์กับพระเพลาตรัสดังลั่น

“มันหยามเกียรติเจ้าพี่ของข้า ท่านยังมีหน้าพูดประโยชน์อันใดกัน”

“เพราะห่วงในพระเกียรติ แต่ถ้าพ่อขุนจะมีพระราชโองการให้พระอนุชาเดินทัพไปล่วงหน้าเห็นควรว่าพวก

ธารปุระจักได้ประมาณเมืองหริวงศ์นี้มีราชวงศ์แน่นแคว้นจะหาเหตุให้แตกแยกกันมิได้”

ในท้องพระโรงเงียบเหมือนไร้ผู้คนเมื่อขัตติยะเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่กราบทูลชัดแจ้ง และยังเป็นการกล่าวบังคับ

ให้เจ้าอนุวงศ์ถวายความภักดีไปในตัว เจ้าอนุวงศ์แค้นแสนแค้น หากจำต้องลงเล่นตามตอนที่เสนาบดีเขียน

ไว้อย่างไม่เต็มพระทัย หากว่าไม่มีทางเลือก
…ไม่ทำไม่ได้

“เจ้าพี่…น้องไม่อาลัยในชีวิต หากจักต้องยกทัพเพื่อรักษาพระเกียรติของเจ้าพี่”

“ขอบใจมากน้องรัก”หริวงศ์ลุกจากบัลลังก์ เสด็จเข้าไปโอบอังสะพระอนุชาตรัสอย่างอ่อนโยน เต็มตื้น

พระทัย เสนาบดีซ่อนหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีไว้กับพื้นท้องพระโรง

ฝีพระหัตถ์เชิงรบระหว่างทีฆายุเจ้า และพ่อขุน แม้ไม่เคยเผชิญหน้า หากท่านรู้ใครจักได้รับความพ่ายแพ้

ส่งหอกข้างแคร่ไปนั่นแหละจะเป็นการรักษาบัลลังก์เอาไว้ ศึกนอกไม่กลัวเท่าศึกในท่านเสนาบดีเชื่อเหลือ

เกินว่าเจ้าอนุวงศ์ไม่มีทางเข้าต่อตีกับทีฆายุเจ้าเป็นแน่ และนั่น หากทรงมีกลอันใด ท่านเสนาบดีอาจมีทาง

รู้ และระวังบัลลังก์ของพ่อขุนหริวงศ์ไว้ได้ในภายหลัง

“ท่านอำมาตย์จัดทัพให้น้องเรา”หริวงศ์ราชามีราชโองการ

ข้าราชการฝ่ายการรบเข้ารับสนองพระราชโองการ เจ้าอนุวงศ์แสดงท่วงทีอาจหาญต่อหน้าทุกคนในท้อง

พระโรงให้เห็นถึงความภักดี

หากเมื่อกลับวังหน้า กลับทรงอาละวาดให้ อำมาตย์ฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นพรรคพวกให้รับทราบความไม่พอ

พระทัยในตัวเสนาบดีที่ออกหน้าเช่นนี้ อำมาตย์ฝ่ายซ้ายให้เจ้าอนุวงศ์ยับยั้งความกริ้วโกรธ กราบทูลเบาๆ

พอแต่ได้ยินตามลำพัง

“เราใช้การนี้แหละทำให้พ่อขุนวางพระทัยในองค์อนุชาได้มากขึ้น”

“ท่านกล่าวให้แจ้ง”

“แสดงให้พ่อขุนทรงทราบว่าพระอนุชาภักดีถึงกับแค้นแทนจนต้องออกรบ เสนาบดีไม่เคยไว้ใจในองค์อนุชา

เจ้าจึงให้เรื่องนี้มาบังหน้า ดังนั้นเราเดินตามที่เสนาบดีวางไว้ก่อน หลังจากนั้น ต่อให้มีการเพ็ดทูลสิ่งใดใน

ภายหน้า การออกรบแทนพ่อขุนในครานี้จะเป็นการรักษาตัวพระอนุชาได้ในภายหลัง เจ้า”

คำกล่าวยืดยาวของอำมาตย์ฝ่ายซ้ายทำให้เจ้าอนุวงศ์ได้คิดตาม การสู่สนามรบ จะรบหรือไม่ พระองค์แสดง

ได้ การกลับเข้าวังในเวลาต่อมาต่างหากเล่าสำคัญกว่า

“ข้าต้องเผชิญหน้ากับทีฆายุ กษัตริย์กระหายเลือดคนนั้นใช่มั้ย”

“ไยต้องเผชิญ พระอนุชา”อำมาตย์กล่าวมีเลศนัย เจ้าอนุวงศ์ขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิด
………………………………..

ขัตติยะเสนาบดีใหญ่ แห่งเมืองหริวงศ์ กลับเข้าสู่เรือนไม้สักทองโอ่อ่า สตรีสาวโสภาแต่งกายเรียบร้อยตาม

แบบชาวเมืองหริวงศ์นุ่งผ้าจูงกระเบน ห่มสไบเฉียงสีหมากสุก ผมยาวปล่อยสลวยเคลียบ่า เดินอ่อนช้อย

มือถือขันน้ำใสสะอาดมารอรับที่หน้ามุข เสนาบดีมองธิดาสาวด้วยความรักและเมตตา พูดทักทาย

“แม่เจ้าไม่อยู่รึดารกา”

“ท่านแม่อยู่ที่หอนั่งเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”

“เช่นนั้นไปกันเถิดลูก พ่อมีเรื่องจะปรึกษากับแม่เจ้า”

“เจ้าค่ะ”ดารกาเดินตามบิดาไป

ที่หอนั่ง ท่านหญิงเนตรเสลา ไว้ผมทรงกระทุ่ม รัดผ้าแถบ และนุ่งจูงกระเบน ขยับกายลุกขึ้นต้อนรับสามี

ท่านเสนาบดีโอบบ่าภรรยา ทั้งสองลงนั่งบนตั่งใกล้เคียงกัน ดารกานั่งพื้นเบื้องล่าง เสนาบดีทอดตามองลูก

สาวเพียงคนเดียวนิดหนึ่งแล้วจึงกล่าว

“ดารกา เจ้าไปพักก่อน พ่อมีเรื่องจักปรึกษากับแม่เจ้า”

“เจ้าค่ะท่านพ่อ”ดารกาจึงเคลื่อนกายจากมา ท่านหญิงย่อมสังเกตได้ว่าสามี คงมีเรื่องสำคัญจะพูดกับท่าน

ท่านจึงสั่งให้คนในที่นั้นออกไปจนหมด เสนาบดีจึงได้เอ่ยกับภรรยา

“เจ้านางอมราถูกชิงไปแล้ว”

“โอ ใครกันบังอาจเพียงนี้”

“ทีฆายุเจ้า”

“หา”ท่านหญิงเหลือกตาค้าง คาดเดาไปถึงสงครามที่จะเกิดขึ้น เสนาบดีโคลงศีรษะไปมา ท่านหญิงแปลก

ใจในท่าทีของสามี เสนาบดีเมืองหริวงศ์เจือยิ้มในสีหน้า

“ไม่เกิดดอกเนตรเสลา”ท่านหญิงได้แต่เงียบฟังด้วยความไม่รู้ “พี่ได้ทูลให้เจ้าอนุวงศ์เสด็จไปธารปุระ”

“น้องยังไม่เข้าใจ การที่พระอนุชาเสด็จไป แล้วไยท่านพี่จึงยังกล่าวอีกว่าไม่มีสงคราม”

“คนคิดชิงบัลลังก์มีหรือจักเอาชีวิตไปทิ้งเรื่องน้อยนิดนี้”

“เรื่องนี้หรือน้อย”

“อย่างไรพี่ไม่ให้เกิดสงครามเพราะเจ้านางเล็กๆนางหนึ่ง”

“จักทำประการใดเล่า”

“ดารกา”

“ท่านพี่”ท่านหญิงเอ่ยเสียงลอดริมฝีปากเท่านั้นก่อนสบตากับสามี ท่านเสนาบดีมีรอยยิ้มปรากฏ เจ้า

นางอมราถูกชิงไป เสนาบดีเมืองหริวงศ์ยิ่งเห็นโอกาสของตนเองและธิดาเพียงคนเดียวจะก้าวสู่ทางที่หวัง

โดยฐานะ และฐานันดรของท่าน

หากจะถวายดารกาเป็นบาทบริจาริกา ไม่มีเหตุผลที่พ่อขุนหริวงศ์จะไม่ทรงรับและไม่ให้ตำแหน่งสำคัญ ข้า

ราชการคนอื่นต้องเห็นด้วยกับท่านด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นยารักษาพระทัยของพ่อขุนหริวงศ์ งานของท่านตอน

นี้คือกันเจ้าอนุวงศ์ออกไป ให้ดารกาได้ถวายตัว หากมีโอรสตำแหน่งพระมเหสีจักเป็นของธิดาของท่าน

และท่านจะเป็น พระสัสสุระของเจ้านครหริวงศ์

ฝ่ายพ่อเจ้าทีฆายุ พาเจ้านางเสด็จมาจนถึงประตูเมืองหน้าด่านซึ่งเป็นเมืองขึ้นของธารปุระเปิดออกกว้าง รับ

ขบวนม้าศึกซึ่งย่างเยื้องสง่างาม ต่างจากวันคืนกลางป่าที่ผ่านมามันควบห้อตะบึงไม่หยุดยั้งเพื่อให้ทันต่อ

ความต้องการของผู้ขับขี่

เจ้าเมืองร่างอ้วนยืนรอรับเสด็จพ่อเจ้าทีฆายุด้วยความนอบน้อมสุดชีวิต คำสั่งก่อนหน้านี้มาถึงโดยม้าเร็วผู้

เป็นขุนศึกของพ่อเจ้า ซึ่งทุกคนรู้จักดี ให้จัดห้องหอไว้รอรับเสด็จพ่อเจ้า และพระเทวี

…รับสิ่งใดนั้นเจ้าเมืองไม่ได้ถามมากเพราะคนนำคำสั่งมาสั่งเพียงว่าเป็นราชโองการพ่อเจ้าทีฆายุ เพียงอ้าง

เอ่ยพระนาม เจ้าเมืองก็เกรงว่าจะรักษาหัวเอาไว้ไม่ได้ หากไม่ทำตามพระราชบัญชา

เมื่อขบวนม้าเร็วมาถึง เจ้าเมืองแอบมองนางผู้มีร่างอ่อนระทวยในอ้อมพระกรของพ่อเจ้าทีฆายุ ดูนางไม่รู้สติ

อันใด แม้ว่าจะถูกพาเข้าไปในที่รโหฐานแล้วก็ตาม เจ้าเมืองหน้าด่านไม่ทราบว่านางผู้นั้นเป็นใคร ทั้งที่เลื่อง

ลือก่อนหน้านี้ ทีฆายุเจ้า โปรดสงครามมากกว่าอิสตรี

…การนี้เห็นทีหาเหตุทำประการใดตามมาดอกกระมัง!!

ในห้องรโหฐานตกแต่งอย่างงดงามที่สุดเท่าที่สติปัญญาคุณท้าวนางในของเมืองหน้าด่านจะพึงทำได้…

ห้องหอ พ่อเจ้าทีฆายุ

แท่นพระที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ เช่นพระเขนยยาวกว่าปกติ ในห้องนั้นมีดอกไม้สดตกแต่ง ส่งกลิ่น

หอมอบอวล ม่านวิสูตรผูกชาย

ร่างเจ้านางอมราทอดยาวนิ่งไม่ได้สติ นับแต่วันที่ถูกพ่อเจ้าทำร้าย จนวันนี้ล่วงเข้าวันที่สอง กาสานางกำนัล

คนสนิทพัดวี บีบนวดตามพระวรกายด้วยความเป็นห่วงยิ่งชีวิต ในใจของนางได้เห็นแล้วความไร้พระทัย

ของคนเมืองธารปุระ

…เจ้านางประชวรเพียงนี้ ยังไม่มีใครตามหมอมาดูแล โอ้นี่ เจ้านาง เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้วหรือ…กาสา

คิดอ่าน ร้อนใจนัก นางเขย่าเรียกหาเจ้าเหนือหัวของตนแรงๆ

“เจ้านาง เจ้านางน้อยเพคะ เจ้านาง”เสียงเรียกหา ราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล เจ้านางอมราได้ยินแล้ว

พึงขานรับ หากไม่มีเสียงเล็ดรอดออกจากริมพระโอษฐ์ กาสาเร่งเขย่าเรียกเสียงดังกว่าเดิม

“เจ้านาง เจ้านางเพคะ เจ้านาง”ร่างนั้นขยับ กาสาดีใจยิ่งนักรีบขึ้นแท่นเข้าโอบประคองเรียกเพื่อให้ได้พระ

สติคืนกลับโดยเร็ว เจ้านางอมรายกพระหัตถ์กดที่กกพระโสต ยังรู้สึกปวดหนึบๆ


ฉับพลันทันใด พระนางจำเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายได้แล้ว อ้ายคนที่บังอาจฉุดคร่าพระนางมา ลงมือทำร้าย

พระนางจนสิ้นสติ ทรงผุดพระวรกาย หากกำลังไม่พอ ต้องซวนทรุดลงกาสาปรามเบาๆ

“อย่าพึ่งขยับมากเพคะ เจ้านางยังประชวรอยู่”

“อ้ายคนชั่วนั้นอยู่ที่ใด”เจ้านางตวาดถามเสียงสั่น ความรู้สึกเกรี้ยวโกรธประเดประดังเข้ามาจนแน่นพระอุระ

บานทวารเปิดออกโดยแรงโดยความหยาบคายของผู้ที่ก้าวล่วงเข้ามา

เจ้านางอมราได้เห็นผู้ที่ล่วงล้ำเข้ามาเต็มสองเนตร พระนางแค้นสุดแค้น ท่าทีผยอง หยาบคายอย่างที่พระ

นางไม่เคยได้รับมาก่อนเลยนับแต่ประสูติมา ยังไม่ทันอาละวาด คนผู้นั้นเย้ยหยัน

“พึ่งฟื้นหรืออมรา”

“อย่าบังอาจเรียกนามข้า อ้ายโจรป่า”

จริงสิ เจ้านางเป็นถึงว่าที่มเหสีหริวงศ์” คำนั้นยิ่งกว่าเข็มร้อยเล่มแทงเข้าพระโสตอมรานางเจ้า ทรงสั่นไปทั้งวรกาย

มันรู้ แต่ยังทำ…มันผู้มีร่างใหญ่ แต่งกายดำสนิทผู้นี้เป็นใคร บังอาจนัก บังอาจเหลือเกินเจ้านางทรงกริ้ว

เหลือประมาณ ทรงตวาดเสียงดังว่า

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้”

“ไม่รักษาตัวให้หายดีก่อนหรือ”

“ไม่ต้องมาพูดดีไป อย่างไรก็ไม่อาจลบผิดของเจ้า” สิ้นดำรัวเอาผิด แทนที่จะกลายเป็นการยอมรับ หากยิ่ง

ทำให้ ผู้มาเยือนหัวเราะเสียงดังฟังดูก็รู้ว่าเป็นเย้ย

เจ้านางอมราไม่อาจทนให้อีกฝ่ายหยามหยันพระเกียรติยศได้อีกแล้ว พระนางจึงโถมแรงกายที่มีอยู่โจนเข้า

หาร่างมใหญ่ กาสาคว้าจับไม่ทันกับร่างมใหญ่นั้นเบี่ยงกายหลบนิด ความที่เจ้านางยังอ่อนแรงอยู่จึงเสีย

หลัก ชายผู้ที่เจ้านางเห็นว่าหยาบช้าคว้าบั้นพระเอวรวบไว้ได้ เจ้านางเหนื่อยหอบทำท่าวาโยจะกำเริบ

“อ่อนแอเยี่ยงนี้หรือ จะมีปัญญาไปสู้รบกับเมียร้อยนางของหริวงศ์”

“เจ้า เจ้า เป็นใครกันแน่”พระนางตวาดเสียงสูง หอบพระทัยจนวรกายโยน ทีฆายุเจ้าปล่อยพระนางให้เป็น

อิสระ พระนางต้องทรุดกลับไปนั่งริมแท่นบรรทม กาสารีบทูลให้ทรงทราบ

“พ่อเจ้าทีฆายุเพคะเจ้านาง”เจ้านางอมราตะลึงอึ้งไปทั้งวรกาย ทีฆายุเจ้าบูดบึ้งพระพักตร์ หมดพระสำราญใ

นการยั่วเจ้านางอมราทันที หันไปไล่ กาสา
“ออกไปให้พ้น นางข้าไท”เพียงเสียงดำรัสดัง ทหารสองคนเข้ามาคุมตัวกาสาออกไป เจ้า

นางอมราถลันตาม หากพ่อเจ้าทีฆายุกางกั้นด้วยท่อนพระกรทอดขวาง พระนางกระแทกนั่ง ตวัดสายพระ

เนตรคมกริบเข้าใส่ด้วยความชิงชัง

ขณะนั้นนางกำนัลหลายนางเข้ามาในห้องพร้อมถือคนโทตักน้ำเข้ามาทุกคนหาก ทีฆายุเจ้าทรงตรัสเรียบเย็นราวเป็นเรื่องปกติ

“ข้าได้บอกแล้วว่านำเจ้ามาเป็นเมีย”
“ไม่….”
ทรงกรีดร้องเสียงแหลม ผนึกแรงกายอีกครั้งที่จะหนี หากเพียงพระนางผุดลุก พ่อเจ้าทีฆายุคว้าคนโทจากนางกำนัลคนหนึ่ง นำไปราดรดเจ้านางอมราทันที ร่างงามเปียกโชก

ทีฆายุเจ้าไม่หยุดกิริยาหยาบคาย กระชากชุดทรงของเจ้านางออกจากพระวรกาย เจ้านางซวนทรุดนั่งกับพื้น

แนบพระองค์ปกปิดมิให้สายตาผู้ใดได้เห็น น้ำพระเนตรรินไหลออกมาอย่างคับแค้น ทีฆายุเจ้าไม่รู้สึกรู้สม

กับความละอายของเจ้านาง ตรัสสั่ง

“ข้าไม่ชอบหญิงสกปรก”นางข้าไทแอบมีรอยยิ้มด้วยความขบขันต่อสภาพของเจ้านางอมราที่เป็นอยู่ เจ้า

นางเหลือบพระเนตรเห็น ทรงแค้นแสนแค้นตวาดดังเสียงเครือสั่นด้วยทรงกรรแสง

“ฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ทีฆายุ”

“เรื่องฆ่ามิได้ยากลำบาก หากข้าอยากรู้ หญิงที่หริวงศ์ต้องการนั้นมีดีอะไร”

“อ้ายคนโหดร้าย แม้ไม่ฆ่าข้า แต่เจ้าต้องทำให้ข้าต้องได้รับความอับอายต่อนางข้าไทของเจ้าถึงเพียงนี้”

ทีฆายุเจ้าพึงได้รับรู้ หันขวับไปทางนางข้าไททั้งสาม ได้เห็นจริงว่าแต่ละนางจ้องมองเจ้านางอมราเหมือน


สิ่งประหลาด ทรงกราดเกรี้ยวขับไล่ไปหมด พวกนางทั้งสามรีบเร้นออกไปทันที พร้อมทั้งบานทวารปิดตาม

มา

ทีฆายุเจ้าก้มพระวรกายลงไปหาเจ้านางอมรา ไม่คาดได้ เจ้านางฉวยมีดสั้นที่เหน็บบั้นพระองค์ของทีฆายุ

พ่อเจ้ามาไว้ในหัตถ์ คิดเชือดพระศอองค์เอง หากทีฆายุเจ้าฉวยชิงกลับคืนร้องถามด้วยความตกใจ คาดไม่


ถึงว่าเจ้านางคนนี้จะมีน้ำพระทัยเหี้ยมหาญนัก

“อมราเสียสติหรือไร”

“ให้ข้าตายเสียยังดีกว่า”

“ก็ได้”ทรงยื่นมีดคืนให้ เจ้านางจะรับกลับ ทีฆายุเจ้าดำรัสต่ออย่างหนักแน่น “ข้าจะเผาเมือง
คราม จะเอาน้องเจ้ามาลากต่างวัวควาย”วาจานั้นทำให้เจ้านางอมราชะงักค้าง ทิ้งมีดลงพื้นเปล่งเสียงร่ำไห้

โฮออกมาอย่างหมดหนทางต่อกรกับพ่อเจ้าองค์ตรงเบื้องพระพักตร์นี้ ทีฆายุเจ้าตรัสสั่งซ้ำ

“อาบน้ำให้สะอาดแล้วทำหน้าที่ของเจ้า”

“ข้าจักจำวันนี้จนตายทีฆายุ ข้าจะไม่มีวันลืม” เจ้านางตรัสเรียบเย็นฝืนพระทัยที่เจ็บร้าวยืนหยัด
พระหัตถ์ยกคนโทน้ำราดรดพระองค์
ทีฆายุเจ้าได้ชมโฉมเต็มพระเนตร วรกายอวบอัดเต็มสาว ฉวีสีน้ำผึ้งงดงามแปลกตา ท่วงทีที่ริน

น้ำรดวรกายมิอาจทำให้พ่อเจ้าทนนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป

พระหัตถ์เรียวลูบไล้เกศายาวสลวยนุ่มนวล เจ้านางอมราบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ ฉวยผืนผ้าปิดบัง
วรกาย ทีฆายุเจ้าทิ้งพระองค์ลงบรรทมทอดพระเนตรมองเจ้านางนิ่งเป็นครู่ แล้วจึงส่งเสียงสรวลชอบ

พระทัย เจ้านางกระถดถอยออกห่างวางที่ท่ารังเกียจ ทีฆายุพ่อเจ้ารั้งพระนางลงมาสู่อ้อมพระกรโอบรัดไว้

แนบอุระกระซิบบอกหวานล้ำยิ่งนัก

“ไปเป็นเทวีเมืองธารปุระของพี่มิดีกว่าหรืออมรา”เจ้านางนิ่งงัน ไม่เข้าพระทัยในองค์กษัตริย์ที่

ได้ชื่อพระสวามีนี้สักนิด ทีฆายุเจ้าลูบไล้ปฤษฎางค์พระนางอย่างอ่อนโยน ตรัสต่อ

“พี่จะทำนุบำรุงเมืองครามให้รุ่งเรือง จักส่งเสริมน้องเจ้าให้เป็นนักรบที่เชี่ยวชาญศึก”

“สอนให้ทำกับสตรีอื่น ดังที่พระองค์กระทำต่อข้าน้อยเยี่ยงนี้หรือ”ทีฆายุทรงแย้มสรวลนิดมุม

พระโอษฐ์ เจ้านางอมราอดที่จะค้อนเคืองเสียไม่ได้ พ่อเจ้าวัยหนุ่มตรัสเสียงอ่อน พระเนตรพราวพรายระยิบ

ระยับ ช่างแตกต่างจากชายที่ก่อนหน้านี้ที่เจ้านางอมรารู้จักราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน

“เจ้ามีค่ามากกว่า จะไปเป็นมเหสีของหริวงษ์ ชายมักมากในกาม คนนั้น”

เจ้านางสะท้านเยือกไปทั้งอุระ ทรงได้ยินอันใดผิดไปหรือไม่ มีหรือกษัตริย์ที่คิดเช่นนี้

“อย่าให้พี่ต้องพูดอยู่คนเดียวอมรา”ทรงทนความนิ่งของอีกฝ่ายไม่ได้ เจ้านางจึงทูลกระแทกไปบ้าง

“หากน้องมีค่าจริง แล้วไยเล่าจึงไปช่วงชิงมาราวโจรป่าเยี่ยงนี้”

“เรื่องผ่านไปแล้วมิรู้จักทำเป็นลืม”ตรัสอย่างรำคาญ

“เช่นนั้นเมื่อสมพระทัยแล้ว ก็ทรงตัดหัวน้องเสียบประจานเสีย”เจ้านางคว้าพระหัตถ์ทีฆายุเจ้า
เข้ามาแตะอกพระนาง พร้อมท้าทาย

ทีฆายุเจ้ามิได้ย่ำยีหากสัมผัสลูบไล้วรกายอ่อนงามด้วยความนุ่มนวล เจ้านางอมราค้อนไปมา ท่วงท่า
ยั่วยวนแทนอาการโกรธเกรี้ยว

พระวรกายใหญ่ของพ่อเจ้าหนุ่มยิ่งเบียดแนบชิด ซุกนาสิกโด่งงามสูดดมความหอมละมุนของเจ้านาง
มารยาหญิงพึงมี เจ้านางบิดพระกรทีฆายุเจ้าจนเนื้อแทบหลุดตาม ทรงชอบพระทัยโอบกอด

พระนางแนบแน่

ไฟปรารถนาลุกโชนจนคิดได้เลยว่าแม้มีช้างเข้ามาสิบเชือกในเวลานี้เพื่อมาฉุดลากเขาออกห่างไม่ให้ได้ลิ้ม
รสจากเรือนร่างงามอย่างไร้ที่ติของอีกฝ่าย พ่อเจ้าไม่มีทางยอมพรากไปจากความต้องการในเจ้านางได้ ไฟ

สวาทโหมกระหน่ำราวไฟป่าที่ลุกลามเกินกำลังที่จะดับ นอกเสียจากน้ำทิพย์จากกามตัณหาเท่านั้นที่จะไหล
พุ่งหลั่งลงมาชโลมชายหญิงทั้งคู่

ทีฆายุเจ้าหย่อนกายลงนั่งริมพระแท่น รั้งบั้นพระองค์(เอว)คอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง ฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตาม

ส่วนโค้งเว้า กดจมูกลงที่อกงามแนบแน่นเคล้าคลึงอย่างนุ่มนวล เรือนร่างเต็มมือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็น
เชื้อเพลิงที่ก่อไฟให้ติดและดับได้ยากยิ่งนัก กลิ่นเนื้อนางเป็นกลิ่นของแต่ละคน คนนี้ทำให้ความเป็นชาย

ลุกโชน พ่อเจ้าพลิกร่างพระวรกายอีกฝ่ายลงเลื่อนกายขึ้นมาจูบนุ่มนวล แทรกพระชานุหว่างกลาง พลางก้ม

ลงทอดพรเนตรพร่ามัวด้วยความพิศวาสเต็มที่ ความงดงามที่พระองค์คิดว่าได้รูปสวย และซุกซ่อนสิ่งที่ทรง

ต้องการไว้ภายในมือ

พระหัตถ์กร้านศึกช้อนสะโพกเธอเข้ามาจ่อลำกายชิด เจ้านางอมราทรงเรียนรู้เชิงชั้นอย่างที่ธรรมชาติดล

บันดาลให้เป็น ทรงเกี่ยวกวัดรัดขาเข้าไปแนบแน่นรัดรึงไว้จนพ่อเจ้าหงายพระพักตร์เพริดด้วยความพึงพอ

ใจอย่างยิ่งยวด พระองค์ท่านกระชั้นพระวรกายเชื่องช้า บางเบาและทะนุถนอมเจ้านางมิให้ได้รู้สึกเจ็บกับ

การวิวาหะในคราวแรกนี้ พระองค์ท่านแม้ชำนาญศึกรบอย่างโหดเหี้ยม หากการปรนเปรอด้วยความเสน่หา

พระองค์ทรงทำได้อย่างนุ่มนวลละมุนละไมยิ่ง


…เพื่อบ้านเมืองนี้คือหน้าที่เจ้านางอมราย้ำในพระทัยแววเนตรคมดุทอแสงอ่อนเอาพระทัยในองค์กษัตริย์ที่

ทรงเห็นว่าแปลก

“ทรงเป็นพ่อเจ้าที่ยิ่งใหญ่ คงจำนางสนมได้ไม่หมดดอกกระมัง”

“พี่ไม่เคยสนใจว่าจะมีสักกี่นาง หากว่านับแต่นี้ตำแหน่งแม่ยั่วหัวพี่นำมามอบให้เจ้าแล้ว”

“พี่เจ้า”ทรงอุทานไม่เชื่อโสตที่ได้ยิน ทีฆายุเจ้ายังทรงวนเวียนเชยชมพระนางไม่ห่าง ก่าย
ประทับบดเบียดเชยชม เจ้านางอมราคลางแคลงพระทัยจนอดถามไม่ได้

“แม่ยั่วหัวคนเก่าเล่า”

“พี่ไม่มี”พลางจุมพิตปิดปากไม่ให้เจ้านางได้ตรัสสิ่งใด นอกจากเสียงครวญครางตามมา

แม่ยั่วหัวธารปุระ ที่ยิ่งใหญ่ พระแม่เจ้าของประชาราษฎร์ที่ร่ำรวยมหาศาล







นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2555, 08:51:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2555, 08:51:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1990





<< หน้าที่พระราชธิดา   ขึ้นที่ แม่ยั่วเมือง >>
Zephyr 30 พ.ค. 2555, 20:21:02 น.
เอ พ่อเจ้าแอบรักเค้ามาก่อนป่าวนะ พอเค้าจะแต่งงานเลยทำใจไม่ได้ ต้องฉุดซะ วิวาห์เหาะกันเลยทีเดียว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account