เจ้าสาวสีเลือด
เป็นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ ยังไม่ค่อยดี สมบูรณ์แบบเท่าไหร่
ยังไงฝากด้วยนะคะ

เมื่อสองหัวใจเจ็บ ๆ มาเจอกัน เปลี่ยนความกลัว ความเสียใจและแผนลวงเป็นความรัก แต่สุดท้ายรู้ว่ารักแท้ของเขาที่มีให้ แท้จริงแล้วเริ่มต้นจากความจอมปลอมทั้งหมด แบบนี้...เธอจะยอมรับมันได้หรือ !
Tags: ดราม่า หวานแหวว

ตอน: เจ้าสาวสีเลือดตอนที่ห้า

ตอนที่ 5
ภายใต้อาคารสำนักงานรูปทรงดูแปลกตาเกือบครึ่งหนึ่งของตึกนี้ทำมาจากกระจกหนาวิบวับระยับยามแสงส่องมา บางส่วนถูกทำขึ้นมาคล้ายงานศิลปะที่มีความโค้งนูนดูอ่อนไหวสบายตาแต่ก็ดูแข็งแรงทนทานในเวลาเดียวกัน แล้วนั่นก็บอกถึงฝีมือการออกแบบและก่อสร้างที่ใช้ความละเอียดความพยายามที่อดทนสูง
คุณประนพในชุดสูทสีเข้มพาชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาแนะนำให้รู้จักกับพนักงานเกือบทั่วทั้งบริษัท ก่อนจะพาเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของตนเองภายในห้องดูโล่งใหญ่ปลอดโปร่งสบาย การจัดตกแต่งแบบมีสไตล์ตามแนวผู้บริหารระดับสูง ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังตามหลังมาและถูกเปิดออกพร้อมกับร่างใหญ่ของชายสองคนเดินเข้ามาภายในห้อง พวกเขาทั้งสองถูกเชิญให้นั่งลงตรงโซฟารับแขกที่บุด้วยหนังแท้อย่างดี
“นี่คุณชาลี” คุณประนพเดินเข้ามาแนะนำผู้ชายคนแรกที่รูปร่างค่อนข้างท้วมเล็กน้อยใส่แว่นตากรอบดำหนาผมบางด้านหน้าทำให้รู้ว่าอายุมากกว่า 40 แน่นอน “หรือหัวหน้าลีเขาคุมคนงานก่อสร้างอยู่ที่ไซด์งานเขาจะช่วยแนะนำเรื่องงานบางส่วนกับแกเอง” ประธานบริษัทหันไปบอกพนักงานคนใหม่ที่มีตำแหน่งสูงเป็นถึงผู้จัดการใหญ่แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจฟังสักเท่าไหร่เขานั่งพิงโซฟาสายตาลอยมองลงไปด้านล่างนอกตึก ข้างล่างนั้นมองออกไปจากตรงนี้แล้วเห็นถนนที่รถติดแออัดชัดเจนทีเดียวแสงแดดร้อนๆ แม้ว่าจะยังเช้าอยู่ก็ทำเอาคนทอดสายตาถอนใจ “ไอ้ณัทได้ยินที่พูดไหม” คุณประนพพูดเสียงดังขึ้นคล้ายตวาด
“เออครับ สวัสดีครับหัวหน้าลี” ปาณัทเงอะงะหันมาทักทายชายกลางคน
“แล้วนี่ก็คุณพัคพงศ์ เขาเป็นเลขาประจำตัวแกจะช่วยดูแลทุกเรื่องให้” คราวนี้ประธานใหญ่น้ำเสียงเริ่มเป็นปกติ
“แล้วทำไมเลขาผมต้องเป็นผู้ชายด้วยละครับพ่อ” น้ำเสียงไม่พอใจสายตาจ้องมองชายหนุ่มหน่วยก้านดีแถมยังหน้าตาดีอีกต่างหาก
“แล้วถ้าเลขาผู้หญิงจะวิ่งตามแกทันไหมละ” คุณประนพทำตาดุใส่ลูกชายไม่รู้จักโต “คุณพัคพงศ์เขาเก่ง ฉลาด ขนาดอายุน้อยกว่าแกนะยังมีความรับผิดชอบสูงกว่าแกซะอีก” บิดาพูดเหน็บแนมบุตรชายแบบไม่ไว้หน้าจนคนโดนว่าหน้าแหย
“ยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยครับคุณพัคพงศ์” น้ำเสียงส่งๆ ไม่ค่อยเต็มใจ
“เรียกผมว่าพัคเฉยๆ ก็ได้ครับคุณปาณัท” คนแนะนำตัวก้มศีรษะน้อยๆ ยิ้มอย่างสุภาพ ปาณัทได้แต่นั่งกัดริมฝีปากแน่นบิดาเขาส่งคนมาคุมซ้ายคุมขวาหนาแน่นขนาดนี้ต่อให้เขามีปีกก็คงจะบินหนีได้ยาก แถมชายหนุ่มหน้าตาดีที่มาเป็นเลขาก็ท่าจะเฉลียวฉลาดและเชื่อฟังคำของประธานใหญ่มากกว่าผู้จัดการใหม่อย่างเขาเป็นแน่
“ยังไงก็ฝากลูกชายผมด้วยนะครับ จริงๆ ก็จบวิศวะมาสมัยเรียนก็เหมือนจะฉลาดอยู่นะครับแต่ตอนนี้ไม่รู้จะฝ่อหมดหรือยัง”
“พ่อครับ” ปาณัทเบรกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล
“จบวิศวกรรมแต่ว่าดันไปเปิดร้านขายกาแฟอยู่ซะนานวิชาความรู้ป่านนี้คงลงถ้วยกาแฟไปหมดแล้วละมั้งครับ” คนเป็นบิดายังคงค่อนแคะบุตรชายตัวดีให้ทั้งสองคนฟังอย่างขบขัน
“พ่อครับอย่าดูถูกผมแบบนี้ซิ พ่อก็เคยเห็นว่าธุรกิจผมรุ่งเรืองขนาดไหน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงภูมิใจกับร้านนั้นมาก ร้านที่เขาเองเป็นคนออกแบบทั้งหมดมันดูเรียกความสนใจจากลูกค้าได้มากทีเดียวแถมรสชาติของกาแฟก็เป็นที่ถูกใจของคนเมืองนั้นใช่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะกลับมาก็ได้ขายกิจการต่อให้คนอื่นไปเสียแล้ว
“ถ้ามันรุ่งเรืองอย่างแกว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ละ แกกลับมาทำไม”
ปาณัทกระอึกกระอักถ้าเขาบอกความจริงว่าเพราะผู้หญิง บิดาคงจะสมน้ำหน้าและสวดยาวไปนาน แต่ดูเหมือนคุณประนพจะรู้จักนิสัยของปาณัทดี เขาทายเกือบถูกทั้งหมด
“คงโดนสาวแหม่มหัวแดงทิ้งมาละซิท่า” ก่อนที่คนเป็นบิดาจะชกบุตรชายคนเดียวจนน็อกคาเวทีเสียงระฆังก็ดังช่วย ปาณัทถอนหายใจฟืดอย่างโล่งอก เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นเลขาคนสวยหน้าห้องประธานที่พึ่งหายไปชงกาแฟก็เดินเข้ามาเสิร์ฟ
“กาแฟค่ะท่าน”
“อ๋อ! นี่คุณวริษาเลขาพ่อเอง” คุณประนพผายมือแนะนำหญิงสาวที่กำลังวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะตรงหน้า
“นี่ปาณัทลูกชายผมเอง รู้จักกันไว้นะครับเดี๋ยวยังไงคงต้องประสานงานกันอีกเยอะ” ทั้งสองก้มหน้าทักทายกันอย่างมีมารยาท แต่ทว่าชายหนุ่มต้องตกใจรีบหลบหน้ามุดสายตาลงใต้โต๊ะ ก็แม่เลขาสาวคนที่ว่าคือคนเดียวกับเพื่อนของปรายปรางค์ที่เขาเคยเจอในผับ คนความจำเป็นเลิศอย่างปาณัทแค่เห็นแวบแรกก็จำได้ไม่ผิดเพี้ยน เขาเบี่ยงตัวหนีไปอีกทางพลางลุกเดินไปสะกิดเลขาพัคพงศ์ให้ลุกขึ้นตามแล้วพากันเดินอ้อมเลี่ยงไปไกลก่อนจะตรงรี่ไปยังหน้าประตู
“แกกำลังจะไปไหนนะ” เสียงห้วนจากคุณประนพตะโกนถามดัง ปาณัททำท่าก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนสวยก่อนจะตอบโดยไม่หันหลังมอง
“ผมเห็นว่ามันสายแล้วก็เลยจะชวนคุณเลขาพัคเขาออกไปดูงานข้างนอกหน่อยนะครับ”
“หึ หึ ผีเข้าเหรออยู่ดีๆ ขยันขึ้นมา” คุณประนพฉงนแปลกใจเล็กน้อย “อย่าคิดว่าจะหนีได้อย่างคราวก่อนอีกละ” เสียงไล่ตามหลังคนที่เดินฉับๆ ห่างออกไปไกลแต่ยังคงได้ยิน
ถ้าบังเอิญว่าวริษาเห็นหน้าของชายหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วนแผนการเขาคงล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังพึ่งเริ่มเป็นแน่
บนรถคันใหญ่ในระหว่างการเดินทางเพื่อไปดูงานก่อสร้างที่บริษัทได้รับเหมาทำไว้
“นี่ครับคุณปาณัท” เอกสารที่พิมพ์ลงบนกระดาษขนาดเอ 4 ปึกหนาพอประมาณถูกยื่นมาตรงหน้า
“อะไรกันครับเลขาพัค” คนรับทำหน้างวยงงพลางเปิดดู “นี่มันข้อสอบเด็กมหาลัยหรือไงกันครับ” น้ำเสียงฉุนอย่างไม่พอใจ
“พ่อคุณท่านสั่งมาบอกให้ทำหมดนี่ก่อน”
“เฮ้อ! ผมไม่ทำหรอก” ปาณัทยื่นเอกสารนั้นส่งคืนทันที
“คุณไม่ทำก็ได้ครับแต่คงต้องไปขอกับท่านประธานเอาเอง” พัคพงศ์อมยิ้มหันมองหน้าคนเป็นเจ้านายที่ยุ่งเหมือนยุงตีกัน เลขาหนุ่มยังกำชับเรื่องเวลาอย่างละเอียดเขามีเวลาให้ในช่วงแรกนี้แค่ก่อนถึงไซด์งานแล้วจะขอตรวจเช็คความถูกต้องที่ปาณัทได้ทำว่ามากน้อยเพียงไรมันช่างเหมือนกับทดสอบเด็กก่อนจบการศึกษายังไงอย่างงั้น
“ถามจริงเถอะครับคุณเลขา คุณเคยเป็นอาจารย์มาก่อนหรือเปล่าเนี้ย”
คนโดนค่อนแคะไม่ว่าอะไรมีแต่เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ปาณัทคว้าปากกาจากคนนั่งข้างมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนเอกสารปึกนั้นสักพักใหญ่เกือบจะตลอดการเดินทางทั้งหมดก็ว่าได้ และระหว่างนั้นหัวหน้าชาลีที่นั่งหน้าคู่คนขับมาแต่แรกก็ชี้มือชี้ไม้ให้ชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งช่วงหลังของรถดูตึกที่กำลังก่อสร้างขึ้นใหม่ด้วยฝีมือการออกแบบและคนงานก่อสร้างของบริษัทพวกเขา อีกประมาณ 300 เมตรเท่านั้นก็จะถึงที่หมายและหมดเวลาการทำแบบทดสอบช่วงแรกแล้ว
“คุณยังมีเวลาทำอีกนิดหน่อยนะครับ” เลขาประจำตัวเตือนขึ้นแต่ว่าปาณัทกลับปิดเอกสารแล้วส่งคืนกลับไปให้คนที่นั่งหลังตรงแหน่วอยู่ข้างกาย พัคพงศ์กวาดสายตามองแล้วจิ้มปากกาลงไปตรวจ ขีด เช็คลงบนกระดาษขาวพวกนั้นคล้ายกับตรวจข้อสอบนักเรียนจริงๆ สักพักไม่นานรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเลขาชายก็ปรากฏขึ้น
“คุณนี่เก่งทฤษฎีเหมือนที่พ่อของคุณว่าไว้ไม่ผิดเลยนะครับ”
คนถูกชมยิ้มเหยียดอย่างมีชั้นเชิง เห็นว่าแบบทดสอบดังกล่าวถูกปิดและเก็บเข้าแฟ้มของเลขาหนุ่มอย่างดี พัคพงศ์จำเป็นต้องรายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างของลูกชายให้ท่านประธานได้รับรู้
รถคันใหญ่จอดนิ่งเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เลขาประจำตัวขยับเอื้อมมือใหญ่ไปเปิดประตูรถระหว่างนั้นปาณัทก็ล้วงมือถือจากกระเป๋าเสื้อนอกออกมาจิ้มเลื่อนหาเบอร์ใครบางคน เลขาหนุ่มจึงหันกลับมามองผู้เป็นเจ้านายที่ยังไม่ทำท่าว่าจะก้าวขาลงจากรถเลย ทำให้คนที่กำลังสนใจมือถืออยู่รู้สึกว่าถูกจ้องจับผิดจึงเหลือบตาขึ้นมองเลขาข้างกายแล้วเอ่ย
“ก่อนที่ผมจะออกไปสอบภาคปฏิบัติผมขออนุญาตใช้โทรศัพท์สักหน่อยนะครับอาจารย์” ปาณัทพูดล้อเลียน
“ตามสบายครับผมให้เวลา 5 นาที” เขายักไหล่เบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าลงไปจากรถยืนหันหลังเฝ้ารออยู่แบบนั้น รูปร่างกำยำล่ำสันยืนยืดอกตัวตรงดูคล้ายบอดี้การ์ดหรือไม่ก็ผู้คุมขังมากกว่าจะเป็นเลขาธรรมดา ปาณัทถอนหายใจคราวนี้ลมหายใจยาวกว่าถูกครั้ง เขาเหมือนนักโทษที่กำลังถูกคุมขังจริงๆ เสียด้วย
“ใครมันเป็นนายกันแน่ว่ะ” ชายหนุ่มสบถขึ้นก่อนจะกดเบอร์ที่คิดไว้ในใจโทรออก
ณ เวลานี้เขาเองคงไม่สามารถจะหลุดรอดสายตาคนของบิดาที่ส่งมาคุมเข้มได้แน่ ไม่มีทางจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรตามอย่างที่คิดวางไว้ได้เลย กิตติเพื่อนคนสนิทเท่านั้นเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดพึงพาได้ยามนี้ ปาณัทหน้านิ่วคิ้วขมวดนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในรถสักพักก็ต้องรีบวางสาย เมื่อมือใหญ่จากชายด้านนอกเคาะกระจกรถเรียก คนโดนขัดจังหวะการสนทนามองดูเวลาบนมือถือถึงรู้ว่า 5 นาทีเป๊ะ
“นี่มันอะไรกันว่ะ” เขาเค้นเสียงลอดไรฟันสีหน้าบอกความไม่พึงพอใจ ตอนนี้ปาณัทต้องโดนคนอายุน้อยกว่าตั้ง 2 ปีมาควบคุมความประพฤติทุกย่างก้าวจนรู้สึกไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาเสียเลย เสียงประตูรถปิดดัง ’ปั้ง’ ตามด้วยร่างสูงโปร่งของปาณัทก้าวขายาวเดินอ้อมมายืนหยุดมองหน้าคนเป็นเลขาเขม็ง
“มันเป็นหน้าที่ของผม อย่าโกรธเลยนะครับ” พัคพงศ์พูดเสียงเรียบๆ ใบหน้าขาวคงความนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับสายตาคู่นั้นของเจ้านายคนใหม่ ระหว่างนั้นหัวหน้าชาลีที่เดินไปถึงตึกกำลังก่อสร้างก่อนแล้วจึงโบกมือเรียกไหวๆ ให้ทั้งสองหนุ่มเดินตรงไปหา และในขณะที่ปาณัทเดินคู่ไปกับพัคพงศ์จู่ๆ เจ้านายหนุ่มก็ลองเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ กับเลขาชายว่า
“เลขาพัคคุณแต่งงานหรือยัง”
“ยังครับ” คำตอบสั้นๆ ได้ใจความ พร้อมกับท่าเดินคอแข็งจนดูน่าหมั่นไส้ในสายตาคนเดินข้าง
“แล้วคุณมาตามผมทุกฝีก้าวแบบนี้ไม่กลัวแฟนทิ้งเหรอครับ” ปาณัทยิ้มแยกเคี้ยวอย่างเจ้าเล่ห์
“ผมยังไม่มีแฟนครับ”
“อ้าว! ยังงี้เมื่อไหร่คุณจะได้แต่งงานสักทีละ”
“ผมไม่รีบครับ ผมคิดว่าจะอยู่รอเป็นเพื่อนคุณไปก่อน” น้ำเสียงราบเรียบแต่มีรอยยิ้มขันนิดๆ ที่มุมปาก
ปาณัทกัดฟันขมวดคิ้วชนกันเป็นปม นายหมอนี่ทำเอาเขาจนแต้มด้วยคำถามของตัวเองจนได้
กลุ่มหญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มสีกลิบดอกบัวดูเรียบร้อยแบบสมัยและคล่องแคล่วในเวลาเดียวกัน มีชายหนุ่มปะปนมาบ้างแต่ส่วนน้อยพวกเขาพากันก้าวเท้าเดินลงมาจากด้านหน้าตัวตึก เสียงส้นรองเท้าคัตชูหลายคู่กระทบบันไดที่ปูด้วยหินแกรนิตส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก และเมื่อหลายคนก้าวลงพ้นบันไดสู่ทางฟุตปาธแต่ละกลุ่มก็แบ่งแยกกันไปซ้ายบ้าง ขวาบ้างมองหาร้านถูกใจหรืออาหารถูกปากตามความชอบกันไป ในเวลาเที่ยงตรงเผงแบบนี้น้ำย่อยในกระเพาะส่งเสียงเรียกร้องดังดีนักแล ปรายปรางค์คือหนึ่งคนในกลุ่มหญิงสาวพวกนั้นแต่ก่อนที่เธอจะได้ก้าวเท้าเดินต่อตามเพื่อนกลุ่มใหญ่พวกนั้นไปหญิงสาวก็ต้องชะงักงันเมื่อรู้สึกถึงมืออุ่นๆ นิ่มๆ และขนาดเล็กมาสะกิดข้อแขน
“พี่ครับพี่” หญิงสาวหันหน้ามองตามเสียงเรียกแต่กลับไม่เห็นใครข้างตัว มือนิ่มเขย่าแขนเธออีกครั้งทำให้ต้องหลบตามองต่ำจึงได้รู้ว่ามีหนุ่มตัวน้อยยืนเงยหน้ามองมาส่งยิ้มหวานให้ตาแป๋ว ในมือเด็กชายกำดอกกุหลาบดอกใหญ่สีขาวสดไว้หนึ่งดอก “พี่สาวใช่ชื่อปรางไหมครับ” เสียงเล็กเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำ
“ใช่จ้ามีอะไรกับพี่เหรอจ๊ะ” ซุ่มเสียงเอ็นดู เธอย่อตัวลงเกือบเท่าเด็กชายตรงหน้า
“มีคนฝากนี่มาให้ครับ” เด็กน้อยส่งดอกกุหลาบในมือยื่นให้
ปรายปรางค์เลิกคิ้วหันซ้ายมองขวาหาคนที่คิดว่าจะเป็นเจ้าของดอกไม้นี้แต่ทว่าก็กลับไม่เห็นมีใครที่เธอน่าจะรู้จักหรือใครที่จะว่างมาเล่นพิเรนทร์ในเวลาแบบนี้สักคน เด็กชายยัดดอกไม้ใส่ในมือเรียวก่อนจะวิ่งถอยห่างออกไป
“เดียะ... เดี๋ยว ซิน้อง” หญิงสาวอ้าปากค้างเมื่อเรียกเด็กคนนั้นไม่ทันเสียแล้ว เธอก้มมองให้ความสนใจดอกไม้ในมือนั้นแทนมีเพียงกระดาษเล็กๆ ที่ติดมาด้วยข้อความเขียนไว้สั้นๆ ว่า ‘ขอบคุณ’ อีกสักพักไม่นานนักก็มีเด็กชายอีกคนรุ่นราวคราวเดียวกับคนแรกมายื่นดอกกุหลาบเช่นเดิมให้ แล้วในเวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่ก็มีเด็กชายหญิงตัวเล็กๆ สลับกันมาส่งมอบกุหลาบขาวให้เธอคนละดอกจนครบ 8 คน 8 ดอกข้อความในกระดาษที่ติดมากับแต่ละดอกก็แตกต่างกันออกไป ปรายปรางค์ค่อยๆ อ่านข้อความพวกนั้นเรียงกันไปทีละอันจนรู้ถึงประโยคที่คนให้ต้องการจะสื่อ อีกครู่ก็มีสาวน้อยแก้มยุ้ยหน้าตาน่าหยิกเดินเข้ามาดึงชายเสื้อหญิงสาว
“พี่สาวคะ นี่ค่ะ” เด็กสาวในชุดกระโปรงบานสีขาวยื่นดอกกุหลาบแดงสีสดขนาดของมันใหญ่กว่าที่ได้รับมาแรกๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเจื้อยแจ้วอย่างน่าเอ็นดู “เจ้าของชื่อนี้เขาฝากมาขอโทษค่ะ ที่ไม่ได้เอามาให้ด้วยตัวเอง”
ปรายปรางค์ก้มมองกระดาษแผ่นล่าสุดที่ติดมากับกุหลาบแดงเธอขมวดคิ้วคิดเล็กน้อยก่อนที่ปากชมพูบางจะฉีกยิ้มจางๆ เมื่อรู้ต้นตอที่มาของดอกไม้พวกนี้
“หนุ่มที่ไหนกันเหรอปราง มาเซอร์ไพรส์แบบนี้เดี๋ยวก็กินข้าวไม่ลงกันพอดี” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เดินมาพร้อมกันพูดแซวขึ้น “น่าอิจฉาจัง”
สาวๆ พากันตื่นเต้นซักไซ้ถามถึงชื่อเจ้าของดอกกุหลาบกันยกใหญ่ ในขณะที่คนได้รับกลับทำได้แค่ยิ้มแหยๆ เธอไม่เข้าใจว่าเขาทำไมต้องลงทุนเล่นอะไรแบบนี้ด้วย หญิงสาวได้แต่หวังว่ามันคงเป็นแค่คำขอบคุณธรรมดาๆ แค่นั้นจริงๆ
“ขอบคุณ – สำหรับ - ความช่วยเหลือ - คราวก่อน - หวังว่า - คงชอบ -
กุหลาบขาว - นะครับ- จากปาณัท”



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 18:28:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 18:28:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1285





<< เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สี่   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account