เจ้าสาวสีเลือด
เป็นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ ยังไม่ค่อยดี สมบูรณ์แบบเท่าไหร่
ยังไงฝากด้วยนะคะ

เมื่อสองหัวใจเจ็บ ๆ มาเจอกัน เปลี่ยนความกลัว ความเสียใจและแผนลวงเป็นความรัก แต่สุดท้ายรู้ว่ารักแท้ของเขาที่มีให้ แท้จริงแล้วเริ่มต้นจากความจอมปลอมทั้งหมด แบบนี้...เธอจะยอมรับมันได้หรือ !
Tags: ดราม่า หวานแหวว

ตอน: เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สี่

ตอนที่ 4
โยษิตาหญิงสาวคนรักเก่าที่พึ่งโทรมาหาเขาระหว่างขับรถมาที่บ้านหลังนี้เมื่อ 20 นาทีก่อนเอง ตอนนี้เธอตามมาหลอกมาหลอนเขาทั้งที่ยังไม่ตายทางรูปถ่ายเลยหรือนี่ ปาณัทกลืนน้ำลายเอือกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำเย็นที่ตั้งรอตรงหน้ามาดื่ม แล้วฟังเพื่อนเจ้าสำราญคนสนิทพูดพร่ำต่อ
“ผู้หญิงคนเนี้ยป่านนี้สุขสบายไปแล้วมั้ง กูได้ยินว่าพอจบมหาลัยก็มีเสี่ยเลี้ยงพาไปอยู่ด้วยถึงเมืองนอกเมืองนา ก็เหมือนมึงนั้นแหละเลี้ยงหญิง”
คนที่กำลังกระดกน้ำดื่มสำลักไอดังโขลก กิตติรู้เพียงว่าเขาส่งเสียเลี้ยงแฟนสาวแต่ถ้ารู้ความจริงว่าคือคนเดียวกันกับแฟนเก่าน้องชายตัวเองแล้วด้วยเพื่อนสนิทคนนี้คงฮากร๊ากขำไปอีกหลายวัน
“กูพูดแทงในดำหน่อยสำลักเลยนะมึง” คนเป็นเจ้าบ้านหัวเราะขบขันก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก กิตติยื่นมือยาวไปดึงอัลบั้มรูปในมือปาณัทขวับ แล้วพลิกเปิดไปอีกสามสี่ภาพก็เจอรูปใบที่ต้องการนำเสนอ เขาเปิดหน้านั้นค้างไว้แล้วเลื่อนไปให้คนที่กำลังทำหน้าคล้ายคนใกล้ตายสีหน้าหดหู่ดู “ไอ้ณัทดูนี่”
“ไรมึง” เจ้าของชื่อสะดุ้งนิดหน่อยแล้วก้มต่ำมองดูรูปบนโต๊ะผู้หญิงสองคนในชุดนักศึกษายืนขนาบข้างผู้ชายเพลย์บอยคนเดิม ก่อนจะตั้งใจฟังเพื่อนเล่าต่อ
“มึงดูคนนี้ดิน้องกูเล่าให้ฟังว่าเคยคบมาก่อนแต่ไปทำอีท่าไหนไม่รู้มันก็เปลี่ยนไปคบกับยายเซ็กซี่เนี้ย” คนเล่าชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างสองสาว คนเซ็กซี่ที่ว่าก็คือโยษิตาแฟนเก่าที่ปาณัทพยายามเบือนหน้าหนีไม่อยากจ้องมองซ้ำ แต่ทว่าประโยคต่อไปที่ได้ยินทำให้ชายหนุ่มหันกลับมาให้ความสนใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก “แล้วมึงรู้ป่าวสองคนเนี้ยเป็นเพื่อนกัน เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดประมาณเนี้ย”
คำว่าเพื่อนกันนี่ละที่ปาณัทยอมก้มกลับลงไปมองรูปหญิงสาวคนที่ไม่คุ้นเคยอีกครั้ง ในหัวสมองตอนนี้พรั่งพรูเต็มไปด้วยความคิดบางอย่างสีหน้าที่ดูหดหู่เมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง ในขณะที่กิตติก็ร่ายยาวถึงที่มาของรูปพวกนี้ น้องชายของเขาพึ่งถูกถอดเคี้ยวถอดเล็บจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายออกหมด แต่ว่ายังคงเสียดายรูปสะสมแต้มแฟนเก่าจึงแอบเอามาฝากไว้ที่บ้านพี่ชายที่นิสัยละม้ายคล้ายกัน
แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่กิตติกำลังพล่ามบอกไม่ใช่เรื่องที่ปาณัทต้องการรับรู้สิ่งที่เขาต้องการรู้ก็คือ
“มึงรู้จักผู้หญิงคนนี้ไหม? กูว่าหน้าตาคุ้นๆ” ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดประมวลหน่วยความจำในสมอง
“กูก็ว่าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่ก็คิดไม่ออกว่ะ” กิตติรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นรูปด้วยซ้ำ
หน้าหญิงสาวปริศนากลายเป็นงานใหญ่ของหัวสมองสองหนุ่ม พวกเขานั่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะอุทานขึ้นพร้อมกัน
“อ้อ! คิดออกแล้ว” ทั้งสองทำตาโตหันหน้าเข้าหากันโดยอัตโนมัติ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากปาณัทแสดงออกอย่างชัดเจน
“ไอ้ณัทมึงอย่ามายิ้มแบบนี้” เพื่อนเกลอรู้ดีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มักแฝงภาระที่จะตกมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอนและมันก็ใช่ไม่มีผิด
“กิตมึงช่วยกูหน่อยนะ”
“ช่วยไร ไม่เอาโว้ย” ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นนั่งกอดอกหมับทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่คนข้างๆ กำลังอ้าปากพูด
“ถ้ามึงช่วยกูเรื่องนี้ กูจะให้มึงยืมรถไปยืดเอ้า” ข้อเสนอน่าสนใจจากคนมีเงินเหลือใช้ ไม่หวงแม้กระทั่งรถคันใหม่ป้ายแดงที่พึ่งแกะกล่องมาหมาดๆ มีหรือเพื่อนเจ้าสำราญชอบบริหารเสน่ห์อย่างกิตติจะปฏิเสธ ตัวช่วยไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปอะไรทั้งสิ้นเขาแค่มีหน้าที่ทำตามคำขอร้องของเพื่อนก็เท่านั้น ปาณัทบอกเหตุผลเพียงสั้นๆ ว่าเขามีเวลาไม่มากนักกับการทำบางสิ่งบางอย่างในครั้งนี้
18.10 นาฬิกา หญิงสาวในชุดยูนิฟอร์มของธนาคารแห่งหนึ่งสาวเท้ายาวเดินออกมาจากทางด้านหลังของสำนักงาน เธอเดินตรงไปยังที่จอดรถของตึกแต่ไม่ทันจะถึงที่จอดรถดีคนในชุดสีเรียบก็ต้องชะลอฝีเท้าลงก้มหน้าก้มตาค้นมือถือในกระเป๋าสะพายข้าง ที่ส่งเสียงสายเรียกเข้าเบาๆ แต่ดังพอจะทำให้คนเป็นเจ้าของได้ยิน สีหน้าของหญิงสาวจางลงเมื่อเห็นเบอร์โชว์บนหน้าจอมือถือ
ภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมามันช่างดูยาวนานเชื่องช้าเหมือนกับเวลาจงใจแกล้งมือเรียวข้างที่ว่างกำหมัดบีบแน่นบังคับความเจ็บปวดข้างในไม่ให้เผยออกมา แต่ทว่าถึงจะข่มไว้สักเท่าไหร่หัวใจก็ยังคงสั่นแกว่งไหวทุกทีที่เขาโทรมา เพียงแค่นี้น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นเบ้าตาเสียแล้ว และถ้าหากเธอรับโทรศัพท์แล้วได้ยินเสียงคนๆ นั้นที่กำลังทำใจให้ลืมเล่า เรี่ยวแรงคงจะไม่มีก้าวเดินไปถึงรถยนต์คันเล็กที่จอดอยู่แค่ใกล้ตานี้แน่ หญิงสาวปล่อยเสียงโทรศัพท์เครื่องน้อยนั้นให้หยุดลงไปเองแล้วหย่อนกลับลงไปในกระเป๋าแบบเดิม คนที่กำลังใจอ่อนล้าก้าวเท้าเดินเนือยๆ อย่างเหม่อลอยแค่เพียงไม่ถึง 5 ก้าวได้เธอก็ต้องสะดุ้งตกใจจนหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายร้องด้วยความเจ็บปวดมาจากข้างๆ รถของเธอ ในระหว่างนี้ก็มีชายอีกคนในชุดดำใส่หมวกแก๊ปกระโจนตัววิ่งออกจากมุมนั้น ชายคนดังกล่าววิ่งรวดเร็วมากหายเข้าไปในซอกตึกที่ค่อนข้างมืด หญิงสาวชะงักละล้าละลังเล็กน้อยก่อนตัดสินใจวิ่งเข้าไปดูคนที่ร้องเสียงโอดครวญขอความช่วยเหลือ เธอทำใจกล้าๆ กลัวๆ ค่อยขยับตัวเข้าไปหาคนที่นั่งกุมหน้ากุมตาอยู่ข้างรถนั้น
“คุณคะ คุณเป็นยังไงบ้าง” ร่างบางยืนสั่นอยู่ห่างๆ คนสมัยนี้มักไว้ใจไม่ค่อยได้แม้แต่คนที่นั่งเจ็บอยู่ตรงนั้นก็เถอะบางครั้งอาจเป็นพวกมิจฉาชีพสร้างสถานการณ์ก็เป็นได้เมื่อคิดได้อย่างนั้น หญิงสาวจึงได้แต่ตะโกนเข้าไปและขอยืนดูอยู่ไกลๆ ให้แน่ใจเสียก่อน
“คุณๆ ช่วยผมด้วยครับ” คนเจ็บยกมือกุมหน้าที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด สีหน้าของชายหนุ่มดูเจ็บปวดสุดจะทน สายตาวิงวอนขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
“คุณนั่นเอง” ตาคู่สวยเบิกกว้างความตกใจเพิ่มทวีเมื่อเห็นหน้าชายคนนั้นชัดเจนมากขึ้น เธอไม่รู้จักชื่อเขาแต่จำหน้าเขาได้ดีทีเดียว
“คุณปราง คุณปรางใช่ไหมครับ ช่วยผมด้วย” หญิงสาวแน่ใจมากยิ่งขึ้นว่าใช่คนคนเดียวกับที่เธอคิดเพราะถึงขั้นเรียกชื่อเธอถูกต้องเสียขนาดนี้
ปรายปรางค์ตัดอคติและความเกลียดชังส่วนตัวออกก่อนจะเดินเข้าไปช่วยพยุงชายคนดังกล่าวให้ลุกขึ้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ละคะ ผู้ชายคนเมื่อกี้ใช่ไหมที่ทำร้ายคุณ”
“ครับ ไอ้หมอนั้นมันฉกกระเป๋าตังผมไปยังไม่พอ ยังทำร้ายร่างกายผมอีก” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังถูกประคองให้ยืนขึ้นหน้าบิดเบี้ยว ปากบวมตุ่ยคงเพราะแรงอัดจากหมัดอย่างเต็มแรง
“ว่าแต่คุณ...เออ” หญิงสาวไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไรดี ก่อนที่เธอจะอ้าปากถามประโยคถัดไปชายหนุ่มก็พูดแทรกแนะนำตัวทั้งที่ยังเจ็บปากอยู่แบบนั้น
“ผมปาณัทครับ” เสียงออกจะอู้อี้เพราะคนพูดเอามือปิดปากที่เจ็บอยู่ แต่ก็ทำให้คนที่ได้ยินใจหายแวบก็ผู้ชายคนนี้ดันไปชื่อเดี๋ยวกับแฟนเก่าของเธอที่เสียชีวิตไปเสียด้วย มันเป็นความลำบากใจที่จะเรียกชื่อของเขาได้อย่างเต็มปาก
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่ รถคุณจอดอยู่ตรงไหนละคะ” หญิงสาวหันซ้ายหันขวามองหารถที่คิดว่าน่าจะเป็นของเขาทั่วลานจอด แต่ทว่าต้องหยุดสายตาแล้วหันมามองหน้าคนเจ็บแทนเมื่อชายหนุ่มบอกว่าไม่ได้เอารถมา
ปาณัทปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาให้หญิงสาวฟัง ชายหนุ่มไม่สามารถจะกลับบ้านได้ในสภาพยับเยินขนาดนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นคุณหญิงย่าของเขาเห็นหลานชายสุดที่รักย่ำแย่แบบนี้คงลมจับหัวใจวายตายแน่ ปาณัทขอร้องให้เธอช่วยไปส่งเขาบ้านกิตติเพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของผับคนนั้น ปรายปรางค์ไม่ปฏิเสธถึงแม้จะเป็นคนละทางกับคอนโดของเธอก็ตาม แต่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คือการทำบุญอย่างหนึ่งที่สาวใจดีคนนี้คิด

หญิงสาวที่อยู่หลังพวงมาลัยคล้ายจะหมดความอดทนกับสายตาที่จับจ้องมองมายังเธออยู่แบบนี้มาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาเลยก็ว่าได้ ปรายปรางค์หันหน้าไปมองคนที่นั่งข้าง บนใบหน้าอันหล่อเหลาตอนนี้แทบดูไม่ได้ ชายหนุ่มสะอึกนิดหน่อยเมื่อเห็นสายตาคู่สวยจ้องมา เขารีบเอามือกุมรอยช้ำปูดเหมือนพึ่งรู้สึกตัวเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณสงสัยอะไรบนหน้าฉันงั้นเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงราบเรียบก่อนจะหันหน้าตรงมองถนน
“ผมก็แค่กำลังคิดว่าคุณใช่คนเดียวกันกับคนที่ผมเคยเจอจริงหรือเปล่า” ปาณัทตอบตามตรง หลังจากที่เขานั่งพินิจใบหน้ารูปไข่นั้นอยู่นาน
“มันมีอะไรต่างกันหรือคะ” หญิงสาวเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“ต่างซิครับเกือบทุกอย่าง”
“เช่น...” คนพูดละประโยคไว้
“ก็การแต่งหน้า การแต่งตัว” คนพูดเอามือปิดรอยฟกช้ำบนใบหน้า ลอบชำเลืองหางตามอง ชุดยูนิฟอร์มที่ดูเรียบร้อยกับเครื่องสำอางแต่งแต้มเพียงบางๆ ทำให้หน้าขาวใสผ่องอ่อนเยาว์ดูยังไงก็แตกต่างจากคนคืนนั้นโดยสิ้นเชิง
ปรายปรางค์เงียบยิ้มรับเธอไม่คิดจะอธิบายหรอกว่าแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเธอมันไม่จำเป็นสำหรับคนที่รู้จักกันผิวเผิน
“ยังไงผมก็ขอบคุณสำหรับเรื่องวันนี้ แล้วก็ขอโทษด้วยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในผับ” ชายหนุ่มพูดต่อน้ำเสียงมีร่องรอยความจริงใจในนั้น ปรายปรางค์รู้สึกกระดากใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นเธอไม่เคยหวังว่าจะพบผู้ชายคนนี้อีกด้วยซ้ำ แต่นี่มันเป็นความบังเอิญที่ช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ ที่จริงมันก็เป็นความผิดของฉันเองด้วย ที่ทำให้คุณเข้าใจแบบนั้น” คนพูดหน้านิ่งเฉยสายตาทอดยาวมองไปข้างหน้า “เราก็ถือว่าหายกันไปแล้วตั้งแต่ฉันเดินออกมาจากที่นั่น อย่าไปพูดถึงมันอีกเลยค่ะ” น้ำเสียงดูจริงจังทำให้คนฟังก็ยังทึ่งแปลกใจกับนิสัยผู้หญิงคนนี้
ปรายปรางค์ขับรถมาส่งชายหนุ่มถึงจุดหมายจนได้ กิตติเจ้าของบ้านรีบวิ่งมาเปิดประตูเหล็กโดยที่คนขับรถยังไม่ได้บีบแตรหรือกดออดประตูเรียกเลยสักนิด หญิงสาวเปิดประตูออกมาช่วยพยุงคนเจ็บลงจากรถ
“ไอ้ณัทมึงไปโดนอะไรมา” เพื่อนสนิทรีบวิ่งตรงมาช่วยประคองหน้าตาตื่นตระหนกตกใจ
“เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังทีหลังตอนนี้พากูเข้าบ้านก่อนเถอะ” คนเจ็บเดินกะเพลกๆ กระนั้นก็ยังหันมาขอบคุณหญิงสาวที่มาส่งอีกรอบ กิตติเองก็ทำท่าคล้ายว่าพึ่งสังเกตเห็นคนที่ช่วยพยุงเพื่อนเกลอคือใคร
“อ้าวคุณปรางเพื่อนแนนนี่ใช่ไหมครับ จำผมได้ไหมผมกิตติเจ้าของผับที่คุณไปเที่ยววันนั้นไงครับ”
“ค่ะจำได้ สวัสดีค่ะ” เธอก้มศีรษะเล็กน้อยอย่างมีมารยาท “ยังไงฉันขอตัวกลับเลยนะคะ” ในขณะที่หญิงสาวหมุนตัวเดินกลับไปที่รถปาณัทก็ตะโกนตามหลัง
“เรื่องวันนั้นเราหายกัน แต่เรื่องวันนี้ผมยังเป็นหนี้บุญคุณคุณอยู่นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเหลี่ยม
“อย่าคิดแบบนั้นเลยคะ” ริมฝีปากบางของหญิงสาวแย้มออกเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปนั่งในรถญี่ปุ่นคันเล็กแล้วขับออกไป เธอไม่เคยคิดจะทวงบุญคุณอะไรจากเขาสักนิดมันเป็นมนุษยธรรมที่คนเราต้องช่วยเหลือกันต่างหาก
เสียงหัวเราะรัวขบขันดังทั่วบ้านของหนุ่มโสดเหมือนมีคนอยู่กันนับสิบทั้งที่จริงแล้วมีกันเพียง 2 คนเท่านั้น
“ยายนั่นเชื่อสนิทใจเลยว่ะ” กระดาษทิชชูที่เปื้อนคราบดำจากเครื่องเมคอัพถูกโยนลงไปในถังขยะเล็กๆ ข้างเก้าอี้เกือบเต็มถังแล้ว
“สงสารคุณปรางว่ะ คงตกใจน่าดูตอนที่เห็นมึง” กิตติพูดกลั้วขำ
“ยิ่งกว่าตกใจอีก ช่างแต่งหน้าของมึงคนเนี้ยแต่งอยู่กองถ่ายไหนว่ะแนบเนียนเหมือนจริงมากเลยวะ” ปาณัทค่อยๆ ใช้ลิ้นเซาะบางอย่างในปากที่ติดตรงเหงือกด้านบนออกแล้วเอามือจับโยนทิ้ง
“ไอ้ตัวนี้นี่เองถึงว่าเวลาเห็นในหนังทำไมมันสมจริงสมจังหนัก” กิตติเพื่อนเจ้าความคิดมองตามลงไปในถึงขยะ “ว่าแต่คุณปรางเขาไม่สงสัยอะไรเลยเหรอ ว่าทำไมมึงถึงไปที่นั่น”
“ก็ถามอยู่นะแต่กูโกหกไปว่ามาถอนเงินไปจ่ายค่ารถที่จะเอาออกวันนี้ก็เลยไม่ได้เอารถมา แถมยังโดนปล้นเงินไปอีกแค่นั้นแหละยายนั้นน่าซีดกว่าเดิมทำท่าเสียดายเงิน” คนพูดหัวเราะร่า มือก็ยังคงดึงทิชชูเช็ดซ้ำบนใบหน้า
“หัวแหลมจริงนะเพื่อนกูเรื่องโกหกเนี้ยไม่ต้องมีสคริปก็ลื่นได้” กิตติอมยิ้มส่ายหน้า “แล้วเรื่องแจ้งความ หรือไปโรงพยาบาลละเขาไม่สงสัยเรื่องนี้เหรอ” เจ้าของบ้านยังคงสนใจเหตุการณ์ต่อเนื่อง
“กูจัดการเรียบร้อยมันอยู่ในนี้โว้ย” ปาณัทยักคิ้วเขาใช้นิ้วชี้เคาะลงไปบนศีรษะตัวเอง แสดงความภาคภูมิใจในความฉลาดที่หลอกคนอื่นให้ตายใจได้ “แต่ว่าไปยายมะปรางเปรี้ยวนั้นก็นิสัยแมนไม่ใช่น้อย” เขาฉีกยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงผู้หญิงคนที่มาส่ง ในตอนแรกที่เสี่ยงไปคิดว่าเธอต้องโวยวายถึงเรื่องที่เขาไปลวนลามและอาจไม่อยากช่วยก็เป็นได้แต่ตรงกันข้ามเธอกลับไม่ติดใจเอาความแถมเต็มใจช่วยเสียด้วย
“ต้องขอบคุณ คุณแนนนี่เลยนะเนี้ย” กิตติเอ่ยถึงสาวเทียมที่เป็นผู้ให้ข้อมูลทุกอย่างเนื่องจากแนนนี่ก็โดนหลอกใช้เช่นกันโดยไม่รู้ตัว กิตติบอกเธอว่าปาณัทต้องการจะไปขอโทษเรื่องเมื่อคืนนั้นกับปรายปรางค์และขอร้องว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้เพื่อนสาวของเธอรู้ก่อนเด็ดขาด
แผนแรกทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ปาณัทฉายแววตาของคนที่กำลังจะเป็นผู้ชนะเร็วๆ นี้เขามีเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้นจำเป็นจะต้องจีบปรายปรางค์ให้ติดก่อนที่เธอคนนั้นจะกลับมาถึงเมืองไทย



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 18:26:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 18:26:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1330





<< เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สาม   เจ้าสาวสีเลือดตอนที่ห้า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account