เมืองริษยา
การหย่าร้าง...ไม่ใชจุดสิ้นสุดของความหายนะ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ "นีรนาท"...
การได้อยู่เพียงลำพัง ยิ่งโหดร้ายเสียกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า เมื่อกระแสลมแห่งความริษยา พัดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ที่หล่อนก้าวเดินไป!
Tags: รัก ริษยา

ตอน: บทที่ ๗ - การมาถึงของความริษยา!

*นวนิยายเรื่องนี้ ลิขสิทธิ์ของ สนพ.สถาพรบุคส์ ครับผม


บทที่ ๗ การมาถึงของความริษยา!
-----------------------------------

อุณหภูมิหนาวเยือกทั่วทุกอณูอากาศ ช่างแตกต่างจากความรู้สึกภายในใจของสตรีวัยสามสิบกะรัต ผู้ซึ่งกำลังแต่งแต้มริมฝีปากด้วยลิปสติกเนื้อดีของเรฟลอน ความรู้สึกรุ่มร้อนราวกับไฟเผาทรวง พาให้หมดความสุนทรีย์กับการประทินโฉม หล่อนบีบลิปสติกในมือแน่นก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง หน้ากระจกกรอบหลุยส์ที่ฉายชัดให้เห็นถึงความริษยา บนใบหน้าของหล่อนเอง ณ เวลานี้!

เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น ทุกสิ่งอย่างบนโต๊ะเครื่องประทินโฉม ถูกกวาดลงไปกองอยู่บนพื้น กลิ่นน้ำหอมจากขวดรูปทรงน้ำเต้าราคาเหยียบหมื่น คลุ้งกระจายส่งกลิ่นแสบจมูกไปทั่วอณูอากาศ เมื่อขวดแก้วของมันแตกกระจายทั่วผิวพรม

โทรศัพท์ภายในห้องชุดหรู ดังสนั่นจนหล่อนอยากจะส่งเสียงหวีดร้อง...

“Hello!”

เสียงเข้มของสตรีเอ่ยทักต้นสายอย่างไม่สบอารมณ์ ฝ่ายทางนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ดอร์แมนหน้าโรงแรมที่หล่อนอยู่ พูดพร่ำๆตามหน้าที่ ก่อนจะถูกตัดสายด้วยฝีมือของปลายสาย กระแทกหูโทรศัพท์ลงแป้น ตามด้วยเสียงสบถด่าหยาบคายในลำคอตั้งระหง

“ไอ้พวกฝรั่งโง่! ย้ำไม่รู้กี่รอบ ว่าให้รถมารับอีกสองชั่วโมง... สาระแนมาก่อนกำหนดเสียอีก” หล่อนสบถพึมพำ เท้าก็พาร่างระหงเดินร่อนไปรอบห้องชุดราคาคืนละหลายหมื่นบาทหากเทียบเป็นเงินไทย เนื่องจากหล่อนยังเก็บข้าวของไม่เสร็จ

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีก...

“มีอะไร!” ตอกกลับต้นสายอย่างรู้ดีว่าฝ่ายนั้นเป็นคนไทย เนื่องจากมองเห็นหมายเลขที่หน้าจอ ก่อนตัดสินใจกดรับ

“คุณแคทคะ ดิฉันมารอคุณอยู่ที่ฮีทโทรว์แล้วนะคะ” หล่อนผู้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว หมายถึงท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโทรว์ แห่งกรุงลอนดอน เสียงหล่อนดูเป็นกังวลเหลือเกิน “อีกสองชั่วโมงเครื่องจะออกแล้วนะคะ ประเดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอกค่ะคุณแคท”

“ฉันจ้างหล่อนมาทำอะไร ดารัน” เสียงเข้มขุ่นกระแทกกลับไป ให้อีกฝ่ายนิ่งเย็นไปครู่หนึ่ง ราวกับถูกสะกด “หล่อนบอกโรงแรมไว้ว่าอย่างไร ฉันสั่งหล่อนแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอีกสองชั่วโมงค่อยมารับฉันน่ะ แล้วนี่ไอ้หัวทองมันจะมารับฉันเอาตอนนี้ ฉันจะเสร็จทันไหม!”

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรคะคุณแคท” ดารันเสียงสั่น กล้าๆกลัวๆที่จะพูด “ดิฉันจองตั๋วสำหรับคุณไฟลท์หน้านี้แล้วซีคะ ถ้าอีกสองชั่วโมง เครื่องก็ออกกันพอดี”

“หล่อนก็จองให้ฉันใหม่” เป็นความต้องการที่ดูเหมือนจะง่ายดายเกินไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ย่อมเป็นไปได้ หากว่าสตรีผู้นี้คิดปรารถนา “หล่อนทำฉันวุ่นวายไปหมด สั่งอะไรก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หล่อนจะทำให้ฉันเป็นบ้า รู้ไหมแม่ดารัน!”

ดารันอีกทางหนึ่ง ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มวันตรุษ... ยังไม่ทันได้อธิบายด้วยคำพูดอันใดอีก หล่อนก็ถูกผู้เป็นนายหญิงตัดสายโทรศัพท์ใส่หูไปดื้อๆ

“เฮอะ!” ดารันดันลมอันหนักหน่วงในอก พ่นออกมาเป็นคำสบถอย่างเบื่อหน่ายที่สุด “สมแล้วล่ะ ที่สามีหล่อนคิดจะขอหย่า! อารมณ์ร้ายแบบนี้...ใครจะอยู่กับหล่อนได้ลง นังแคทรียา!”

ดารันเหยียดยิ้มให้รูปถ่ายของแคทรียาในอัลบั้มรูปของโทรศัพท์มือถือ เห็นคนในรูปแล้วก็ยิ่งสมเพช... เพราะการกระทำของหล่อนเองแท้ๆ สามีจึงคิดจะตีจาก

“สร้างวีรกรรมแพศยาเอาไว้ ยังมีหน้ากลับเมืองไทยไปโชว์ความฉาวโฉ่ ให้คนเค้ารู้เค้าเห็นอีก...หึ หนังหน้าด้านๆแบบนี้ มีหล่อนคนเดียวที่เป็นที่สุดนั่นล่ะ นังไฮโซตกกระป๋อง!”


+++++++++++++++++++++++++


หญิงสาววัยยี่สิบสอง นั่งเงยหน้าไม่เต็มวง...เมื่อรู้สึกพะว้าพะวงกับพฤติกรรมของผู้เป็นเจ้านายตรงหน้า... ผลงานของหล่อนถูกหยิบไปพลิกดูหลายแผ่น เป็นการออกแบบเสื้อผ้าสตรีที่เคยสร้างความภาคภูมิให้แก่เจ้าของผลงาน... ทว่า ณ นาทีนี้ นีรนาท ดาริกุล กำลังจะทำให้หญิงสาวเป็นบ้า นั่งประคองใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อและรู้สึกหนักบนคอสวย ทุกสิ่งอย่างคือความรู้สึกที่เลวร้าย... นีรนาทอาจเป็น ‘นาย’ คนแรกของหล่อนผู้นี้ ที่สร้างความพิพักพิพ่วนจนหล่อนเจียนจะสำรอก

“สวยนะ...” เป็นคำชมเรียบๆจากนีรนาท ทว่ามิได้สร้างความชื่นมื่นให้แก่ผู้เป็นเจ้าของงานเลยสักนิดเดียว เพราะหล่อนเชื่อว่าคนตรงหน้ายังเอ่ยไม่สุดความ และก็จริงเช่นความคิด “แต่มันไม่เหมาะสมกับงานของฉัน”

หญิงสาววัยยี่สิบสองพยักหน้า แล้วก้มหน้างุด... ดวงตาเรียวเล็กของหล่อนซ่อนความเจ็บใจเอาไว้อย่างสุดแสน ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยสีสันของน้ำยาทาเล็บสีชมพูแต้มลาย รวบแน่นในที่ลับสายตาของบรรณาธิการหญิง

“คุณกำลังจะเรียนจบเอกการดีไซน์ใช่ไหมคะ คุณฌาริตา”

“คะ...ค่ะ” ฌาริตาตอบด้วยน้ำเสียงเบา ยิ้มเจื่อนเมื่อเลื่อนวงหน้าขึ้นเผชิญกับผู้หญิงตรงหน้า ผู้ทรงความเฉียบขาด ดำรงในแววตาคมคู่นั้นของเธอ “ค่ะ คุณนีรนาท”

“คุณมีชื่อเล่นหรือเปล่าคะ คุณฌาริตา ฉันจะขออนุญาตเรียกให้สะดวกปาก”

“เฌอแตมค่ะ”

“ค่ะ คุณเฌอแตม” นีรนาทเอนหลังพิงพนักเบาะนุ่ม แล้วผ่อนลมหายใจอย่างเผยให้เห็น ก่อนจะยื่นผลงานของเจ้าตัว ส่งกลับโดยไม่คิดจะมองมันอีกเป็นครั้งที่สอง

“มะ...มัน ใช้ไม่ได้เลยหรือคะ?”

“มันอาจจะเคยใช้ได้หรอกค่ะ” บรรณาธิการหญิงตอบกลับอย่างไม่อ้อมค้อม “แต่สำหรับฉัน มันใช้ไม่ได้เลยสักแบบเดียว”

ฌาริตาหน้าร้อนอย่างมิอาจจะควบคุม ความแดงซ่านไปทั่ววงหน้าเช่นความรู้สึกเจ็บแสบ

“เอ่อ...ดิฉันอาจจะฝีมือไม่ถึง...”

“เปล่าๆค่ะ ฉันไม่ได้กำลังดูถูกฝีมือของคุณนะ เพียงแต่...” นีรนาทเหลือบสายตามองไปที่เอกสารบนโต๊ะ ซึ่งตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะดึงกระดาษชุดหนึ่งออกมา แล้วยื่นให้นักศึกษาฝึกงานตรงหน้าอ่านมัน “ฉันเพียงคิดว่าคุณอาจจะตีโจทย์ไม่แตก... ในฐานะที่ฉันเป็นบรรณาธิการฝ่ายแฟชั่นคนใหม่ของเซดิออส และมีอำนาจในการออกแบบและตัดสินใจ...เลือกสรรเสื้อผ้าของนางแบบบนหน้าปก ฉันมีคอนเซปต์หลักของฉบับหน้า นางแบบจะต้องมีเฟอร์สีเทาประกอบอยู่ในชุด ต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง... แต่ว่า แต่ละชุดที่คุณเฌอแตมเสนอมา ฉันมองเห็นเฟอร์ที่ฉันต้องการ เพียงสิบเปอร์เซ็นต์ในแบบเท่านั้นเอง”

“มันยังไม่พอหรือคะ?” ฌาริตาถามกลับด้วยเสียงเบา หวั่นเกรงการโต้ตอบจากผู้หญิงตรงหน้าไม่น้อย

“นอกจากจะไม่พอแล้ว...แบบของคุณยังผิดต่อลักษณะ และผิดไปจากความต้องการของฉันมากทีเดียวค่ะ”

++++++++++++++++++++++

ทุกคำพูดของนีรนาทยังวนเวียนอยู่ในหัวของฌาริตาไม่เลือนหาย... มันยิ่งสร้างความเจ็บใจให้หล่อน ผู้ไม่เคยยินยอมน้อมรับ กับผลงานของตัวเองหากถูกใครปรามาสว่ามัน ‘ใช้ไม่ได้’ ...ใช่ ฌาริตายกย่องสรรเสริญผลงานของตนเองยิ่งกว่าทุกสิ่งในชีวิต และถ้าหากจะมีใครสักคนดูแคลนสิ่งที่เหล่านี้ หล่อนจะเกิดความไม่พอใจ...และไม่คิดหาเหตุผลใดใดมาปรับใช้ ให้ผลงานเหล่านั้นดีขึ้น หากเพราะหล่อนมั่นใจอยู่แล้ว ว่ามันเป็นผลงานที่ดีที่สุด!

‘ตาต่ำ! บก.คนนี้ตาต่ำยิ่งกว่าใครทั้งหมด!’ หล่อนตัดสินใจนีรนาท เพียงเพราะความไม่พอใจ เพราะไม่ยินยอมน้อมรับกับคำติจากผู้นั้น ‘ทำไมฉันถึงต้องมาเจอกับนังบก.คนนี้ด้วยนะ หืม...บก.คนที่แล้วก็ไม่น่าจะรีบออกไปเลย ฉันนี่มันโคตรซวยจริงๆ!’

ความไม่สบอารมณ์ดำรงอยู่ในความคิด นับว่าเป็นวันแรกของการฝึกงานที่น่ารันทดที่สุดสำหรับฌาริตา... และในระหว่างที่หล่อนกำลังกระแทกฝีเท้า เดินดุ่มไปยังโต๊ะทำงานในออฟฟิซรวม ชั้นเดียวกันนั้น... ที่หัวมุมทางเดิน ซึ่งเลี้ยวไปยังจุดหมายปลายทางและมุมลิฟต์โดยสาร หญิงสาวชนเข้ากับใครบางคนที่พลุ่งตัวออกมาจากหัวมุมนั้นเอง

เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากทั้งสองฝ่าย ฌาริตาฉายความไม่พอใจให้เห็นทางสีหน้าทันที และพบว่าอีกคนคือชายหนุ่มในชุดนักศึกษา ติดป้ายที่หน้าอกว่า ‘Visitors’ ให้เห็นอย่างชัดเจน

“เดินดูตาม้าตาเรือหน่อยสินาย! จะเลี้ยวจะเอี้ยวไม่ระวังเอาเสียเลย!”

คนหนุ่มนักศึกษาเบิกตากว้างขึ้น งุนงงกับข้อหาที่ได้รับ


“นี่เธอ... เธอเองก็เดินมาไม่ระมัดระวังเหมือนกันนั่นล่ะ อะไร...เลี้ยวมาอย่างกับพายุ”

ฌาริตาถอนฉุนหงุดหงิด มองที่ป้ายบนหน้าอกของคนหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวค่อนแคะ

“มาขอฝึกงานที่นี่ล่ะสิ...หึ หวังไว้หรือไง ว่าจะผ่าน!”

คนหนุ่มทอดมองที่ป้ายบนหน้าอกของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตรงหน้า เห็นคำว่า ‘Trainees’ ปรากฏอยู่ จึงรู้ว่าหล่อนผู้นี้ คงผ่านการสัมภาษณ์มาก่อนเขาแล้ว

คนหนุ่มหัวเราะกลั้วคอพร้อมกับตอบไปว่า

“ถ้าคนอย่างเธอผ่าน...ฉันก็คงต้องผ่านฉลุยเหมือนกันนั่นล่ะ”

“ฮึ ต๊าย...มั่นใจขนาดนั้นเชียว”

“ใช่ ฉันมั่นใจมาก” คนหนุ่มยกมือขึ้นสอดอก ทำให้ฌาริตาเห็นว่าเขามิได้นำผลงานใดใดติดตัวมาเลย

“อะไรกัน มาขอฝึกงานทั้งที...ไม่มีผลงานอะไรมาแสดงให้เขาดูเลยอย่างนั้นเหรอ โง่หรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่ได้โง่” ฝ่ายชายเลิกคิ้ว ทำยิ้มยียวน “แต่ฉัน...มันคนมี ‘อภิสิทธิ์’ ต่างหากล่ะ ถอยไป...เธอทำให้ฉันเสียเวลามากแล้ว ยายหน้าจืด”

ร่างของคนหนุ่มเคลื่อนผ่านฌาริตา ทิ้งเอาไว้ซึ่งความเจ็บแสบในคำพูดนั้น กระทั่งหญิงสาวเหลียวตัวกลับมาตะโกนไล่หลังคนหนุ่มอีกว่า

“คุณนีรนาทเธอไม่เอานายหรอก! เฮอะ... ฉันน่ะ คู่คิดคนโปรดของเธอล่ะ ระดับนาย...ดีไซเนอร์ห่วยๆ อย่าหวังเลยว่าจะผ่านการพิจารณา ไอ้หน้าปลาจาระเม็ด!”


++++++++++++++++++++++++


เมอร์ซิเดสสีนิลเลี้ยวเข้ามาสู่ตัวบ้านสองชั้นขนาดใหญ่ ความสงัดปกคลุมไปโดยรอบบริเวณ ส่งผลให้นีรนาทนึกสงสัยทันทีเมื่อเธอก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับน้องชายคนเดียว ซึ่งหิ้วถุงสารพัดของกิน พะรุงพะรังเต็มมือไม้

“คุณทัตดรงค์เงียบเลยนะฮะพี่นาท” วาโยก้าวเข้ามาในบ้าน แหงนมองขึ้นไปบนชั้นสองบริเวณบันได... มุมนั้นเงียบสงบเหลือเกินจริงๆ “หรือว่าจะยังหลับอยู่”

“ดีแล้วล่ะ ถ้าเขาไม่เงียบ เธอกับพี่จะปวดหัวแน่ๆ”

“เขาก็ดูดีนี่ฮะ”

“ดูดี!?” นีรนาทผินมองน้องชาย ระหว่างนั้นก็วางถุงขนมลงบนโต๊ะที่มุมรับแขก “ใช้อะไรมอง คนเจ้าอารมณ์แบบนั้นน่ะเหรอ”

“ผมหมายถึงหน้าตาของเขาต่างหาก” วาโยพูดแล้วกลั้วหัวเราะไปด้วย “ถ้าเขาหายดีแล้ว พี่นาทน่าจะปั้นเขาให้เป็นนายแบบนะครับ”

“บ้าหรือเปล่า พูดอะไรไม่คิดเลยตาโย” นีรนาทเหยียดริมฝีปากอย่างไม่นึกสนุกด้วย “ผู้ชายพรรค์นั้นน่ะเหรอ พอโด่งดังเข้าหน่อย...เดี๋ยวก็ถีบหัวคนส่งหมดนั่นล่ะ ท่าทางรู้คุณคนเสียที่ไหน”

เสียงที่แทรกขึ้นต่อจากนั้น ดึงให้สองพี่น้องเหลียวหน้าไปมองอย่างไม่คาดคิด...

“พูดจาแรงไปไหมคุณผู้หญิง” ทัตดรงค์ปรากฏตัวบริเวณทางเข้าห้องครัวเบื้องหลังทั้งสองคน นีรนาทหน้าเป๋อไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงสั่นเบา

“นะ...นี่คุณ ลงมาได้ยังไง!?”

“ก็ใช้ตีนข้างนึงเนี่ยล่ะ!” ทัตดรงค์กระแทกเสียงหนักขึ้น วาโยสะดุ้งกับถ้อยคำหยาบคาย และต้องยืนทนฟังต่อไปอย่างคาดไม่ถึง “กว่าจะกลับกันมาตั้งเย็นย่ำ รู้ไหมว่าฉันหิวจนแทบจะกินไส้ตัวเองได้อยู่แล้ว!”

บทบาทเอาแต่ใจแสดงให้เห็นโดยไม่มีใครเรียกร้อง... นีรนาทไล่น้องชายให้กลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนด้วยสายตา วาโยเดินหน้าเจื่อนขึ้นไปอย่างเลี่ยงในคำสั่งนั้นไม่ได้ และเขาก็คิดได้ว่าพี่สาว...คงมีเรื่องสำคัญจะพูดกับผู้ชายคนนี้

เมื่อวาโยเคลื่อนออกไปสมความต้องการของพี่สาว... นีรนาทจึงเริ่มคุมสติให้ใจเย็น แล้วหยิบถุงอาหารสำเร็จรูป นำเข้าห้องครัวไป โดยผ่านร่างสูงของทัตดรงค์ ที่ยืนขวางอยู่เมื่อครู่... ชายหนุ่มผละตัวเลี่ยงให้เธอ ก่อนจะตามเข้ามา นั่งรอที่โต๊ะอาหาร

“มีโทรศัพท์บ้าๆโทรเข้ามาทั้งวัน”

“อะไรนะ?” นีรนาทถลึงตาราวกับว่าโกรธเขาขึ้นมาพลัน “แล้วคุณรับโทรศัพท์ไปหรือเปล่า”

“เอ๊า...ก็รับสิแม่คุณ” ทัตดรงค์ขึ้นเสียงสูง อย่างเห็นว่าแปลก “ไม่รับสาย ก็จะปล่อยให้มันดังอยู่ทั้งวันอย่างนั้นรึ ขนาดรับขึ้นมาแล้ว...ยังพูดจาไม่รู้เรื่อง คนบ้าชัดๆ”

นีรนาทเชื่อไปแล้วมากกว่าครึ่ง...ว่าผู้ที่เรียกสายเข้ามานั้นคือนักข่าว!

“ละ...แล้วพวกเขาว่ายังไงบ้าง คุณบอกหรือเปล่าว่าคุณเป็นใคร!”

“พวกเขา?” ทัตดรงค์เริ่มพิศวงกับท่าทีของนีรนาท “ก็แค่คนๆเดียว...ไม่ใช่หลายคนสักหน่อย”

“เอ๋? คนๆเดียว” หญิงสาวเริ่มตะขิดตะขวงใจกับข้อสงสัยใหม่ “แสดงว่า...ไม่ใช่นักข่าวอย่างนั้นหรือ”

“ไม่รู้! แต่ว่าเป็นผู้ชาย...เห็นบอกว่าชื่อ อินทัช”

ผู้รับฟังยืนตะลึง...ราวกับได้ยินเรื่องอันน่าตกใจยิ่งกว่าสิ่งที่เธอคาดคิดไว้

“เขาโทรมาทำไม!”

ทัตดรงค์เห็นท่าทีของหญิงสาว ความรู้ผิดๆในหัวประกอบกับภาพที่เห็น เขาจึงยกมุมปากยิ้มอย่างมีเลศนัย

“คุณยิ้มอะไร...ฉันถามว่าเขาโทรมาทำไม” นีรนาทยังแสดงให้เห็นว่าเธอร้อนใจอยู่ไม่น้อย

“เปล๊า...ครั้งแรกเขาก็โทรมาหาเธอ คงคิดอยากจะคุยกับเธอเท่านั้นล่ะมั้ง แต่ครั้งที่สอง ที่สาม...”

นีรนาทก้าวกลับมานั่งร่วมโต๊ะอาหาร เธอหยุดทุกสิ่งที่คิดกระทำเมื่อครู่ สนใจในเรื่องที่เธออยากรู้และคาดคั้นชายหนุ่มให้พูดออกมาจนกระจ่าง

“ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม!?”

“ใช่... และไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ ครั้งที่สี่ที่ห้า ฉันไม่ได้รับ เพราะปวดหัวกับเสียงของเขา นี่...ถามจริงๆเถอะ” ทัตดรงค์วางแขนทั้งสองข้างนาบบนผืนกระจกโต๊ะ โน้มหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาว ถามอย่างหาเรื่อง “แฟนเธอนี่...ท่าทางจะเป็นพวกเจ้าอารมณ์ บ้าพลังอย่างนั้นสินะ”

“เขาไม่ใช่แฟนฉัน!” นีรนาทตอกกลับทันควัน

“อ้อ...ไม่ใช่ๆ ฉันพูดผิด เขาว่าเขาเป็นสามีของเธอต่างหาก”

“เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉันทั้งนั้น! เอ๊ะ นี่คุณ...ตกลงจะบอกได้หรือยัง ว่าเขาโทรมาต้องกรอะไร”

“ฉันจะไปรู้เหรอ!” ทัตดรงค์ถอยตัวกลับไปนั่งหลังตรง ฉายความหงุดหงิดทางสีหน้าให้เธอเห็น “อยู่ๆก็บ้า แหกปากถามว่าฉันเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วเรื่องอะไรของมันที่ฉันจะต้องทูลให้ฟังด้วยเล่า ผัวเธอนี่คนบ้าชัดๆ...เอาเข้าไปได้ยังไง”

นีรนาทยกมือขึ้นอย่างเร็ว และรวบเข้าทุบลงกับผืนโต๊ะอย่างแรง โดยไม่กลัวว่ากระจกจะแตกร้าวสักนิด... ทัตดรงค์นั่งอึ้ง ตะลึงนิ่งไปอีกครั้ง

“ฉันบอกแล้วไง ว่าเขาไม่ใช่สามีฉัน!” นีรนาทเห็นทีว่าจะต้องเล่าให้เขาฟัง ถึงที่มาที่ไป “ก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็น...แต่ฉันหย่ากับเขาแล้ว! และถ้าต่อจากนี้มีโทรศัพท์ดังขึ้นอีกในบ้าน คุณไม่ต้องรับ เข้าใจไหม”

“ถ้ากลัวนักก็อยู่เฝ้าบ้านสิ... ฉันรำคาญฉันก็จะรับ”

“เอ๊ะ!”

ผู้ชายตรงหน้าก่ออารมณ์คุกรุ่นให้เธออย่างไม่หยุดยั้ง

“ฉันขอล่ะค่ะ คุณทัตดรงค์” นีรนาทจำต้องกลั้นใจ ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “คุณรู้ไหม ถ้านักข่าวรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่... ฉันต้องเดือดร้อนแน่ๆ!”

“เดือดร้อนเรื่องอะไรไม่ทราบ?” ทัตดรงค์ย่นคิ้วถามอย่างพิศวง และคิดว่าตนเองจำเป็นต้องรู้ แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยอย่างเดาไปก่อนว่า “หรือว่า...จะกลัวข้อครหา ที่เธอเพิ่งเลิกกับสามีมาหมาดๆ ก็มีผู้ชายคนใหม่ปรากฏตัวอยู่ในบ้านเสียแล้ว”

นั่นล่ะ! ถูกเผงเลย... หากอินทัชคิดจะทำร้ายเธอด้วยมูลเหตุดังกล่าว ถ้าเขามีความคิดชั่วๆนี้ขึ้นมาจริงๆ นีรนาทเชื่อว่าอดีตสามีของเธอ...จะต้องทำอย่างนั้นแน่นอน!

“ใช่... ถ้าเขาใช้ข่าวนี้เพื่อให้ฉันยอมเซ็นเช็คให้เขา ฉันก็แย่น่ะสิ!”

ทัตดรงค์ทำหน้าอึ้งอย่างยียวน หากแต่ความรู้สึกจริง...ก็นึกเห็นใจผู้หญิงตรงหน้าขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

“คุณทัตดรงค์คะ ฉันขอล่ะค่ะ คุณต้องช่วยฉันนะคะ... ฉันกับพี่ฉัตร อุตส่าห์ปิดเรื่องอุบัติเหตุของคุณจนมิดแล้ว ถ้าหากนักข่าวเล่นข่าวนี้เมื่อไหร่ มันจะกระทบถึงงานใหม่ของฉันด้วย”

ทัตดรงค์ แทนที่จะยอมช่วยเหลือเธอกลับคืน...ตอบแทนที่เธอให้ที่หลับนอน และค่ารักษาพยาบาลแก่ตน ทว่า...คนใฝ่สูงและเปี่ยมไปด้วยกลโกงอย่างเขา กลับนึกถึง ‘ข้อต่อรอง’ เพื่อเป็นแรงกดดันหญิงสาว ปรากฏเงื่อนไขเป็นอีกหนึ่งข้อ!

“จะให้ฉันช่วย... มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“คุณนี่!” นีรนาทฉุนกับพฤติกรรมไม่รู้จักพอของเขา “แค่นี้ฉันก็ช่วยคุณมากพอแล้วมั้งคะ คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีกล่ะ เห็นฉันเป็นเศรษฐีนีหรือยังไง!”

“เปล่า...ไม่ใช่เรื่องเงินเรื่องทองอะไรเลย คุณผู้หญิง”

แววตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยผลประโยชน์ ฉายชัดให้นีรนาทยลเห็น... กระทั่งเธอเริ่มรู้สึกหนาวร้อนกับสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นี้ปรารถนา...

“คุณต้องการอะไร!”

“ให้ฉันเป็นนายแบบในสังกัดของเธอไง”

นีรนาทหยุดทุกความรู้สึก เพราะความไม่คาดคิด...ครอบงำทุกประสาท

“อะไรนะ? นะ...นี่ คุณเห็นฉันเป็นนักปั้นหรือยังไง ฉันไม่ใช่พี่ฉัตรหรอกนะ ฉันเป็นแค่บรรณาธิการฝ่ายแฟชั่นเท่านั้นเอง!”

“แต่เธอก็ฝากฝังฉันได้นี่นา... เธอมีเส้นสายพอควรไม่ใช่หรือ”

นีรนาทไม่คาดคิดว่าความทะยานอยากของเขา จะก้าวพล้ำไปถึงอนาคตกาล...ได้ถึงเพียงนี้

“แล้วขาของคุณยังกะเผลกแบบนี้เนี่ยนะ? คุณจะเป็นนายแบบ” นีรนาทแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะเยาะหยันไว้ไม่อยู่... “ใครเอาคุณไปเป็นนายแบบในสังกัด ก็อับอายตายล่ะ”

ทัตดรงค์ถอนฉุน ก่อนจะกระแทกเสียงโต้กลับว่า

“ก็ถ้าฉันหายเมื่อไหร่ ก็สัญญามาสิ! ว่าเธอจะช่วยฉันน่ะ!” เขาเริ่มไม่พอใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นการปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้หญิงตรงหน้า “หรือไม่...เธอก็เลือกเอา อยากให้นักข่าวรู้เรื่องนี้มาก...ก็ตามใจ!”

เป็นเงื่อนไขที่นีรนาทต้องจำใจยอมรับ... แม้ว่าอนาคตกาลจะยังดำเนินมาไม่ถึง แต่วันนี้ เธอต้องรักษาหน้าของตัวเองให้ดีเสียก่อน... วันหน้าจะเป็นอย่างไร เธอกับผู้ชายคนนี้ คงต้องว่ากันอีกครั้ง...

“ก็ได้... ฉันสัญญา ว่าจะช่วยเหลือคุณ”

ทัตดรงค์จึงคลี่ยิ้มอย่างพอใจกับเงื่อนไขที่ตนเองเป็นคนตั้งขึ้น... และเท่านี้เอง เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ก็เริ่มฉายให้เห็นอยู่ไกลๆอีกครั้ง ต่อจากนี้ก็นั่งๆนอนๆ รอคอยวันที่ขาหายเจ็บ อย่างปราโมทย์สโมสรเท่านั้นเอง

ชีวิตนี้มันช่างตลบพลิกแพลงอยู่เสมอ... ร่วงลงสู่พื้นดิน ประเดี๋ยวก็บินกลับขึ้นไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกอยู่ดีนั่นล่ะ... ทัตดรงค์คิดอย่างลำพอง ทั้งที่อดีตกาลที่ผ่านมา เขาแทบจะไม่เคยมีความสุขกับความ ‘ทะยานอยากได้อยากมี’ ของตนเองเลยสักครั้ง ทว่า...เขาก็กลับหารู้ไม่

---------------------------
สนุกหรือไม่สนุก ติชมกันด้วยนะครับ ^^ ขอบพระคุณครับ



สุริยาทิศ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2555, 20:21:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2555, 20:21:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1252





<< บทที่ ๖ คู่แข่งอันตราย   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account