เมืองริษยา
การหย่าร้าง...ไม่ใชจุดสิ้นสุดของความหายนะ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ "นีรนาท"...
การได้อยู่เพียงลำพัง ยิ่งโหดร้ายเสียกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า เมื่อกระแสลมแห่งความริษยา พัดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ที่หล่อนก้าวเดินไป!
Tags: รัก ริษยา

ตอน: บทที่ ๖ คู่แข่งอันตราย

**นวนิยายเรื่องนี้ ผ่านการพิจารณา สนพ.สถาพรบุ๊คส์ แล้วครับ**


บทที่ ๖ คู่แข่งอันตราย
-----------------------


“คุณเจ็บมากไหมครับ?”

เสียงเข้มดังเพียงระยะใบหูเล็กของหญิงสาวเปล่งขึ้น ขณะที่เขากำลังประคับประคองหญิงสาวให้เดินไปถึงห้องทำงานของเธอ ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ในสายตาไม่ไกลจากตรงนี้

“คิดว่านั่งพักทายาสักครู่...ก็คงจะดีขึ้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณ...” นีรนาทหยุดคำพูดของตัวเองลง ณ จุดนั้น... และรอคอยการแนะนำตัวจากบุรุษผู้อยู่เคียงข้าง

“รวิภาสครับ ยินดีที่ได้รู้จัก...แล้วคุณคือ นางแบบชื่อดังของเมืองไทย” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม และเช่นกันที่หญิงสาวต้องอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามเขา

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ว่าแต่คุณ...” นีรนาทสำรวจบุรุษคนนี้เพียงสายตาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเสื้อสูทที่ว่างเปล่าด้วยเข็มกลัด หรือป้ายตำแหน่งใดใดทั้งสิ้น จึงเกิดความสงสัย “คุณทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?”

เหตุที่ถาม...เพราะเธอเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ยอมให้เขาก้าวมาในตึก โดยไม่ต้องตรวจบัตรใดใดทั้งสิ้น

“อย่าบอกนะครับ ว่าคุณไม่รู้จักผม?” สีหน้าเขาดูตื่นเต้น เมื่อเอ่ยคำถามนี้ ทั้งเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ ให้หญิงสาวได้ยิน...จนนีรนาทยืนทำหน้าเป๋อ เป็นฝ่ายนึกหาคำตอบของคำถามตนเองแทนเสียนี่

“รบกวนคุณช่วยแนะนำตัว อีกสักครั้งจะได้ไหมคะ?” เธอขอร้องด้วยรอยยิ้มเก้อ

“ผมชื่อ รวิภาส ครับ...รวิภาส วรกิจตานนท์”

ได้ยินชื่อสกุลครบถ้วนแล้ว หญิงสาวจึงถึงบางอ้อ...ประกอบสีหน้าตกใจในภาพนั้นนานพอสมควร กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะจากบุรุษอีกครั้ง เธอจึงพยายามปรับสีหน้าและคุมสติเสียใหม่ ก่อนจะกล่าวขอโทษขอโพย

“ดิ...ดิฉันต้องขอโทษจริงๆค่ะ คุณคือ...คุณรวิภาสนั่นเอง ตายจริง...อันที่จริงฉันควรจะรู้จักผู้บริหารในสายงานทุกคน ฉันนี่ น่าอายจังเลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ มันเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” เขาตอบรับคำขอโทษจากเธอ ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “ไม่แปลกหรอกครับ ที่ใครหลายคนจำผมไม่ได้... ผมไปอยู่อังกฤษตั้งหลายปี กลับมาอีกทีหนึ่ง...พนักงานรุ่นใหม่ๆก็จำผมไม่ได้แล้ว ว่าผมเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท”

รวิภาส วรกิจตานนท์ แสดงท่าทีเป็นมิตร ราวกับเขามิใช่ผู้บริหารระดับสูงในเซดิออส แมกกาซีน ฝ่ายหญิงนั้นก็ได้แต่ยืนยิ้มอาย เพราะด้วยความไม่เอาไหนของตัวเองแท้ๆ

“นั่นซีคะ คุณไปต่างประเทศตั้งหลายปี... ถึงตอนนี้ ฉันก็ยังจำคุณเมื่อกี้ไม่ได้เลย คุณดูเปลี่ยนไปมากนะคะ”

“คุณหมายถึง...ผมดูแก่ลงมากเลยใช่ไหมครับ?” เขาถามเชิงเย้าแหย่ให้หญิงสาวหนักใจ

“มะ...มิได้ค่ะ แค่ตอนนั้น...คุณพ่อของคุณท่านมีชื่อดังโด่งดังมากในวงการนิตยสาร จนฉันรู้สึกว่า...”

“ชื่อเสียงของท่าน กลบทุกความสนใจในตัวลูกชายคนเดียวของท่าน อย่างนั้นสินะครับ”

นีรนาทยิ้มรับคำพูดนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องจริง

“เอาเป็นว่า...คุณจะรังเกียจไหมล่ะครับ ถ้าหากผมจะขอความเป็นเพื่อนจากคุณ คุณนีรนาท”

ฝ่ายผู้ถูกร้องขอนั้นยืนอึ้งเป็นถูกสาป...เธอไม่คิดว่าจะต้องตอบว่า ‘ได้’ หรือ ‘ไม่ได้’ หากสิ่งที่ปรากฏชัดอยู่ในตอนนี้ เธอคือบรรณาธิการคนใหม่ของเซดิออส แมกกาซีน และเป็นผู้อยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้ชายตรงหน้า...

หากตอบไปว่า ‘ได้’ มันจะดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า...

และถ้าหากตอบว่า ‘ไม่ได้’... สีหน้าของรวิภาส จะออกมาเป็นรูปใด?

ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะตัดสินใจตอบออกไป สตรีร่างสะโอดสะองนางหนึ่งก็ปรี่เข้ามา ยกมือทำเคารพรวิภาส ตามด้วยนีรนาทผู้ยืนอยู่ข้างเคียงกัน

“สวัสดีค่ะคุณรวิภาส คุณนีรนาท”

“มีงานค้างเร่งบ้างหรือเปล่าคะคุณมณี” นีรนาทรู้จักผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อวาน หล่อนจะมาทำหน้าที่เลขานุการส่วนตัวของเธอ หล่อนชื่อ มณี... บุคลิกลักษณะดูเรียบร้อย แต่งตัวมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า จนนีรนาทแอบคิดว่านี่ล่ะภาพของ ‘ความเชย’ แห่งยุค

“ไม่มีหรอกค่ะคุณนีรนาท บก.คนที่แล้วท่านสะสางจนเสร็จเรียบร้อย แต่วันนี้...มีงานใหม่เข้ามาไม่น้อยเลยเหมือนกันค่ะ”

นีรนาทพยักหน้ารับคำพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเบี่ยงวงหน้ามาทางบุรุษผู้เป็นเจ้านาย

“ขอบคุณมากนะคะคุณรวิภาส ที่ช่วยเหลือ...ถ้ายังไง ฉันขอตัวทำงานก่อนนะคะ”

“เชิญครับ แล้วไว้พบกันใหม่”

นีรนาทมองแผ่นหลังสูงใหญ่ของชายหนุ่ม ผู้ก้าวผ่านเธอออกไป และได้เห็นความน่าทึ่งจากเขา... รวิภาสแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนยามได้เผชิญหน้ากับพนักงานทั่วไป เขาจะกลายเป็นชายหนุ่มผู้สุขุมนุ่มลึก ท่าทีจริงจังราวกับไม่อยากให้ใครเข้าถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดายนัก...

นีรนาทประเมิณเพียงสายตา...ก็รู้ว่าตนเองโชคดีขนาดไหน

“คุณนีรนาทคะ”

เสียงเรียกของมณีจึงดึงเธอให้หันกลับเข้าสู่โลกของการทำงานอีกครั้ง... และวันนี้จะเป็นวันแรกของการทำงาน ที่เธอจะต้องเริ่มต้นมันอย่างไม่มีข้อผิดพลาด ปราศจากข้อบกพร่องใดใด

ห้องทำงานวันนี้มีกลิ่นหอมชวนให้ชื่นใจนัก คาดว่าคงมีแม่บ้านเข้ามาดูแลทำความสะอาด และพ่นน้ำหอมปรับกลิ่นไปทั่วทุกอณูห้อง แต่ก็ไม่ฉุนเกินไปจนเธอรู้สึกแสบจมูก

“เชิญนั่งก่อนค่ะคุณมณี”

มณีเก้กังเมื่อถูกเชิญให้นั่งลงร่วมโต๊ะทำงาน เพราะเมื่อก่อนไม่เคยกระทำเช่นนี้
“มะ...ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ มณียืนก็ได้ค่ะ”

“นั่งลงแล้วจะสะดวกกว่าซีคะ ฉันไม่ชอบเงยหน้าสนทนากับใคร ฉันปรับสายตาไม่ทัน”

เป็นเหตุผลที่ดึงให้มณีก้าวลงมานั่งยังเก้าอี้ตรงข้าม โดยไม่คิดแย้งอีก... กระทั่งหล่อนมอบแฟ้มงานเต็มอก แก่เจ้านายยังสาวแถมยังอายุน้อยกว่าหล่อนเสียอีก ก่อนจะเริ่มต้นการทำงานด้วยชี้แจงกำหนดการ...รายละเอียดของงานต่างๆที่นีรนาทจะต้องทำในวันนี้

“ก่อนช่วงบ่าย ดิฉันจะขอให้คุณนีรนาท ช่วยตรวจสอบงบประมาณเรื่องค่าชุดสำหรับเล่มถัดไปน่ะค่ะ พอดี...ดิฉันทราบจากท่านผู้บริหารหลายท่าน ว่าคุณนีรนาทจะออกแบบชุดหน้าปกของนางแบบเอง”

“ได้สิคะ แล้ว...มีอะไรอีก”

“แฟ้มนี้เป็นแผนเรตติ้งจากการตลาดค่ะ ไตรมาสที่แล้ว เราทำไว้ได้ดีมากพอสมควร แต่ก็ยังไม่พ้นไปจากเขตสุ่มเสี่ยงนะคะ”

“เขตสุ่มเสี่ยง?” นีรนาทถามทวน ละสายตาออกจากแฟ้มตรงหน้า มองมณีอย่างใคร่รู้ “หมายความว่าไงคะ?”

“เซดิออสของเรา แม้ว่าจะเป็นนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของแผงหนังสือก็ตามที แต่ยังมีนิตยสารคู่แข่งอีกมาก ที่พยายามจะไต่ระดับของตัวเองขึ้นมา โดยจ้างนางแบบค่าตัวมหาศาล และกำลังเป็นที่นิยม...มาเรียกเรตติ้งของตนเองน่ะซีคะ” มณีไม่พูดเปล่า หล่อนหยิบยกหลักฐานของเดือนที่แล้วมาสร้างความประจักษ์ต่อนีรนาท และหลักฐานที่ว่านั้นก็คือ นิตยสารคู่แข่งอีกเล่ม นีรนาทรับมาดูก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด และไม่ค่อยเข้าใจนัก

“อะไรคะนี่?... นี่มัน” นีรนาทพลิกหนังสือที่ถืออยู่ไปมา โดยไม่สนใจที่จะเปิดเข้าไปอ่านสักหน้าเดียว “นี่มัน ‘โทมาฮอว์ค’ นี่คะ...นิตยสารปลุกใจเสือป่าชัดๆ คุณมณีมีความเห็นอย่างไรคะ ถึงได้บอกว่านิตยสารเล่มนี้คือคู่แข่งของเรา?”

“ก็ไอ้หนังสือปลุกใจเสือป่านี่แหละค่ะ ที่กำลังจะกลายเป็นคู่แข่งตัวสำคัญของเรา... สังเกตดูดีๆสิคะ ตอนนี้ภายในหนังสือโทมาฮอว์ค เริ่มมีคอลัมน์แฟชั่นมากขึ้นพอควรแล้ว และไม่น่าเชื่อว่ารสนิยมของผู้บริโภคสมัยนี้ ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นนะคะ ที่ซื้อโทมาฮอว์คไปอ่าน... แต่จากโพลของสมาคมฯ เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา... คุณนีรนาทรู้ไหมคะ ว่าผู้หญิงน่ะ เริ่มให้ความสนใจกับนิตยสารโทมาฮอว์คมากขึ้น!”

นีรนาทตรึกตรองลองเปิดหนังสือในมือ พลิกไปทีละหน้า...และจริงอย่างที่มณีกล่าวให้ฟังจริงๆ คอลัมน์ใหม่ๆของโทมาฮอว์คผุดขึ้น ดูก็รู้ว่าการตลาดฝ่ายนั้น ต้องการจะดึงผู้หญิงที่รักความงดงามบนเรือนร่างของตน ทั้งยังมีคอลัมน์กระตุ้นกามรมณ์ทั้งฝ่ายหญิงและชาย และที่เปลี่ยนไปมากกว่านั้นก็คือ นิตยสารโทมาฮอว์ค เริ่มมีนายแบบเข้ามาถ่ายรูปคู่กับนางแบบใจกล้า... และตัวนายแบบผู้หล่อล่ำเหล่านี้นี่เอง ที่จะดึงสตรีเพศซึ่งอาจจะเป็นฐานลูกค้าสำคัญของเซดิออส ให้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยของการอ่านของตนเอง ปรับระดับให้รับรู้เนื้อหาอันเรื่องร้อนแรงของนิตยสารคู่แข่งมากขึ้น

เพราะเรื่องเพศศึกษา...ไม่ใช่เรื่องที่สตรียุคนี้จะเหนียมอายหรือปฏิเสธมันอีกต่อไป

“คุณนีรนาทคะ เราลองเสนอในที่ประชุม ให้เพิ่มคอลัมน์ ‘อย่างว่า’ เข้าไปบ้างดีไหมคะ เผื่อจะเรียกผู้บริโภคให้กลับมาสนใจอีกครั้งน่ะค่ะ...” มณีกล่าวแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยใจ ราวกับตัวเองเป็นผู้บริหาร ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับรายได้ของบริษัทอีกคน “ถึงตอนนี้ เราจะยังไม่แพ้ฝ่ายนั้น แต่ดิฉันเชื่อแน่ๆค่ะ ว่าอีกไม่นานหรอก...โทมาฮอว์คจะต้องปรับขึ้นมาเป็นคู่แข่งตัวฉกาจกับเราแน่ๆ”

“คุณมณีคะ” นีรนาทวางหนังสือตรงหน้าลงกับโต๊ะ ก่อนที่ส่งกลับให้ผู้หญิงตรงหน้า อย่างไม่สนใจที่จะอ่านมันอีก “ฉันไม่เชื่อหรอกนะคะ ว่าโทมาฮอว์คจะประสบความสำเร็จเพราะคอลัมน์เหล่านั้น”

“เอ๋...” มณีทำหน้าฉงน พิศวงในความคิดของนีรนาท

“ถึงอย่างไร หนังสือแต่ละเล่มก็ล้วนแล้วแต่มีแก่นสาระสำคัญของมันอยู่ หนังสือแนวปลุกใจเสือป่า...ก็ย่อมต้องอยู่กับภาพนี้ไปตลอด ต่อให้มีคอลัมน์แปลกใหม่เข้ามาบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะดึงดูดผู้หญิงอย่างเรา ต้องหยิบมันขึ้นอ่านเป็นประจำทุกเดือน...คุ้มหรือคะ กับการที่เราจะต้องเสียสตางค์เป็นร้อยๆ เพื่ออ่านคอลัมน์ซึ่งมีเพียงไม่กี่หน้า ถ้าจะเป็นอย่างนั้นเราหยิบ ‘คอสโมโพลิตัน’ หรือ ‘แมรี แคลร์’ อ่านจะไม่คุ้มกว่าหรือคะ ฉันคิดว่า...โทมาฮอว์คจะเติบโตกับจุดนี้ได้ไม่กี่ไตรมาส อีกสักพักกระแสก็จะลดลงไปเอง”

“คุณนีรนาทคะ...แต่ว่า...”

“คุณมณีคะ...” บรรณาธิการฝ่ายแฟชั่นคนใหม่ เอนหลังพิงพนักหนานุ่มของเบาะนั่ง ก่อนจะคลี่รอยยิ้มอย่างไม่นึกกังวลต่อประเด็นดังกล่าว “โทมาฮอว์คไม่รักษาจุดยืนของตัวเอง... เขาหวังเพียงกระแสลมร้อนแรงที่สร้างขึ้น แต่สักวันลมร้อนนั้นก็ต้องพัดผ่านไปจากสังคมอยู่ดี เพราะมันไม่ใช่อากาศที่แท้จริง... เราสิคะ เซดิออสรักษาแวดล้อมของแฟชั่นได้เป็นอย่างดีที่สุด ไม่นอกลู่ ไม่นอกประเด็น... เราทำหนังสือเพื่อคนรักแฟชั่น... มิได้ทำเพื่อทุกสังคมบนโลก เรามีจุดยืนเป็นของเราเอง... ถ้าเราไม่รักษาความเป็นหนังสือแฟชั่นเอาไว้ มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากหนังสือจับฉ่าย ที่หาแก่นสาระของมันไม่ได้ในเล่ม คุณมณีคงเข้าใจนะคะ”

ทุกคำพูด...ตรึงมณีให้นั่งนิ่ง ราวกับว่าผู้หญิงตรงหน้าที่หล่อนกำลังเผชิญอยู่ คือสตรีผู้มีความคิดที่แปลก แต่น่าทึ่งเหลือเกิน

“นะ...นั่นสินะคะ...คุณนีรนาท”

“เรื่องโทมาฮอว์คนี่เก็บเข้ากรุไปได้เลยนะคะ หวังว่าฉัน...จะไม่ได้ยินชื่อของนิตยสารเล่มนี้จากปากของคุณอีก... ฉันไม่ชอบหนังสือที่ผิดศีล”

“ตะ...แต่ถึงยังไง คุณนีรนาทก็อาจจะต้องได้ยินชื่อ โทมาฮอว์ค อีกบ่อยครั้งแน่ๆค่ะ”

นีรนาทย่นคิ้วอย่างสงสัย... แต่มณีก็ไม่รอให้ผู้เป็นนาย ข้องใจอยู่อย่างนี้

“ก็...คุณนีรนาทจำไม่ได้หรือไรคะ โทมาฮอว์คกำลังจะเปลี่ยนบรรณาธิการเล่มคนใหม่ อดีตนางแบบแถวหน้าบนเวทีโลกอย่างไรคะ... แถมยังเป็นภรรยาของคุณรวิภาสอีกต่างหาก!”

นีรนาทราวกับถูกค้อนตอกตะปูเข้าที่กลางหน้าผาก เมื่อได้ยินคำว่า ‘ภรรยาของคุณรวิภาส’ จะด้วยความรู้สึกใดไม่อาจรู้... แต่หญิงสาวกลับสัมผัสถึงความไม่คาดคิดนั้น อยู่จนชั่วขณะหนึ่ง

“ภรรยา...ของคุณรวิภาส”

“ใช่ค่ะ คุณจำหล่อนได้ไหมล่ะคะ...หล่อนผู้เคยมีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนที่จะแต่งงาน และไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษกับคุณรวิภาส... หล่อนก็คือ...”

‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก!’



เสียงเคาะประตูขัดจังหวะการสนทนาในเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ นีรนาทมองไกลไปที่ประตูห้องทำงาน มณีรีบลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก้าวเดินไปเปิดรับผู้มาเยือน...

“ว่าไง แพท” มณีเรียกทีมงานในกองบรรณาธิการที่รู้จัก อย่างสนิทสนม “มีงานด่วนอะไรอีกหรือ?”

“สวัสดีค่ะคุณนีรนาท” แพททำความเคารพผู้เป็นเจ้าของห้องทำงานนี้ก่อน แล้วเดินเข้ามายืนเต็มตัวในห้อง บอกกับคนทั้งสองว่า “พี่มณีลืมบอกคุณนีรนาทแน่ๆเลย เรื่องเด็กฝึกงานไงคะ”

มณีทำตาเบิกโพลง เมื่อเพิ่งจะนึกออก

“จริงด้วย! คุณนีรนาทคะ ดิฉันลืมไปสนิท...” มณียกกำปั้นเขกกะโหลกตัวเองหนึ่งครั้ง “เมื่อวานนี้มีนักศึกษาปีสี่ คณะศิลปกรรมฯ เอกดีไซน์ มาขอฝึกงานกับทางฝ่ายบุคคลน่ะค่ะ เห็นว่าเธอจะมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ของเรา”

“ผู้ช่วยดีไซเนอร์?” นีรนาทย่นคิ้ว แสดงสีหน้าพิศวง “ตำแหน่งสูงไปหรือเปล่า สำหรับเด็กฝึกงาน”

“ทางผู้บริหารฝ่ายบุคคล ท่านเล็งเห็นความสามารถของน้องคนนี้น่ะค่ะ เธอได้เกรดเอทุกวิชาเลยนะคะ ในสมุดพกละลานไปด้วยเลขคะแนนสวยๆทั้งหน้า... เห็นว่าฝีมือการออกแบบเสื้อผ้าก็เป็นเลิศ แหวกแนวดีด้วยนะคะ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล...เลยจะให้ทำงานเป็นผู้ช่วยคุณแทนน่ะค่ะ”

“เป็นผู้ช่วยฉัน?” นีรนาทยิ่งทำหน้าสงสัยขึ้นไปอีก “ไหนว่าจะให้เป็นผู้ช่วยดีไซเนอร์ไงคะ”

“ก็ตำแหน่งนั้นเต็มอัตราแล้วนี่คะ ทีมงานเราก็มากจนพอใช้... เข้าไปร่วมกลุ่มด้วย เดี๋ยวเกรงว่าน้องเธอจะไม่ได้โชว์ฝีมือ”

“ก็เลยจะให้มาเป็นคู่คิดของฉันอย่างนั้นสิคะ” นีรนาทเริ่มให้ความสนใจกับนักศึกษาผู้นั้น “ไหนลองพาเธอมาพบฉันเลยได้ไหมคะ ฉันรู้สึกสนใจในตัวเธอขึ้นมาแล้วสิ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะรีบพาเธอเข้ามาเลยก็แล้วกันนะคะ” แพทเอ่ย แล้วก้าวกลับออกไปนอกห้อง ในขณะเดียวกัน นีรนาทกล่าวขอบคุณมณีที่ช่วยนำงานมาส่งให้ และชี้แจงรายละเอียดที่ค่อนข้างเป็นที่เข้าใจ ในเอกสารหลายแผ่นตรงหน้า... ก่อนจะบอกให้หล่อนกลับไปทำงานที่หล่อนมีอยู่ด้านนอก

นีรนาทนั่งรอนักศึกษาฝึกงานผู้นั้นอย่างนึกลุ้น... หล่อนมีดีอะไรกัน ถึงขนาดที่ผู้บริหารฝ่ายบุคคล จะให้หล่อนผู้นั้นมาเป็นคู่คิดกับเธอ...

++++++++++++++++++++

ทัตดรงค์ดำรงอยู่ในความเซ็ง จะลุกเหินเดินนั่งก็ลำบากลำบน พอเปิดประตูก้าวออกมาจากห้อง มองเห็นบันไดสูง มีชั้นพักแล้วยังทอดลงไปสู่ชั้นล่างอีกทอดหนึ่ง...เห็นแล้วก็เพลียก่อนจะก้าวลงไปเสียอีก จึงเดินกลับเข้ามานั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียงภายในห้องอีกครั้ง

“น่าเบื่อจังเลยโว้ย!” สบถแล้วก็โยนหมอนปลิวว่อนไปทั่วห้อง มนุษย์ผู้มีหัวใจซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยเปลวไฟอย่างเขา... จะให้นั่งๆนอนๆรออาการบาดเจ็บนี้หายไป คงรู้สึกว่ายากเย็นแม้จะไม่มีทางเลือกอื่น...

ระหว่างที่นั่งหงุดหงิดกับรายการข่าวในโทรทัศน์... เสียงรถคันหนึ่งแล่นมาจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านหลังนี้ ทัตดรงค์พยายามลุกขึ้น ไปเยี่ยมหน้าที่หน้าต่าง...แล้วทอดสายตามองลงไป คิดว่าเป็นนีรนาทที่กลับมาตอนกลางวัน

แต่ทว่าผู้ที่ก้าวลงมาจากรถแท็กซี่คันนั้น หามิใช่บุคคลในความคิดของเขาไม่... กลับเป็นหนุ่มวัยราวๆยี่สิบต้นๆ เมื่อประเมิณจากสายตาของเขา แถมยังก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้อย่างคล่องแคล่ว โดยมิได้กดกริ่งหน้าบ้านแต่อย่างใด

“ใครวะ!” หยุดความข้องใจไว้ตรงนั้น แล้วค่อยขยับเคลื่อนก้าวมาถึงหน้าห้อง ยืนรอผู้มาเยือนที่ก้าวขึ้นมาอย่างฉับไว

หนุ่มวัยยี่สิบสองก้าวขึ้นมาด้วยท่าทีรีบร้อน และสีหน้าแสดงให้รู้ว่าอ่อนล้าเต็มที กระทั่งได้แหงนหน้ามองผู้ยืนตัวตรงเด่นอยู่หน้าห้องนอน ห้องที่เขาจำได้ว่ามันเคยเป็นห้องพักของวิไลฉัตร

“สวัสดีครับ พี่คือ คุณทัตดรงค์?”

ทัตดรงค์พิศวงเล็กน้อยที่คนหนุ่มรู้ชื่อ กระทั่งความงุนงงอยู่กับเขาไม่นาน เสียงของนีรนาทดังอยู่ในหัว... เขาจำได้ว่าเธอเคยบอกกับเขา ว่าน้องชายของเธอจะเดินทางมาอยู่ด้วยกันที่นี่

“นายคือ น้องของคุณนายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ล่ะสินะ”

“ครับ” วาโย พยักหน้าพร้อมตอบ ในใจนั้นนึกขันกับคำที่ทัตดรงค์เรียกพี่สาวเขา “ผมขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าไปสมัครงานก่อนนะครับ เฮ้อ...เหนื่อยจริง...นั่งรถทัวร์มาเสียไกล”

“แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องมาล่ะ พี่สาวนายก็ออกจะมีเงินมีทองไม่ใช่หรือ”

“ผมชอบเดินทางด้วยรถมากกว่า ได้เห็นวิวทิวทัศน์หลายๆจังหวัดดีด้วย...ผมขอตัวนะครับ”

วาโยเดินผ่านร่างสูงไปแล้ว... ทัตดรงค์มองตามหลังคนหนุ่มไป มองเห็นว่าวาโยดูเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายจริงๆ อย่างที่นีรนาทเคยบอก... แต่คนหนุ่มก็ทำอะไรที่แปลกมนุษย์มิใช่น้อย

‘ชอบโดยสารรถทัวร์อย่างนั้นรึ... สุนทรีย์ตายล่ะ’ ผู้ที่ไม่เคยรู้จักคำว่า ‘อดทน’ คิดเช่นนั้น.



************************
ติดชมด้วยนะครับ ^^ ขอบคุณที่ติดตามครับ



สุริยาทิศ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2555, 17:21:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2555, 17:21:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1208





<< บทที่ ๕ ผู้ต้องชะตา   บทที่ ๗ - การมาถึงของความริษยา! >>
พู่ไหมบุรามฉัตร 20 พ.ค. 2555, 17:25:30 น.
คริๆ


ใบบัวน่ารัก 20 พ.ค. 2555, 18:17:55 น.
ทำไมไม่จ้างทนายความมาดูแลไอ้ปลิงที่มาดูดเลือด
หรือจ้างผู้ช่วยหละ เงินก็มีนะ
สามีเก่าอีกปล่อยไว้ให้มาขู่อยู่ได้
ชีวิตมีแต่แย่


ณจรร 20 พ.ค. 2555, 19:52:38 น.
หุหุหุ ตามมาหลอนที่เว็บนี้อีก ก๊ากๆๆๆ


สุริยาทิศ 28 พ.ค. 2555, 20:58:36 น.
5555555+


พู่ไหมบุรามฉัตร 3 มิ.ย. 2555, 16:07:25 น.
หุหุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account