หนึ่งในรัก (เพลงรักกามเทพ)
เขาคือบุรุษที่เธอไม่อาจเข้าถึงหัวใจอันเย็นเยียบประดุจน้ำแข็งในฤดูหนาว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงถลำรักเขาจนหมดหัวใจ
Tags: กรยุพา . ยุพากร . มุกดารา รักโรแมนติก

ตอน: 1 กรยุพา . ยุพากร

1



สี่เดือนก่อนวันขึ้นปีใหม่…
ช่วงเย็นก่อนเลิกงานกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งไม่ว่าเป็นใครก็ย่อมต้องจดจำไปจนชั่วชีวิต...


ลิฟต์ซึ่งขึ้นไปยังห้องประชุมที่นัดไว้ไม่ทันใจเอาเสียเลย เพราะเธอยังต้องเตรียมพรีเซนต์อีกหลายอย่าง จะพลาดงานโปรเจ็กต์นี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะนี่นับเป็นโอกาสทอง หากได้งานนี้ก็จะเป็นการต่อลมหายใจที่กำลังรวยรินให้บริษัทอย่างแน่นอนที่สุด


‘เฌอเอม’ ใช้หลังดันเพื่อเปิดประตูก่อนจะนำเก้าอี้ที่ด้านหน้าขวางไว้ไม่ให้ปิด จากนั้นจึงหอบหิ้วข้าวของเข้าไปยังด้านใน แต่จู่ๆ หางตาก็คล้ายเห็นอะไรบางอย่าง ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำแต่เธอก็หันไปมองเต็มๆ ตา

ภาพนั้น...มือปืนซึ่งคลุมหน้าด้วยหมวกไอ้โม่งจ่อปืนยังศีรษะของชายในชุดสูทซึ่งถูกปิดปากด้วยเทปกาวอย่างมิดชิด ทว่ากลับต้องตกใจยิ่งกว่า เพราะจู่ๆ มันกลับหันกระบอกปืนมายังเธออย่างรวดเร็ว


นาทีนั้นเองที่ข้าวของหล่นจากมือ พร้อมๆ กับลูกปัดกลิ้งกระจายบนพื้นพรม สัญชาติญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอกระโจนทีเดียวเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ ความหวาดกลัวเข้ามาเกาะกุมจิตใจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้ถึงเกิดขึ้นได้ ที่สำคัญมาเกิดเอาในวันที่เธอต้องการจะได้งานโปรเจ็กต์นี้อย่างที่สุด ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำยังทันได้เห็นมือปืนนั่นสืบเท้าเข้ามาใกล้


นาทีนั้นที่เธอตัดสินใจกรีดร้องออกมา เพราะหากไม่ทำอะไรสักอย่าง เธอคงต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่
และเหมือนจะได้ผล เพราะมือปืนชะงักทันทีก่อนจะถอยอย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่ตามมากลับทำให้เฌอเอมจำสิ่งใดไม่ได้อีกเลย


ณ โรงพยาบาลหรูย่านชานเมือง...
สายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่รายรอบตัวทำให้หญิงสาวซึ่งเพิ่งตื่น คิดว่าตัวเองนั้นฝันไป แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
น้ำเสียงอาทรจากผู้ที่ปราดเข้ามายังขอบเตียงทำให้เธอต้องเพ่งมองเพื่อทบทวนความทรงจำ ทว่าคิดเท่าไหร่ก็ยังเชื่อว่าไม่เคยเห็นบุคคลตรงหน้านี้มาก่อน


ก่อนหน้านั้น...หลังจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเมืองไทย
เฌอเอมตัดสินใจแล้วว่าจะเดินตามทางฝัน ร้านกีฟช็อปที่มีผลงานดีไซน์ของตัวเองตั้งจำหน่าย ดูจะสร้างความภาคภูมิใจให้อย่างมาก และน่าจะดีกว่าต้องเดินตามทางที่ผู้เป็นยายขีดไว้ให้ แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นตามหวัง เพราะทุนที่ได้มากำลังจะหมด ซ้ำกิจการที่เธอกำลังประคับประคองก็ง่อนแง่นจนถึงขั้นวิกฤต


“หากคราวนี้ทำไม่ได้ ก็ต้องยอมทำตามที่สั่ง เข้าใจหรือเปล่าจ๊ะ”
นั่นคือสิ่งที่คุณยายได้พูดไว้ ซึ่งเกือบห้าเดือนมาแล้ว รายจ่ายมากมายที่ประดังกันเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าร้านในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง หรือกระทั่งค่าเช่าตึกที่ใช้เป็นสำนักงานล้วนเป็นสิ่งที่หนักอึ้งสำหรับนักธุรกิจมือใหม่อย่างเธอแทบทั้งสิ้น


“คุณเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงนั้นดึงให้เธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
“เจ็บแผลหรือเปล่าครับ”
เฌอเอมยังคงมองบุรุษตรงหน้าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงสิ่งใดทั้งนั้น นอนพักผ่อนให้สบาย หมอบอกว่าคุณพ้นขีดอันตรายแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นคะ แล้ว...คนร้าย” ถามอย่างหมดเรี่ยวแรง


“หนีไปได้ครับ” เขายังบอกเรื่อยๆ
“กระสุนที่ยิงออกมาโดนน่องคุณเข้า คุณเลยต้องมารับเคราะห์แทน ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ” เขาพูดมาจากใจ
ดูเหมือนเธอไม่ได้สนใจที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย ใจจดจ่ออยู่กับงานเท่านั้น
“แล้ว…งานที่ดิฉันเอาไปเสนอล่ะคะ”


“ไม่มีปัญหาหรอกครับ ทุกอย่างผมจะจัดการให้คุณเอง”
“แต่...ยังไง ดิฉันก็ต้องพรีเซนต์งานวันนี้ให้ได้” พูดระหว่างพยายามยันกายขึ้นจากเตียงคนไข้
“จริงสิคะ นี่กี่โมงแล้ว งานที่ดิฉันเอาไปด้วยอยู่ไหนคะ ดิฉันจะให้คนที่บริษัทไปแทนน่ะคะ” ถามด้วยสีหน้ากังวลอย่างที่สุด
ชายหนุ่มตรงหน้ายังคงอมยิ้มระหว่างมองเธออย่างเอ็นดู
“หากพนักงานเป็นแบบคุณทุกคน เจ้าของบริษัทคงทั้งรักทั้งหวงคุณแน่ๆ”
เฌอเอมรู้สึกหงุดหงิดที่อีกฝ่ายทำเหมือนว่างานของเธอไม่สำคัญ


“ขอโทษนะคะ แต่ดิฉันซีเรียสมากกับเรื่องนี้” บอกเสียงแข็ง
อีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปทันที
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น เพราะจะไม่การพรีเซนต์อีกต่อไปแล้ว”
“หมายความว่าอะไรคะ ตกลงดิฉันไม่ได้งานนี้อย่างนั้นหรือคะ” ละลั่มละลักถามอย่างตกใจ


“ผมหมายความว่า ทางเราตกลงรับแบบงานตัวอย่างทั้งหมดของคุณแล้วต่างหากล่ะครับ”
รอยยิ้มอย่างดีใจของเฌอเอมทำให้ ‘มาวิน’ อดไม่ได้ที่จะสงสาร เพราะที่เขาพูดเพียงเพื่อให้เธอไม่ต้องกังวลเท่านั้น


“คุณพักผ่อนเถอะนะครับ ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดทางผมรับผิดชอบเอง อีกอย่าง คุณอยากติดต่อใครที่บ้านบ้างหรือเปล่า”
ความเงียบเข้ามาแทรกชั่วครู่ เหมือนว่าเธอกำลังตัดสินใจบางอย่าง
“เรื่องนั้น ดิฉันจะจัดการเองค่ะ”
บุรุษผู้นั้นจากไปแล้ว ขณะที่เธอหลับตาลงทั้งในใจยังครุ่นคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ เธอจะบอกใครได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องคอขาดบาดกตายถึงเพียงนี้


เสียงเคาะประตูแล้วเปิดออก พร้อมๆ กับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สืบเท้าเข้ามาภายในห้อง ชุดเชิร์ตขาวกับกางเกงสีเข้มบ่งบอกว่าเป็นพนักงานงานออฟฟิส ทว่าคนไข้ที่เพิ่งลืมตากลับไม่สบอารมณ์ในทันใด


“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ”
ผู้ถูกถามกลับเมินไปอีกทาง
ถึงจะเห็นปฏิกิริยาไม่พอใจของอีกฝ่ายแต่ผู้มาใหม่กลับไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้ ผมคงต้องเรียนให้ ‘ท่าน’ ทราบ”
มันได้ผลเพราะเธอหันขวับมาทันที


“ก็เอาสิคะ แต่…ถ้าท่านทราบ ความผิดครั้งนี้ก็น่าจะตกอยู่กับคุณ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้สมควรบอกกับท่านหรือไม่...ก็คิดดูเองแล้วกันค่ะ” บอกน้ำเสียงกร้าว
ความเงียบเข้ามาแทรกชั่วอึดใจ
“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ หากตอนนั้นผมอยู่ด้วย เรื่องนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นแน่ๆ” เขารู้ดีว่าเวลาไหนควรใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็ง


เฌอเอมคิดไม่ถึงที่ไม่โดนต่อว่า ซ้ำยังพบกับคำพูดรื่นหูได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“คุณอย่าพูดอย่างนี้เลยนะคะ มันทำให้เฌอละอายใจ” ครั้งนี้เธอพูดมาจากใจจริง
“รู้สึกผิด จน…อยากจะกล่าวคำว่าขอโทษคุณอย่างมากที่สุด”
กับสิ่งที่ได้ยินผู้รับฟังคิดไม่ถึงแม้แต่น้อย


“เพราะหากเมื่อเช้าไม่หลบคุณออกมา เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเฌอต่างหากล่ะคะ ที่ควรเป็นคนกล่าวคำขอโทษคุณ”
ผู้รับฟังถึงกับวางหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ
“เฌอสัญญานะคะ ว่าจากนี้จะไม่ทำอะไรให้คุณต้องลำบากใจอีกต่อไป เพราะหากเฌอเป็นอะไรไปมากกว่านี้ คุณคงต้องเป็นคนที่ต้อง…ลำบากที่สุด” เป็นครั้งแรกที่เธอสำนึกผิด


‘เตชิต’ มองอีกฝ่ายพลางพยักหน้ารับ ตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอไม่เคยญาติดีกับเขา
“พักผ่อนเถอะนะครับ ผมจะคอยอยู่หน้าห้อง ทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”
“เดี๋ยวค่ะ”
เตชิตชะงักฝีเท้าทันที
“ที่นี่โรงพยาบาลอะไรคะ”


ชายหนุ่มเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนระดับห้าดาวให้รับรู้
“ตอนแรกทางบริษัทนั่นจะส่งคุณที่โรงพยาบาลขนาดเล็กริมถนน....” น้ำเสียงเขาบอกว่าไม่พอใจ
“โชคดีที่ผมไม่ยอม บอกว่าทางเราจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ทางนั้นถึงได้ยอมมาที่นี่” เตชิดยังโมโหไม่หายกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“คุณรู้ได้ยังไงกันคะ ว่าเฌอไปที่นั่น” ถามด้วยความสงสัย
“คุณรดีบอกผมน่ะครับ”


“ขอบคุณ คุณมากนะคะ”
เตชิตโค้งให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนออกจากห้อง โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกนับแต่มาเป็นบอดี้การ์ดที่เขาได้ยินคำหวานหูจากเธอ
“เฌอสัญญาค่ะ ว่าวันหลังจะไม่ทำตัวแย่ๆ อย่างที่ผ่านมานั่นอีกแล้ว”
เพียงประโยคนี้ ไม่น่าเชื่อว่าสำหรับเขาแล้วจะไม่ต่างกับมีน้ำทิพย์ชโลมใจ


แม้เวลาล่วงเข้าสามทุ่มกว่าทว่าตึกแถวย่านชานเมืองที่ผลิตชิ้นงานของเฌอเอมยังคึกคัก
‘ภรดี’ หญิงวัยสามสิบเศษ หัวแรงใหญ่ในการคุมงานยังเดินวนอย่างหงุดหงิด เพราะข่าวที่เพิ่งได้รับจาก ‘คุณหนู’ ถึงจะน่ายินดีกับการได้โปรเจกต์ยักษ์นั่น ทว่าสิ่งที่ต้องประสบกลับไม่คุ้มค่ากันเสียเลย


เป็นอีกเช้า ณ โรงพยาบาลระดับห้าดาว
ทั้งที่คนเจ็บไม่ยอมพบใครๆ แต่ห้องของเฌอเอมกลับเต็มไปด้วยของเยี่ยม ทั้งกระเช้าดอกไม้ ผลไม้ และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ซึ่งล้วนมาจากแผนกต่างๆ ของบริษัทซึ่งเธอเพิ่งไปประสบเหตุแทบทั้งสิ้น

“วันนี้ค่อยยังชั่วหรือยังครับ”
ผู้ถามคือบุรุษในชุดสูทคนเมื่อวานที่วันนี้มาพร้อมดอกกุหลาบขาวแจกันใหญ่
เฌอเอมพยักหน้ารับฝืนยิ้มทั้งที่ยังอิดโรย


“คุณพักผ่อนให้สบาย จะอยู่กี่วันก็ได้ อย่างที่เรียนให้คุณทราบว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นหน้าที่ทางผมเอง”
“ใครเป็นคนพาดิฉันมาที่โรงพยาบาลนี้คะ ตอนแรกเห็นว่าทางคุณคิดจะส่งที่…” เธอเอ่ยชื่อโรงพยาบาลขนาดเล็กซึ่งไม่มีเครื่องมือดีพอสำหรับการรักษา
“จนกระทั่งพี่ชายดิฉันบอกว่าจะจ่ายค่ารักษาเอง ถึงได้มาที่นี่ เพราะฉะนั้นคุณอย่าลำบากเลยนะคะ”


เพราะคำพูดตรงไปตรงมานั่นทำเอาถึงกับหน้าชาไปเหมือนกัน
“ผมต้อง...ขอโทษด้วย เป็นความผิดของทางผมเอง อย่าห่วงเลยนะครับ พักผ่อนให้สบาย ยังไงทางผมก็ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่อยู่แล้ว”
เฌอเอมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพตัวเองในยามนี้ คงโทรมจนดูไม่ได้ แถมเมื่อวานก็รีบเร่งจนไม่คิดจะแต่งหน้า กระโปรงยาวกับเสื้อยืดก็ทำเอาเธอจืดสนิท


“ผมคงต้องขอตัวก่อน” มาวินเอ่ยเบาๆ ระหว่างยื่นนามบัตรให้เธอ
“คุณไม่ต้องมาทุกวันก็ได้ค่ะ อีกอย่าง...ดิฉันเป็นเพียง...คนที่เข้าไปเสนองานเท่านั้น คงไม่จำเป็นต้องมีกระเช้าเยี่ยมมากมายขนาดนี้”
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มในหน้า ทั้งที่ในใจอดถามไม่ได้ว่าเขามาเจอเอาผู้หญิงประเภทไหนกันแน่


“แต่ในเมื่อคนให้เขาตั้งใจ ถึงคุณไม่พอใจที่จะรับ แต่กับสถานการณ์เช่นนี้ คุณก็คงต้องจำยอม จริงมั้ยครับ”
ประตูที่ปิดลงทำให้เฌอเอมต้องลอบถอนใจ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงและแววตาตลอดจนสีหน้าที่แสดงอารมณ์ดีของหมอนั่นด้วย เธอปรายตามองนามบัตรในมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนวางไว้ยังโต๊ะหัวเตียง


ที่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เตชิตยืนรีๆ รอๆ ด้วยอยากรู้ว่าผู้บริหารหนุ่มผู้นี้เป็นคนเช่นใดกันแน่
“คุณคงเป็น…พี่ชายของคุณเฌอเอม”
เตชิตมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“ผมต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยจริงๆ หากทางคุณต้องการค่าทำขวัญเท่าไหร่ก็บอกผมมาได้เลย” บอกระหว่างยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย


“เอาเป็นว่า…แล้วผมจะถามเธอดูแล้วกันครับ” เตชิตตอบกลับ
ถึงมาวินจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ญาติดีกับเขา แต่ชายหนุ่มยังยิ้มร่า ไม่สนใจแม้แต่น้อย
เสียงเคาะประตูและที่เปิดเข้ามา ทำให้เฌอเอมต้องลอบถอนใจเพราะขี้เกียจฟังบ่น
“คุณเฌอเป็นยังไงบ้างคะ” ผู้ที่เพิ่งมาถึงถามด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด
“เฌอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ว่าแต่ทางนั้นเขาตกลงจะรับดีไซน์ของเราแล้วนะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องเสีย


ภรดีถึงกับลอบถอนใจกับเรื่องที่ได้รับฟัง ดูเอาเถอะ ตัวเองเจ็บขนาดนี้ยังมีแก่ใจห่วงงาน
“เรื่องนั้นคุณเฌอไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ว่าแต่...ทางนี้เขาจะรับผิดชอบยังไงคะ ที่เป็นอยู่นี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้า ‘ท่าน’ รู้เข้า...” แค่คิดภรดีก็สยองแล้ว
“คุณรดีเลิกพูดเรื่องนี้ได้เลยค่ะ” เฌอเอมหน้ามุ่ย


“เมื่อไม่มีใครพูด โดยเฉพาะคุณรดีกับคุณเต ทุกอย่างก็ยังคงจะเป็นความลับต่อไปไม่ใช่หรือคะ ว่าแต่เฌอมีเรื่องขอร้องอีกเรื่องด้วยค่ะ”
ภรดีเลิกคิ้วด้วยความหวั่นใจ เกรงเหลือเกินกับเรื่องแผลงๆ ของคุณหนู
“เฌอแนะนำกับใครๆ ว่าคุณเตเป็นพี่ชาย ส่วนคุณรดีเป็นพี่สาว คงไม่ว่าที่เฌอจะแนะนำอย่างนั้น”


ภรดีอ้าปากค้าง คุณหนูกำลังเล่นอะไรกันแน่ ที่สำคัญหากท่านรู้เรื่องเข้า อะไรจะเกิดขึ้น แต่เรื่องที่ใหญ่กว่า เห็นจะเป็นเรื่องที่เข้าโรงพยาบาลนี่เอง
แล้วจู่ๆ เรื่องที่เฌอเอมหวาดหวั่นก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเตชิตกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องพัก


“แย่แล้วครับคุณรดี นักข่าวมาออกันด้านล่างเต็มไปหมด”
“คุณว่าทางบริษัทนั่นก็ปิดข่าว ทางเราก็ไม่มีใครพูด แล้วนักข่าวจะมาได้ยังไง” ภรดีถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
ผิดกับคนต้นเรื่องที่ได้แต่นอนตาปริบๆ เหมือนว่าจะไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น


ก่อนหน้าที่จะเปิดบริษัท ‘กล้าประดับ’
“จะร้อนวิชาอะไรกันนักหนา ก็ยายบอกแล้วว่าอยากให้เราไปต่อต่างประเทศก่อน” ‘อังกาบ’ เปิดฉากเสียงเข้มถามหลานสาว
“อายุเท่านี้ แถมเงินทองก็มีใช้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตั้งบริษัทไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้เงินตั้งเท่าไหร่ ดีไม่ดีขาดทุนก็เท่ากับสูญเงินที่ลงไปเปล่าๆ ปรี่ๆ” แม้ผู้เป็นยายไม่อยากขัด แต่ยังอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา


มีหรือที่เฌอเอมจะไม่รู้ แต่ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีสิ่งใดมาทำลายความตั้งใจได้อย่างเด็ดขาด
“เป็นผู้หญิงจะกระเสือกกระสนอะไรนักหนา เงินทองก็มีใช้ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร”
ทั้งที่เธอมีบางสิ่งอยู่ในใจ แต่กลับไม่อาจพูด…บางเรื่อง...ที่ไม่อาจบอกให้ใครได้รับรู้ได้
“แต่เฌออยากทำนี่คะคุณยาย นะคะ ให้เฌอได้ทำเถอะนะคะ” ออดอ้อนพร้อมบีบนวดอยู่ไม่ห่าง
“ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะจ๊ะ ยังจำได้หรือเปล่า”


เจ้าตัวยิ้มแป้น ลองคุณยายพูดเช่นนี้ มีหรือเธอจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เฌอขอสัญญาค่ะ ว่าหากทำบริษัทประสบความสำเร็จเมื่อไหร่ จะตามใจคุณยายแน่นอนค่ะ” กล่าวน้ำเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม
“เอาเป็นว่า หาก...บริษัทนั่นมีอันเป็นไปก่อนเวลา หนูก็จะต้องไปเรียนต่อ ตกลงตามนี้นะจ๊ะ” อังกาบบอกอย่างเอ็นดู


คำพูดนั้นของคุณยายทำให้เธอยิ้มแป้น ในที่สุด... ‘ฝัน’ ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
ผู้ที่ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มดูจะหยุดวิกฤตทั้งหมดลงฉับพลัน...บุรุษผู้นั้น มาวิน เหมรัตน
“นักข่าวนั่น...” เตชิตเอ่ยอย่างกังวล เพราะนักข่าวมาออกันที่ด้านล่าง
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี ผมให้พวกเขากลับกันไปหมดแล้ว อย่างที่ผมบอก ทุกอย่างจะเป็นความลับ ตราบที่คุณไม่ให้ข่าว” ที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือ ทางเขาพลิกสถานการณ์โดยแถลงข่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุของการทำปืนลั่นเท่านั้น


ในเวลาเดียวกัน ณ สำนักงานใหญ่ เค พี เอ กรุ๊ป…
ตึกกระจกระฟ้าสะท้อนแสงแดดยามเที่ยงวัน งดงามอย่างประหลาด
“คุณปลอดภัยใช่มั้ยคะ ทักเพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นห่วงคุณแทบแย่แน่ะค่ะ”
คำถามร้อนรนของ ‘ทักษอร’ ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังตรวจเอกสารชะงักไปทันที


“ทักบอกคุณหลายครั้งแล้วนะคะ ว่าปืนนั่นคุณไม่ควรพกติดตัว ที่สำคัญคุณไม่ควรเอาขึ้นมาบนนี้” ครั้งนี้เธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ
“ข้อสำคัญหากปืนไม่ลั่นไปโดนแม่คนนั้น แต่ลั่นใส่ตัวคุณเอง อะไรจะเกิดขึ้นกันคะ”
‘ปรมัตถ์’ ได้แต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ทั้งที่ต้องการปิดเรื่องนี้เป็นความลับ โดยบอกว่าเขาเองที่ทำปืนลั่นแต่ดูเหมือนผู้ล่วงรู้จะมีมากขึ้นทุกวัน


วูบหนึ่งที่นึกถึงมาวิน ผู้ออกอุบายนี้ให้กับเขา นาทีนี้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าทุกอย่างจะประสบผลตามที่ได้ตั้งใจมากน้อยเพียงใด
“เก้าโมงมีประชุมไม่ใช่หรือ” เขาตัดบทเสีย
“ก็ยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่งโมงนี่คะ” เจ้าหล่อนไม่พูดเปล่าแต่นั่งลงทันที
เสียงเคาะประตูที่เข้ามาขัดจังหวะ พร้อมๆ กับแม่บ้านที่ถือถาดอาหารเช้าเข้ามาเสิร์ฟ ยิ่งทำให้ปรมัถต์ไม่พอใจอีกหลายเท่า


“ทักตื่นแต่เช้าคุมแม่บ้าน ทำโจ๊กฮ่องกงมาให้คุณค่ะ” บอกอย่างภาคภูมิใจ
“ปาท่องโก๋นี่ก็เจ้าโปรดของคุณด้วยเหมือนกัน ทักสั่งให้คนขับรถไปซื้อแต่เช้ามืดเชียวนะคะ”
“ขอโทษนะ ผมขอเช็คเอกสารพวกนี้ก่อน อีกเดี๋ยว มิสเตอร์โมริจะเข้ามาประชุม” เขาเอ่ยถึงตัวแทนบริษัทจากประเทศญี่ปุ่น


“ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรจะทานอะไรรองท้องไม่ใช่หรือคะ” มีหรือที่เธอจะยอมง่ายๆ
“เดี๋ยวผมรอทานของว่างพร้อมมิสเตอร์โมริก็ได้” เขายังยืนเจตนารมณ์เดิม
ไม่น่าเชื่อว่านาทีนั้นทักษอรจะหงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน ทั้งที่เธออุตส่าห์ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เขาหันมาสนใจ ทว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลที่ได้รับกลับเสมือนเพียงสายลมพัดผ่าน


มันช่างน่าเจ็บใจนัก ที่เธอยังต้องอดทนเพียงเพราะคำว่า ‘ต้องการเอาชนะ’ เพียงคำเดียวเท่านั้น
“งั้น…เย็นนี้ พบกันที่บ้านแล้วกันนะคะ ป๋าบอกว่าจะเลี้ยงรับขวัญคุณน่ะค่ะ” บอกอย่างข่มอารมณ์ก่อนออกจากห้องด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ
ดูเอาเถอะ…มันน่าแค้นใจนัก แม้แต่หน้าเธอ เขาก็ยังไม่มองด้วยซ้ำ


“คุณนิลช่วยบอกให้แม่บ้านเอาของเช้าในห้องท่านไปเททิ้งทีนะคะ” เธอบอกกับเลขาฯ เมื่อออกมาหน้าห้อง
ผู้รับคำสั่งได้แต่มองตามร่างระหงของผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์จนลับตา ถึงเจ้าหล่อนไม่แสดงสีหน้าหรือน้ำเสียงใดๆ แต่ ‘นิลยา’ รู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมว่าเธอผู้นั้นโกรธไม่น้อย


เสียงโทรศัพท์จากท่านประธานทำให้นิลยาหยุดความคิดต่างๆ ไว้เพียงนั้น
“คุณช่วยบอกผู้จัดการฝ่ายการตลาดด้วยว่าผมอนุมัติงานพรีเมี่ยมสำหรับปีใหม่ ให้กับบริษัทกล้าประดับนั่นเรียบร้อยแล้ว”
เลขาค้อมรับคำสั่งก่อนเลยไปเก็บถาดอาหาร
“คุณทานอะไรหรือยัง ถ้ายังก็เอาไปทานสิ ผมขอแค่ปาท่องโก๋กับกาแฟก็พอแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่นิลยาไม่อาจเอ่ยสิ่งใด เพราะผู้ที่เพิ่งจากไปไม่ได้สั่งอย่างที่ว่ามาเลยสักนิด


“ช่วงกลางวันคุณจัดอาหารอย่าเผ็ดมากนะ” เพราะต้องเลี้ยงรับรองมิสเตอร์โมริจึงสั่งเช่นนั้น
“ดูผลไม้ไทยๆ ให้ผมด้วยแล้วกัน ผมฝากด้วยนะ”
นิลยาค้อมรับคำสั่งอย่างหนักใจ เหตุเพราะผู้ที่มีหน้าที่ดูแลฝ่ายจัดเลี้ยงคือหญิงสาวซึ่งเพิ่งจากไป ไม่ใช่เธอแม้แต่น้อย


ท่ามกลางสวนป่าอันเขียวครึ้มที่รายรอบคฤหาสน์สไตร์นีโอคลาสสิค ที่ด้านหน้าคือลานกว้างที่น้ำพุพวยพุ่งกระทบแสงไฟอย่างงดงาม ไม่น่าเชื่อว่าเพียงออกจากตัวเมืองได้ไม่นาน ก็จะพบความเงียบสงบถึงเพียงนี้ ทว่าภาพนั้นกลับไม่สามารถทำให้ผู้บริหารหนุ่มผ่อนคลายเลยสักนิด


“จริงสิคะ เห็น ‘คุณมนต์’ บอกว่าคุณอนุมัติของพรีเมี่ยมที่จะใช้ช่วงปีใหม่โดยไม่ผ่านมติของที่ประชุม” ทักษอรเอ่ยถึง ‘ชุติมนต์’ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
“เพราะเธอคนนั้นที่เข้ามาช่วยชีวิตคุณไว้งั้นสิคะ เลยทำให้คุณตัดสินใจเลือกบริษัทนั่น ทั้งที่ยังไม่เห็นของตัวอย่างเลยด้วยซ้ำ”


‘เจ้าสัวเจริญชัย’ กระแอมกระไอเตือนสติบุตรสาว แต่เหมือนจะไม่เป็นผล
“ที่บริษัทพูดกันให้แซด ว่าคุณถึงขนาดยอมจ่ายราคาแพงกว่าอีกเจ้าตั้งครึ่งหนึ่ง”
เจ้าสัวได้แต่มองบุตรสาวด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก อาหารจีนที่สั่งจากภัตคารชื่อดังจึงจืดสนิทในพริบตา


“ไม่คิดหรือคะ ว่าทำอย่างนี้ ต่อไปจะเสียการปกครอง” ทักษอรกล่าวเสียงเข้ม
“เรื่องงานเอาไว้คุยกันหลังอาหารดีมั้ย จริงสิ…ช่วงปีใหม่ไปยุโรปกับอานะ” เจริญชัยอดรนทนไม่ไหวต้องรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ลุงจะได้จองตั๋วเผื่อคุณษิต กับคุณภัทรไว้เสียเลย” เขาเอ่ยถึงโฆษิตและอาภาภัทร บิดาและมารดาของปรมัตถ์


“เห็นคุณพ่อคุณแม่เปรยๆ ว่าจะไปอังกฤษ ยังไงจะเรียนให้คุณอาทราบอีกทีนะครับ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของผู้บริหารหนุ่มทำให้ผู้สูงอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวโชกโชนมาอย่างเขาไม่อาจรู้ได้แม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดในใจกันแน่
“ไปหาหนูขวัญอย่างนั้นหรือ” เจริญชัยเอ่ยถึง ‘ขวัญจิรา’ น้องสาวปรมัตถ์


“ก็ดีเหมือนกันนะ อาเองก็ไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้ว หรือว่าปีนี้จะเปลี่ยนแผนไปอังกฤษกันดี” พูดกลั้วหัวเราะ
รอยยิ้มจางๆ ซึ่งปรากฏยังริมฝีปากของปรมัตถ์เพียงแวบเดียวก็จริง แต่เจ้าสัวกลับรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด


“รบกวนคุณอาเปล่าๆ ครับ โอกาสหน้ายังมีอีกมาก ว่าแต่กุ้งมังกรซัวเถา กับหูฉลามที่นี่อร่อยเท่าที่เมืองจีนเลยนะครับ คุณอาลองดูสิครับ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่หมุนโต๊ะกลมเพื่อให้อาหารไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายด้วย
ยามนี้ใบหน้าเจ้าสัวกลับจืดสนิท หากไม่ใช่เพราะบุตรสาวที่เอาแต่ใจทำให้เขาขายหน้าอยู่นี่ อาหารจีนโต๊ะนี้ก็คงจะเลิศรสอยู่ไม่น้อย


กระทั่งถึงเวลาอันควรปรมัตถ์จึงลากลับ
“ลื้อรู้บ้างหรือเปล่า ว่าสิ่งไหนควรพูด หรือไม่ควรพูด” เจริญชัยเปิดประเด็นทันที ที่ว่าลูกเขยลับตา
“โตจนป่านนี้ ยังทำตัวไม่รู้จักคิด”
“ป๋าจะว่าหงษ์ได้ยังไงกันคะ ก็ในเมื่อเขาทำให้เสียการปกครองขนาดนั้น” บอกเสียงเข้ม
“บริษัทนั่น ของเราหรือก็เปล่า อย่าเข้าไปก้าวก่ายงานของเขามากนักเลย”


“ป๋าพูดผิด พูดใหม่ได้นะคะ เราเองก็ถือหุ้นอยู่ไม่ใช่น้อย และถึงตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่ต่อไปก็ต้องใช่แน่ๆ ถ้าไม่ ‘ปราม’ เสียแต่ตอนนี้ ต่อไปเขาจะเห็นหงษ์อยู่ในสายตาหรือคะ”
เจ้าสัวได้แต่มองบุตรสาวอย่างละอาใจ ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นใดอีกฝ่ายถึงจะได้คิด
“ลื้อควรจะทำเป็นโง่บ้าง หากเกิดอะไรขึ้น จะหาว่าอั้วไม่เตือน”


ทักษอรได้แต่เชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง คุณหนูไฮโซที่เพียบพร้อมด้วยรูปและทรัพย์ระดับเธอน่ะหรือ ปรมัตถ์คงไม่โง่พอจะทำอย่างบิดาเธอปรามาสไว้แน่ๆ


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ
พบกับ หนึ่งในรัก ในตอนแรกกันนะคะ พร้อมกับนามปากกาใหม่ 'ดารัณ' คนเดียวกับ 'ยุพากร' ค่ะ
ซึ่งจะมีผลงานเขียน เรื่อง บูงาฆารัก ออกกับสำนักพิมพ์ ดอกหญ้า 2000 ภายใต้นามปากกา ' ดารัณ' ในเร็ววันนี้ค่ะ

แล้วพบกันในตอนต่อไปนะคะ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ

ด้วยรักค่ะ
กรยุพา






กรยุพา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 21:04:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ย. 2555, 09:28:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2306





   2 กรยุพา . ยุพากร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account