กาลรักปักใจ (สำนักพิมพ์ Touch Publishing)
ถ้าความรักที่มั่นคงต่อ 'กรบูร'
ทำให้ 'กรรเกด' สามารถกลายร่างเป็นสาววัย20
ในนาม 'กุ้งนาง'
เพื่อสานต่อความรักกับ 'กานต์กันย์'
ซึ่งมีบุคลิกหน้าตาเหมือนคนรักเก่า
การผลัดเปลี่ยนตัวตน เพราะความประหลาดมหัศจรรย์
จะช่วยทำให้เธอสมหวังในความรักหรือไม่?
เมื่อ 'เปรียว' คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่
................
กาลเวลาที่ยังอยู่ในช่วงหนึ่งของความทรงจำ
จะมีพลานุภาพให้กับความรักได้สมดังหวังหรือไม่?
แล้วเธอจะเลือกชีวิต 'กรรเกด'
หรือเธอ...จะเลือกชีวิต 'กุ้งนาง'
เพื่อค้นหาความรักกับการรอคอย



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

กรรเกดคิดสะระตะ ถ้าหากหล่อนไปพบคุณนราด้วยรูปร่างที่แตกต่างจากตัวหล่อนในปัจจุบัน คุณนราและทุกคนในออฟฟิซ จะต้องจับสังเกตได้แน่ ว่าตัวหล่อนมีการเปลี่ยนแปลง ที่เห็นเด่นชัดเลยคือทรงผม

จะบอกกับทุกคนได้ยังไง ว่าผมมันยาวขึ้นเองตามธรรมชาติราวสามคืบ มันเป็นเรื่องตลกชัดๆ รวมถึงรูปร่างของหล่อนเช่นกันที่ในวัยสาวนั้นดูอวบอัด ค่อนไปทางเจ้าเนื้อเล็กน้อย ถ้าทุกคนเห็นคงจะพูดเป็นเสียงเดียว ว่าหล่อนไปกินอะไรมา น้ำหนักถึงได้พุ่งพรวด

ก็แก้มของหล่อนน่ะสิ...ออกจะอูมจนเห็นเด่นชัด

ไม่สวยเอาซะเลย...ตัวหล่อนเมื่อสมัยสิบปีก่อน เมื่อไม่ได้ดั่งใจ คิดอะไรไม่ออก หลังจากเดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ภายในห้อง หล่อนจึงกระแทกตัวทิ้งลงบนโซฟาอย่างแรง หงุดหงิดใจเป็นที่สุด และรอบกายรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครดึงดวงอาทิตย์ มาโคจรอยู่รอบห้อง

คนกำลังร้อนในอก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อดูเบอร์ทางปลายสาย ยิ่งทำให้หล่อนร้อนใจหลายเท่า

จะโทรมาทำไมตอนนี้ล่ะเนี่ยน้องกานต์...คนกำลังกลุ้ม

ทั้งที่ใจอยากจะพบ อยากจะพูดคุย แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาติดต่อมา หล่อนกลับรู้สึกพิพักพิพ่วนใจจนไม่อยากรับสายซะอย่างนั้น

จริงแล้วมันก็น่าจะสมใจคิดมิใช่หรือ ในเมื่อการได้ลดอายุตนเองลงราวสิบปี นั่นคือสิ่งที่หล่อนปรารถนาในขณะนี้

กรรเกดตัดสินใจไม่รับสาย รอจนเสียงนั้นเงียบไป...

ตอนนี้คำถามพรั่งพรูออกมาอยู่ในความคิด หล่อนจะต้องสวมร่างของตนเองเช่นนี้ไปนานแค่ไหน กี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ก็ยากแก่การหาคำตอบ แล้วหล่อนจะบอกกับใครต่อใครว่ายังไงล่ะ ถ้าจู่ๆกรรเกดก็หายตัวไปเสียดื้อๆ

แล้วที่หล่อนกลายมาเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?

เจ้าตัวลุกขึ้นมายืนจ้องอยู่หน้ากระจกอีกครั้ง กำลังใช้ความคิด ว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นอีกครั้งหรือไม่ หากทุกอย่างนั้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงแว่ว ไม่มีกลิ่นหอมตกค้าง

ในขณะที่ใจหล่อนกำลังตะลึงพรึงเพริดกับเรื่องเหลือเชื่อ...หล่อนเริ่มมองเห็นทางออกสองทาง ทางแรกคือหล่อนจะต้องรีบไปร้านทำผม เพื่อปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ทั้งหมด ให้กลายมาเป็นคนเดิม น่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่ถ้าเลือกวิธีนี้ หล่อนจะต้องใช้เวลาหมดไปกี่ชั่วโมงกันล่ะ ถึงจะออกมาเสร็จสรรพเป็นกรรเกดคนเดิมได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

เห็นทีจะยาก...หล่อนจึงมองถึงวิธีที่สอง

วิธีนี้ต้องอาศัยการโกหก แต่หล่อนจะกุเรื่องขึ้นมายังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนในที่ทำงานก็รู้ ว่าหล่อนเหลือเพียงแค่ชีวิตเดียว กระเทียมหัวกำลังลีบและแฟบ ไร้ญาติเหมือนคนอื่น

แต่เอาก็เอา...ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน ค่อยคิดหาวิธีอื่นมาขัดตาทัพ

กรรเกดจึงต่อสายหาคุณนรา แต่ปรากฏว่าปิดเครื่อง...

โอ้แม่เจ้า! แล้วฉันจะโทรหาใครล่ะทีนี้ ไม่รอช้าหญิงสาวจึงกดหาเพื่อนร่วมงานที่สนิท พอเกวลีรับสายเท่านั้น กรรเกดจึงรีบพูด

“เก๋เหรอ อยู่ที่ไหนน่ะ อยู่ในออฟฟิซรึเปล่า”

“เก๋ออกมาช่วยยายหนูผีเลือกดูผ้าที่โรงงานจ้ะ เพราะเจ๊มันนี่แกอยากได้เนื้อผ้าใหม่ๆให้ตรงตามคอนเซปต์หน้าร้อน เกดมีอะไรรึเปล่า แล้วตอนนี้หายไข้แล้วเหรอ”

กรรเกดจึงแสร้งกระแอมเบาๆ พร้อมกับลดเสียงพูดให้เบาและช้าลง ประหนึ่งว่าตนเองนั้นยังจับไข้ “ทีแรกก็ค่อยยังชั่วนะ แต่แดดร่มลมตก ดูเหมือนไข้จะกลับล่ะเก๋ ตอนนี้เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอีกแล้ว”

“ไปหาหมอรึยัง เก๋พาไปไหม” เกวลีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

กรรเกดรีบตัดบทแล้ววกเข้าเรื่อง “ไม่เป็นไร...เกดจะโทรถามเก๋ว่าเจ๊มันนี่แกออกจากออฟฟิซแล้วเหรอ เกดโทรหาแกไม่ติด”

“ออกมาตั้งแต่เที่ยงแล้วนะเกด เห็นว่าจะไปดิวงานกับคุณกันยาเรื่องเอาเสื้อผ้าของแมนนาร่าไปลงนิตยสารฉบับพิเศษ แล้วก็เห็นว่าจะเลยไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องไปฮ่องกงช่วงเย็นนี้กับคุณกมล พี่ชายคุณกันยานั่นแหละ ว่าจะไปดูงานจ้ะ เกดมีอะไรหรือเปล่า”

นี่แสดงว่าเกวลีไม่รู้เรื่องที่คุณนราสั่งงานกับหล่อน ดังนั้นกรรเกดจึงเอ่ยขอบคุณก่อนจะวางสาย โดยไม่อธิบายความใดๆ แล้วต่อสายตรงเข้าออฟฟิซ ลุ้นอยู่ในใจว่าขอให้ไม่มีใครรับสาย หนทางเข้าไปเอางานกลับมาทำ จะได้สะดวกโยธิน

แต่ก็ไม่เป็นดังคาด เมื่อแมวเหมียว ซึ่งทำหน้าที่เป็นสไตลิสต์ประจำห้องเสื้อ รับโทรศัพท์...กรรเกดจึงกรอกเสียงทักทาย

“แมวเหมียวยังไม่กลับบ้านเหรอจ๊ะ”

“รอพี่เกดอยู่ไงคะ เจ๊มันนี่แกฝากรายการทั้งหมดที่ต้องแก้งานด่วน รวมถึงให้หนูรอปรึกษากับพี่เกดด้วยเรื่องของนางแบบที่ถอนตัวกะทันหัน”

“ว่าไงนะ...นางแบบที่คุยงานกันไว้ถอนตัวเหรอ เธอบอกเหตุผลรึเปล่า ไหนว่าเจ๊เรียกมาเซ็นสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเธอจะมาเป็นนางแบบให้กับห้องเสื้อของเรา”

แม้กรรเกดยังไม่รู้ถึงเนื้อความทั้งหมด แต่หล่อนก็ของขึ้นไปเรียบร้อย เพราะมันเป็นปัญหาในเนื้องานเกือบโดยตรง เพราะลิลลี่ นางแบบสาวหน้าใหม่ไฟแรงคนนั้น คือคนที่หล่อนเป็นคนช่วยนำเสนอกับคุณนรา และเชียร์อย่างออกนอกหน้า

แล้วทำไมจู่ๆถึงจะมาเบี้ยวงานกันง่ายๆแบบนี้

“ถ้าพี่เกดรู้เหตุผล แมวเหมียวรับรองว่าพี่เกดต้องควันออกหูแน่นอน”

‘โกรธ’ หญิงสาวนึกภาพนางแบบคนนั้น แล้วอยากจะเข้าไปบีบคอให้มั่นคั้นให้ตาย มันเสียเวลาและเสียอารมณ์ไม่น้อย กว่าที่ทางแมนนาร่าจะตัดสินใจเลือกใครมาเป็นแอมบาสเดอร์ให้กับห้องเสื้อได้ ต้องคัดเลือกจากโมเดลลิ่งหลายร้อยคน โอกาสที่จะมาทำงานกับแมนนาร่า ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายนัก แต่ทำไมลิลลี่ถึงกล้าปฏิเสธ แถมยังระยะกระชั้นชิด อีกแค่สองสัปดาห์ระหว่างเตรียมงาน

มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน

“บอกมาแมวเหมียว ว่าแม่ลิลลี่ดอกไม้ไฮโซ เกิดจะเล่นตัวขึ้นมาได้ยังไง”

“ลิลลี่เปลี่ยนใจจะไปเป็นแบบให้กับห้องเสื้อป่านปอค่ะ”

กรรเกดแทบผงะ เกือบจะโยนโทรศัพท์ทิ้ง...ไม่นึกว่าคุณป่านปอจะทำขนาดนี้ ด้วยการ ‘ฉก’ นางแบบที่ทางแมนนาร่าหมายมั่นปั้นมือ

คุณป่านปอกำลังเล่นนอกเกมอีกแล้ว...แถมครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เห็นทีคงต้องรับศึกหนักกว่าที่ผลงานแฟชั่นเซทนี้จะผลิตออกสู่ท้องตลาด

“แล้วเจ๊มันนี่ว่ายังไงบ้างเรื่องยายลิลลี่”

“แมวเหมียวไม่รู้จริงๆค่ะ แต่พอเจ๊มันนี่แกรู้เรื่อง ก็แทบลมจับเหมือนกัน ได้ยินด่าคุณป่านปอเป็นชุด ทุกคนในออฟฟิซนั่งกันเงียบกริบ พี่เกดก็รู้ใช่ไหมคะ เวลาองค์ลง เจ๊มันนี่แกน่ากลัวขนาดไหน”

กรรเกดได้แต่ถอนใจผ่านหูโทรศัพท์ “ถึงว่าปิดเครื่องไปเลย แสดงว่ายังไม่พร้อมจะคุยกับใคร แล้วนี่เจ๊แกจะมีกะจิตกะใจไปดูงานกับคุณกมลรึเปล่าก็ไม่รู้”

พูดถึงปัญหาใหม่ที่เพิ่งเข้ามาให้ยุ่งเหยิง จึงลืมปัญหาเก่าไปโดยปริยาย พอนึกขึ้นได้จึงรีบหาทางออก “แมวเหมียวอยู่คนเดียวรึเปล่า”

“ทำไมเหรอพี่เกด...เหลือแค่แมวเหมียวคนเดียว คนอื่นกลับบ้านกันไปหมดแล้ว”

กรรเกดจึงบอกกับเพื่อนร่วมงานให้วาง ‘ปัญหา’ ทั้งหมดไว้บนโต๊ะหล่อน แล้วให้แมวเหมียวกลับไปก่อนได้เลย โดยอ้างว่าตอนนี้หล่อนกำลังติดธุระ

“จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาคอยพี่ เอาตามนี้นะ”

หญิงสาวโล่งใจเปราะใหญ่ เมื่อหนทางเข้าไปเอางานสะดวกตามคาด แต่คงต้องรอให้ฟ้าครึ้มสักนิด เวลาไปที่ออฟฟิซ จะได้ไม่มีใครรู้เห็น

แต่หล่อนก็ดันคิดผิด!

........................................................

กรรเกดรอจนฟ้ามืด เลือกเสื้อผ้าในตู้ ชุดที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับวัยของตนเองเมื่อครั้งอายุย่างยี่สิบ หล่อนรวบผมที่ยาวถึงกลางหลังแล้วถักเปียก้างปลาทั้งสองเส้น ปลายผมม้วนขึ้นแล้วหยิบริบบิ้นสีชมพูดอกยิปโซผูก

เสื้อผ้าที่กรรเกดสวมจึงเลือกแบบที่ไม่จี๊ดจ๊าดจนเกินไป ด้วยเสื้อโปโลตัวสั้นผ้ายืด กับกางเกงห้าส่วนตีเกล็ดที่เอว โทนสีชมพูอ่อนเย็น เข้ากับริบบิ้น

แล้วเมื่อส่องกระจกครั้งหลังสุด ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในสมอง...ถ้ามีคนเห็นหล่อนตอนนี้ หล่อนมี ‘ข้อแก้ต่าง’ ให้ตนเองแล้ว

เมื่อเหลือบมองดูเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม จึงคิดว่าสบโอกาส หล่อนจึงขับรถไปยังจุดหมายทันที พอจอดรถสนิท สิ่งแรกที่หล่อนทำคือนั่งคอยในรถ เพื่อดูให้มั่นใจว่าภายในออฟฟิซนั้นไม่มีคนอยู่จริง

หญิงสาวหันรีหันขวางราวกับตนเองกำลังทำความผิด กลัวคนจะจับพิรุธได้ ทั้งที่ดูผิวเผิน หล่อนยังแอบเชื่อว่าทุกคนน่าจะแยกไม่ออก ว่าตอนนี้หล่อนไม่ใช่สาวอายุใกล้สามสิบ แต่กลับเป็นสาววัยสดใสดั่งดอกไม้แรกแย้ม

หล่อนชะโงกมองข้ามรั้วไปข้างใน สิ่งที่ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ ก็คือภายในยังคงเปิดไฟสว่างโล่ง...หรือว่าจะมีคนอยู่ข้างใน

แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ก็ในเมื่อกุญแจสำรองอยู่ที่หล่อนเพียงคนเดียวนอกเหนือจากคุณนรา ด้วยความรอบคอบ กรรเกดจึงหยิบโทรศัพท์กดหาแมวเหมียวอีกครั้ง แล้วก็ได้รับคำตอบว่าตอนนี้เจ้าตัวยังอยู่ในซุปเปอร์มาเกตแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้า

“พี่เกดมาถึงแล้วเหรอคะ คืองี้ค่ะ...คือว่า”

ใจหล่อนพะวงอยู่กับเบื้องหน้าทันที เมื่อเสียงของคุณดวงดาวสาวใหญ่ทึนทึก ซึ่งอยู่ข้างออฟฟิซเปิดประตูรั้วออกมา แล้วส่งเสียงทักทาย

“ยังไม่กลับเหรอคะคุณเกด”

โชคดีที่สาวใหญ่ผู้นี้สายตาคงสั้น เพราะเห็นได้ว่าขณะนี้ไม่ได้สวมแว่นสายตา แถมระยะห่างซึ่งยืนคุยกันก็ไม่ใกล้นัก หล่อนจึงรีบตัดปัญหาตอบรัวเป็นชุด

“พอดีกลับมาเอาของค่ะ เดี๋ยวขอตัวก่อนนะคะ”

กรรเกดกดตัดสายแมวเหมียวไปเสียแล้ว จึงไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานผู้นั้นกำลังจะบอกอะไร และตนเองก็รีบเลื่อนประตูรั้วด้านหน้า โดยที่ลืมนึกไปเสียว่า ทำไมถึงเข้ามาง่ายดาย โดยที่ยังไม่ทันได้ไขกุญแจอย่างที่ควรจะเป็น

หญิงสาวไม่เสียเวลาชะโงกกลับไปมองคุณดวงดาวซ้ำ เพราะเกรงว่ารายนั้นจะทันสังเกตถึงความไม่เหมือนคนเดิมของหล่อน

กรรเกดรีบผลักประตูกระจกใสเข้าไป หลังพิงประตู ถอนหายใจพร้อมกับโล่งอก จนขาดความรอบคอบ ลืมสังเกตเป็นรอบที่สอง ว่าตนเองเข้ามาข้างในอย่างง่ายดาย

หล่อนนึกเพียงแค่ว่า แมวเหมียวคงจะลืมปิดไฟห้อง ไม่เช่นนั้นก็ตั้งใจเปิดไว้อยู่ก่อนแล้ว...ไม่รอช้าหญิงสาวตรงไปยังโต๊ะทำงานของตนเองทันที

อยากจะใช้เวลาในห้องนี้ให้น้อยที่สุด เสร็จแล้วจะได้รีบกลับ พร้อมกับเอางานกลับไปแก้ที่ห้อง ส่วนเหตุผลต่อไปที่จะบอกกับคุณนราก็คือ หล่อนจะขอลาสักหนึ่งอาทิตย์ ตั้งใจเพียงแค่อยากจะดูว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงรูปกายกลับเป็นเช่นเดิมหรือไม่

นั่นเป็นความคิดเฉพาะหน้าที่นึกออกยามนี้...

กรรเกดไม่เสียเวลาที่จะหอบเอาแฟ้มเอกสารทั้งหมดที่ต้องแก้ รีบยกขึ้นแนบอก กำลังเดินไล่ปิดสวิทช์ไฟทีละดวง สายตากลับไปสะดุดกับสิ่งของบางอย่าง ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลาง

หล่อนจึงลงนั่ง แล้ววางสัมภาระทั้งหมดไว้ข้างตัว อดสงสัยไม่ได้ว่าใครนำ ‘ไอแพด’ เครื่องนี้มาตั้งพร้อมใช้งาน...ที่สำคัญเทคโนโลยีรุ่นใหม่เครื่องนี้ กำลังฉายภาพบางอย่างอยู่หน้าจอพัก

เครื่องใช้ทันสมัย หากภาพที่เห็นนั้นกลับเป็นภาพในอดีต...ภาพของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งมีคนนั่งร่วมกันราวหกคน สีในภาพค่อนข้างซีดจาง แถมยังมีรอยขาดวิ่น

แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกหล่อนว่าช่างคุ้นกับภาพนั้น

แล้วภวังค์ของหล่อนก็สะดุดค้าง ราวกับภาพตรงหน้าจอดับวูบ เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเห็นเป็นสายของแมวเหมียว หล่อนจึงรับ

“พี่เห็นงานแล้วนะ กำลังจะกลับ...แต่นี่เดี๋ยวก่อน ทำไมแมวเหมียวถึงเปิดไฟทิ้งไว้ล่ะ...แล้วก็ ไม่ได้ล็อกประตูด้วยใช่ไหม”

เหมือนตนเองเพิ่งจะนึกออกว่าเข้ามาข้างในอย่างง่ายดาย จึงโวยวายใส่แมวเหมียวเป็นชุด ฝ่ายนั้นตั้งท่าจะเถียง หากก็ไม่ทันคนพูดเสียแล้ว จึงปล่อยให้หล่อนตำหนิอยู่พักใหญ่ พอสบโอกาสแมวเหมียวจึงเล่าความว่าเพราะเหตุใด

“คืองี้ค่ะพี่เกด...โดนด่าเป็นชุดเลย”

“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยเธอ”

“พี่เกดฟังแมวเหมียวก่อนสิคะ...พี่เกดเข้าไปไม่เจอกับน้องกานต์เหรอคะ”

แมวเหมียวถามหล่อน โดยที่ไม่ทันขยายความว่า เหตุใดหล่อนจึงต้องเห็นกานต์กันย์ ก็ในเมื่อ...

“อ้าว! พี่เกดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ผมไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”

ไฟที่เหลือเพียงสองดวง คือบริเวณโถงห้องรับแขกที่หล่อนนั่งอยู่ กับไฟที่หน้าบ้าน ดังนั้นแสงสว่างจึงมีแค่นั้น หล่อนเงยหน้าไปตามเสียงพูด แม้เห็นร่างสูงที่เกือบเป็นเงาตะคุ่ม แต่ก็จำได้ดีว่าคือกานต์กันย์

แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน...

แต่บริเวณที่หล่อนนั่งอยู่ แสงสว่างน่าจะพอเพียงที่กานต์กันย์จะเห็นหน้าหล่อนได้ชัด แล้วสิ้นประโยคที่เขาเอ่ยทัก ดูเหมือนเขาจะทำท่าฉงนใจเล็กน้อย สุ้มเสียงในคำพูดถัดไป ดูเหมือนไม่แน่ใจเสียแล้ว

“เอ่อ...โทษนะครับ คุณใช่พี่เกดรึเปล่า”

กรรเกดจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าขณะนี้หล่อนอาจดูไม่เหมือนกรรเกดคนที่เขาเพิ่งพบเมื่อวานเท่าไรนัก หล่อนจึงอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะนึกไปถึงคำตอบที่เตรียมไว้แต่แรก

“อ๋อ...ฉันเป็นน้องสาวพี่เกดค่ะ ชื่อกุ้งนาง”

.........................................

โลกเหมือนหยุดหมุนอีกครั้ง หากมันกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ ภายใต้รอยยิ้มกว้างเจือคำถามซ่อนไว้ ดวงตาของชายหนุ่มกำลังเอ่ยคำถาม

หล่อนรับรู้ได้...แต่จริงแล้วในมุมที่กานต์กันย์ใคร่รู้ คือสิ่งแคลงใจข้อหนึ่ง หากเขาก็ถามอ้อมๆ “คุณกุ้งนางเป็นน้องสาวของพี่เกดเหรอครับ”

“เอ่อ...ใช่ค่ะ เรียกฉันว่ากุ้งสั้นๆดีกว่า อย่าเรียกคงเรียกคุณเลย ดูมันแปลกๆชอบกล”

“แล้วพี่เกดไม่ได้มาด้วยเหรอครับ”

ท่าทางของเขายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หล่อนจึงต้องพูดให้ความมั่นใจ “พี่เกดไม่ค่อยสบายค่ะ พอดีฉันเพิ่งมาจากเชียงใหม่ มาถึงวันนี้ สดๆร้อนๆเลยค่ะ ก็เลยอาสามาเอางานให้พี่เกดเอง”

กานต์กันย์ยังคงตั้งคำถาม “กุ้งเป็นน้องแท้ๆของพี่เกดเหรอครับ”

คราวนี้กรรเกดชักเอะใจ ทำไมชายหนุ่มรุ่นน้องผู้นี้ถึงนึกสงสัยในสิ่งที่เขาไม่น่าจะอยากรู้เท่าใดนัก ทำให้หล่อนโยงไปยังภาพที่ขึ้นโชว์อยู่หน้าจอไอแพดเครื่องนั้น

หรือว่ากานต์กันย์จะรู้จักหล่อน!

กรรเกดเห็นท่าไม่ดีรีบเปลี่ยนเรื่องคุย และสวมรอยเป็นกุ้งนางอย่างตั้งใจไว้แบบ ‘เต็มตัว’ ด้วยการทำทีเป็นไม่รู้จักใครทั้งสิ้น เริ่มต้นจากกานต์กันย์นี่ล่ะ

“แล้วคุณเป็นใครคะ ฉันยังไม่รู้จักชื่อเลย”

ชายหนุ่มจึงบอกชื่อของตนเอง พร้อมกับให้กรรเกดในคราบกุ้งนางเรียกเขาสั้นๆว่า...กานต์ แล้วเขาก็วกกลับไปคุยเรื่องกรรเกดอีกพักหนึ่ง

“พี่เกดเป็นอะไรมากไหมครับ วันนี้ผมโทรหา ก็ไม่รับสาย”

“กานต์มีอะไรรึเปล่าคะ ถึงโทรหา...เอ่อ พี่เกด”

กุ้งนางกลัวจะพลาด หลุดเรียกชื่อตนเองว่า ‘พี่’ เพราะของแบบนี้ สามารถพลั้งเผลอกันได้ และนับต่อจากนี้ ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวหล่อนจะต้องสวมร่างของ ‘กุ้งนาง’ ไปอีกนานเท่าไหร่ หล่อนจะต้องระมัดระวัง ไม่แสดงตัวให้เกิดพิรุธจนถูกจับได้

ดังนั้นกับคนรู้จักใหม่อย่างกานต์กันย์ หล่อนจึงต้องเริ่มปูทางให้เขารู้จัก ว่ามีตัวตนของกุ้งนางอยู่ในโลกใบนี้ และเขาจะต้องเป็นบททดสอบของหล่อนอีกหลายประการ

หญิงสาวเริ่มท่องในใจ...ฉันคือกุ้งนาง ฉันชื่อกุ้งนาง จำไว้

กุ้งนางถามในสิ่งที่อยากรู้ทันที “ว่าแต่กานต์โทรหาพี่เกดทำไมเหรอ”

ลุ้น...หล่อนอาจจะคาดหวังเหมือนหญิงสาวแรกรุ่น ว่าจะได้ยินผู้ชายตรงหน้าเอ่ยคำใดก็ได้ ที่บอกว่าการโทรหากรรเกด เป็นสิ่งที่พิเศษ กว่าจะโทรหาแค่เรื่องงาน

“ก็เมื่อคืนพี่เกดโทรหาผม แล้วผมไม่อยู่ พอจะโทรกลับ ปรากฏว่าพี่เกดปิดเครื่องไปซะแล้ว เลยตั้งใจว่าวันนี้จะโทรกลับ แต่พอลองโทรอีกเมื่อช่วงบ่าย ก็ไม่ได้รับสายตามเคย ผมเลยเข้ามาที่นี่ ตั้งใจว่าจะมาคอยพี่เกด พอดีเจอพี่คนนึงชื่อแมวเหมียว บอกผมว่าเดี๋ยวพี่เกดจะเข้ามา ผมก็เลยอาสาเป็นคนรอ”

สรุปความทั้งหมดได้ครบถ้วน ทำให้กุ้งนางรับรู้ว่ากานต์กันย์โทรหาหล่อนทำไม และเหตุใดจึงพบเขาอยู่ที่นี่ในตอนนี้

ข้อสงสัยในใจหล่อนคลายลงเกี่ยวกับตัวเขา...ดังนั้นจึงชวนคุยด้วยความอยากรู้ ถึงความเหมือนหรือต่างระหว่างหล่อนกับกรรเกด

“ฉันว่าจะถาม...หน้าฉันเหมือนพี่เกดมากเลยเหรอคะ”

กานต์กันย์หัวเราะเสียงใส ยกมือขึ้นลูบผมตนเองแก้เก้อ “อย่าพูดว่าเหมือนเลยครับ ผมคิดว่าเป็นคนๆเดียวกันซะอีก ติดแค่ว่าทรงผมไม่เหมือนกัน แล้วกุ้งก็ดูอิ่มเอิบ สดใสกว่าพี่เกดนิดหน่อยครับ”

ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีนะ ที่เขามองเห็นว่าหล่อนในคราบกุ้งนาง ดูร่าเริงแจ่มใส นี่แสดงว่าตัวหล่อนในคราบกรรเกด ดูหม่นทุกข์มากกว่าจนรู้สึกได้กระนั้นหรือ

แล้วเขาชอบแบบไหนกันนะ...กุ้งนาง หรือว่ากรรเกด

ความคิดเพียงเสี้ยวเล็กๆ ทำให้แก้มของหล่อนปลั่งสุกไปด้วยสีเลือดฝาด ทั้งที่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอื่นใดว่าพึงพอใจ แล้วรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เขาคงงงงัน

“กุ้งเป็นอะไรรึเปล่าครับ เห็นนั่งยิ้มๆ”

“อ๋อ...ปะ เปล่าค่ะ พอดีคิดอะไรเพลินๆ” หล่อนเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาผนังห้อง เห็นว่ายังไม่ดึกนัก จึงคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสเหมาะที่จะทำความรู้จักตัวตนของกานต์กันย์ ผ่านคราบน้องสาวกรรเกด เผื่อจะสอบถามข้อมูลของเขาได้มากขึ้น

แต่อีกใจหนึ่งก็ค้าน...ในเมื่อหล่อนมิได้เกี่ยวพันทางการงานใดเลยของแมนนาร่า แล้วจะใช้มุกไหนสานสัมพันธ์ดีหนอ แล้วการที่เพิ่งพบกันครั้งแรก มันจะดีหรือ ที่อยู่คุยกับเขาสองต่อสองในห้อง เมื่อนึกดังนั้น จึงคิดว่าควรจะสงวนท่าทีไว้เพียงแค่นี้ แล้วขอตัวกลับเสียดีกว่า

แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดออกไป กานต์กันย์ก็เอ่ยขึ้น

“กุ้งทานข้าวรึยังครับ ไปทานข้าวด้วยกันไหม ผมรู้สึกหิวแล้วล่ะ”

โอกาสมาไม่ทันตั้งตัว ต้องรีบคว้าไว้ “ว่างค่ะ”

ไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง หล่อนก็ตกปากรับคำไปแล้ว นั่นคงเป็นเพราะความรู้สึกส่วนลึกในใจมันเรียกร้อง จึงไม่อยากปฏิเสธ

อีกอย่าง...หล่อนก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยชวนเขาเสียหน่อย

“งั้นไปทานข้าวกันครับ”

กานต์กันย์เดินไปเก็บเครื่องไอแพดใส่ซองหนังสีดำอย่างดี นั่นจึงทำให้หล่อนนึกขึ้นได้ในสิ่งที่สงสัยเมื่อครู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ขอโทษนะคะ พอดีฉันเห็นรูปถ่ายหน้าจอเมื่อครู่ เป็นรูปของใครกันคะ”

ในระหว่างที่รอฟังคำตอบ ใจก็ลุ้นอยู่ตลอดว่าบุคคลในภาพทั้งหมด จะมีส่วนเกี่ยวพันใดบ้างกับความคุ้นเคยต่อกรบูร

ทว่าหล่อนก็มิได้รับคำตอบ เมื่อเสียงหนึ่งขัดจังหวะขึ้น

“น้องเกดจ๊ะ...ยังไม่กลับอีกเหรอ”

ตายแล้ว...คุณดวงดาวที่อยู่ข้างบ้าน มาทำไมตอนนี้

กุ้งนางหมุนตัวกลับ ขณะกำลังจะก้าวขาไปยังประตู พอหันมาอีกทีจึงชนเข้าอย่างจังกับกานต์กันย์

ไฟในห้องดวงสุดท้ายยังคงสว่าง หากไฟในใจหล่อนกลับสว่างไสวยิ่งกว่า...หล่อนได้แต่ยืนนิ่ง สบตาคมอันแฝงเสน่ห์ลึกล้ำ หล่อนยังไม่อาจค้นหาได้ว่าในดวงตาคู่นั้นคิดอะไร แต่ถ้าเป็นดวงตาของหล่อน ไม่ต้องสังเกต ก็คงจะเห็นดาวดวงเล็กๆพริบพราวจนทั่ว

นึกอยากจะหยุดเวลานี้ในอ้อมแขนของเขาไว้นานๆ...

.............................................







พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 13:00:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 13:00:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1126





<< ตอนที่ 4   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account