เหลี่ยมรัก บัลลังก์ทราย วางที่ 7-11 แล้วค่ะ^^
เจ้าชายซาราฟไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พระองค์จะทุกร้อนและเจ็บปวดใจกับน้ำตาของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ที่มีแววตาเย่อหยิ่ง อวดดี ดื้อรั้น ผู้ที่เป็นเพียงนางทาสในลานประมูล หน้ำซ้ำยังเป็นใบ้อีกด้วย!

**** เรื่องนี้เป็นนิยายแนวทะเลทรายเรื่องแรกที่ลองเขียน ยังไงก็ฝากแนะนำด้วยนะคะ >< จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะออกเป็นหนังสือในไม่ช้า อยู่ในช่วงระหว่างการปิดต้นฉบับ เลยยังมีโอกาสในการรีไรท์อยู่มาก ดังนั้นเลยอยากจะลองเอามาลงให้สมาชิกชาวสิรินดาได้ช่วยแนะนำดูค่ะ ****

ฝากด้วยนะคะ ^__^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 สนมคนแรก

บทที่ 2 สนมคนแรก

เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ที่หมอหลวงเข้าออกวังของเจ้าชายซาราฟทำให้หลายคนเกิดความสงสัย แต่ก็เป็นดังเช่นทุกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่วังแห่งนี้ไม่เคยมีการแพร่งพรายออกไปสู่คนภายนอก ราวกับข้ารับใช้ทุกคนพร้อมใจกันปิดปากเงียบทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเจ้านายของตน เพราะแม้จะไม่ทรงเอ่ยปากห้าม แต่จากการกระทำบ่าวทุกคนก็พอจะรู้ว่าควรต้องทำเช่นไร

ถึงแม้หลายคนจะสงสัยใคร่รู้ว่าหญิงสาวที่กลับมาพร้อมกับชุดคุลมของพระองค์เมื่อหลายวันก่อนเป็นใคร และพอเห็นอยู่บ้างว่านางผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส แต่นางสำคัญไฉน? เจ้าชายถึงได้ให้หมอหลวงมารักษา

ข้ารับใช้ทุกคนได้แต่เก็บงำความสงสัยและพูดคุยกันในวงแคบๆ
เรื่องใดที่ทรงให้เป็นความลับก็ต้องเป็นความลับ โทษของการปากโป้งในวังของเจ้าชายซาราฟไม่ใช่สิ่งที่น่าลิ้มลองหรือท้าทายแม้แต่น้อย

แต่ถึงอย่างนั้นกฎทุกกฎก็มีข้อยกเว้น และผู้ที่ได้รับการยกเว้นก็กำลังตัดสินใจอยู่เช่นกันว่าจะถามออกไปดีหรือไม่ เพราะคำถามของเขาอาจจะทำให้ขัดเคืองพระทัย

“เห็นยืนอยู่นานแล้ว ดูท่าเจ้าเหมือนมีเรื่องอยากจะซักข้านะ อลัน” น้ำเสียงเงียบๆ นิ่งๆ กับท่าทีเหมือนไม่สนใจจะเอาคำตอบทำให้องครักษ์หนุ่มรู้ทันทีว่าเจ้านายกำลังกรุ่นๆ

“กระหม่อมมิบังอาจฝ่าบาท” แม้ปากจะบอกไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับนึกว่า ถูกพระองค์รู้เท่าทันความคิดเสียแล้ว

“ข้าคิดว่าเจ้าอยากจะรู้เรื่องของไอรีนเสียอีก”

ชื่อที่ทรงเรียกราวกับชินปากมานมนานทำให้ต้องเหลือบสายตาขึ้นมอง
อลันพอจะเข้าใจล่ะว่าเจ้าชายเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้นางทางคนนั้น แต่ไม่เห็นต้องอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้เอ่ยถึงนางเลยนี่นา

“คือ กระหม่อมเพียงแต่อยากจะทราบว่าฝ่าบาทคิดจะทำอย่างไรกับนางทาสคนนั้น ทำไมจึงได้ให้นางพักที่ตึกกุหลาบท้ายวัง หรือว่าพระองค์ไม่ได้คิดจะรับนางเป็นนางในทั่วไปอย่างบาบา หากทรงคิดจะรับนางเป็น...สนม”

คนสูงศักดิ์ปรายพระเนตรมองคนที่มีสีหน้ากระวนกระวายก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากหันมามองทหารคู่ใจอย่างมีเลศนัย

“เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้าจะทำอะไรข้าต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ หืม อลัน ทำไมให้นางอยู่ตึกเก่าที่แม่ข้าเคยอยู่มันแปลกยังไง”

องครักษ์หนุ่มถึงกับวางหน้าไม่ถูก ทั้งที่ในใจอยากแย้ง มันจะไม่แปลกได้อย่างไร ในเมื่อตึกกุหลาบเจ้าชายซาราฟไม่เคยปล่อยให้ใครเข้าไปพักง่ายๆ ทรงหวงแหนตึกนั้นจะตาย อยู่ๆ จะทรงย้ายคนที่เพิ่งหายป่วยเข้าไปอยู่ทั้งที่ทรงรู้ดีว่าห้องนอนของตึกนั้นมีทางเชื่อมลับจากห้องบรรทมของพระองค์!

“กระหม่อมมิบังอาจ เพียงแต่กระหม่อมเห็นว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณของ เอ่อ ว่าที่พระคู่หมั้น”

“ข้าไม่เคยรับปากว่าจะหมั้นหมายกับใคร! ที่สำคัญนางเป็นคนของข้า เจ้าเข้าใจความหมายนี้หรือไม่อลัน และที่สำคัญนางไม่ใช่นางทาส นางคือไอรีน คนที่กำลังจะมาเป็นสนมคนแรกของข้า!”

อลันถึงกับลืมตัวเงยหน้ามองพระพักตร์เจ้าเหนือหัวอย่างตกใจ แต่เมื่อเห็นแววพระเนตรที่แน่วแน่ ทั้งสุรเสียงอันหนักแน่นนั้นแล้วก็ถึงกับสะอึก คำคัดค้านติดอยู่ในลำคอ

ในเมื่อเจ้านายตอบออกมาเช่นนี้ มีหรือที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเขาจะกล้าออกความเห็นอะไรอีก

ออกจะฟังน่าขันอยู่สักหน่อยหากจะบอกว่าตลอดชีวิตในวัยหนุ่มของเจ้าชายซาราฟไม่เคยรับสนมนางในเพื่อมาบำเรอปรนเปรอในสวาทจะมีรักสนุกบ้างก็เป็นครั้งคราวตามวัย ด้วยไม่ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญเพราะภาระที่เขาเฝ้ารับแบกมาตั้งแต่อายุได้ 15 ปีนั้นมันทำให้เจ้าชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ไม่มีเวลาชื่นชมหลงใหลหรือหรือหมกมุ่นในเรื่องรสเพศ เจ้าชายซาราฟมักจะคลายเครียดด้วยกีฬายิงปืนประเภทเป้าบินที่ทรงโปรดมากกว่า

องครักษ์หนุ่มขบคิดถึงผลที่จะตามมาหลังจากที่นายเหนือหัวประกาศชัดว่าจะรับสนมคนแรก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในตำแหน่งอย่างเจ้าชายซาราฟจะมีสนม แต่พระองค์ลืมไปหรือเปล่าว่าทรงมีว่าที่พระคู่หมั้น แม้จะแค่ ‘ว่าที่’ ก็เถอะ แต่ ‘ว่าที่’ คนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ เสียด้วย ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้ความเป็นมาของหญิงนามไอรีนสักคน!

สีหน้าของทหารคู่ใจคงจะแสดงออกมาชัดเจนเกินไป เจ้าเหนือหัวจึงได้เอ่ยตัดความ

“เรื่องของไอรีนไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสนใจ เจ้าใส่ใจเรื่องที่ข้าให้เจ้าไปทำดีกว่า”

“แล้วทรงมั่นพระทัยได้อย่างไรฝ่าบาท ว่านางจะไม่ใช่แฝงตัวมาเพื่อลอบทำร้ายพระองค์” แม้รู้ดีว่าหลังจบคำถามนี้แล้ว เขาอาจไม่มีชีวิตมายืนอยู่ตรงนี้อีก รู้ว่าคำถามจะระคายเคืองพระทัยและขุ่นข้องในอารมณ์ แต่เพราะความภักดีทำให้ต้องทำใจดีสู้เสือเตือนสติออกไป

เจ้าชายแห่งอาซาลาไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง กรามแข็งแรงขบจนขึ้นสัน

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเจ้านายทำให้ลูกน้องรู้ในทันทีว่าเจ้าของแผ่นหลังที่อ้างว้างนี้กำลังอยากจะบีบคอใครสักคนให้ตายคามือ และแน่นอนว่าคนที่สมควรโดนที่สุดก็คือเขา ที่ดันไปสะกิดแผลเก่าของพระองค์เข้าจังเบ้อเร่อ

เป็นนานกว่าเจ้าชายซาราฟจะหันกลับมามองทหารคู่พระทัยที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม

“ออกไปจัดการงานตามข้าสั่ง บอกฝ่ายพิธีการให้เตรียมตัว อีก 7 วัน ให้จัดพิธีถวายตัว”

“แต่ว่า”

“เจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้ารึ”

“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”

อลันลอบถอนหายใจอย่างหนักอก หากทรงได้ตัดสินใจแล้ว ใครก็ยากจะฉุดรั้ง

“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมทูลลา” องครักษ์หนุ่มถวายความเคารพก่อนจะถอยทัพกลับไป

ซาราฟยอมรับว่าอยากจะเข้าไปกระชากคอลูกน้องจอมจุ้นนักที่สะกิดรอยแผลเก่าๆ ให้รู้สึกแสบๆ คันๆ ขึ้นมาอีก แต่เขาก็มีเหตุผลพอ รู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่หวังดีเท่านั้น หากจะลงโทษเพียงเพราะลูกน้องพูดให้ระคายหูทั้งที่รู้ว่ามีเจตนาดีก็ดูจะไม่สมกับการเป็นเจ้าคนนายคน

ร่างสูงเหม่อมองออกไปด้านนอก พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ทำให้ภาพเก่าๆ ที่เกิดรอยแผลอยากจะลืมเลือนกลับมาเตือนความจำพระองค์อีก ความตั้งใจที่จะปล่อยให้มันกลายเป็นอดีตที่ไม่มีผลต่อความรู้สึกของพระองค์ แต่มันก็ยากยิ่ง เห็นได้จากคำพูดสะกิดสะเกาเบาๆ ย้ำถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตขององครักษ์คนสนิท พระองค์ก็ยังคงเก็บมันมาเป็นอารมณ์
อดีตที่ไม่น่าจดจำ รักครั้งแรกที่ยากจะลืม...


“เรื่องจริงหรือท่านอลัน!” บาบาถามอย่างตื่นเต้นเมื่อองครักษ์หนุ่มเอาเรื่องมาแจ้งกับฝ่ายพิธีการของวังเล็กที่ดูแลพิธีการของฝั่งราชนิกูลทั่วไป
หัวหน้าฝ่ายพิธีการต้องขึงตาปรามหญิงสาวที่ไม่สำรวมแถมยังมาแอบฟังจนอีกฝ่ายจ๋อยสนิท

ตามประเพณีและการปกครองดูแลจัดการภายในวังหลวงของอาซาลานั้นจะถูกแบ่งเป็น 2 ชั้น คือหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชา ราชินีและองค์รัชทายาท จะดูและโดยพิธีการวังหลวง นอกเหนือจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของเจ้าพิธีการวังเล็ก

“องค์รานีทรงทราบเรื่องนี้หรือยังท่านอลัน” หัวหน้าฝ่ายพิธีการวังเล็กเอ่ยถามอย่างกังวล

“ยังครับ เจ้าชายประสงค์จะให้จัดพอเป็นพิธีไม่ต้องการให้พิธีใหญ่โต ท่านก็จัดเหมือนที่เคยจัดสนมถวายราชนิกุลพระองค์อื่นๆ นั่นแหละท่าน”

“แต่นี่สนมเจ้าชายซาราฟนะท่านอลัน ข้าเกรงว่าจะถูกตำหนิเอาได้”
องครักษ์หนุ่มเข้าใจความกังวลของหัวหน้าฝ่ายวิธีการดี เพราะเขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กัน

อลันถอนหายใจ นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่เขากังวล จริงอยู่ที่เจ้าชายของเขาเป็นเพียงเจ้าชายที่เกิดจากนางสนม ทว่าสนมนางนั้นกลับเป็นน้องสาวแท้ๆ ของพระราชินีซึ่งปัจจุบัน

องค์ราชินีที่รั้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน ขณะที่พระราชาทรงประชวรและพักรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศอันเป็นประเทศเดียวกับที่องค์รัชทายาททรงศึกษาอยู่

“มันเป็นพระประสงค์ของเจ้าชาย”

อีกครั้งที่อลันต้องถอนหายใจอย่างคนที่คิดไม่ตก เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็ลำบากใจไม่น้อย แม้เจ้าชายซาราฟจะมีศักดิ์ไม่ต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ในราชนิกุล แต่ความสำคัญต่างกันลิบลับ

ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเจ้าชายที่ดำรงศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของราชินีรอนีย์นี้เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยเหลือให้องค์ราชาและองค์รานีพยายามพัฒนาและฟื้นฟูอาซาลาให้เจริญก้าวหน้าที่แม้จะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นในแผนที่โลก แต่พระองค์ก็ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะทำให้ประชาชนชาวอาซาลาออกไปเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอก

เจ้าชายซาราฟคือผู้เป็นเจ้าของโครงการที่คิดแปรรูปผลอินทผลัมให้เป็นไวน์อินทผลัมซึ่งกำลังบุกเบิกตลาดชาวตะวันออกกลางด้วยกัน และกำลังเริ่มขยายไปยังตลาดเอเชียโดยเฉพาะประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

พระองค์ทรงศึกษาอย่างจริงจังที่จะแปรรูปไม้ผลที่ปลูกกันดารดาษในอาซาลาให้กลายเป็นไม้ผลมีราคาช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชน คนสำคัญระดับเจ้าชายซาราฟการจะรับสนมสักคนย่อมเป็นที่จับตามอง และยิ่งเป็นสนมคนแรกนนามของเจ้าชายซาราฟด้วยแล้วยิ่งเป็นที่สนใจและถือเป็นเรื่องสำคัญ

หัวหน้าฝ่ายพิธีการคิดคำนวนด้วยสีหน้าหนักใจ

“ถึงจะเป็นพระประสงค์ก็เถอะ แต่ว่าเรื่องนี้มัน”

“อยู่นี่เองหรือท่านองครักษ์ ราชินีมีรับสั่งให้มาทูลเชิญเจ้าชายซาราฟไปเข้าเฝ้า รบกวนทานช่วยทูลพระองค์ด้วย พวกข้าไปที่วังแล้วแต่พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ที่นั่น” นางกำนัลวัยกลางคนนามชีอาร่านางสนองโอษฐ์ขององค์ราชินี ทั้งยังเป็นแม่นมขององค์รัชทายาทที่อลันทรงรู้จักเป็นอย่างดีได้เข้ามาขัดจังหวะการสนทนาเข้าพอดี

“ครับ”

“ด่วนนะท่าน พระนางรออยู่ที่ห้องทรงอักษร”

อลันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

ไม่ได้ประทับอยู่ที่วังงั้นหรือ ทั้งที่เมื่อครู่ยังประทับอยู่ที่นั่นอยู่เลยนี่นา เสด็จไหนอีกนะ

“ท่านอลัน ไหนท่านเพิ่งบอกข้าว่าเพิ่งไปเข้าเฝ้าเจ้าชายไม่ใช่รึ” หัวหน้าพิธีการหันไปถามองครักษ์หนุ่ม

“ใช่ ข้าขอตัวนะท่านหัวหน้าพิธีการ”

หลังจากที่คำนวณคร่าวๆ แล้วว่า สถานที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เจ้าชายซาราฟจะประทับอยู่องครักษ์ผู้ภักดีก็ไม่รอช้ารีบนำความไปทูลทันที


ห้องสมุดเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยหนังสือมากมายอัดแน่นจนน่าสงสารว่าถ้าหากมันมีลมหายใจก็คงจะขาดใจตายเพราะความมหาศาลของเพื่อนๆ หนังสือด้วยกัน ข้อนิ้วสีน้ำผึ้งลูบไปตามสันหนังสือเล่มเก่าๆ เล่มหนึ่งก่อนจะหยิบมันออกมาอย่างเคยชิน มันคงเป็นหนังสือที่ปิดใช้งานมากที่สุดเพราะดูได้จากสภาพที่ไม่สวยงามเอี่ยมอ่องเท่ากับเล่มอื่นๆ บนชั้นหนังสือ

ดวงตาสีนิลวาวใสมองปกหนังสือด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง ก่อนจะใช้นิ้วกรีดเปิดหน้าหนังสือที่มีดอกหญ้าแห้งกรอบไร้สีคั้นเอาไว้ ขณะที่กำลังจะจรดเจ้าดอกหญ้าแห้งขึ้นแตะปลายจมูก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน


“เข้ามา” น้ำเสียงห้วนคล้ายไม่สบอารมณ์ทำให้ผู้ที่บังอาจเคาะประตูไม่เป็นเวล่ำเวลาลอบกลืนน้ำลาย

“องค์ราชินีให้นางกำนัลชีอาร่ามาทูลเชิญเจ้าชายไปเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ร่างกำยำเบี่ยงกายเพื่อวางหนังสือคืนที่ชั้น แววตาสงบนิ่ง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเรียกตนเข้าพบเพราะเหตุใด

อลันมองเจ้านายเหนือหัวที่อยู่ในชุดประจำชาติของชาวอาซาลาที่ใช้วัตถุดิบไหมทองในการถักทอ ลักษณะชุดเป็นด้านในจะเป็นเสื้อตัวยาวสีขาวคลุมข้อเท้า มีเสื้อคลุมตัวยาวสีทองคลุมทับ สาบเสือปักดิ้นทองสองแถวบอกตำแหน่งความสำคัญ โดยสลับสีประจำตัวของเจ้าชาย และสีประจำตัวของพระองค์คือสีแดงเลือดนก

“พระนางอาจจะทรงทราบแล้วก็เป็นได้ว่าเจ้าชายทรง ‘ซ่อน’ อะไรไว้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์รานี เจ้ากลับไปบอกนางกำนัลว่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

“ทรงมีคำตอบแล้วหรือฝ่าบาท” เพราะพอจะรู้ใจเจ้านายอยู่บ้างจึงได้เอ่ยคำถามนี้ออกไป แต่ก็ไม่วายจะโดนดวงตาดำขลับจ้องอย่างตำหนิว่าเขากำลังถามอะไรที่ไม่ฉลาดอยู่

มันวันอะไรกันวะเนี่ย โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

องครักษ์ที่แทบจะทำอะไรไม่เคยถูกใจจำต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วกลับหลังหันพาตัวเองออกจากห้องเพื่อไปทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างปลงๆ ในชะตาชีวิตตัวเอง



แจกันทองเหลืองน้อยใหญ่ที่ฝังพลอยหลากสีที่วางตามมุมห้องช่างเข้ากันดีกับดอกไม้สีม่วงช่องาม ดอกกล้วยไม้ที่นำเข้าจากประเทศไทยที่พระราชินีแห่งอาซาลาโปรดปรานเนื่องจากมีสีม่วงซึ่งเป็นสีประจำตัวของพระนาง ซึ่งองค์ราชามุซาฟาห์ ก็มีสีประจำพระองค์เป็ฯสีทอง ส่วนสีประจำพระองค์ขององค์รัชทายาทนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม

นางกำนัลสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันยอบตัวลงต่ำถวายความเคารพแด่แขกผู้มาเยือนตามคำเชิญของนายเหนือหัวตน ก่อนจะค่อยๆ ค้อมกายออกไปจากห้องทรงอักษร

เป็นที่ล่ำลือกันอยู่เป็นนิจถึงความสง่างามสมชายชาตรี และใบหน้าที่งดงามเกินบุรุษ แต่ก็แกร่งกร้าวดุจดั่งนักรบที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาข้าศึกตลอดเวลา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลยเมื่อนางกำนัลสาวๆ ที่ซุกซนจะอาศัยจังหวะที่ค้อมกายเหลือบมองวรกายสูงใหญ่ที่ชวนให้จินตนาการถึงเนื้อแท้ด้านในมากกว่าอาภรณ์สวยงามด้านนอกที่ทรงสวมใส่

เด็กสาวที่ถูกจับได้คาตานางกำนัลพี่เลี้ยงก็จะถูกหนีบเอาที่เอวเล็กบางให้ได้เจ็บกันจนหน้าเบ้ ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็จะโดนสายตาผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนติเตียน

“หลานชายข้า นับวันเจ้าจะทำให้นางกำนัลของป้าเสียคนแล้วกระมัง” ราชินีรอนีย์ นิสรีน อัลดาบู วางปากกาในมือลงส่งยิ้มให้หลานชายก่อนจะผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ

“หลานขอประทานอภัย หากเป็นเหตุให้นางกำนัลของท่านป้าต้องเจ็บตัว” สีหน้าช่างห่างไกลจากประโยคสำนึกผิดที่ได้เอ่ยออกมานัก จนคนที่มีศักดิ์เป็นแม่ของแผ่นดินและเป็นป้าแท้ๆ ของเจ้าชายอาเซอร์ ซาราฟ อัลดาบู ตวัดสายตาค้อนให้หลานชายรูปงามเสียหนึ่งวง

“เจ้านี่มันจริงๆ เลยเชียว น่าหยิกให้เนื้อเขียวนัก ทำเป็นนิ่งแต่จริงๆ ก็แอบหว่านเสน่ห์ ร้ายเหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิด”

อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม ทว่าชั่วเวลาเพียงเปลวเทียนไหวมีรอยเศร้าลึกในดวงตาสีนิลคู่นั้นที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดได้เห็น

“ทรงอ่านอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ราชินีรอนีย์หยิบสาส์นที่วางอยู่บนโต๊ะที่เพิ่งละสายตาเมื่อครู่มายื่นให้กับหลานรักอ่าน “สาส์นจากประเทศนัยญ่าส่งมาขอเจริญสัมพันธไมตรี”

“นัยญ่า? หากหลานจำไม่ผิดตั้งแต่ที่ราชามุซาฟามีนโยบายปิดประเทศเพื่อบูรณะประเทศหลังเกิดภัยสงครามกลางเมืองเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ข่าวของนัยญ่าก็เงียบหายไปเลยนี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่น่ะสิ ตอนนี้ป้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ส่งสาส์นมาเจริญสัมพันธไมตรีกับทางเรา บอกตรงๆ ว่าป้าก็ไม่มั่นใจในสถานการณ์ของนัยญ่าเท่าไหร่”

“แล้วจะทรงทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ป้าถึงได้อยากพบเจ้าอย่างไรล่ะ”

เจ้าชายซาราฟก้มอ่านสาส์นในมือ ในนั้นบอกไว้ว่าหลังจากรัฐบาลได้ทำการประชุมและได้ข้อสรุปว่าจะทำการเปิดประเทศนัยญ่าสู่สายตาสังคมโลกอีกครั้ง และต้องการสืบสานสัมพันธ์อันดีงานที่เคยมีต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ และเพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่าง 2 ดินแดน ทางนัยญ่าจึงได้ขอพระราชอนุญาตส่งราชทูตมาขอเข้าเฝ้า

“ให้เขาเข้าเฝ้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ เราจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วหลานจะให้คนของหลานไปสืบดูข่าวในนัยญ่าด้วยอีกทาง”

“ถ้าเจ้าว่าดี ป้าก็เชื่อ ขอบใจมากนะซาราฟ ถ้าไม่มีเจ้าป้าคงลำบากมากกว่านี้” ราชินีรอนีย์ไม่ได้ยกยอเพื่อเอาใจหลานรัก แต่พระองค์คิดเช่นนั้นจริงๆ

“มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ แล้วฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างกระหม่อม”

“รัชทายาทดูแลอยู่ เขาก็ว่าอาการพ่อของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ล่ะนะ” แวววิตกกังวลฉายชัดที่เนตรคู่งามที่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าชายหนุ่มระลึกถึงมารดา

“ถ้ารัชทายาทยืนยันเช่นนั้น ก็อย่าทรงกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นสิ ตอนนี้หากป้าป่วยไปด้วยอีกคน บ้านเมืองคงย่ำแย่ ขาดเสาหลักประชาชนคงเสียขวัญ ” ถ้อยคำของพระราชินีที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ นั้น เหมือนกระตุกหนามที่ปักอยู่ในใจให้ปวดแปลบ

ในสายตาขององค์ราชินี เขาก็ยังคงไม่ได้รับความไว้วางใจ และความเชื่อชิดสนิทใจ ภายใต้ความรักใคร่เอ็นดูยังคงมีปราการบางๆ ที่คอยแบ่งเส้นอำนาจและความหวาดกลัวต่อความมั่นคงของบัลลังก์ทรายแห่งนี้

เมื่อรู้ตัวว่าได้สะกิดความรู้สึกไม่ดีให้เกิดขึ้นในใจหลานรัก ราชินีรอนีย์ก็ไม่รอช้าที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย...

เรื่องที่ตั้งใจไว้แต่แรก...ว่าจะซักถาม

“ช่วงนี้หลานไม่สบายหรือ ป้าได้ข่าวว่าเจ้าเรียกหาหมอหลวงแทบทุกวัน”

เจ้าชายซาราฟยิ้มให้กับคำถามขององค์รานี พระองค์ทรงฉลาดในการถามยิ่ง ไม่ได้ซักไซ้โดยตรง ไม่ได้อ้อมค้อมจนน่าเวียนหัว แต่ถามอย่างค่อยๆ ให้เขาแบไต๋ออกมา

“หลานสบายดีกระหม่อม ขอบพระทัยที่ทรงห่วง” ร่างสูงตั้งใจเว้นระยะเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย พอเห็นแววค้อนก็อมยิ้มนิดๆ ก่อนตอบ “แต่ที่วังของหม่อมฉันมีคนบาดเจ็บสาหัสจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ใครกันสำคัญขนาดหลานข้าต้องให้หมอหลวงไปรักษา”

คนหนุ่มคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบัง เพราะไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ก็ต้องมีคนรู้เข้าสักวัน อีกทั้งพระองค์เองก็มั่นใจว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่เปลี่ยนความตั้งใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว แม้สิ่งนั้นอาจจะทำให้องค์รานีไม่พอใจ

“สำคัญพ่ะย่ะค่ะ เพราะคนๆ นั้นคือว่าที่สนมของหลานเอง!”

ราชินีรอนีย์ชะงักก่อนจะวางถ้วยชามะลิลงบนจานรอง ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หลานไม่ได้หาเรื่องให้ป้าหัวใจวายเล่นหรอกนะ นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใคร แล้วไปพบเจอกันที่ไหนถึงได้ด่วนรับมาเป็นสนมนัก คงไม่ได้ท้องหรอกนะ”

เจ้าชายซาราฟหัวเราะเบาๆ กับข้อสันนิษฐานของราชินีรอนีย์

“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ไม่ทราบว่านางเป็นใครมาจากไหน กระหม่อมไปเจอนางตอนไปตรวจความเรียบร้อยที่ชายแดน”

“เจ้าชักจะทำให้ป้าเวียนหัวแล้วซาราฟ แล้วคามิล่า? เจ้าจะบอกน้องว่าอย่างไร”
ราชินีกลุ้มพระทัยเมื่อคิดถึงหลานสาวอีกคนที่ยังไม่รู้ข่าว แม้มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากเจ้าชายสักพระองค์จะรับสนมสักคนหรือหลายคน แต่ที่กลุ้มพระทัยเพราะว่ารู้นิสัยหลานสาวคนนี้ดี

เจ้าหญิงคามิล่าเกิดมาเพื่อเป็นที่หนึ่งและเป็นหนึ่งเดียวของทุกๆ อย่าง แล้วมีที่นางจะยอม

“หลานเคยทูลแล้วว่ากับคามิล่านั้นหลานไม่เคยเอ็นดูนางเกินกว่าความเป็นน้องสาว” น้ำเสียงหนักแน่นย้ำชัดว่าความรู้สึกเช่นนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“ตัดสินใจอย่างดีแล้วสินะเจ้า ถึงได้เพิ่งมาบอกป้าเอาป่านนี้ ไม่สิ หากป้าไม่ถามก็คงไม่คิดจะบอกสินะ” พระนางตัดพ้อ

“ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ หลานแค่เห็นว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อีกอย่างหลานก็ไม่อยากรบกวนท่านป้า เห็นช่วงนี้ท่านป้าทรงงานหนัก”

“เจ้ากำลังเข้าใจผิด ไม่มีเรื่องอะไรของเจ้าที่ไม่สำคัญสำหรับป้านะซาราฟ” องค์รานีให้ความมั่นใจว่าพระองค์เห็นหลานรักคนี้สำคัญเสมอ

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะที่เข้าใจหลาน และขอประทานอภัยที่หลานทำให้ท่านป้าผิดหวัง แต่หลานเห็นคามิล่าเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งเท่านั้น”

“อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันไปเอง” ราชินีรอนีย์พยายามโน้มน้าวแต่ดูจะไม่เกิดผล

“มันอาจจะใช้ได้กับคู่อื่นๆ แต่กับหลาน หลานยังคงยืนยันคำตอบเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

ราชินีรอนีย์ นิสรีน อัลดาบูถอนพระปัสสาสะอย่างจนพระทัย เพราะรู้นิสัยหลานรักทั้งสองดี พร้อมกันนั้นก็รู้สึกผิดที่พยายามจับคู่หลานรักทั้งสอง แม้หลานชายจะเคยยืนยันว่าไม่เคยเห็นเด็กสาวเป็นมากกว่าน้องนุ่ง ทว่าพระองค์กลับคิดว่ากาลเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

“เจ้าจะให้ป้าบอกน้องอย่างไร” ผู้หวังดีอยากให้หลานได้คนที่คู่ควรถามกลับ มันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าลำบากใจไม่น้อยในเมื่อคามิล่าติดพี่ชายคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโต

“หลานขอโทษท่านป้า แต่หลานคิดกับคามิล่าแค่น้องสาวจริงๆ” แม้จะรู้สึกสงสารคนที่กำลังพูดถึงอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่อาจฝืนใจให้เป็นไปอย่างที่ผู้หวังดีคาดหวัง
ผู้หวังดีได้แต่ปลง เพราะรู้ดีว่าหากหลานชายคนนี้ได้ปฏิเสธเรื่องเดิมถึง 2 ครั้งเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

“พอจะมีสนมแล้วปฏิเสธเสียชัดเจนเชียวนะเจ้า” ผู้เป็นป้าอดจะประชดไม่ได้

รอยยิ้มมุมปากอย่างพึงใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้พระนางค้อนตาขุ่น

“กระหม่อมรู้ว่าตัวเองผิดที่ไม่พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะกระหม่อมก็คิดว่าจะลองใช้ความพยายามให้สิ่งที่ท่านป้าหวังเป็นจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันยิ่งแน่ชัดว่าหลานกับคามิล่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ไม่มีไอรีน หลานก็ไม่อาจลงเอยกับคามิล่าได้พ่ะย่ะค่ะ



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 19:31:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2555, 00:14:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2445





<< บทที่ 1 แววตาเจ้าถือดีอย่างนี้กับชายทุกคนรึเปล่า   
คิมหันตุ์ 5 มิ.ย. 2555, 20:35:22 น.
คงไม่ถึงกับตายหรอกใช่ไหมเพคะเจ้าชาย


wind 5 มิ.ย. 2555, 21:59:19 น.
นางเอกเป็นใครกันแน่นะ??


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account