เหลี่ยมรัก บัลลังก์ทราย วางที่ 7-11 แล้วค่ะ^^
เจ้าชายซาราฟไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พระองค์จะทุกร้อนและเจ็บปวดใจกับน้ำตาของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ที่มีแววตาเย่อหยิ่ง อวดดี ดื้อรั้น ผู้ที่เป็นเพียงนางทาสในลานประมูล หน้ำซ้ำยังเป็นใบ้อีกด้วย!

**** เรื่องนี้เป็นนิยายแนวทะเลทรายเรื่องแรกที่ลองเขียน ยังไงก็ฝากแนะนำด้วยนะคะ >< จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะออกเป็นหนังสือในไม่ช้า อยู่ในช่วงระหว่างการปิดต้นฉบับ เลยยังมีโอกาสในการรีไรท์อยู่มาก ดังนั้นเลยอยากจะลองเอามาลงให้สมาชิกชาวสิรินดาได้ช่วยแนะนำดูค่ะ ****

ฝากด้วยนะคะ ^__^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 แววตาเจ้าถือดีอย่างนี้กับชายทุกคนรึเปล่า

อลัน นูบีเหลือบมองร่างสูงที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นหนุ่มใหญ่ผ่านกระจกหลังด้วยความหนักใจ เมื่อเห็นวรกายกำยำรั้งร่างทาสสาวที่เข้าร่วมประมูลโดยไม่ปรึกษาใครเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแนบไหล่บึกบึนอย่างบุรุษที่ฝึกฝนการสู้รบทั้งแบบมือเปล่าและพร้อมกำลังอาวุธ แม้ใจอยากจะเอ่ยถามถึงเหตุผล แต่ก็รู้ถึงความเหมาะสม ดังนั้นที่ทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่ถอนหายใจอย่างหนักอึ้งให้พระองค์ได้จับสังเกต เผื่อจะหลุดอะไรๆ ออกมาบ้าง

“อลัน เบาหน่อย” สุรเสียงเข้มเอ่ยเตือนเมื่อองครักษ์หนุ่มเผลอขับรถจี๊ปล้อสูงด้วยความเร็วอย่างที่เคยซึ่งส่งผลให้รถขยับโยกจนร่างบอบช้ำโยกคลอนไปตามแรงเหวี่ยง

“ขอประท่านอภัยฝ่าบาท” องครักษ์ที่ทำทั้งหน้าที่คนขับผงกศีรษะลงเล็กน้อย

“.....” สายตาที่มองผ่านกระจกส่องหลังแสดงอาการซักถามเกินจำเป็นทำให้ในนัยน์ตาดุสบแววไม่พอใจ

“เจ้าอยากจะถามอะไรอลัน” นัยน์ตาสีเข้มจ้องประสานสายตากับองครักษ์คู่ใจผ่านกระจกจนอีกฝ่ายหลบแทบไม่ทัน

“ฝ่าบาทจะพานางไปที่วังหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าคิดว่าข้าเสียเงิน 500 ไรยาเพื่ออะไรกัน หืม อลัน?” เสียงเข้มถามกลับจนอีกฝ่ายขนลุกชันกับน้ำเสียงของนายเหนือหัว

“กระหม่อมเพียงแต่คิดว่าหากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึง…”

“เรื่องนี้มีแต่ข้ากับเจ้าที่รู้ หรือถ้าหากคนอื่นรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แค่เจ้าชายซาราฟจะรับนางในสักคนคงไม่ทำให้ใครเดือนร้อนนักหรอก”

อลันพยายามที่จะไม่ตื่นตระหนกไปกับคำบอกกล่าวง่ายๆ ของเจ้าชายซาราฟ อีกทั้งอยากจะแย้งเหลือเกินว่า คนเดือดร้อนคนแรกน่ะมี และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเขานี่แหละ!

เขาจะเป็นคนแรกที่ถูกซักฟอกจากเจ้าหญิงคามิล่า...เจ้าหญิงผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งว่าที่พระคู่หมั้น

อลันได้แต่ลอบถอนหายใจเหลือบมองใบหน้าซีดเซียวริมฝีปากแห้งแตกของนางทาสราคาสูงลิบลิ่ว ผิวบอบบางที่แตกยับที่บัดนี้ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมตัวโปรดของเจ้าชายที่เขาจัดสำรองไว้เผื่อต้องพักค้างแรมที่ไหนในยามที่เสด็จออกนอกเมืองเพื่อดูความเป็นอยู่ของประชาชน

นางช่างมีวาสนานัก ที่ได้รับความเมตตาจากเจ้าชายที่สาวทั้งเมือง ‘วาดฝัน’ ว่าจะได้ใกล้ชิด!

เขาไม่ได้กล่าวเกินจริง เพราะแม้จะแค่ในฝันหากทุกนางก็ปรารถนาที่จะได้เชยชมเรือนร่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้สายพระเนตรสีนิลเข้มเหลือบแล ยอมแม้กระทั่งวิ่งแหวกฝูงชนที่มาเฝ้ารับเสด็จกระโจนเข้าใส่ขบวนรถของพระองค์ หากบรรดาหญิงสาวเหล่านั้นรู้ว่าเจ้าชายที่พวกตนพร่ำเพ้อกำลังโอบประคองร่างหญิงที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไว้แนบอกคงจะกระอักเลือดตาย ที่แน่ๆ ก็มีอยู่หนึ่งคน

อลันลอบถอนหายใจก่อนจะเหลือบมองใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของหญิงสาวในอ้อมอกเจ้านายอีกครั้ง

หรือไม่ก็คงจะเป็นหญิงในอ้อมอกพระองค์นั้นแหละที่จะลำบาก...

“....” เสียงแหบแห้งอู้อี้ไม่ได้ศัพท์ที่พยายามเปล่งออกมาจากลำคอแห้งผากในครั้งแรกไม่เป็นผล ยิ่งร่างกายบอบช้ำที่ขาดน้ำมาเกือบทั้งวันพยายามเค้นเสียงกลับยิ่งทำให้รู้สึกแสบไปทั้งลำคอราวกับมีหนามนับร้อยค้างอยู่ด้านใน

เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ฝืนเปิดขึ้นมาเพื่อสู้ลำแสงที่ลอดผ่านช่องหน้าต่าง สิ่งที่เห็นแตกต่างจากเมื่อหลายวันก่อนอย่างสิ้นเชิง ความคับแคบ อับชื้น มืดมิดหายไป แทนที่ด้วยเพดานสูงลวดลายวิจิตร จมูกเล็กได้กลิ่นหอมสะอาดชวนเคลิ้มฝันแทนกลิ่นเหม็นคาวที่คุ้นชินมาตลอดแรมเดือน.มือเล็กพยายามขยับเพื่อยันตัวขึ้นนั่ง แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดก่อนขึ้นเวทีประมูลของนางจะสูญหายไปไม่หลงเหลือแม้แต่แรงกระดิกนิ้ว

ที่นี่ที่ไหนกัน
หญิงสาวรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังแค่นยิ้มให้กับโชคชะตาเลวร้าย

ไม่ใช่ว่าข้าตายแล้วถูกส่งมาบนสวรรค์หรอกนะ

เปลือกตาปิดลงไปอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าเพื่อให้แน่ใจว่าลมหายใจยังเป็นของตนไม่ได้ถูกพญามัจจุราชพรากไป ก่อนจะค่อยๆ ระลึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้น .ใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างกายเกร็งกระตุกบังเกิดความรู้สึกคลื่นเหียน ขนอ่อนลุกชันเมื่อภาพความเจ็บปวดด้านจิตใจได้ฉายซ้ำอีกครั้ง

แม้อยากจะหยุดความคิดไว้แค่นั้น แต่เหมือนยิ่งพยายามภาพยิ่งปรากฏชัดเจนมากจนแทบจะกลับไปยืนอยู่ในเหตุการณ์อีกครั้ง แม้เสียงสุดท้ายที่ได้ยินจะเป็นเสียงเยาะหยัน คำพูดและท่าทางกักขฬะของไอ้คนสกปรกที่นำเธอขึ้นประมูล แต่มันก็ชัดเจนเกินกว่าจะลืม ก่อนที่จะเห็นภาพเลือนรางสุดท้ายของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้เสียงอื้ออึ้งรอบทิศเงียบลงราวกดสวิตช์

เธอไม่รู้ว่าชายคนนั้นพูดอะไร ไม่เห็นแม้แต่ใบหน้า เห็นเพียงเค้าโคร่งสูงใหญ่รางเลือน แล้วก็หมดสติไป

ดวงตาเขียวมรกตเบิกกว้างอย่างตระหนก

หรือว่าข้าถูกประมูลมาแล้ว

สีหน้าและแววตากระหายอยากของไอ้คนหัวงูตัณหากลับที่มองเธอแวบเข้ามาในหัว หญิงสาวรู้สึกสะอิดสะเอียน ขมในคอราวกับจะขย้อนของเหลวในร่างออกมา รังเกียจตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดความโชคร้ายที่ต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับตัวเอง ดวงตาแดงก่ำร้อนผ่าวหากไม่มีน้ำตาสักหยดไหลอกมาให้ได้เวทนาตนเอง

ทำไมไม่ตายๆ ไปซะตั้งแต่ตอนนั้นกันนะ

ทาสสาวพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดอีกครั้งเพื่อหาทางหนี แม้จะรู้ดีว่าความเป็นไปได้แทบไม่มีเลย เพราะเท่าจากที่สายตาของเธอเห็น ห้องนี้ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าธรรมดา ฉะนั้นข้าวของภายในห้องย่อมมีราคาไม่ธรรมดา เจ้าของมันก็ต้องไม่ธรรมดาด้วยแน่ และแน่นอนว่าที่หน้าประตูแห่งนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องมียามเฝ้าไม่ต่ำกว่า 2 คน

เสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำให้ร่างที่ได้รับการทรมานเมื่อหลายวันก่อนเกร็งขึ้นมาทันที

“เจ้ารู้สึกตัวแล้วเหรอ เป็นอย่างไรบ้าง” หญิงนางหนึ่งซึ่งแต่งกายค่อนข้างดีซึ่งถ้าเทียบกับเธอตอนนี้ก็ดีกว่าหลายขุม หล่อนชะโงกหน้าเข้ามาหาคนเจ็บที่พยายามฝืนกำลังตัวเอง

“อุ๊ย ข้าขอโทษ ข้าลืมไปว่าท่านหมอบอกว่าเจ้าถูกพิษทำให้พูดไม่ได้ ข้าชื่อบาบาเป็นนางกำนัลของวังนี้ ดูเจ้าน่าจะอ่อนกว่าข้าสัก 2 ปี ได้ แต่ไม่เป็นไรข้ายอมให้เจ้าเรียกชื่อเฉยๆ ได้”

หญิงแปลกหน้ายิ้มหน้าบาน ขณะที่อีกคนได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงุนงง “แหะๆ ข้าพูดมากไปสินะ เจ้าคงตกใจล่ะสิที่ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่แปกลที่แปลกทาง แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พวกเราเป็นคนดี ไม่ทำร้ายเจ้าหรอก

ทาสสาวคลายปมขมวดที่หว่างคิ้วออก ก่อนจะกะพริบตาสองสามครั้ง เหมือนกำลังพยายามทำความเข้าจนสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ว้า ข้าจะสื่อสารกับเจ้ายังไงดีนะ” คนที่แนะนำตัวเองว่าเป็นนางกำนัลเคาะนิ้วลงบนขมับอย่างใช้ความคิดก่อนจะฉีกยิ้มลุกขึ้นปรบมืออย่างคนที่หาทางออกให้กับตัวเองได้ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วให้พยักหน้า ทำได้ไหม”
บาบาพยักหน้าให้ดูเป็นตัวอย่าง ก่อนจะถามซ้ำคำถามเดิมกับคนบนเตียงอีกครั้ง

“เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”

ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับของคนบนเตียง นางกำนัลสาวขมวดคิ้ว “ยังเจ็บอยู่เหรอ งั้นเดี๋ยวข้าไปรายงานเจ้าชายซาราฟกับท่านหมอก่อนนะ ว่าเจ้าฟื้นแล้ว”

เสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของนางกำนัลสาวที่หายลับไป
มาไวไปไว ไม่ฟังอะไร เอาแต่พูด พอพูดจบแล้วก็ไป ช่างเหมือนคนๆ หนึ่งที่หญิงสาวรู้จักเสียเหลือเกิน

ท่ามกลางความเงียบภายในห้องกว้าง หญิงสาวใช้เวลาหมดไปกับความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองดี คิดเผื่อไปถึง ‘เจ้านายใหม่’ เขาจะเป็นคนเช่นไร กักขฬะ มากไปด้วยตัณหาอย่างผู้ชายที่ลานประมูลหรือไม่

ลึกๆ ในใจนึกค้าน หากเขาประมูลเธอได้ ก็คงไม่ใช่คนดีนักหรอก

แต่เดี๋ยวก่อน! เมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นบอกนางก่อนออกจากห้องไปว่าอย่างไรนะ

รายงาน ‘เจ้าชายกับท่านหมอ’

สิ่งที่สะดุดหูเมื่อครู่คือคำเรียกขานที่บาบาเอ่ยถึงเจ้านายใหม่ของนาง

เจ้าชาย...งั้นหรือ?

เหตุใดเขาถึงได้ประมูลเธอมา หรือว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นใคร!?

ความคิดของคนที่นอนนิ่งไม่มีแม้แต่แรงจะขยับกายเริ่มหวาดวิตก เครียดกับความเป็นไปได้ต่างๆ นานาที่พอคิดหาเหตุผลได้ เม็ดเหงื่อค่อยๆ ซึมออกมาตามไรผมก่อนจะไหลลงมารวมกันเป็นหยดกลิ้งลงมาตามจอนผมเปียกชื้น

เสียงเปิดประตูอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมเสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งคน

“ทางนี้เจ้าค่ะท่านหมอ นางฟื้นตอนบาบาเข้ามาพอดีเจ้าค่ะ”

หญิงสาวสะดุ้งพยายามจะเหลือบมองผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ คนที่บาบาเรียกเขาว่าหมอนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของนางเท่ากับบุรุษร่างสูงที่แผ่รังสีความกร้าวแกร่ง แววตาคล้ายไม่ยินดียินร้ายกับการได้สติของเธอ

“ท่านอลัน จ้องหน้านางแบบนั้นนางก็กลัวน่ะสิเจ้าคะ นางป่วยอยู่นะท่าน” บาบาค้อนให้ เมื่อสายตาขององครักษ์หนุ่มออกจะแฝงแววข่มคนเจ็บอยู่ในที

หากเป็นคนอื่นอลันคงจะแสยะยิ้มแล้วจับทุ่มพื้นไปนานแล้ว แต่ที่สาวร่างอวบยังคงยืนอยู่บนพื้นพรมได้อย่างปกตินั้นเป็นเพราะนางเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ และเป็นน้องนุ่งที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย...ไม่มากไปกว่านั้น

“นางคงหนวกหูเสียงของเจ้ามากกว่าบาบา”

นางกำนัลสาวตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็ชะงักลงเพราะถูกห้ามเสียก่อน

“พอเสียที มีใครไปทูลเจ้าชายหรือยังว่านางฟื้นแล้ว”

“ยังเจ้าค่ะ บาบาตื่นเต้นเลยวิ่งไปบอกท่านหมอก่อนแล้วระหว่างทางก็เจอท่านอลันพอดี”

“เจ้าชายทรงงานอยู่ ข้าเลยเห็นว่าไม่ควรให้มีเรื่องใดไปรบกวน” อลันมองไปยังสิ่งรบกวนที่จ้องมายังพวกเขาเขม็งด้วยแววตาเอาเรื่อง

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันมากล่าวหาว่าเรื่องของเธอเป็นเรื่องรบกวน ไม่ได้อยากมาด้วยซ้ำ เจ้าชายเจ้าต่างหากที่พาเรามา

นัยน์ตาสีสวยฉายแววถือดีแบบที่คนคลุกคลีมากับชนชั้นสูงอย่างอลันถึงกับสะกิดใจ

หรือนางทาสคนใหม่จะไม่ใช่คนธรรมดา

ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้เขาอดที่จะระแวงไม่ได้ ยิ่งตั้งแต่องค์ราชาซุฟาห์ไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ เจ้าชายซาราฟคล้ายจะพบกับอุบัติเหตุมากจนเกินจำเป็น บางทีการพบหญิงนางนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็เป็นได้

“ทีตอนทำไม่ห้ามปรามกันแล้วจะมาคิดอะไรตอนนี้ ไว้ข้าตรวจอาการนางเสร็จแล้วท่านค่อยทูลเจ้าชายแล้วกันท่านองครักษ์ ตอนนั้นคงจะไม่ไปรบกวนอะไรแล้วกระมัง” แพทย์หลวงเสียงขุ่นเมื่อคนไข้ของตนถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวรบกวน

องครักษ์ที่ถูกประชดถึงกับถอนหายใจ หากห้ามได้มีหรือเขาจะไม่ห้ามทำ
ไม่รู้ท่านหมอมีอะไรไม่พอใจเขานักหนาถึงได้หาเรื่องว่าเขาได้ตลอด

บาบาหัวเราะคิกคักแบบไม่เก็บอาการเมื่อองครักษ์หนุ่มถูกท่านหมอกึ่งประชดกึ่งตำหนิ “ว่าแต่นางชื่ออะไรหรือเจ้าคะ ท่านอลัน”

“ข้าไม่รู้” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปกระซิบกระซาบกับหมอหลวงแล้วออกจากห้องไป ครั้นพอนางจะตามไปบ้างเสียงเข้มๆ ของท่านหมอก็เรียกเอาไว้

“เจ้ามาช่วยข้าพยุงนางขึ้นมาดีกว่าบาบา”

บาบายิ้มแหย ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มฉอเลาะเอาใจท่านหมอที่มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ

“ท่านลุงเจ้าขา”

คนถูกเรียกท่านลุงขึงตาใส่หลานสาวในไส้ ก่อนจะเริ่มร่ายยาว

“เป็นสาวเป็นนางจะไปวิ่งตามผู้ชายต้อยๆ แม่เจ้าได้ถอนหงอกข้าปะไร” เขากล่าวถึงน้องสาวแท้ๆ ที่ยุ่งอยู่กับกิจการขายแพรพรรณอันรุ่งเรืองใหญ่โตที่สุดในอาซาลาซึ่งฝากลูกสาวคนเล็กเข้าวังเพื่อมาฝึกฝนความเป็นกุลสตรี

แต่ดูแม่หลานสาวตัวดีสิ อยู่ในวังมาตั้งแต่ ‘เลือด’ ยังไม่มาจนอายุขึ้นเลข 2 มาสองสามปี ยังทำตัวราวกับเด็ก 10 ขวบ

นางกำนัลวัยยี่สิบสองปีทำหน้ายู่เมื่อถูกเตือนเป็นรอบที่...รอบที่เท่าไหร่หญิงสาวเองก็จำไม่ได้ แต่ก็ยอมเดินตุบัดตุเป๋เข้ามาช่วยอย่างเสียมิได้

“มันไม่มีอะไรเสียหน่อยท่านลุง คิดมากไปได้”

“เจ้าบ่นอะไร”

“เปล่าเจ้าค่ะ บาบาเปล่าบ่น ท่านลุงหูแว่วแล้ว ไม่เชื่อถามนางก็ได้” คนที่นอนแบ็บอยู่คล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ดวงตากลมโตมองสองลุงหลานอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

“เหลวไหล ข้าก็เพิ่งบอกเจ้าไปว่านางโดนพิษทำให้เปล่งเสียงไม่ได้”

ผู้เป็นลุงส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะยกมือห้ามเมื่อเห็นหลายสาวอ้าปากจะเถียง ตัดรำคาญโดยการสั่งให้หลานสาวตัวยุ่งช่วยเช็ดตัวให้คนเจ็บ ส่วนตนก็กลับออกไปสะสางงานที่คั่งค้าง โดยไม่ลืมจ่ายยาให้ทาสสาวที่อีกไม่นานจะเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วราชวัง

หลังได้รับการตรวจอาการและให้ยาแล้วก็ดูเหมือนว่าร่างกายคนป่วยเรียกร้องการพักผ่อน เพราะหลังจากที่บาบาและหมอออกไปไม่ถึงนาทีดีเปลือกตาที่เคยหนักอึ้งก็ปิดลงย่างง่ายดาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนางเบาใจว่า อย่างน้อยวันนี้ชีวิตของนางยังคงปลอดภัย

ทหารยามทำความเคารพเมื่อเห็นร่างสูงเดินมาถึงหน้าประตู คนในเสื้อคลุมขาวยกมือขึ้นโบกสองทีให้สัญญาณทหารยามถอยห่างออกไปจากหน้าประตูก่อนจะเร้นกายเข้ามาในห้องมืดสนิท ฝีเท้าเบาราวขนนกร่วงแตะพื้นพรมทำให้คนที่หลับใหลไปเพราะฤทธิ์ยาบวกกับความอ่อนเพลียไม่รับรู้การมาเยือนของผู้บุกรุกในยามวิกาล

ร่างสูงเอื้อมมือไปกดเปิดโคมไฟดวงเล็กๆ แสงสีส้มของมันสาดมากระทบลงบนแก้มขาวที่เริ่มมีสีสันขึ้นมากว่าครั้งแรกที่เจอบนลานประมูล แม้จะยังมีรอยช้ำและรอยหมองคล้ำอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีกว่าเก่ามาก

เงาที่เกิดจากแสงสีส้มของหลอดไฟของร่างสูงที่นั่งอยู่ริมเตียงทอดพาดผ่านบนร่างสมส่วนที่นอนนิ่งไม่ขยับมีเพียงลมหายใจแผ่วเบาที่บอกว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิต เจ้าของเงายกมือปัดปอยผมบางส่วนที่ตกมาระใบหน้าหวานซึ้ง แล้วไล้วนเป็นวงกลมตรงแก้มป่อง

“อะไรที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเจ้าไม่สะทกสะท้านกับการถูกกระทำอย่างไร้เกียรติ แววตาที่เหมือนคนไร้ลมหายใจนั่นอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”

ข้อสงสัยไม่ได้รับคำตอบอย่างที่คิดไว้ เจ้าชายซาราฟสำรวจดวงหน้าพิสุทธิ์อีกครั้งก่อนจะไล่มองลงไปยังลำคอขาวผ่อง ดวงตาดำขลับจับจ้องมองตามความยาวของสร้อยถักราวกับจะดูว่ามันไปสิ้นสุดอยู่ที่ใด

ส่วนที่ผลุบหายเข้าไปใต้อกเสื้อขึ้นรอยนูนกลมๆ ทำให้วิญญาณนักสำรวจประทับร่างเจ้าชายแห่งอาซาลา บังเกิดความใคร่อยากจะรู้ จึงไต่มือลงไปรั้งคอเสื้อหญิงสาวลงแทนการจะล้วงหยิบสายสร้อยออกมา

ไอ้คนฉวยโอกาส เอามือเจ้าออกไปนะ

ปลายนิ้วเย็นเฉียบจากการเดินฝ่าความหนาวเย็นมาที่นี่สัมผัสถูกความนุ่มอุ่นทำให้ร่างที่นอนนิ่งแอบสะดุ้ง โดยเจ้าของนิ้วหารู้ไม่ว่าได้ทิ้งความเสียหายด้วยประกายไฟร้อนๆ ที่มองไม่เห็นเอาไว้

ว่ากันตามจริง เธอเองก็รู้สึกตัวตั้งแต่สัมผัสว่ามีน้ำหนักทิ้งลงบนเตียงแล้ว เพียงแต่อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมีจุดประสงค์ใด เธอจึงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้สึกตัว

แต่ดูเหมือนว่าการ ‘ละลาบละล้วง’ เกินเหตุของมือหนาจะทำให้เธอไม่อาจนอนนิ่งเฉยอยู่ได้อีก อารมณ์โกรธผสมกับที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัวจากยาที่ได้รับทำให้ร่างบางคว้าหมับเข้าที่ฝ่ามือที่กำลังไต่ลงไปอย่างคนไม่กลัวตายนั่น

ดวงตาหวานหยดสีมรกตจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าคนถูกจับกับทำเพียงเลิกคิ้ว ยกมุมปากนิดๆ กวนโทสะของเจ้าหล่อนให้ขุ่นขลัก

“เจ้ารู้สึกตัวอยู่หรอกหรือ นึกว่าหลับอยู่เสียอีก” ไม่ถามเปล่า ยังก้มใบหน้าคมคายที่เห็นชัดภายใต้แสงโคมไฟสีส้มลงมาชิดใบหู ราวกลับกลัวว่าเธอจะไม่ได้ยินที่เขาพูด

นางไม่เอ่ยตอบ แต่ยังจ้องมือที่ไม่ว่าจะใช้เรี่ยวแรงยื้อยุดให้ออกห่างจากก้อนกลมๆ เล็กๆ ที่เด่นหราอยู่บนร่องอกเบียดชิดของเธอยังไงฝ่ามือแข็งปานคีมเหล็กก็ไม่ขยับเขยื้อน...ทั้งสายตาคู่คมก็ไม่ยอมเคลื่อนไปจากร่องอกเบียดชิดของนางด้วย!

คนแรงเยอะก็นิสัยเสียเกินกำลัง รู้ทั้งรู้ว่านางไม่พอใจ แต่ก็ไม่ยอมรามือ ราวกับตั้งใจยั่วให้อีกฝ่ายเดือดดาล

“โอ๊ะ! ข้านี่แย่จริงลืมไปเสียสนิท เจ้ายังพูดไม่ได้นี่นา” น้ำเสียงครึกครื้นมากกว่าจะรู้สึกผิดยิ่งทำให้คนที่กำลังจะดีขึ้นอยากจะหยิกริมฝีปากหนาโค้งสวย ไม่ก็เอานิ้วทิ่มตาวาววับคมเข้มเจ้าเล่ห์คู่นั้น

มันจะมากเกินไปแล้วนะ

แม้จะอยากส่งมือออกไปข่วนหน้าคมเข้มแค่ไหน แต่ที่ทำได้ตอนนี้คือสะบัดหน้าหนีอย่างเกรี้ยวกราดเท่านั้น

ผู้ชายคนนี้ช่างน่าตายนัก นี่น่ะหรือเจ้าชาย เอ๊ะ หรือว่าไม่ใช่

คนเพิ่งฟื้นตัวเหลือบสายตามาสำรวจอีกฝ่ายเพื่อคาดคะเนฐานะ แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เห็นจะไม่พ้นความเป็นชนชั้นสูง และสิ่งที่ทำให้หญิงสาวคิดว่าอีกฝ่ายคือเจ้าชายเพราะหล่อนสังเกตเห็นการแต่งตัวที่ผิดแปลกไปจากท่านหมอและองครักษ์หน้าตายเมื่อกลางวัน

ชายผู้นี่สวมใส่แพรพรรณเนื้อดี ตัดเย็บสวยงาม แม้จะดูแล้วเป็นเพียงชุดนอนเท่านั้น แต่ก็ยังดูดีกว่าชุดของท่านหมอและองครักษ์ผู้นั้น

หากดูจากภายนอกสิ่งที่นางเดาไว้ก็คงไม่ผิดว่านี่คงจะเป็นเจ้าชายที่นางกำนัลร่างอวบเอ่ยถึง แต่ถ้าดูที่การกระทำหล่อนขอติดลบสักร้อยคะแนนในความเป็นเจ้าชาย ฐานมือไว ยียวนกวนประสาท!

“เจ้านี่ท่าจะดื้อเอาการนะ เป็นพวกชอบต่อต้านรึไง” คนที่คร่อมคนป่วยก้มลงจนจมูกโด่งแทบจะชิดกับจมูกรั้นๆ ก่อนจะหลิ่วตาและกลั้นขำที่เห็นอีกฝ่ายกลั้นหายใจจนหน้าดำหน้าแดง

ร่างสูงขยับลุกขึ้นนั่งในท่าปกติ เพื่อให้หญิงสาวได้หายใจหายคอ

“จริงสิเจ้าชื่ออะไรน่ะ คงไม่โกรธข้าหรอกนะที่เพิ่งมาถามเอาป่านนี้”

คนพูดไม่ได้หันมาค้อนให้ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด ไม่ตอบเช่นเคย

นี่เขาลืมไปแล้วหรือไร ว่าข้าพูดไม่ได้ ยังจะมาถามเอาอะไรอีก

“ดูสายตาเจ้าสิ นี่ถ้าพ่นหนามตะบองเพชรออกมาได้เนื้อตัวข้าคงจะเต็มไปด้วยหนามตะบองเพชรสินะ ข้ารู้ว่าเจ้ายังพูดไม่ได้ แต่น่าจะเขียนได้นี่ใช่ไหม” ไม่ถามเปล่ายังเจตนาไล้ข้อนิ้วลงบนสายสร้อยของเธอตรงตำแหน่งที่หมิ่นเหม่ ทำให้ใบหน้าซีดๆ แดงเรื่อและน่าจะร้อนผ่าว แน่นอนว่าปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยนี้สร้างความพึงพอใจให้กับเจ้านายใหม่ยิ่ง

“เอ แต่ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ในเมื่อข้าเป็นคนชุบชีวิตใหม่ให้เจ้า ก็ถือว่าเจ้าเป็นคนของข้าละนะ เจ้าก็ควรมีชื่อใหม่ ข้าจะตั้งชื่อใหม่ให้แล้วกัน... ดีไหม?”

เมื่อแกล้งเล่นจนพอใจมือที่ไล้สายสร้อยถักหยาบๆ ก็เลื่อนไปทัดผมให้คนที่นอนจ้องอาฆาตอยู่เงียบๆ
“แววตาเจ้าถือดีอย่างนี้กับชายทุกคนรึเปล่า”

สิ่งที่ได้จากคนตรงหน้าคืออาการเม้มปากแน่น หันหน้าหนีสายตากึ่งท้าทายของบุรุษตรงหน้า

“เย็นชาจริงนะ เจ้ากะจะแช่แข็งข้าด้วยสายตาหรือไง ไม่ต้องห่วงหรอกยังไงข้าก็จะเลือกชื่อที่เหมาะกับเจ้าแน่ๆ อืม...ไอรีน เจ้าเหมาะกับชื่อนี้ ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าไอรีน และข้าจะเรียกสั้นๆ ว่าไอซ์แล้วกัน เจ้าชอบไหม”

สายตาที่มองตอบให้คำตอบที่ชวนอารมณ์ดีแด่ผู้ตั้ง เมื่อหญิงสาวมองมาราวกับจะบอกว่า นางมีทางเลือกด้วยหรือ
มือหนาเลื่อนไปเชยค้างมนให้เชิดขึ้น แววตาคมคล้ายติดรอยขำขันนั่นยิ่งเป็นการจุดประกายโทสะอีกฝ่ายให้ลุกโชน

“อา...ข้าทำเจ้าโกรธแล้วสินะ ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าเป็นพวกไม่ชอบแสดงความรู้สึกเสียอีก”

มือที่จับปลายคางมนเอาไว้ไล้ข้อนิ้วไปตามแก้มใสที่ยังคงหลงเหลือรอยฟกช้ำจางๆ สีหน้าเย็นชาเมินเฉยต่อสิ่งที่ถูกกระทำที่ลานประมูลของนางยังคงติดตาและรบกวนจิตใจเขาอยู่ทุกครั้งที่ระลึกถึงมัน

“เอาเถอะ ข้าไม่อยู่กวนโมโหเจ้าแล้ว พักผ่อนเถอะ ข้าสัญญาว่าจะหาทางให้เจ้ากลับมาพูดได้อีกครั้ง” กล่าวจบก็ทำในสิ่งที่ทำให้หญิงสาวคาดไม่ถึง เมื่อเจ้าชายซาราฟโน้มใบหน้าลงจุมพิตหน้าผากมนแทนการให้คำมั่นสัญญา

ความอบอุ่นเสมือนแผ่ซ่านกระจายมาจากบริเวณที่ริมฝีปากอุ่นแตะมาจนถึงหัวใจที่แห้งแล้งของนาง ก่อนที่เจ้าชายในฝันของสาวๆ จะออกจากห้องไปดังที่เขารับปากว่าจะไม่กวนเธออีก

จริงอยู่ที่ตัวเขาออกไปแล้ว แต่ความเป็นเขายังคงหลงเหลืออบอวลอยู่ในห้องแห่งนี้ อยู่แม้กระทั่งในความฝันอันเย้ายวนแสนหวานน่าละอายจนแทบจะข่มตาให้หลับลงไปอีกครั้งไม่ได้ ยังคำพูดทิ้งท้ายก่อนจะออกจากห้องนั่นอีกที่ทำให้นางขนลุกซู่ หน้าร้อนผ่าวและร้อนๆ หนาวๆ ไปกับสายตาสื่อความนัย

“คำแรกที่ข้าปรารถนาจะได้ยินจากเจ้าหลังจากที่เจ้าหายคือ การร่ำร้องเรียกชื่อของข้า เจ้าชายซาราฟ”


หลังจากวันนั้นเจ้าชายอาเซอร์ ซาราฟ อัลดาบูก็ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนไอรีนอีกเลย มีเพียงท่านหมอที่มาดูอาการทุกวันและบาบานางกำนัลที่คอยมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังคลายเหงา และได้รับรู้เรื่องราวของอาซาลาผ่านคำบอกเล่าของบาบาโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

“เจ้ารู้ไหมไอรีน ว่าเจ้าน่ะโชคดีแค่ไหนที่ได้เจ้าชายช่วยเอาไว้” ไอรีนเลิกคิ้วเรียวขึ้นมอง

หลายวันมานี้สีหน้าของนางนับว่าดีขึ้นมาก บาบาสังเกตเห็นว่าพอรอยบาดแผลและรอยช้ำทั้งหลายจางลงก็เผยผิวขาวราวน้ำนมยิ่งนานวันผิวสีน้ำนมก็เริ่มจะมีน้ำมีนวลระเรื่อตา ไม่แปลกเลยหากนางจะถูกตาต้องใจเจ้าชายซาราฟ เพราะขนาดหล่อนที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกว่าหญิงสาวมองได้ไม่เบื่อ สวยและคล้ายมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เข้าไปค้นหา

เอ หรือจะเกี่ยวกับการที่นางพูดไม่ได้เลยทำให้ไม่รู้ว่าบางครั้งนางคิดอะไร บาบาจ้องอีกฝ่ายอย่างสำรวจ

อาการเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องที่ตนถูกช่วยไว้ ส่งผลให้บาบาอมยิ้มแก้มตุ่ย

บาบารู้ได้ยังไง

“สงสัยล่ะซิว่าข้ารู้ได้ยังไง ไม่มีอะไรที่บาบาคนนี้อยากรู้แล้วไม่รู้หรอกนะ” บาบาขยิบตาตอบก่อนจะหัวเราะ “เจ้าสบายใจเถอะ พระองค์ไม่ใช่คนที่จะทำร้ายผู้หญิง”

คนถูกบอกให้สบายใจย่นจมูกขณะมองมืออวบของบาบาที่คลายผ้าพันแผลให้ อดแย้งในใจไม่ได้

คนอย่างนั้นน่ะหรือ เหอะ ไม่ทำร้ายแต่คุกคามน่ะสิ

“ข้าไม่ได้โกหกน่ะ” บาบาเห็นท่าทางของหญิงสาวที่ไม่รู้ตัวว่าตนได้รับเมตตาอย่างที่ใครหลายคนอิจฉาและปรารถนาจะได้ ก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อที่ตนพูด

“เจ้ายังไม่เคยพบพระองค์ละสิ ช่วงนี้ทรงงานหนักเจ้าอย่าน้อยใจไปเลย”
ข้าเปล่านะ

ไอรีนอยากจะเอ่ยแย้งแต่ก็มีเพียงความเงียบกับปากที่เผยอค้าง
เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะเถียงหญิงสาวจึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายพร่ำพรรณนาถึงความดีงามของเจ้าเหนือหัวของตน

“น่าเสียดายจริงๆ นะที่ไอ้คนใจชั่วที่จับเจ้ามามันหนีการจับกุมไปได้ ข้าได้ยินทหารพูดกันว่าหลังจากที่เจ้าชายนำเจ้ามาพระองค์ก็สั่งให้ทหารไปจับตัวมันมาสอบสวน แต่ดั๊นหนีไปได้ระหว่างทาง”

หญิงสาวนิ่งฟังเผื่อใจเอาไว้อยู่แล้วว่าอาจจะเกิดเรื่องเช่นนี้ จากการเรียนรู้ที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจมืดมากว่า 1 เดือน คนอย่างเฮลูชาร์มีหรือจะยอมเสียทีทหารง่ายๆ

“จริงสิไอรีน วันนี้เจ้าอยากไปเก็บดอกไม้ที่สวนอีกรึเปล่า ข้าจะไปเป็นเพื่อน”
ไอรีนส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ทำไมล่ะ ถ้าหากไม่ไปเจ้าต้องรออีก 7 วันเชียวนะ เพราะวันพรุ่งนี้องค์หญิงคามิล่าจะมาเดินเล่นที่วังเล็กตรงสวนดอกไม้นั้น”

“.....”

“ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่ายังไม่รู้ล่ะสิว่าองค์หญิงคามิล่าเป็นใคร”

ไอรีนส่ายหน้า ก่อนจะเหลือบตาขึ้นรอฟังคำเฉลยจากเพื่อนสาวเพียงคนเดียว
ยิ่งบาบาเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของทาสสาว นางยิ่งรู้สึกสงสาร

“เอาล่ะ ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับเจ้าที่อาจจะเข้ามาเป็นนางในของเจ้าชายซาราฟ แต่เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าองค์หญิงคามิล่าคือว่าที่พระคู่หมั้นที่องค์รานีหมายมั่นประทานแด่เจ้าชาย และที่สำคัญเจ้าหญิงน่ะเป็นคนที่หวงของมาก”

แม้การแสดงออกทางสีหน้าของไอรีนจะไม่ได้บงบอกว่าเสียใจ หรือตกใจอย่างที่หล่อนคาดเอาไว้ แต่บาบากลับคิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงกำลังช็อกและเก็บความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ นางกำนัลร่างอวบจึงเขยิบตัวเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายเพื่อปลอบปะโลม ขณะที่คนถูกปลอบได้แต่กะพริบตาปริบๆ

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลยนะ รู้ไหมว่ามีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยเลยที่ปรารถนาเพียงแค่ให้เจ้าชายเหลือบแล เจ้าน่ะพระองค์ทำมากกว่าเหลือบแลอีกนะ”
คนถูกปลอบได้แต่กรอกตาขึ้นฟ้า บ่นอุบในใจ

คนอย่างข้าเนี่ยนะจะต้องมาเสียใจที่คนฉวยโอกาสจะมีคู่หมั้น เหอะ อยากจะจุดพลุฉลองสิไม่ว่า ถ้าจะเสียใจก็คงจะเพราะสงสารลูกผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละ


**************ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ ^^***********



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 21:10:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2555, 00:04:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 3336





<< บทนำ   บทที่ 2 สนมคนแรก >>
pattisa 4 มิ.ย. 2555, 22:54:46 น.
น่าติดตามค่ะ


คิมหันตุ์ 4 มิ.ย. 2555, 23:02:45 น.
เิริ่มได้สนุกและน่าติดตามมากจ้า มาอัพไวๆนะคะ


ลาฌีนุส 5 มิ.ย. 2555, 18:44:31 น.
>///< ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account