แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: เกิดจากกรรม


ความเชื่อทางคติพราหมณ์มนุษย์เป็นผู้ทำ แต่เทพเจ้าเป็นผู้ให้ผล มีความเชื่อเรื่องการมาเกิดใหม่ เรื่องการทำดีจะได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า
จาคะสืบเสาะหาพราหมณ์ ผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องความทุกข์ใจของคนที่ไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งจาคะมาพบสาวกของพระตถาคต ผู้ที่จาริกแสวงบุญมาถึงเมืองธารปุระ บัดนี้ชายผู้โกนผมนุ่มห่มผ้าย้อมฝาดนั่งสำรวมด้วยการทำสมาธิใต้ร่มไม้ใหญ่ เครื่องบริขารมีความเรียบง่าย จาคะได้สำรวจเห็นความเรียบง่ายของท่านผู้ที่นั่งเบื้องหน้า ความปีติอย่างประหลาดทำให้จาคะตรงรี่เข้าไปนั่งยังเบื้องหน้า พลางถามทั้งที่อีกฝ่ายยังนั่งหลับตา
“ท่านผู้แต่งกายประหลาดท่านนี้มาจากที่ใด และพราหมณ์ที่ข้าเคยอยากพบอยู่ที่ใดท่านทราบหรือไม่”
“พราหมณ์ที่ท่านอยากพบ บัดนี้ได้เดินทางไปยังที่อาตมาได้จากมาเพื่อได้พบอาจารย์ของอาตมา”
“หมายความเช่นไร”
“อาตมามาจากชมพูทวีปที่ห่างไกลจากที่แห่งนี้ มาเพื่อแสวงบุญ อาตมาได้สนทนากับพราหมณ์ที่ท่านตามหา พราหมณ์ที่รู้วาระแห่งจิต เมื่อได้สนทนากันแล้ว พราหมณ์ผู้นั้นได้เดินทางไปหาท่านอาจารย์ของอาตมา”
“ข้าไม่เข้าใจ จะหลับตาคุยกันอย่างนี้หรือไร”
ภิกษุวัยสามสิบลืมตาขึ้นช้าๆ ความสุกใสในดวงตาไร้รอยขุ่นมัว ด้วยปัญญาญาณอันแก่กล้า ทำให้จาคะขนลุกซู่ เกิดความเลื่อมใสอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ข้านามว่าจาคะ ท่านผู้มาจากแดนไกลนามว่าอันใด”
“แรกนั้นอาตมานามว่า ปจายัน แปลว่าผู้ถือตัว อาตมาถือว่าตนเองเป็นผู้ถูกเสมอ ไม่มีใครที่จะเห็นสูงกว่าตนเอง ครอบครัวอาตมาเป็นเศรษฐีอาตมาเป็นหัวหน้าของคนนับพัน มีคนยกยออยู่เสมอว่าเป็นผู้ที่ดีเลิศแล้ว แม้แต่ธรรมชาติอาตมายังมีความล่วงรู้เกินนั้น”
“แต่ข้าไม่เห็นท่านเป็นดั่งที่บอกเล่าให้ฟัง ดูท่านยังยากจนกว่าข้าเสียอีก ท่านมีเพียงกาน้ำ ผ้ากันยุงกันไร และท่าทีสำรวม ไม่อวดโอ้ตนอย่างที่บอก”
“เพราะอาตมาได้พบท่านอาจารย์ ท่านแสดงให้เห็นว่า การถือดีว่าตัวดีกว่าคนทั้งโลกนั้นไม่ใช่ของจริง เหนือบุคคล ยังมีบุคล และไม่มีใครอยู่เหนือกรรม อาตมา จึงได้เกิดศรัทธาว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎแห่งกรรม จึงได้ขอบวชใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านจึงให้นามในภาษามคธว่า อปาจยัน ภิกษุ ผู้ไม่ถือตัว ”
“ท่านพูดคำว่ากรรม คำนี้ข้าได้รู้มาสองครั้งแล้ว ครั้งหนึ่งมีคนเล่าว่ามานพผู้ถูกบูชายัญได้กล่าวอ้างเรื่องกรรม”
“อาตมาได้กล่าวคำนั้นจริง คำที่พระศาสดาของอาตมาได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จึงได้ตรัสว่า กัมมุนาวัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมเกิดจากการกระทำ ทั้งอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และส่งผลกรรมนั้นไปยังอนาคตกาลได้ หากยังทำแก่กรรมไม่สิ้นสุด”
“กรรมนี้คือเวทมนต์ที่ชั่วร้ายที่สุดใช่หรือไม่ ท่านอปาจยัน”
“กรรมนี้มิใช่เวทย์มนต์ดอกผู้เจริญ แต่เป็นการกระทำของบุคคลนั้นๆ”
“หากไม่ใช่เวทย์มนต์แล้วเหตุใดเพียงคำนี้คำเดียวจึงทำให้นายของข้าต้องทุกข์ทรมานนักเล่า”
อปาจยันภิกขุหลับตานิ่งไม่ตอบคำ จาคะ มองอีกฝ่ายนิ่งนาน จนกระทั่งทนไม่ได้ จึงได้ถามออกไปอีกว่า
“ท่านรู้จักกรรมนั้นดีทำไมจึงไม่ตอบข้าให้ได้ความกระจ่างเล่า”
ภิกษุผู้มาแสวงบุญเข้าสมาธิเงียบไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปากท่านอีกเลย จาคะขุ่นข้องในใจไม่น้อย เพราะเขาคือชายผู้มีอำนาจมากคนหนึ่ง ดังนั้นจึงอยากคิกเค้นเอาความอีกฝ่ายให้จงได้ ครั้งคิดว่าจะทำตามอำเภอใจ จาคะกลับไม่อาจทำได้ดังใจ เพราะเขาได้เห็นความสงบนิ่งอย่างไม่หวั่นไหวต่อภัยอันตรายของผู้ที่อยู่รงหน้า หากแต่เหมือนจาคะกำลังผจญคนดื้อ หรือว่า
ท่านผู้มีความประหลาดผู้นี้ไม่อยากพูดกับเขา แต่อาจจะอยากพูดกับพระหน่อเจ้าโดยตรง คิดแล้วจาคะจึงจากมาโดยเร็ว
หลังอภิเษกสมรสแล้ว พ่อเจ้ามิได้วางพระทัยในราชโอรส พระองค์ได้รับการกราบทูลการกระทำของพระหน่อเจ้าและพระชายา การไม่โปรดองค์ศิขรินทำให้พ่อเจ้าวิตกกังวล ท่านสิงห์เองก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้
หลังจากพ่อเจ้าออกว่าราชการ แล้ว พ่อเจ้าประทับในพลับพลาอุทยานตามลำพัง โดยมีท่านสิงห์รับสนองเบื้องยุคลบาทตามเคย
พ่อเจ้าของแผ่นดินธารปุระบ่นให้แม่ทัพคู่พระทัยได้ยินว่า
“ภีมลูกข้าเห็นจะผิดแผกบุรุษไปเสียแล้ว”
“เป็นเพราะศิขรินไม่มีความสามารถผูกพระทัยมากกว่าเจ้า พ่อเจ้า”
“จะเรียกมาตักเตือนก็ใช่ที่ วันนี้องครักษ์ได้เข้ามาบอก พากันออกไปข้างนอกกับเจ้าพี่เลี้ยงแต่ยามบ่าย คงติดเที่ยวเล่นมากกว่าจะยอมโตกระมัง”
“หากพระหน่อเจ้าไม่โปรดพระชายา เพราะเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เห็นจะน่าพอพระทัยสำหรับพ่อเจ้าแล้วเจ้า”
“ข้าคิดถึงอมราเหลือเกินสิงห์” พ่อเจ้าตรัสออกมาด้วยความรู้สึกว้าเหว่พระทัย อย่างไม่อาจลืม
“ยิ่งเห็นลูกข้าไร้ความสุขข้ายิ่งนึกถึงอมรา เพราะหากอมรายังอยู่ นางคงจะมีวิธีที่ดีแนะนำออกมาได้บ้าง”
“พ่อเจ้าอย่าดำริถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วให้ทุกข์พระทัยไปเลยเจ้าพ่อเจ้า”
“น่าแปลกที่ข้านึกถึงอมรานึกถึงแต่นางอย่างที่เป็นทุกลมหายใจทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องรักใคร่ แต่ข้ารู้สึกราวกับว่า นางวนเวียนอยู่ใกล้ข้านี้เอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายปีนักที่ข้าไม่รู้สึกอย่างนี้”
ท่านสิงห์ไม่อาจกราบทูลสิ่งใดให้พ่อเจ้าคลายพระทัยที่หม่นหมองลงได้ เพราะทราบดีว่า การตายจากกันทั้งยังรักกันมากนั้นย่อมเป็นที่คิดถึง ยิ่งการจากเพราะตนเองเป็นสาเหตุให้คนรักต้องตาย ทำให้คิดมากกว่าธรรมดาหลายเท่า
เจ้าอมราทนทุกข์ทรมานอย่างไม่เคยปริปากบ่น กระทั่งได้รับความสุขแสนสั้นก่อนประสูติพระราชกุมาร และภีมเจ้า เป็นยิ่งกว่าดวงพระหทัย หรือนัยเนตรของพ่อเจ้า เมื่อพระราชบุตรผู้เป็นที่รักมีทีท่าไร้ความสุขเกษม ยิ่งเหมือนการตอกย้ำความผิดของพระองค์ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
พ่อเจ้าติโทษไปที่พระองค์ว่า
“ภีมมีปานเหมือนกันกับชายที่โดนบูชายัญคนนั้น ข้าเองได้บอกให้ชายนอกรีตมาเกิดเป็นลูกข้า ข้ายังจำได้ว่า ชายคนนั้นพูดถึงเรื่อง สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
“ข้าบาทได้ยิน เช่นนั้นเจ้าพ่อเจ้า แต่มิได้จดจำ”
“ข้าสิ นึกอยู่ทุกครั้งแต่เพราะงานมาก ข้าจึงลืมว่าวันหนึ่งก่อนเกิดเรื่องกับข้าและอมรา ข้าได้ฝันว่าตัวข้าเองครองผ้าแปลกตาสีกลัก แว่วเสียงหนึ่งมีความเยือกเย็นน่าเลื่อมใส แต่เป็นคำที่แปลกออกไปนักว่า ข้าเองนั้นทำกรรมหนักจนไม่อาจบรรลุเสียแล้ว คำพูดที่เหมือนตักเตือนข้า ได้ย้อนกลับมาให้ข้าได้คิดถึงในวันนี้ ข้าอยากได้รับคำตอบ อยากพบคนที่นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด เที่ยวขอทานชาวบ้านเพื่อยังชีพตัวเอง”
“ข้าพระองค์จะสืบหาให้เจ้าพ่อเจ้า อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย”
“ขอบใจเจ้ามากสิงห์ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าเปิดอกคุยด้วยได้อย่างไม่มีข้อกังขา”
ท่านสิงห์คิดตามคำดำรัสของพ่อเจ้าและคิดว่าจะสนองเบื้องยุคลบาทจนกว่าความตายจะมาสู่ตนเอง ดังนั้นแม่ทัพใหญ่จึงสั่งคนออกตามหาชายผู้ห่มผ้าย้อมฝาด หากพบตัวให้รีบนำมาเข้าเฝ้าโดยเร็ว
ฝ่ายจาคะเร่งรุดเข้ามาทูลให้ภีมเจ้าทรงทราบว่า บัดนี้เขาได้พบผู้ที่รู้จักคำว่ากรรมแล้วภีมเจ้าเกิดความสว่างโล่งขึ้นมาในพระทัยวูบหนึ่ง จากนั้นพระองค์ยังติดข้องในความสงสัยอยู่อีกจึงไม่แน่พระทัย ลังเลที่จะติดตามพี่เลี้ยงจึงมีรับสั่งว่า
“ข้ายังอดที่จะนึกถึงศิขรินอย่างสงสัยมิได้เลย นางพูดเรื่องกรรม เพราะนางรู้อดีตที่นางบอกข้าเองว่าได้เกิดคู่กันมา นางเจ็บปวดเพียงลำพัง แต่นางไม่รู้หรือว่าคำพูดของนางสร้างความเจ็บปวดให้ข้าไม่น้อย ข้าควรไปพบศิขรินหรือพบคนที่ตอบคำถามแก่ข้าได้เล่า”
“ผู้ที่ข้าน้อยได้ถามว่ากรรมคือเวทย์มนต์อันชั่วร้ายใช่หรือไม่ ชายผู้นุ่งผ้าย้อมฝาดตอบว่าไม่ใช่เวทย์มนต์แต่เป็นการกระทำ เมื่อข้าน้อยถามต่อ เขาผู้นั้นกลับนั่งหลับตา เรียกหาอย่างไรก็ไม่ยอมตอบยอมพูดเลยเจ้าพระหน่อเจ้า”
“ข้าจะไปหาชายคนนั้นบัดเดี๋ยวนี้จาคะ” ในที่สุดภีมเจ้าตัดสินใจที่จะไปหาภิกษุในร่มกาสาวพัสตร์ ผู้ที่จะไม่กล่าวคำเท็จ หลอกลวงเอาใจคนที่ทุกข์แก่ทุกข์!!
บนตำหนักที่ประทับ สนมเอกขวัญหล้า พระนางรุ่มร้อนหาความสุขไม่ได้เลย นับแต่วันอภิเษกสมรสของภีมเจ้าเป็นต้นมา พระนางให้ทาสรับใช้คอยสอดส่องความเป็นไปของศิขรินเทวี
แรกทีเดียวเมื่อศิขรินเสด็จไปวังหน้า ทำให้พระนางทุรนทุรายใคร่ฆ่าฟัน แต่นางข้าไทปลอบจนเย้ฯลงมาได้ ต่อเมื่อภีมเจ้าเสด็จไปหาศิขรินถึงตำหนัก เจ้านางอาละวาดทำลายของราวคนเสียจริต
นางเขือพี่เลี้ยงวางแผนมาตลอดกระทั่งเห็นแล้วว่ายิ่งปล่อยเวลานานไป เจ้านางขวัญหล้านายของตนอาจจะต้องพระราชอาชญาได้ ดังนั้นเมื่อภีมเจ้าว่างเว้นการเสด็จไปหาศิขรินเทวี นางเขือจึงต้องฉวยโอกาสนี้กำจัดเสี้ยนหนามพระทัยเจ้านางโดยเร็ว
ยามคิดถึงแผนร้ายที่สู้อุตส่าห์วางเอาไว้ ทำให้นางเขือมีประกายตายินดีเห็นชัด นางเริ่มดำเนินแผนการ
พระชายาศิขรินชะเง้อชะแง้คอยหาพระสวามี มิได้เสด็จมาหลายวัน จะลงจากตำหนักไปเข้าเฝ้าเพราะละอายพระทัย ทั้งติดข้องน้อยพระทัย ที่เป็นฝ่ายทนทุกข์ข้างเดียว
ยามเย็นแห่งความเงียบเหงาเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยือน นางฟัก – แฟง สองนางกำนัลสั่งงานนางข้าไทผู้มีหน้าที่ตาม (คอยจุดตะเกียงไม่ให้ดับทั้งคืน) น้ำมันตะเกียง
นางกำนัลนางหนึ่งมาหา นาง ฟัก-แฟง
“เจ้าเป็นใครกันข้าไม่คุ้นหน้า”
“ข้าเป็นนางกำนัลตำหนักภีมเจ้ามีตำแหน่งทรงภูษา วันนี้ภีมเจ้าทูลเชิญพระชายาไปพลับพลาข้างโบกขรณี ขอข้าเข้าไปทูลเชิญองค์ชายา”
นางฟัก – แฟง ดีใจแทนพระชายาศิขริน ซึ่งพวกนางเห็นพระนางไร้ความสุข เนื่องจากการรอคอยพระสวามีนานวัน ครานี้มีข่าวดีว่าพระหน่อเจ้านัดหมายหาความสำราญตามลำพัง พวกนางจึงรีบพานางกำนัลไปหา ทูลแจ้งให้ศิขรินทราบก่อน
นางกำนัลร่างอวบอิ่ม เข้าไปแนะนำตัว
“ทูลแม่เจ้า ข้าน้อยมาจากวังหน้าเพคะ”
“พี่เจ้าขุ่นเคืองข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้า”
“หามิได้ เพคะทรงตรัสจะทำให้ชายาแปลกพระทัยและจะคิดครวญถึงพระองค์มากน้อยเพียงใด จึงมิได้เสด็จมา แต่ ราตรีนี้จึงให้ข้าน้อยมาทูลนัดไปพลับพลาโบกขรณีเพคะ เอ่อ” นางทำกระซิบใกล้ “จะทรงสำราญเพียงลำพัง”
พระชายาศิขรินพระพักตร์ร้อนผ่าวทันทีเมื่อได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้น ทรงเข้าใจในความหมายที่นางเอ่ย ความรักแลเสน่หาจึงขาดความคิดเฉลียวใจ พระนางไว้วางใจคนง่ายดาย!!
นางฟัก – แฟง เข้าถวายงานพระชายาด้วยการชำระพระวรกายขัดพระฉวีให้ผุดผาด แตะแต้มกระแจะจันทร์สูตรเฉพาะที่อบร่ำให้หอมกรุ่น กระจันทร์จันทร์นั้นมีความแปลกอยู่หลายประการทีเดียว เพราะถึงแม้จะอบร่ำด้วยดอกไม้ชนิดเดียวกัน หากเมื่อผู้ใช้ต่างคน กลิ่นหอมจะแตกต่างกันออกไปได้ พระชายาศิขรินมีความงามพร้อม มีพระวรกายที่หอมกรุ่น ดูมีวาสนาบารมีแตกต่างจากเจ้านายคนอื่นๆ ทำให้ สองข้าไทจึงรู้สึกเทิดทูนพระนางยิ่งนักนางฟักเอ่ยเย้าไปว่า
“พระหน่อเจ้าคงคิดถึงพระแม่เจ้าไม่น้อยแล้วนะเพคะ จึงได้อยากพบเพียงลำพัง”
“อย่าได้คิดอ่านรู้พระทัยพี่เจ้าไปดีเลยฟัก ข้าเองยังไม่อาจคะเนน้ำพระทัยว่าพระองค์จะดีร้ายอย่างไร”
“เอ่อคงไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นแล้วล่ะเพคะ ทรงจากไปนานวันเช่นนี้ พระหน่อเจ้าคงหยั่งพระทัยแล้วว่าทรงเสน่หาพระแม่เจ้ามากนัก จึงตรัสมาให้เตรียมองค์ทางอ้อมเช่นนี้”
“ข้าน้อยเคยได้ฟังคำบอกเล่าต่อกันมาว่า พ่อเจ้าทีฆายุนั้นเมื่อทรงเสน่หาแม่เจ้าอมรา ทรงนัดหมายลงอุทยานห้ามผู้ใดติดตามแม้แต่ท่านสิงห์เชียวนะเพคะพระแม่เจ้า"
ศิขรินไม่ตรัสตอบนางกำนัลประการใด แต่หวนคิดด้วยความหวามพระหฤทัยที่จะทรงเข้าพระทัยกันกับพระหน่อเจ้าเสียที
ฝ่ายภีมเจ้าเสด็จไปหาอปาจยันภิกขุ แต่เมื่อไปถึงที่หมายกปรากฏว่า พระภิกษุจากชมพูทวีปไม่ได้อยู่ที่นั้น พร้อมเครื่องธุดงค์ก็ไม่มี จาคะประหลาดใจยิ่งนักถึงกับบ่นว่า
“คนผู้นี้ไม่น่าวางใจเลยพระหน่อเจ้า พูดจาน่าเชื่อถือจนข้าน้อยรีบไปทูลพระองค์ แต่ดูเถอะเมื่อทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง คนผู้นั้นหนีหาไปเสียแล้ว”
ภีมเจ้าขมวดพระขนงครุ่นคิดจนปวดพระเศียรขึ้นมาอีก คำว่ากรรม ผุดขึ้นมาในมโนสำนึกครานี้ดังกว่าเก่าพระองค์สังหรณ์พระทัยอย่างประหลาดนัก ทรงคิดถึงพระชายา และพ่อเจ้าขึ้นมาในคราวเดียวกัน
อาจบางทีพระองค์จะขอคำปรึกษาพระอาการที่ทรงเป็นอยู่นี้จากพ่อเจ้า เพื่อหาทางแก้ไข ดังนั้นจึงได้มีพระดำรัสกับจาคะออกมาว่า
“ข้าจะไปเฝ้าพ่อเจ้า”ตรัสพลางวกม้าบ่ายหน้าเข้าพระราชวังทันที จาคะรีบตามไปอย่างเร่งร้อนเพื่อให้ทันพระทัย
ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
ความมืดโรยตัวลงครอบคลุมพื้นที่อย่างรวดเร็ว แสงจากคบใต้ และตะเกียงค่อยปรากฏแสงสว่างเป็นจุด แม้มีเพียงสลัวลาง หากความเคยชินกับชีวิตที่เคยเป็นมาทุกเมื่อเชื่อวันจึงไม่เป็นปัญหาต่อสายตา
ทหารของท่านสิงห์ได้นิมนต์อปาจยันภิกขุเข้ามายังวัง ท่านสิงห์เดินเข้ามารับ อย่างลืมในฐานะของตน ด้วยบารมีของอปาจยันมีความเมตตาฉายชัด
อปาจยันภิกษุ ทอดสายตาลงต่ำมองเพียงพื้น กระทั่งพ่อเจ้าตรัสขึ้นมาว่า
“ชายผู้นี้ละม้ายชายที่ข้าเคยฝันถึง แต่ท่านไม่เหมือนเสียทีเดียว ชายที่ข้าเห็นดูชรากว่านี้ ท่าทางของท่านไม่มีความหวั่นเกรงต่อภัยอันตราย แม้อยู่ต่อหน้าข้า ท่านทำได้อย่างไร”
“เจริญพรมหาบพิตร ทุกผู้คนล้วนไม่พ้นความตาย กรรมนั้นได้ลิขิตกันมาแล้วจากอดีตชาติ หรือปัจจุบันชาติ”
“นั่งก่อนชายนอกรีต ท่านพูดได้จับใจข้านัก”
อปาจยันภิกขุวางเครื่องอัตถะบริขาร แล้วนั่งลงบนแท่นไม้ ปูลาดผ้าแดงท่าทางท่านมีความสำรวมเป็นเนืองนิตย์
ภีมเจ้าเสด็จไปยังพระตำหนักใหญ่ ซึ่งเป็นที่ประทับของพ่อเจ้า เวลานั้น องค์ภีมเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็น ท่านสิงห์ พา ชายศีรษะโล้น ห่มผ้าย้อมฝาด เดินตามกันเข้าไปเฝ้าพ่อเจ้า ซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ จาคะ ทูลบอกว่า
“นั่นคือชายที่ข้าน้อยทูลให้ทรงทราบเจ้า พระหน่อเจ้า”
ภีมเจ้าถวายบังคมพ่อเจ้า ซึ่งทรงทัก พลางตรัส
“นั่งก่อนลูกรัก พ่อมีความคิดถึงเจ้า และคิดถึงแม่ของเจ้ามาก จึงได้ให้สิงห์ไปตามหาชายผู้นุ่มห่มผ้าแปลกกว่าชาวธารปุระ เจ้าเล่า มาที่นี่เพราะร้อนใจด้วยหรือ”
“พ่อเจ้า ลูกมีเรื่องประหลาดกวนใจ และทำให้ลูกร้อนใจเสมอ นับแต่มีชายา”
ท่านสิงห์พลอยร้อนใจไปด้วย เพราะหากภีมเจ้าไม่พอใจศิขรินนั่นย่อมหมายความว่าท่านทำให้ชีวิตของลูกบุญธรรมต้องพบชะตาที่ไม่น่ายินดี
“ชายาของเจ้าไม่ดีหรือภีม”
“ทุกครั้งที่ลูกได้ใกล้นางลูกมีทั้งสุขและร้อนใจนัก คำเดียวที่ก้องในหัวของลูกคือคำว่ากรรม ยิ่งนานวันยิ่งกึกก้องจนลูกไม่อาจอยู่ได้อย่างสบายใจ วันนี้พี่เลี้ยงของลูกได้ไปเสาะหาคนแก้ปัญหาให้ลูก เมื่อพบแล้ว จึงได้รู้ว่าเป็นคนผู้เดียวกันกับคนนี้”
อปาจยันภิกษุ เอ่ยวาจาด้วยเสียงอ่อนเต็มไปด้วยเมตตาว่า
“พระศาสดาของอาตมา นามว่าสมณโคดม เป็นผู้ประกาศพุทธศาสนาในชมพูทวีปและได้ส่งสาวก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รู้เรื่องกรรมเวรแจ่มแจ้งแทงตลอดแล้ว ให้เป็นผู้ประกาศ ศาสนานี้ให้ประจักษ์แจ้งเพื่อให้สัตว์โลกผู้มีปัญญาได้ล่วงพ้นจากบ่วงกรรม หรือการระงับกรรม อันนำมาซึ่งเหตุปัจจัยผลร้ายในภายภาคหน้า เหตุที่มาของทุกข์ และสุข หรือนั่นคือกรรม”
“ข้าได้ยินมานาน และลืมไปเนิ่นนานแล้ว”พ่อเจ้าตรัสอย่างเสียดาย ภีมเจ้าทูลซ้อนขึ้นมาหลังจากฟังถ้อยคำจากพระเถระด้วยความสงบนิ่ง พระองค์มีปัญญา ในพระเศียรที่ปวดร้าวเมื่อคิดถึงความรัก คำว่ากรรมดังมานานแล้ว
“แต่ลูกได้ยินอยู่ในหัวของลูก กรรมนี้คืออะไร หากมันไม่ใช่มนต์ดำของความชั่วร้ายดั่งที่ลูกเข้าใจ ลูกจะเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคำนี้เข้ามาในหัว ลูกทรมานกับคำนี้เหลือเกิน”
“พระราชบุตรฟังก่อน ขึ้นชื่อว่ากรรม กรรมมิใช่เวทมนต์ แต่กรรมคือการกระ ทำ การกระทำของมนุษย์ หรือสัตว์น้อยใหญ่บนพื้นปฐพีอันกว้างใหญ่นี้เอง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ หากมีกรรม หรือการกระทำร่วมกัน หนึ่งดี ย่อมก่อผลดีตามมา หากหนึ่งร้าย ผลร้ายย่อมตามมา ทุกชีวิตมีการเวียนว่ายตายเกิด และมีไม่น้อยที่ยังคงหลงอยู่ในโลกของภพวิญญาณยังไม่ได้ผุดเกิด เหตุนั้นมาจากกรรม จากความยึดติด ยึดถือ ”
พระตำหนักใหญ่เงียบงันราวกับไม่มีผู้คนอยู่ เสียงของอปาจยันภิกขุยังก้องกังวาน
“มนุษย์เรานี้เวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติหลายภพ บางภพชาติเกิดเป็นคนชั้นสูงบางภพชาติเกิดเป็นคนชั้นต่ำ หรือบางภพคนเดียวกันนั้นเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่การกระทำที่ดี หรือร้าย หรือจิตยึดติดในทางร้ายก็จะไปยังอบายภูมิ อบายภูมินั้นคือภพชาติที่ทุกข์ทรมานยากแก่การหลุดพ้นมาได้ องค์พระศาสดาจึงตรัสว่า เป็นมนุษย์นี้ประเสริฐสุดที่ได้เกิดมาแล้วมีสติปัญญาที่จะสร้างความดีไว้เป็นผลกรรม ไว้ให้เกิดผลดีในชาตินี้หรือชาติหน้า หรือแม้ชาตินี้เป็นกษัตริย์ หรือภีมเจ้า หากก่อกรรมเอาไว้ จะต้องได้รับผลกรรมนั้นให้เกิดทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสได้”
ภีมเจ้าเข้าใจท่องแท้ขณะนิ่งฟังตาม เมื่อได้พิจารณาตามนั้น อาการทุกรนทุรายเจ้ฐปวดแทบคลั่งของพระองค์กลืนหายไปอย่างน่าประหลาดยิ่งนัก
“อดีตชาติมีจริงหรือนี่” ทรงรำพึง นึกถึงพระชายา และยิ่งน่าประหลาด เมื่อจิตตกอยู่ในภวังค์ลึก พระองค์เห็นภาพหนึ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน เป็นภาพที่พระชายาเคยทูล
ภาพ หนุ่มสาว แรกรุ่น มีความสุขอยู่ร่วมกัน บนเนินหญ้า ต่อมาถูกนำไปบูชายัญ อปาจยันภิกษุเอ่ยท้วงด้วยการอ่านจิตใจของพระยุพราชได้ท่องแท้
“พระราชบุตร เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จะเป็นการสิ้นสุดแห่งกรรม”
“เวร”
“กรรม คือการกระทำ และการกระทำ ดีหรือร้าย ล้วนเป็นตัวก่อเวร และกรรมอีกเช่นกันที่ระงับเวรได้ ด้วยการหยุดที่จะไม่สร้างความไม่ดี หากมีคนทำร้ายเรา แต่เราระงับการไม่โต้ตอบการกระทำนั้นเสีย เราจะสิ้นสุดกรรมกับบุคคลนั้นๆ”
พ่อเจ้า และภีมเจ้าบังเกิดความอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงฝังลึกในพระทัยนั้นได้ถูกถอนออกได้แล้ว
“ข้าขอบใจท่านนัก ที่มาเปิดตาเปิดใจข้าให้หายความขุ่นข้องใจ” ภีมเจ้าตรัสกับภิกษุอปาจยัน จากนั้นหันไปทูลพ่อเจ้า ด้วยพระทัยเบิกบานยิ่งนัก
“ข้าน้อยทิ้งร้างพระชายาโดยที่นางไม่ได้มีความผิด เพียงแต่ลูกเข้าใจนางคลาดเคลื่อนไปเพราะความรุ่มร้อนใจต่อการคิดถึงนาง บัดนี้ลูกได้เข้าใจแล้วว่า ลูกมีกรรมที่สร้างมาไม่น้อยแล้ว จึงได้อยู่กับศิขรินอย่างมีสุข แต่ทุกข์หนักเหลือเกิน ลูกขอไปดูแลนางให้สมกับที่มีความรักให้นางนะเจ้า พ่อเจ้า”
“ไปเถิด ภีม พ่อมีเรื่องจะสอบถามนักบวชผู้มีความสว่างมาให้พ่ออีกมากนัก”
ภีมเจ้าบังคมลา ออกมา ท่านสิงห์รู้สึกยินดีที่ได้รับฟังความจริงว่า ทำไมภีมเจ้าจึงไม่ใกล้ศิขรินธิดาบุญธรรมของท่าน ทั้งนี้ท่านเพิ่งทราบว่าสืบเนื่องมาจากกรรม บัดนี้แม่ทัพใหญ่อยากทราบเรื่องเวรกรรมเช่นกัน
ยุพราชเจ้า เสด็จลงจากพระตำหนักของพ่อเจ้า จาคะทูลถามหนทางเสด็จ
“พระหน่อเจ้า จะเสด็จตำหนักหน้าก่อนหรือหาไม่เจ้า ภีมเจ้า”
“เวลาคล้อยดึกมากแล้ว ข้าจะไปที่ตำหนักชายาเลยจาคะ”
องค์ภีมเจ้า มีรับสั่งมั่นคง พระทัยมีความหวานแทรกล้ำ ความเจ็บป่วยไร้สาเหตุได้ปลาสนาการโดยสิ้น เหลือเพียงความสนิทเสน่หาองค์ชายาเท่านั้น!!




นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 19:54:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 19:54:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1830





<< สิ่งที่ค้างในใจ   ผู้ก่อเวร >>
Canopus 5 มิ.ย. 2555, 20:14:32 น.
เข้าใจกันซะที่


คิมหันตุ์ 5 มิ.ย. 2555, 21:27:43 น.
โอ๊ย..!! จะทันไหมนิ?


Pampam 5 มิ.ย. 2555, 22:46:47 น.
สงสัยจะไม่ทันซะแล้ว


Zephyr 5 มิ.ย. 2555, 23:02:03 น.
ทันเถิดดดดดด เพี้ยงงงงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account