แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: สิ่งที่ค้างในใจ

นางกำนัลเชิญเครื่องเสวยออกมาจากโรงครัว นางกำนัลประจำตำหนักรับมาตั้งที่ห้องเสวย นางกำนัลฟัก แฟง สนองงานองค์ศิขริน ด้วยการจัดเตรียมน้ำจัณฑ์ และ พระกระยาหารเตรียมไว้เป็นอันมาก รวมทั้งนก จนได้เวลาภีมเจ้าเสด็จมาจริงๆ โดยมิรู้ว่าทำให้เจ้านางขวัญหล้าแค้นแทบกระอักโลหิต
พระนางกำพระหัตถ์แน่น เจ็บพระทัยจนระบายลมแทบไม่ได้ พระนางค้อนทรวง ตรัสเสียงเครียด
“นังศิขรินมันเจ้ามายาดึงหัวใจภีมเจ้าไปได้”
“ให้มันเหลิงก่อนเพคะ ไม่ช้านานมันต้องตาย”
“เมื่อไหร่กันนางเขือ”
“ไม่นานเพคะ”
นางเขือทูลเพียงแค่นั้น ส่วนในใจนึกวางแผนการณ์กำจัดศัตรูหัวใจของเจ้านางขวัญหล้าไว้หลายขั้นตอน นางเขือผู้อภิบาลเจ้านางขวัญหล้ามาให้เป็นกุลสตรีที่มีความงามเพียบพร้อม เจ้านางเป็นเช่นนั้นนับแต่เล็กจวบจนเติบใหญ่ หากว่า กาลเวลา อำนาจของกิเลศตัณหา และความมีอำนาจที่เคยมีลดทอนลงไปจนหมด ทำให้ความงดงามของจิตใจได้เปลี่ยนแปลงไปตามนั้น
อย่างนี้นี่เล่าจึงได้มีคำกล่าว การรักษาความดีให้คงทนถาวรนั้นยากยิ่งกว่าเกลือรักษาความเค็ม!!

นางกำนัลเชิญเครื่องเสวยออกไปหลังจากทั้งสองพระองค์เสวยเรียบร้อยแล้ว
ฟัก แฟง ปิดประตูกั้นห้องบรรทมไว้มิดชิด พระชายาศิขริน ดำเนินไปเปิดม่านพระแกลออก ภีมเจ้าดำเนินไปแนบข้าง โอบรอบบั้นพระองค์ของพระชายาศิขรินไว้แนบชิด องค์เทวีดื่มด่ำพระทัยกับอ้อมกอดอบอุ่นนั้นยิ่งนัก
ภีมเจ้าพลิกร่างอีกฝ่ายให้เข้าหาพระองค์ก่อนโอบประคองพาดำเนินไปยังแท่นบรรทม
‘จะกอดน้องด้วยความรู้สึกเช่นไรน้องไม่คำนึง ขอเพียงสักวันพี่เจ้าจะจำได้ ว่าเราสองมีสัญญาต่อกัน’
พระหน่อเจ้าก้มลงแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มสีแดงด้วยเลือดฝาดอย่างนุ่มนวล สองพระหัตถ์เรียวยาวของตะโบมโลมไล้แล้วเคล้นคลึงทรวงสล้าง ค่อยแรงขึ้นตามอารมณ์ปรารถนา สัมผัสผิวเนื้อเรียบลื่น ดุจแพรชั้นดี ความอบอุ่นจากพระหัตถ์เรียวยาวถ่ายทอดเข้าผิวกาย สร้างความรุมร้อน มากขึ้นเรื่อย มากขึ้นทุกที ริมพระโอษฐ์อุ่นชื้นทำหน้าที่ตามใจเจ้าของด้วยความชำนาญและแสนฉลาดด้วยความเข้าใจ องค์หญิงหนีไม่พ้นความลึกลับของธรรมชาติอีกแล้ว พระนางรับรอยจูบอ่อนหวาน นุ่มนวล น่าอายเหลือเกินเมื่อพระชายาศิขรินร้อนเร่าไปทั้งวรกายอย่างหักห้ามใจตัวเองไม่ได้จึงทั้งเสนอและสนองพระสวามีอย่างเต็มพระทัยยิ่งนัก
สองพระองค์ป่านปีนขึ้นสู่ความสูงสุดสอยของเพลงภิรมย์ แม้วันนี้ภีมเจ้ามีความรู้สึกเป็นองค์เองครบถ้วนบริบูรณ์ แต่พระองค์ยังมีความหวาดระแวงไม่คลาย ตามคำสาปลึกลับที่พระองค์เองฝังติดกับวิญญาณ ยากที่จะเยียวยาได้ง่ายดายนัก
“ศิขรินนางทาสเชลยเจ้าจะผูกมัดข้าไว้ด้วยเล่ห์แห่งเรื่องร่างเจ้าหรือ เจ้าคงต้องผิดหวังเป็นแน่”
“น้องรับความผิดหวังนั้นได้เพคะพี่เจ้า เพียงแต่ขอพี่เจ้าอย่าหมายปองนางที่มิอาจแตะต้องได้เท่านั้น”
“เจ้าอย่างได้หมายว่าข้าจะอาจเอื้อมสตรีของพ่อเจ้า”
“หากทำได้อย่างรับสั่ง การเข้ามาในวังของข้าน้อยจึงเป็นประโยชน์”
“แต่เจ้าเคยบอกว่าเกิดมาเพื่อผูกพันตามสัญญามิใช่หรือศิขริน” พระหน่อเจ้าทวงคำที่เคยทูลบอกพระชายาดึงพระวรกายออกจากอ้อมอุระแกร่ง สบเนตรนิ่ง เนตรแห่งนาง ดังเปล่งวาจา
“หน้าแปลกเมื่อมองดวงตาของเจ้า ข้านึกถึงพูดประโยคหนึ่งเสมอ”
ศิขรินทูลแทรกขึ้น
“ความสุขแห่งเราจะสิ้นเพียงนี้พี่ข้า สามีของข้า”
ภีมเจ้าผุดลุกจากแท่นทันที ทรงจับพาหาทั้งสองข้างของพระนาง กระชากขึ้นมาจากแท่นบรรทม ซึ่งเคียงข้างกันอยู่ไม่นานก่อนหน้านี้ ทรงเขย่าโดยแรง
“เจ้าอ่านใจคนได้ เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าทาสเชลยบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้เจ้าที่แท้เข้ามาหาข้าด้วยต้องการชีวิต หรือเชือดเฉือนหัวใจของข้ากันแน่ นางแม่มด”
“ตรัสอะไรเช่นนั้นเพคะ”ภีมเจ้าผลักไสร่างอรชรขององค์ศิขรินจนเสียหลักพับไปกับแท่นพระที่ องค์ศิขริน หยิบชายผ้ายี่ภู่ปิดบังปทุมถันทั้งสอง หันไปโต้ตอบวาจา
“ดำริดูบ้างสิเพคะเจ้าพี่ ตรองสักนิดว่าใครอ่านใจใครกันแน่ พระองค์เอง หรือข้าน้อย”
ภีมเจ้านิ่งอึ้ง ยอมรับ พระองค์เองต่างหากที่อ่านประกายเนตรขององค์ศิขรินได้ราวกับนางเปล่งวาจาออกมาให้ได้ยิน
“เจ้าพี่มิใช่หรือเพคะ ที่ทรงอ่านข้าน้อยออกก่อนที่ข้าน้อยทูลออกไป”
“มันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันเล่า เพราะอะไร”
“ขาน้อยเคยทูลบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องอดีตชาติ”
“ข้าไม่เชื่อ เมื่อตายต้องไปเกิดบนสรวงสวรรค์”
“ตาย ไปเกิดตามกรรม”
พระชายาขัดคำ
“กรรมคือการกระทำ และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กัมมุนา วัตตะตี โลโก”ภีมเจ้ารำลึกขึ้นมาได้โดยจิตสำนึก
“ย่อมเป็นไปตามกรรม ไสยเวทย์ของพ่อเจ้าไม่มีคำสอนเช่นนี้ ไม่มีใครเคยได้เอ่ยอ้าง”
“หากแต่บ้านเมืองที่น้องพลัดพรากจากมาถึงสองครั้งสองชาติ มีพระตถาคตเป็นองค์ศาสดา พึงมีพุทธวาจา สัตว์โลกเกิดมาแต่กรรม กรรมนั้นจำแนกสัตว์ให้เป็นไปตามวิถี ไม่เว้นแม้แต่น้องหรือพี่เจ้า ล้วนเกิดมาจากกรรม”
“เจ้าพูดถึงการกลับมาเกิด ถ้าเป็นจริงทำไมข้าจึงจำอะไรไม่ได้ ดังเช่นที่เจาจำได้เล่าศิขริน”
“ข้าน้อยมิอาจทราบได้เลยเพคะพี่เจ้า ทั้งที่ข้ายิ่งปรารถนาให้พี่เจ้าเป็นฝ่ายจำได้”
“ทำไม ทำไมเจ้ามีวาจาเช่นนั้น”
องค์ศิขรินถอนพระทัยยาว หนักในพระทัยที่เจ็บปวด แวบหนึ่งในพระทัยภีมเจ้าทรงสงสารต่อท่าทีเศร้าหมองขององค์ศิขริน ภีมเจ้าประคองไหล่ทั้งสองของพระชายา ได้เห็นพระเนตรงามหล่อรื้นด้วยหยาดน้ำตาเอ่อคลอหน่วย ก่อนที่พระนางจะยกแขนสวมกอดพระสวามีแนบแน่น ตรัสเสียงสั่นเครือกับพระอุระกว้าง
“คนที่จำความรักได้เพียงฝ่ายเดียว ย่อมอยู่อย่างเจ็บปวดกว่าคนที่จดจำไม่ได้ น้องจึงอยากลืม แต่กลับอยากจดจำสิ่งนั้นมากกว่า แม้เวลาความสุขนั้นจะสั้นเพียงชั่ววัน”
“พอแล้วศิขริน เจ้าทำให้ข้ารู้สึกเจ็บ เจ็บเหมือนโดนหนามทิ่มแทงใจต่อวาจา ต่อการกอดเจ้า”
“พี่เจ้า”
“หากเจ้ากล่าวว่านี่เกิดจากกรรม เพราะกรรมจำแนกเราสองคน แล้วที่ข้ารู้สึกปวดร้าวอย่างบอกไม่ถูกนี่เล่า มันเกิดจากเวทย์มนต์หรือเกิดจากสิ่งใด”
ศิขรินถอนสะอื้นพระนางไม่อาจตรัสสิ่งใดถวายต่อไปได้ นอกจากคิดเองว่า เพราะภีมเจ้ามีรักเจ้านางขวัญหล้า จนไม่อาจกอดหญิงใดให้รู้สึกมีความสุขได้อีกแล้ว
แขนที่กอดตกลง ขณะที่ภีมเจ้าประทับยืน ผละจากห้องบรรทมของพระชายา เสด็จกลับวังหน้าในทันที!!
จาคะพระพี่เลี้ยงถวายการรับใช้ ภีมเจ้าโดยใกล้ชิด ว่างเว้นราชกิจทรงกลับวังหน้ามิได้ทรงไปตำหนักในดังเช่นกาลก่อน จึงทูลถามด้วยความสงสัย
“มีเรื่องใดเคืองขัดพระชายาประการใดหรือเจ้า จึงไม่เสด็จไปตำหนักในหลายเพลาแล้ว”
“ไม่มี ชายาสมกับที่ท่านสิงห์มอบให้เรา เพียงแต่ข้า”ภีมเจ้าทรงเจ็บปวดในพระทัยยิ่งนัก แม้ยามปฏิบัติราชกิจ ทรงดำริถึงพระชายาทุกเวลา หากว่าเมื่อคิดถึงคราใด ให้บังเกิดหนามแหลมทิ่มแทงพระทัยไปเสียทุกครั้ง ดังนั้นเวลานี้พระองค์ทรงคิดว่า ไม่มีใครได้ทุกข์เท่าพระองค์อีกแล้ว
“พระหน่อเจ้า ให้ข้าบาทเชิญเสด็จพระชายามาถึงตำหนักนี้ก็ไม่ผิดประเพณี”
“อย่าเลยจาคะ ให้ข้าอยู่อย่างนี้เถอะ”
“แต่พระหน่อเจ้าก็ทรงทราบในวังนี้ต่างระแวงเรื่องเอ่อ…”
“เรื่องของข้ากับเจ้านางขวัญหล้าใช่หรือไม่”
“เจ้า”
“จริงอยู่ว่าข้าเห็นเจ้านางมาแต่เด็ก ทรงเป็นสตรีโฉมงามที่ทำให้ข้าหวั่นไหวไปบ้าง ข้าจึงหักห้ามใจตัวเองมาโดยตลอด”
“แต่บัดนี้ทรงมีพระชายามีความงดงามยิ่งกว่า และเป็นชายาของพระองค์ ใยจึงปล่อยให้พระนางอ้างว้างมานานคืนเล่าพระหน่อเจ้า”
“จาคะพี่ข้า จริงอยู่ข้าพอใจในชายาไม่น้อย อาจเรียกว่าพอใจเป็นหนึ่งเดียว หากข้ามีความไม่พอใจตัวเอง”
“เรื่องใดพระหน่อเจ้า”
ทรงดำริ ความเจ็บปวดที่ทรงได้รับนั้น อาจเกิดมาจากมนต์ดำหรือไสยศาสตร์ ทำให้ทรงคิดห่างเหินพระชายาทั้งที่ทรมานพระทัย
“พระหน่อเจ้าเวลานี้พระชายาคงแลหาแล้วเจ้า”
“ข้าเองก็คิดถึงนาง”
“หากรุ่มร้อนด้วยความคิดถึงแลเสน่หาก็ทรงเสด็จเถิด”
“แต่ข้าจะลองหักใจไม่ไปสักระยะ ถ้าความรุ่มร้อนรุนแรงมากขึ้น ข้าอาจเชื่อต้องมีใครใช้เวทย์มนต์ต่อข้า ข้าปวดหัวเหลือเกินเมื่อมีเสียงในหัวของข้าว่ากรรม กรรม มันคืออะไรกัน มันเป็นมนต์อะไรที่ข้าไม่รู้จักมัน แต่มันมีความสำคัญที่ทำให้ข้าเจ็บปวดเหลือเกินพี่ข้า”
ภีมเจ้าสารภาพออกมาด้วยความปวดร้าวทั้งพระทัยและจากพระกิริยาอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจน จาคะถึงกับนิ่งงันไปในทันที เขาเองมีความเชื่อในไสยเวทย์ลึกลับ เคยได้พบเห็นพ่อมดหมอผีไม่น้อย ดังนั้น เมื่อภีมเจ้าตรัสออกมาอย่างเชื่อมั่นเช่นนี้ เขาเองจึงมีหน้าที่ ที่ต้องปรึกษาความกับคนที่มีความรู้อย่างเงียบๆ
ที่ตำหนักใน
ศิขรินนั่งเรียงร้อยมาลัยด้วยหัวใจอันเลื่อนลอย พระนางถูกทิ้งร้างนับแต่วันที่ภีมเจ้าเสด็จมาที่ตำหนักของพระนาง ความบาดหมางในพระทัยพาดพิงไปถึงว่าภีมเจ้ามีพระทัยให้กับเจ้านางขวัญหล้า พระนางมิอาจปริปากปรึกษาใครให้เป็นที่หวาดระแวงในพระสวามี จนอาจนำมาถึงโทษประหารชีวิตได้ ดังนั้นพระนางจึงมีแต่ความเงียบเหงา และสาปแช่งตนเองที่ไม่อาจลืมอดีตชาติ กับความหวานเพียงชั่ววัน
“พระชายาถอนพระทัยอยู่หลายครั้ง ทรงมีสิ่งใดให้หนักพระทัยเพคะ”
“หากข้าได้พบพี่เลี้ยงของข้าบ้างคงดี”
“พี่เลี้ยงที่ทรงตรัสถึงคือพี่เลี้ยงที่ดูแลมาแต่เยาว์ใช่หรือไม่เพคะ”
“ใช่ เจ้าไปขออนุญาตพี่หับมาพบข้าสักเวลา”
“เพคะพระชายา”ฟัก-แฟง รับคำ ก่อนคลานเข่าออกมา
สองนางกำนัลออกไปแล้ว องค์ศิขรินจึงขยับพระองค์ประทับยืน แล้วดำเนินไปที่พระแกลซึ่งเปิดทั้งสองข้าง
สายลมเย็นพัดพากลิ่นดอกไม้หอมกระทบนาสิก พระนางพริ้มพระเนตรสูดรับยาวนาน ฉับพลัน ทรงเห็นชาย ผ้ากาสาวพัสตร์ขึ้นมาอย่างลางเลือนในห้วงแห่งความลึกในมโนสำนึก
“กรรมแล้วราชบุตร” เสียงสาวกของพระศาสดาทัก ภีมเสนเจ้า พระองค์สะดุ้งพระทัยอุทานออกมาอย่างลืมองค์
“ท่านทราบว่าข้าเป็นใคร”
“ท่านได้สร้างกรรมหนักนัก ท่านล่วงประเวณีในหญิงอื่นอันมิใช่ภรรยา อีกทั้งยังพรากบุตรธิดาของผู้อื่น”
“ท่าน ท่านคือ”
“เราคือสาวกของพระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ”
“พุทธ- ผู้ตื่น”ภีมเสนเจ้ารำพึง พระขนิษฐากอดพระศอ ซบพระพักตร์กับอังสะ พริ้มพระเนตรหลับอย่างอ่อนเพลีย
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม นับแต่นี้ท่านจะทุกข์ยากเหลือแสน ”
“ข้าไม่กลัวหรอกท่านนักบวช เมื่อข้าตัดสินใจมุ่งหน้ามาแล้ว แม้เกิดความจนยากเพียงใดข้าจะไม่ท้อ”
“กรรมอันมีติดตัวจากชาติปางก่อน ท่านต้องใดใช้ ชาตินี้มีกรรมหนัก ยังไม่สายที่จะไม่สร้างกรรมใหม่ขึ้นมา หาไม่ท่านจะถูกพรากของรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“พลัดพราก”
“อโหสิกรรมแก่กันเถิดภีมเจ้า..วิญญาณท่านจะหลุดพ้นเมื่อใช้เวรกรรมหมดสิ้น..”
“กรรมเป็นของมนุษย์แต่เทพเจ้าเป็นผู้ให้ผล”
“หาไม่ พระศาสดาของข้าพเจ้า ตรัสว่ากรรมนี้คือการกระทำของมนุษย์หรือสัตว์โลก ผลที่ได้รับจึงเป็นของบุคคลนั้นนั้น หาใช่มีผู้ใดมาส่งผลให้แต่อย่างใด แลหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว”
พระราชบุตร ผู้เดินทางสายผิด เกิดปัญญา ถึงกับรำพึงออกมาแสนเบา
“ข้าได้ทำชั่วลงไปแล้ว ยากนักที่จะชำระล้างให้จางหายได้”
“หากชีวิตนี้ยังไม่สิ้นสูญดับไป ทุกคนจึงยังไม่สายที่สร้างผลกรรมอันดี”
สิ้นเสียงประหลาดนั้น ศิขรินตื่นจากภวังค์ทันที ยามเคลิ้มลืมองค์ไปนั้น ทรงนิมิตได้ถึงอดีตชาติ ได้ยินคำสนทนาของภีมเจ้าในอดีตชาติ กับสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ฟังกรรมของภีมเจ้า กรรมหนักที่ทรงทำไว้ ซึ่งแม้จะทำความดีมาตลอดพระชนม์ชีพกระทั่งถูกบูชายัญ ภีมเสนเจ้ามิได้ขุ่นข้อง หรือโกรธแค้นต่อผู้กระทำ แต่บาปกรรมทรงทรงสร้างก่อนหน้านี้มิอาจลบล้างไปได้ ทำให้ตามส่งผลอย่างปัจจุบันในชาตินี้ ภีมเจ้าลืมเลือนต่อความรัก และทุกข์ทรมานโดยที่องค์ศิขรินไม่ทรางทราบถึงความทรมานที่ภีมเจ้าได้รับ
แต่พระนางเริ่มเข้าพระทัยว่าไม่ควรโกรธขึงต่อความหมางเมินเย้ฯชาที่ได้รับ เพราะทรงเข้าใจต่ผลกรรมชั่วแต่ปางก่อน
“พี่เจ้า น้องมิควรเจ็บแค้นพระองค์ มิควรยึดติด ต่อความบาดหมางที่พี่เจ้ามีให้ แต่น้องก็เป็นคนธรรมดาที่อยากได้รักของพี่เจ้า มิใช่ต้องรอคอยด้วยความทุกข์เช่นนี้เพคะพี่เจ้า”
ตรัสออกมาแล้วทรงปิดพระพักตร์กรรแสงออกมาอย่างเงียบงัน ด้วยทรงน้อยพระทัยว่า พระนางเล่าทำบาปสร้างกรรมแต่ปางใด จึงมาทุกข์ใจเพราะความรักถึงเพียงนี้!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 12:28:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2555, 09:39:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2198





<< สมรสแห่งความระแวง   เกิดจากกรรม >>
Pampam 5 มิ.ย. 2555, 13:36:01 น.
สงสารศิขรินจัง


Zephyr 5 มิ.ย. 2555, 17:32:07 น.
โธ่ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


คิมหันตุ์ 5 มิ.ย. 2555, 18:34:49 น.
แล้วจะทำอย่างไรดีน้อ??


เดิมเดิม 5 มิ.ย. 2555, 18:54:29 น.
ให้ศิขรินรู้เถอะจะได้ไม่ทรมานใจ เศร้าทุกชาติ


tookta 5 มิ.ย. 2555, 19:14:41 น.
รอลุ้นค่ะ แสดงว่าก่อนจะมีศิขรินเมื่อชาติที่แล้ว องค์ภีมเป็นชู้กับหญิงอื่นที่มีสามีแล้ว ใช่ไหมคะไรเตอร์


นางแก้ว 5 มิ.ย. 2555, 19:49:19 น.
ในยามที่โดนบูชานศฺขรินมีใจเศร้าหมองจองเวร ทำให้เผลบุญส่งได้ไม่เต็มที่ค่ะ จึงจะต้องไม่จองเวรกัน ความรักจึงจะได้รับสมบูรณ์ ส่วนภีมเจ้า อโหสิกรรม ไม่ก่อเวร จึงจำอดีตชาติไม่ได้ กระทั่งตอนต่อไปเกิดการรำลึกได้ แต่เมื่อใกล้สิ้นกรรมค่ะ


tookta 5 มิ.ย. 2555, 20:03:44 น.
ขอบคุณค่ะไรเตอร์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account