ดวงใจบ้านทุ่ง
เธอ...สานฝันการเป็นเกษตรกรมืออาชีพได้สำเร็จ โดยการละทิ้งหัวใจเอาไว้เบื้องหลัง เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อรักครั้งเก่าหวนมาด้วยเหตุอันไม่น่าเชื่อ ใจที่เคยเข้มแข็ง กลับอ่อนเป็นวุ้น...ได้อย่างง่ายดาย
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓ รุกคืบ...

บทที่ ๓ รุกคืบ...


หลังจากใช้ความสามารถบวกงานอันเป็นที่รัก หลบหน้าของใครบางคนได้มาเกือบเจ็ดชั่วโมงเต็มๆ ร่างบางในชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาลหม่น ก็นั่งหลบร้อนของแดดยามบ่ายจัดอยู่ใต้เงาของกอไผ่บนคันนาที่กว้างเกือบเท่าถนนหนึ่งเลนซึ่งเธอทำไว้ทั่วที่นาเพื่อสะดวกต่อการสัญจรขนส่งในไร่นา ที่นอกจากจักรยาน มอเตอร์ไซน์แล้วยังม่รถไถนาเดินตามเป็นพาหนะหลัก คนงานที่เริ่มทยอยกลับบ้านบ้างแล้ว แต่ก็ยังเหลือบางคนที่ยังคงรดผักหญ้าในส่วนรับผิดชอบของตัวเองอยู่ ด้วยเนื้อที่เกือบสองร้อยไร่ แม้จะหักส่วนที่เธอทำเป็นคันนาที่ใหญ่รวมถึงปลูกไม้ผลยืนต้นได้โดยไม่ต้องกลัวเงาของต้นไม้บังแสงแดดของต้นข้าวยามหน้านา ส่วนที่ขุดเป็นบ่อเลี้ยงปลาหรือกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้งเช่นนี้และส่วนที่อยู่อาศัยออกไป เฉพาะที่นาก็ยังเหลือร่วมร้อยกว่าไร่เช่นเดิม กับคนงานสิบห้าคน เธอจึงแบ่งงานโดยให้รับผิดชอบเป็นจำนวนไร่ให้คนงานแต่ละคนรับผิดชอบเอง โดยมีเธอเป็นคนควบคุมวางแผนทั้งหมดและลงลุยงานด้วยตัวเองเสมอ

ปณยามองภาพเบื้องหน้าอย่างปลื้มเปรมใจ คิดย้อนไปสมัยตอนเรียนชั้นประถมศึกษาครูให้เขียนเรียงความเรื่องความฝันของฉัน เพื่อนบางคนบ้างก็อยากเป็นครู บ้างอยากเป็นหมอ บ้างอยากเป็นตำรวจ เพราะค่านิยมที่ถูกปลูกฝังว่าโตไปต้องเป็นเจ้าคนนายคน ผิดกับเธอที่เขียนลงไปด้วยความตั้งใจซึ่งไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คืออยากเป็นชาวนา เธอยังจำได้เมื่ออกไปอ่านหน้าชั้น เพื่อนทั้งห้องรวมถึงคุณครูต่างหัวเราะขบขันกัน หญิงสาวนึกน้อยใจน้ำตาคลอหน่วย จนต้องเถียงออกไปว่า เป็นชาวนาแล้วทำไม ปลูกข้าวกินเอง ถึงไม่มีเงินก็ไม่อดตาย ถ้าทำอาชีพอย่างอื่น แต่ไม่มีชาวนาปลูกข้าวให้กิน...ก็อดตายเหมือนกัน พอจบประโยคคนที่นำการปรบมือให้เธอคือครูประจำชั้น และเรียงความของเธอก็เป็นที่กล่าวขวัญมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งในแง่ดีและ...แง่ดูถูก หากวันนี้เธอพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า อาชีพชาวนาของเธอก็สร้างประโยชน์ให้ท้องถิ่นไม่น้อยไปว่างานอื่นๆ

แต่กว่าที่เธอจะมาถึงจุดนี้ได้...ปณยาก็ต้องฝ่าฟันมาไม่น้อยดีที่เธอมีครอบครัวอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้ยามท้อ เธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจจนผู้เป็นพ่ออดเป็นห่วงไม่ได้ จนถึงขั้นออกปากว่าเอาแรงบ้างานมาจากไหน หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มแม้ส่วนใหญ่จะเกิดจากความตั้งใจที่จะทำตามความฝันให้สำเร็จแต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่เธอโหมทำงานหนักนั้นเป็นเพราะต้องการจะลืมใครบางคน ปีแรกที่เริ่มลงทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ ปฏิเสธสารเคมีทุกชนิดแม้แต่ปุ๋ย ผลผลิตข้าวต่อไร่ก็น้อยลงฮวบฮาบ ชาวบ้านต่างซุบซิบนินทาหัวเราะเยาะเธอลับหลัง หากเธอก็ไม่หวั่นไหวยังคงตั้งใจจะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า การทำนาไม่จำต้องพึ่งสารเคมีเสมอไป และเพียงสองปีให้หลัง ผลของความพยายามของเธอก็เริ่มสัมฤทธิ์ผล ต้นทุนเพียงน้อยนิด อาศัยความขยันเข้าว่า...ผลผลิตที่ได้ เทียบเท่ากับที่อื่นซึ่งต้นทุนสูงกว่ามาก แถมการวางแผนปลูกพืชหลายๆชนิดในที่นาที่ตัวเองมี ทำให้หญิงสาวมีรายได้เข้ากระเป๋าด้วยจำนวนที่ไม่ได้มากมายแต่อยู่ได้แบบสบายๆ

ทุกวันนี้สวนสินพสุธรกลายเป็นแหล่งศึกษาการเกษตรแบบอินทรีย์วิถีที่มีเพื่อนเกษตรกรแวะเวียนเข้ามาดูงานและขอความรู้มิได้ขาด รวมไปถึงเริ่มมีนิสิตนักศึกษาลูกหลานชาวนาของมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดเข้ามาขอฝึกงานที่นี่เป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งหญิงสาวก็ยินดีที่จะเผยแพร่ภูมิความรู้ที่ได้ร่ำเรียนและได้จากการบอกเล่าจากปราชญ์ชาวบ้านอีกต่อหนึ่งด้วยความเต็มใจ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเก่งกว่าใคร หากแต่เธอเชื่อว่าการกระยุกต์ใช้ความรู้ที่ได้รับมาเข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านได้ถูกต้อง จะยังประโยชน์ต่อการทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตมากขึ้น และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สวนสินพสุธรเป็นที่รู้จัก คือ เพื่อนร่วมอุดมการณ์ นรินศา ผู้แทนสาวสวยที่ลงพื้นที่พบปะชาวบ้านทีไร แนะนำให้มาดูงานที่สวนเธอทุกทีไป

เมื่อเห็นว่าดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อ่อนแสงลง ปณยาจึงตัดสินใจลุกเพื่อกลับบ้านถึงเวลานี้ เธอปลงตกเสียแล้ว อยู่ขอบรั้วเดียวกัน หนีอย่างไรก็คงจะไม่พ้น แต่ก่อนจะได้คร่อมอานจักรยาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ใคร เธอก็ต้องอมยิ้ม ก่อนจะกดรับสายเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเธอ แม้ภาระหน้าที่จะแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่มีสิ่งคิดตรงกัน คือความปรารถนาที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเกิดเมืองนอน

“ว่าไงคะ ท่าน ส.ส. ใหญ่” ปณยาทักเสียงยานคางอย่างยั่วๆ

“กอหญ้า คืนนี้ รินมีเรื่องจะให้ช่วยหน่อยนะ เจอกันที่แมกไม้รีสอร์ทได้มั้ย” อีกฝ่ายตอบคราวเดียวโดยไม่มีเว้นวรรคหายใจ จับจากน้ำเสียงแล้ว เพื่อนของเธอคงกำลังยัวะอยู่เป็นแน่และตามประสาเพื่อนที่ดี ปณยาต้องการสร้างความสงบใจให้แก่เพื่อนสาว ส.ส.ขวัญใจประชาชนเหมือนเช่นเคยด้วยการ “ว้าวๆ เพื่อนรัก น้ำเสียงแบบนี้ คงไม่คิดจะชวนเราไปตีหัวใครที่นั่นใช่มั้ยคะ” ปิดท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะกังวานตามประสาคนช่างอารมณ์ดี

แม้บุคลิกภายนอกของเธอจะดูห้าวหาญชาญชัย แก่นกล้าเอาการแถมยังกล้าได้กล้าเสียจนเหมือนคนใจร้อน หากแต่หญิงสาวรู้ดีว่าคนที่จิตใจและอารมณ์ร้อนซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของความนิ่งเย็นเฉียบขาดที่แท้จริงนั่นคือใคร ยิ่งคิดไปถึงวีรกรรมที่เคยทำร่วมกับคนๆนั้นเมื่อสมัยเรียนมัธยม ก็ทำให้เธอปล่อยหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ แสบไม่ใช้เล่นเลยเรา ยังมีผลให้...

“หยุดเลยกอหญ้า อย่ามาหัวเราะรินนะ นิสัยแย่ๆแบบนั้น มันไม่ใช่รินเสียหน่อย” คนที่เธอกำลังนินทาอยู่ในใจเหมือนจะรู้ถึงความคิดเธอแว้ดเสียงแหลมปรี๊ดมาตามสาย ทำเอาปณยาอยากจะถามกลับไปว่า เหรอ ลากเสียงยาวให้เท่าขบวนรถไฟ แต่ก็กลัวว่าเพื่อนจะอารมณ์เสียไปมากว่านี้ จึงได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ในลำคอ

“จ้าๆ ท่านส.ส.คนเก่ง หญ้าก็ไม่ได้เคยคิดว่ารินมีนิสัยแย่เสียหน่อย แต่มันทำให้หญ้าคิดถึงสมัยเด็กๆขึ้นมาเฉยๆ” จากที่พยายามกลั้น พอพูดพาดพิงไปถึงอดีตไอ้ที่กลั้นอยู่เลยสมัครสมานสามัคคีออกมาพร้อมดันกร๊ากใหญ่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับเธอเท่าไหร่ ในขณะที่เธอกลั้นหัวเราะหน้าเขียวหน้าแดง ปลายสายก็ตอบกับมาเสียงนิ่งบ่งบอกว่าร้อนใจเหลือประมาณ

“เปลี่ยนใจแล้ว รินไปหากอหญ้าตอนนี้เลยแล้วกัน”

ด้วยความที่รู้ใจกัน หญิงสาวจึงตามน้ำ ได้แต่เอะอะพอเป็นพิธี “เฮ้ยๆ ใจเย็นๆน่า คุณเพื่อนสุดที่รัก แต่มาหาก็ดีนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวหญ้าจะช่วยทำให้ท่านส.ส. ผู้ร้อนแรง ใจร่มๆลงบ้างนะคะ หญ้าจะรอที่คลองท้ายสวนนะจ๊ะ”

อีกฝ่ายรับคำสองสามคำก็วางไป แม้จะปรับอารมณ์ตามคนใจร้อนไม่ค่อยทัน หากรอยยิ้มอารมณ์ดียังเหลือติดใบหน้า ด้วยความที่คุยเพลินเธอจึงไม่ทันสังเกตว่าร่างสูงของคนที่เธอหลบหน้ามาเกือบทั้งวันนั้น มายืนอยู่กอไผ่ข้างหลังเธอมานานพอสมควรแล้ว



ปณยาจับจักรยานหมุนหนึ่งร้อยแปดสิบองศาก่อนขึ้นคร่อมอานจักรยานแล้วออกแรงปั่นโดยมีจุดหมายปลายทางที่ริมคลองท้ายสวนของเธอ ที่เห็นทิวไม้หนาแน่นอยู่ไม่ไกล โดยมีเจ้ากะปิกับกุนเชียง องค์รักษ์สี่ขาประจำกายที่วิ่งจากไหนและเมื่อไหร่ไม่รู้ วิ่งนำราวกับรู้ว่าเธอจะไปที่ใด

เพียงไม่ถึงน้านาทีก็ถึงที่หมาย หญิงสาวจอดรถแอบไว้ ก่อนจะเดินขึ้นคันคูที่เธอเอาดินที่ได้จากการขุดสระน้ำมาเพิ่มความสูงจากแนวเดิมตามธรรมชาติป้องกันเวลาน้ำหลากไม่ให้เข้าท่วมที่นา พอพ้นส่วนที่สูงที่สุดลงไปก็เป็นที่ราบกว้างราบสิบเมตรไปจนถึงฝั่งคลอง มีต้นก้ามปูขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาคลุมแทบจะทั้งบริเวณ ทำให้ร่มรื่นทั้งวัน แถมพ้นรัศมีบังใบของจามจุรีก็มีต้นหวายขึ้นหนาแน่นเป็นเหมือนกำแพงอาณาเขตกั้นที่โล่งส่วนนี้ไม่ให้มีใครบุกรุกเข้ามาทางด้านข้างได้โดยง่าย มองมาจากฝั่งของที่นาก็มีคันคูสูงบังสายตาคนภายนอก อีกฝั่งของคลองก็เป็นป่าชุมชนที่นานๆครั้งถึงจะมีคนมาเก็บของป่าแทบนี้ ที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นโซนลับส่วนตัวของเธอก็ว่าได้

ด้วยความเงียบสงบปราศจากเสียงรบกวนของเครื่องยนต์ มีเพียงเสียงนกป่า เสียงน้ำไหลริน จึงเป็นสถานที่ที่เธอโปรดปราณเวลาต้องใช้ความคิดหรือหลีกหนีจากความวุ่นวาย จนเธอมาปลูกบ้านไม้หลังเล็กๆเอาไว้พักผ่อนตอนกลางวัน หรือมีสังสรรค์ลับๆกับเพื่อนสนิทในกรณีที่ต้องหลบสายตาของผู้เป็นแม่ แต่จะพูดถึงเรื่องค้างคืนที่นี่นั้น ...ลืมไปได้เลย คุณพี่ชายออกปากห้ามเด็ดขาด โดยใช้ความปลอดภัยขึ้นมาอ้างปิดทางเหตุผลที่เธอแย้งทุกกรณี หญิงสาวจึงใช้ได้เฉพาะกลางวันหรือยามที่เพื่อนฝูงมาเท่านั้น ด้านบุพการีแม้จะห่วงเรื่องความปลอดภัยแต่ก็ไม่ห้ามปรามด้วยท่านคงทราบดีว่าลูกสาวคงอย่างมีที่ทางเป็นส่วนตัวของตัวเองบ้าง บวกกับเชื่อมั่นในตัวเธอมากพอว่าจะดูแลตัวเองได้

หญิงสาวฮัมเพลงในคอเบาๆ ตรงไปนั่งลงแล้วหย่อนขาที่ท่าน้ำซึ่งทำเองง่ายๆ เอาเท้าราน้ำรอเพื่อนสนิทที่อีกไม่นานคงมาถึงอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาคมสวยกวาดตามองรอบกายอย่างมีความสุข ความสุขที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ แต่แล้วความสงบสุขเธอก็ถูกรบกวนด้วยเจ้ากุนเชียงที่วิ่งมาจากด้านหลัง กระโดดเฉียดไหล่เธอ ถลาลงไปในคลอง

ตูม! ซ่า!

ขนสีทองแดงสมชื่อที่เคยฟูฟ่องตามสายพันธ์[1]Thousand way ที่เธอบัญญัติเองเพื่อความอินเตอร์เปียกลู่แนบตัวแม้จะจมอยู่ใต้น้ำแต่ก็ใสพอที่จะทำให้เธอเห็นถึงความดูตลก โดยมีเพียงส่วนที่เหนือจมูกขึ้นมาเท่านั้นที่พ้นผิวน้ำ จนเธอเผลอกปล่อยคิกคักกับภาพที่เห็น ส่วนเจ้ากะปิพันธุ์ไทยหลังอาน[2]สีสวาดผู้มีบุคลิกเย่อหยิ่งสม่ำเสมอซึ่งรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัยยกให้เมื่อครั้งเธอไปเยี่ยมที่บ้านเดินอกผ่ายไหล่ผึ่งมาทรุดตัวลงนั่งข้างเธอ สายตาที่ใช้มองกุนเชียง หากแปลเป็นภาษามนุษย์ได้คงประมาณว่า ไร้สาระ กระมัง

ปณยาใช้มือลูบหัวเจ้ากะปิซึ่งตอนนี้เอาหัวมาพาดตักเธออยู่ หญิงสาวพูดกับมันเบาๆ “ไม่ไปเล่นน้ำกับน้องเหรอกะปิ”

ราวกับมันฟังเธอเข้าใจ กะปิครางหงิง ปรายตามองไปยังเจ้ากุนเชียงที่ถูกให้เรียกว่าน้องด้วยประกายดูแคลน ก่อนชักสายตามามองนายสาวแล้วส่ายหัวเบาๆ บ่งบอกว่า ไม่ เป็นคำตอบให้เธอรู้ หญิงสาวส่ายหัวเบาๆ ให้กับความแสนรู้ของเจ้ากะปิ

ในขณะที่เพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว เสียงเพลงที่เกือบจะทำให้เธอเป็นกอหญ้าน่าดูชมเมื่อหลายวันก่อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าใครโทรมาเธอก็ต้องอมยิ้มเมื่อคิดได้ว่าปลายสายคงมาถึงแล้ว

“อยู่ที่คลองท้ายสวนแล้วจ้า ตรงมาเลย” หญิงสาวทักเสียงใสอย่างร่าเริง แต่ดูเหมือนอารมณ์ปลายสายจะต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง สังเกตได้จากเสียงแหบระโรยที่ส่งมา

“หญ้าจ๋า รินขอโทษ...”

“ขอโทษ...ขอโทษอะไร อย่าบอกนะว่ายกเลิกนัด” หญิงสาวโวยวายเพราะแอบหวังว่านัดครั้งนี้จะช่วยให้เธอหลบหน้าใครบ้างคนได้

“เปล่าจ้าเปล่า พอดีว่ารินมีงานเข้าด่วน ต้องประชุมงานบางอย่างกับทีมงานคงไปกินข้าวเย็นด้วยไม่ทัน...แต่ทันเคสพิเศษของเราแน่ๆ โอเคมั้ย” ปลายสายบอกเสียงออดปนอ้อนแต่ก็แฝงด้วยความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด

คำว่า งาน ของอีกฝ่ายก็ทำให้ปณยาอ่อนลงได้กว่าครึ่งแล้ว ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงที่ส่งมา ความคิดจะเคืองยิ่งหายไปหมด “งานงั้นเหรอ งั้นไม่เป็นไร เคสพิเศษเลยก็ได้ ให้เราไปรับหรือรินจะมาหา”

“เดี๋ยวเราไปหา หญ้าแต่งตัวสวยไว้เลยน้า เดี๋ยววันนี้พาลุยถ้ำเสือ โอเคนะ ไปแล้วคุณๆทั้งหลายเรียกแล้ว บายจ๊ะ”

ยังไม่ทันได้กล่าวคำลาตอบอีกฝั่งก็กดตัดไปทันที่ที่พูดจบประโยค ปณยาได้แต่ส่วยหัวกับการคิดเร็ว พูดเร็วและทำเร็วของเพื่อน แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรต่อ เจ้ากะปิที่ยกหัวจากตักเธอไปซุกกับตัวของมันตั้งแต่โทรศัพท์เธอดังก็ชูคอขึ้นร่อนจมูกกลางอากาศราวกับได้กลิ่นที่ผิดแผกไปนอกจากที่มีอยู่ หากแต่ไม่เห่านั่นอนุมานได้ว่าคงเป็นคนที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว

กะปิยืนขึ้นเต็มความสูงหูตั้ง หางชี้อย่างระแวดระวังภัยพานทำให้ปณยาชักขาขึ้นจากน้ำหันไปมองตามสายตาของเจ้ากะปิด้วยเช่นกัน ก่อนที่หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวจะได้ตัดสินใจทำอะไร เจ้ากุนเชียงซึ่งขึ้นจากน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ วิ่งหน้าตั้งทั้งๆที่ตัวยังเปียกโชก ตรงดิ่งไปยังทางที่เธอมองไป ด้วยท่าทางที่ร่าเริงเต็มที่ผิดกับท่าทางของเจ้ากะปิราวฟ้ากับเหวราวกับเจอใครที่คุ้นเคยกันมานานแสนนาน

ปณยาเลิกคิ้วสูงกับอากัปกิริยาของเจ้าหมาหนุ่มจอมไฮเปอร์อย่างงุนงงสงสัย ก่อนจะสืบเท้าไปตามทางเดียวกันกับกุนเชียงโดยไม่ทิ้งอาการระแวงภัยไปโดยมีกองหนุนเป็นเจ้ากะปิ

ในพุ่มไม้หนาจุดที่เจ้าขนสีทองแดงไปหา มีร่างใหญ่สูงหกฟุตสี่นิ้วในชุดที่เกือบเรียกได้ว่า คนสวนเต็มขั้น ยืนยกสองมือยีผมอย่างขัดใจอยู่โดยมีสี่ขาหน้าขนเปียกโชกกระโดดเอาสองขาหน้ากอดเอวเอาไว้ หลังเขาติดกับต้นพะยอมใหญ่ที่ออกดอกพราวอยู่ ความคิดที่จะแอบอารักขาหญิงสาวที่เขาตามมาตั้งแต่ต้นอย่างเงียบๆคงพังภินท์ลงเสียแล้ว

พิริยะสู้อุตส่าห์เดินตามมาตั้งแต่กอไผ่ ด้วยความหวังจะมาปรับความเข้าใจ แม้จะไม่ถึงขั้นเข้าใจกันดีเช่นแต่ก่อน แต่ก็ขอให้เธอเลิกหลบหน้าเขาก็เพียงพอแล้ว หากแต่เมื่อเห็นสถานที่ที่เธอเข้าไป เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นลง เพราะมันลับตาเกินไป การเข้าไปของเขาเสี่ยงให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง ด้วยสังคมต่างจังหวัดที่เขาได้รับฟังมาก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าข่าวลือมันเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ครั้นจะหันหลังกลับก็เป็นห่วงเพราะนอกจากลับตาแล้วยังเปลี่ยวเอาการ จึงตัดสินใจยืนอยู่ห่างๆเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยให้ ซึ่งชายหนุ่มคงลืมนึกไปว่าที่นี่ ถิ่นใคร

แถมยังยืนได้เพียงไม่นานเจ้าองค์รักษ์หน้าขนของเธอเริ่มรับรู้ของการมีตัวตนของเขา พอจะขยับเดินหนี เจ้ากุนเชียงที่เขาผูกมิตรได้แล้วตั้งแต่เมื่อวานดันทำมาอยากเล่นกับเขาในเวลาที่เขาไม่ต้องการเสียก่อน แถมยังกักเขาไว้กับต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าเรียวยาวของสุนัขลูกผสมกำลังแลบลิ้นยาวจะเลียหน้าเขาอยู่รอมร่อ หากไม่มีเสียงหวานปนดุพูดขึ้นเสียก่อน

“กุนเชียง หยุด! มานี่”

ราวกับปิดสวิตช์ เจ้าหมาขนสีทองแดงหยุดการป้ายน้ำลายที่ใบหน้าเอาได้อย่างทันทีทันใด พร้อมถอนขาหน้าออกพร้อมกัน ก่อนเดินหางลู่หูตกไปยืนข้างหญิงสาวทันที

ปณยาใช้สายตามองเจ้าหมาผู้ร่าเริงเป็นการปราม ก่อนจะหันมาสนใจคนที่เปียกไปครึ่งตัวเพราะน้ำจากตัวมันอย่างสงสัย “คุณมาทำอะไรที่นี่”

“เอ่อคือว่า...อ่า” ชายหนุ่มอึกอัก จนหญิงสาวต้องถามสำทับพร้อมยกมือขึ้นกอดอกอันเป็นกิริยาที่เขาตุ้นเคยดีว่า ถ้าไม่ กระจ่างพออย่าหวังว่าจะหลบลี้หนีหน้าไปได้

ข้างหญิงสาวตอนนี้ทำใจได้แล้วว่าคงหลบหน้าเขาอีกต่อไปไม่ได้ ก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆให้รู้แจ้งกระจ่างกันไปเลย ความอึดอัดที่มีมาตลอดทั้งวัน หรืออันที่จริงแล้วเธอต้องยอมรับว่าเจ้าความไม่สบายใจนั้นมีมาตั้งแต่เธอเห็นว่าคนในกระโปรงรถนั้นเป็นใคร หญิงสาวจ้องไปยังดวงตาคมของคนตตรงหน้าอย่างแน่วแน่

“พี่เห็นว่าหญ้ามาคนเดียว นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วพี่เป็นห่วงเลยตามมา”

“ใกล้ค่ำ...คนเดียว...เป็นห่วง” หญิงสาวทวนคำเสียงเบา ก่อนเลิกคิ้วสูงเชิงถาม “ที่นี่เนี่ยนะ? ที่บ้านฉันนี่นะ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะคุณ”

“ก็พี่ห่วง บอกแล้วไง พี่จะทำให้หญ้าสบายใจ” เขาบอกเสียงอ่อนโยนไม่สนใจอาการแข็งๆที่อีกฝ่ายแสดงออก แววตาคมกล้าส่องประกายความหมายเต็มที่ หากแต่คนรับสารไม่รับรู้หรือทำเป็นมองไม่เห็น ชายหนุ่มก็ไม่อาจรู้

หญิงสาวยักไหล่แม้จะขัดๆกับสรรพนามที่เรียกตัวเอง แต่เพื่อความขึงขังจึงฝืนพูดไป “ที่นี่บ้านฉัน ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ที่น่าเป็นห่วงคือตัวคุณนั่นแหละ ได้ข่าวว่ายังไม่รู้ตัวคนบงการเลยไม่ใช่เหรอ”

พิริยะหน้าชื่นกับถ้อยคำที่เหมือนจะห่วงกันของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่พูดอะไรออกไป เก็บไว้เป็นกำลังใจให้ตัวเองเงียบๆ

“ยิ้มอะไร” หญิงสาวแหวในขณะที่พวงแก้มก็ร้อนซู่

ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะเริ่มรู้ตัว เขาจึงปฏิเสธไปอย่างจริงใจแต่แววตาพราวระยิบ “เปล่าครับ แค่อารมณ์ดี”

ปณยาทำเสียงขึ้นจมูกอย่างแสดงความไม่เชื่อถือ “หึ”

พิริยะปรับท่าทีของตัวเองให้ดูเป็นการเป็นงานมากขึ้นเพื่อเจรจาสิ่งที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ “หญ้าครับ พี่อยากคุยเรื่องระหว่างเรา...”

หญิงสาวจ้องมองดวงตาคมกล้านั้นนิ่งราวกับจะประเมินความคิดของอีกฝ่ายผ่านหน้าต่างของดวงใจ ซึ่งพิริยะก็ไม่คิดจะเสหลบเลยสักนิด หากแต่เปิดออกเหมือนจะเปลือยหัวใจให้เธอได้รู้ในคราวนี้แล้ว ปณยาเม้มปากอย่างตัดสินใจบวกกับพอจะรู้ตัวบ้างแล้วว่าคงบ่ายเบี่ยงได้ไม่นาน แต่ก็ขออีกสักนิด

“เรื่องระหว่างเรา...มันจบไปนานแล้ว ไม่ใช่เหรอคะ”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ ไม่ใช่ ...ถึงแม้ว่าคราวนั้นความไม่เข้าใจมันทำให้เราหยุดชะงักไป แต่...พี่ก็หวังเสมอว่าจะมีโอกาสแก้ตัวใหม่ให้ความเป็นเราเดินต่อไป และพี่ก็กำลังจะเริ่ม...”

“หึ กำลังจะเริ่ม แล้วสุดท้าย คุณก็จบมันเองอีกครั้งน่ะเหรอ”

น้ำเสียงเยาะๆหากแต่แฝงด้วยความร้าวรานที่ปิดไม่มิดนักของเธอ ยิ่งทำให้เขารู้สึกขมปร่าในปากอย่างบอกไม่ถูก การพูดไม่คิดบวกกับความเอาแต่ใจตัวเองของเขาคราวนั้น ได้ทำร้ายจิตใจของคนที่เขาไม่เคยคิดจะทำจนดูเหมือนเธอฝังใจไม่น้อยเลยทีเดียว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ..อยากรวบรวมความกล้า

“หญ้าครับพี่ยอมรับว่าพี่ผิด ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่พี่ขอ..ขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกสักครั้งได้ไหม...”

“โอกาส...พิสูจน์ตัวเอง” หญิงสาวย้ำทีละคำพลางสบตาอีกฝ่ายอย่าหมายมาด “ต้องการใช่มั้ย ได้เตรียมตัวรับได้เลย คุณจะได้รู้ซึ้งถึงแก่นเลยล่ะ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของหญิงสาวซึ่งเคยอ่อนหวานอยู่เสมอเมื่อนานมาแล้ว คราวนี้กับวาววับดูเจ้าเล่ห์มากขึ้นเสียจนพิริยะสะบัดร้อนสะบัดหนาวอย่างบอกไม่ถูก เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดกันนี่ แต่เมื่อโอกาสที่เขาถามหามาตลอดหลายปี มันตกมาถึงมือ...แม้จะต้องบุกน้ำลุยไป เขาก็พร้อมที่จะทำ

แต่ถ้าชายหนุ่มรู้ถึงความคิดของปณยาแล้วล่ะก็ ที่คิดว่าลำบากประหนึ่งบุกน้ำลุยไฟนั้น...เห็นจะต้องคิดใหม่ เพราะแผนการให้เขาพิสูจน์ตัวเองของหญิงสาว คือ ลุยทุ่ง ย่ำโคลน ฝ่าแดดเปรี้ยงๆ และอีกสารพัดที่ไม่เคยสัมผัสของชีวิตชาวกรุง เขาจะได้รู้ซึ้งทุกขั้นตอนแน่นอน!!!...

ปณยาจ้องใบหน้าคมสันที่มีรอยซีดเผือดเพราะคำขู่ของเธอแล้วหัวเราะในใจ แค่นี้ก็ใจแป้วเสียแล้ว...เธอจะคอยดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ

หญิงสาวร่างแผนการเตรียมกลั่นแกล้งคนที่เคยมีประวัติไม่มีมาก่อนอย่างครื้นเครงในใจ... จนลืมนึกถึงกำกั้นกำแพงใจไม่ให้หวั่นไหว...กับคนที่เคยได้ชื่อว่า...รักกัน

“ตกลงครับ” ชายหนุ่มรับคำแน่นหนัก ก่อนจะถาม “เริ่มตอนนี้เลยมั้ย พี่จะเป็นสารถี ปั่นจักรยานส่งหญ้าถึงบ้านเอง”

หญิงสาวพยักหน้า แต่บอกไปตรงข้ามกับสิ่งที่ชายหนุ่มเสนอ “เริ่มเลยก็ได้ โดยการพิสูจน์ว่าเดินกลับทางเดิมไหว ส่วนจักรยานฉันจะปั่นเอง” ว่าแล้วเธอก็เดินเร็วๆนำเจ้ากะปิที่เดินตามต้อยๆ ตรงไปยังจักรยาน ก่อนขึ้นคร่อมอานแล้วปั่นออกไปทันที ทิ้งให้พิริยะยืนอ้าปากค้างกับการดีใจเก้อของตัวเอง...

เหลือเพียงเจ้ากุนเชียงที่นั่งกระดิกหางแหงนหน้าขึ้นมองเขาเหมือนจะถาม จะกลับรึยัง? ชายหนุ่มอดจะยิ้มให้กับเจ้าหมาตาเชื่อมที่อยู่เป็นเพื่อนเขาไม่ได้

“กลับกันเถอะ” เพียงเท่านั้น กุนเชียงก็ออกเดินกระดี๊กระด๊านำหน้าเขาไปอย่งร่างเริงราวกับรู้ภาษา ผิดกับอารมณ์ของคนที่เดินตามที่แยกไม่ออกระหว่างดีใจหรือ...เหนื่อยใจ

ตกค่ำหลังจากการขออนุญาตบุพการีทั้งสองได้แล้ว ปณยาขับรถออกมาโดยมองเมินสายตาห่วงใยของใครอีกคนที่มองมาเงียบๆอย่างมีนัยยะ เธอเปลี่ยนที่นัดหมายเป็นให้ลุงเข้มคนขับรถประจำตัวไปส่งที่บ้าน นรินศามาเจอกันกลางทางระหว่างบ้านเธอกับรีสอร์ทแทนโดยอ้างเรื่องเสียเวลากับประจวบเหมาะว่าอีกฝ่ายนั้นเลิกประชุมช้ากว่าที่นัดอีก เพื่อเป็นการกันไม่ให้เพื่อนสนิทได้พบกับพิริยะ ไม่ใช่ว่าอยากจะปิดบัง แต่ด้วยรู้นิสัยกันดีว่าถ้าวันนี้นรินศาพบเขาคนนั้น แทนที่จะได้จัดการธุระของผู้เป็นเพื่อนให้เสร็จ เห็นจะเป็นเธอที่จะจับโดนซักฟอกจนขาวสะอาดปราศจากข้อสงสัยจึงจะได้รับอิสระ ไม่ได้ทำการณ์ตามที่นัดกันเป็นแน่ ถือเป็นโชคดีที่คนขี้สงสัยแถมฉลาดเป็นกรดอย่างแม่ส.ส.สาวจับไม่ได้ถึงความลับที่เธอปิดไว้และตกลงตามแผนของเธออย่างไม่มีข้อสงสัยท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของปณยา

พอถึงที่หมาย ปณยาก็รู้สึกปวดท้องกะทันหัน เลยบอกให้เพื่อนไปที่ร้านอาหารกึ่งผับของทางรีสอร์ทก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับแต่โดยดีและบอกว่าจะรอที่เดิมซึ่งเป็นที่ประจำยามที่มาใช้บริการร้านนี้ เธอพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งจี๋ตรงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ส่วนรับรองที่ใกล้ที่สุด

ปณยาเดินออกจากห้องน้ำหลังจากเสร็จสิ้นกิจธุระ โดยตั้งใจว่าจะแวะไปเซย์ไฮเพื่อนคนที่ให้ข่าวเมื่อวันก่อนเสียหน่อย หากแต่สายตาก็ไปปะทะกับร่างเตี้ยล่ำพุงยื่นยืนคู่อยู่กับหญิงสาวหุ่นสะบึมซึ่งเธอรู้จักดีเสี่ยชัดชัยของเสี่ยรับเหมาก่อสร้างผู้รับรวยได้อย่างผิดหูผิดตามาในไม่กี่ปีที่ผ่านมากับยัยณัฐภรณ์ลูกสาวตัวร้ายเดินเข้าไปกิตดา ผู้จัดการรีสอร์ทที่ยืนคู่อยู่กับชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมสัน ที่เธอเคยเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อนครั้งมาทำตัวเป็นสายลับกับเพื่อนส.ส.สาว

ความขี้สงสัยในสายเลือดก็เริ่มทำงานประจวบกับถ้าเดินต่อไปมีหวังได้ปะฉะดะกับณัฐภรณ์ที่ยืนแอ่นอกยิ้มหวานแน่ๆ ด้วยความที่มีคดีกันมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียน แล้วยัยอริเก่าอกภูเขาไฟคงต้องหาทางรู้แน่ๆว่าเธอมากับใคร หญิงสาวจึงเลี่ยงการมีเรื่องที่อาจทำให้เสียถึงคนที่มาด้วยกัน ด้วยการทำตัวเป็นตุ๊กแกยืนเกาะผนังข้างทางที่บังเอิญมีสวนหย่อมในร่มช่วยบังสายตาคนอื่นเอาไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย

ทุกถ้อยกระบวนความที่ทั้งหมดคุยกัน ปณยาได้ยินชัดเจน หญิงสาวบอกตัวเองขำๆว่าไม่ได้แอบฟัง พวกนั้นคุยกันเสียงดังเองต่างหาก จากการพูดจาของทั้งหมด โดยดูเหมือนตัวเอกของงานคือหนุ่มหน้าคมที่เธอแอบชมกับความลงตัวบนใบหน้า หญิงสาวสรุปโดยพึมพำกับตัวเอง “เจ้าชู้ไม่เบาเลยแฮะ พ่อรูปหล่อคนนั้น”

เมื่อเห็นทุกคนต่างแยกย้ายกัน ทางสะดวกสำหรับเธอ ปณยารีบเดินไปยังผับเล็กๆของทางรีสอร์ท โดยละเว้นการทักทายอุรุชาหรือยัยแอ้มที่ฟร้อนต์ไปก่อนเพราะห่วงคนที่เธอทิ้งมานานแล้วมากกว่า

พอเดินมาถึงผับซึ่งผู้คนล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่มาสังสรรค์กัน หากแต่ก็ไม่ถึงกับหนาแน่น ด้วยค่าบริการที่สูงเอาการ จึงกรองคนออกไปได้มากโข หญิงสาวตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งมีร่างบางๆของเพื่อนสนิทนั่งอยู่ ทันทีที่ทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้สตูลสเตนเลส คนที่รอเธอไปเข้าห้องน้ำเสียงหวานก็ถามขึ้นด้วยประโยคที่น่ารักเสียเหลือเกิน

“ตกส้วมหรือไงกอหญ้า ไปนานมาก!!” นรินศาโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างพาล เรียกความสนใจและสายตาขบขันจากคนที่อยู่ในรัศมีเสียง มองพุ่งตรงมายังเธอ

ปณยายิ้มแหยๆ อย่างอายๆ แต่ก่อนจะได้ตอบโต้ด้วยข้อหาที่พาลพาโลโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ เธอก็กวาดสายตาไปพบกับแก้วค๊อกเทลก้านยาวปราศจากการบรรจุน้ำหลากสีวางเรียงอยู่ตรงหน้าเพื่อนถึงห้าใบ ปณยาตาโตหันขวับมองเพื่อนทันที ความขุ่นใจกับคำทักที่แสนยียวนก็หายไปเมื่อเห็นว่าใบหน้าเนียนใสเหมือนเด็กมัธยมของนรินศาแดงก่ำ ไม่ต้องเดาให้มากความ เกินสองแก้วแล้วอย่างนี้ เมาแล้วแหงๆ ยัยเพื่อนรัก

“เฮ้ย ยัยริน แกดื่มเข้าไปได้ยังไงตั้งหลายแก้ว ทำไมไม่รอหญ้า หา!”

“อาราย นิดเดียวเองหญ้าก็ รินเพิ่งดื่มเข้าไปแค่หนึ่ง...สอง...”

ปณยาอยากจะเอามือขยี้ผมตัวเองอย่างขัดใจกับความไม่ประมาณตนของคนคออ่อน บอกนิดเดียวแต่นับเจ้าแก้วใสห้าแก้วได้แค่สอง โอย...สวยอยากจะบ้า

ปณยาหันไปขอร้องบาเทนเดอร์หนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เชื่อได้ว่าไม่เอาสภาพเมามายของท่านส.ส.หญิงคนนี้ไปพูดต่อแน่แต่ก็อดกำชับไม่ได้ซึ่งอีกฝ่ายก็รับปาก ก่อนจะหันมาหยิบเอาเจ้าค๊อกเทลสีหวานแต่อานุภาพร้ายกาจเสมอสำหรับนรินศาออกจากการจิบของเพื่อนเพื่อหวังจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

แต่ดูเหมือนว่าเธอจะวางแก้วไว้ไกลไม่พอ เพราะนริรศายังคว้าไปได้ จนต้องออกแรงห้ามปรามอีก “พอแล้วๆ ยัยริน ไหนบอกว่าจะพามาดูหน้านายทุนจอมเขมือบที่ดินชาวบ้านไง ไหงตัวเองดันมาเมาหัวทิ่มแล้วเนี่ย”

ตามธรรมดาที่คนเมา มักปฏิเสธสภาพตัวเอง “ไม่ได้เมานะกอหญ้าก็ หาความจริง แต่...เอ๊ะ! จริงสินะ รินว่าจะให้หญ้ามาดูหน้านายคนนั้นเสียหน่อย เวลาหญ้าไปเจอที่ไหน จะได้ช่วยรินจัดการได้ถูกคนเนอะ”

นิสัยแย่ๆแบบนี้ มันไม่ใช่รินเลยนะ ไม่ใช่เลยจริงๆ ปณยาคิดอย่างอิดหนาระอาใจ เพิ่งจะปฏิเสธไปเมื่อตอนบ่าย ตกดึกมาเผยธาตุแท้ซะงั้น ถ้ารู้ว่าอยากเมาขนาดนี้ เธอน่าจะชวนไปจัดหนักที่คลองท้ายสวนดีกว่า ดูจากท่าทางของเพื่อน นายทุนคนนั้นคงอิทธิฤทธิ์แรงพอตัวเลย ขนาดทำให้ผู้แทนสาวเจ็บแค้นได้ถึงขนาดอยากจะใช้น้ำเมาดับความรู้สึกได้ หรือคิดอีกทางเพื่อนเธอคงเสียใจที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่รักไม่ได้ ปัญหาที่เพื่อนสนิทมาระบายให้เธอฟังดูแล้วก็หนักหนาเกินกว่าบ่าเล็กๆของนิรนศาจะรับไหว แต่ปณิธานและความตั้งใจอันแรงกล้าของอีกฝ่าย ทำให้ปณยาเชื่อว่า มันจะผ่านไปได้ และผ่านไปได้ด้วยดีด้วย

“เฮ้อ...” เมื่อห้ามไม่ได้ เธอก็ปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะยกมือสั่งส่วนของตัวเองมาด้วย เพราะยิ่งฟังเพื่อนที่ระบายออกมา เธอก็อดกลุ้มแทนไม่ได้

ผ่านไปสักพัก จำนวนแก้วเธอไล่เลี่ยตีตื้นของเพื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่จำนวนแก้วคนข้างๆ ยังเขยิบจากเดิมไม่เท่าไหร่ ปณยายังไม่ถึงขั้นมึน แต่แม่เพื่อนสาว... “กอหญ้าจ๋า...รินเริ่มปวดหัวแล้วอ่ะ เรากลับกันเถอะเนอะ”

น่าจะคิดได้เสียตั้งนานแล้วนะยะ หญิงสาวคิดในใจ แต่ปากก็บอกไปอีกทาง “ได้ๆ”

ก่อนจะควักเอาธนบัตรสีเทาและสีม่วงอย่างละใบออกมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ หักลบจากราคาเครื่องเดิมก็พอเหลือทิปไม่มากไม่น้อย แล้วเข้าไปพยุงร่างของนรินศาที่นั่งป้อแป้จะตกเก้าอี้แหร่มิตกแหร่อยู่แล้ว

ทั้งสองตุ้มปั้ดตุ้มเป๋อาศัยความสลัวของแสงไฟพรางกายออกจากผับตรงไปยังรถกระบะคันเก่งของปณยา เนื่องจากทั้งคู่ต้องการความเป็นส่วนตัวหรืออีกนัยหนึ่งคือปิดบังความจริงว่าทั้งคู่จะมาทำอะไรจากทางบ้านของผู้แทนสาว จึงให้ลุงเข้มเอารถตู้ประจำตัวของนรินศากลับบ้านไปก่อน โดยนายน้อยสาวแห่งสินพสุธรขันอาสาจะไปส่งคุณหนูของลุงเข้มให้เอง คนขับรถควบตำแหน่งคนสนิทจึงวางใจปล่อยให้คุณหนูของเขามีเวลาอิสระบ้าง



แต่ยังไม่ทันจะถึงรถแม่คนเจ้าปัญหาก็ร้องขึ้นก่อน “เดี๋ยวๆ รินนึกออกอีกอย่าง ตอนที่เราหนีวันนั้นอ่ะ รินทำต่างหูเพชรหล่นหาย รินรักคู่นั้นมากเลยนะ คุณแม่เป็นคนซื้อให้ด้วย กอหญ้าพารินไปหาหน่อยนะ น้า”

เสียงออดอ้อนของเพื่อน ทำเอาปณยาแทบจะทึ้งผมตัวเองเล่น “หา...จะบ้าหรือริน มันหายไปแล้วล่ะป่านนี้ ไม่งั้นมันก็ไม่อยู่ที่นี่หรอก” เธอรีบบอกเพื่อนรัก แม่คุณเอ้ย จะมาหาอะไรตอนนี้ ดูเวล่ำเวลาบ้าง หญิงสาวคิดอย่างอึ้งปนทึ่งกับความคิดของอีกฝ่าย แต่แล้วนรินศาก็ผละออกจากการพยุงของเธอ แถมยังคว้าเอาหลักที่ยึดเหนี่ยวมาตลอดทางให้เดินตามไปด้วย แม้จะเอนไปเอนมาแต่โดยรวมแล้วดูเหมือนจะมุ่งมั่นเอามากๆ

“เดี๋ยวสิริน โธ่! อย่าไปเลยนะ ริน” ดูเหมือนเธอจะห้ามไม่ทันเสียแล้ว บทนรินศาจะดื้อก็ม้าพยศดีๆนี่เอง ใครก็ห้ามไม่อยู่ ปณยาจึงได้แต่เดินคอตกตามก้นแม่ปูนาขาเกเดินเซซ้ายขวาด้วยรู้ฤทธิ์กันดีว่ารั้งเอาไว้ก็รังแต่จะทำให้แม่เจ้าประคุณรุนช่องก็จะได้โวยวายขึ้นมาเท่านั้น

แสงสลัวของไฟตามทางเดิน และเรือนไม้เป็นหลังๆรวมถึงสวนที่เริ่มแปลกตา แสดงว่าพวกเธอเข้ามาในส่วนที่พักของทางรีสอร์ทเสียแล้ว ถือเป็นการบุกรุกหรือเปล่าหว่า? พี่ไผ่รู้เข้า เอาตายเธอแน่ยัยหญ้าเอ๋ย ปณยากระหวัดใจไปถึงพี่ชายซึ่งทำหน้าที่ทนายความแผ่นดินที่ต่อต้านการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายทุกชนิดเสียด้วย ถ้ารู้ว่าน้องสาวคนเดียวพาตัวเองเข้าสู่สถานการณ์เสี่ยงคุกเสียงตาราง อึ๋ย! ...กอหญ้าไม่อยากจะคิด

“กอหญ้าเอ้ย วันนี้มันวันอะไรเนี่ย เช้าก็เจอคนที่ไม่อยากจะเจอ เย็นมาก็เจอยัยรินน็อตหลุด” ปณยาพึมพำด้วยอาการเซ็งจัด ก่อนจะเรียกเพื่อน “รินๆ กลับเถอะ เดี๋ยวหญ้าจะขอให้แอ้มช่วยหาให้นะ อ่ะ อ้าว” ยังไม่ทันที่เธอจะเสนอหมดที่คิด คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้น

ปณยาตรงเข้าไปประคองเพื่อนให้ลุกขึ้นยืน “ยัยริน ไหวรึเปล่า” หญิงสาวถามขณะเอาแขนอีกฝ่ายพาดที่บ่าเล็กแล้วรีบลากเพื่อนสนิทกลับทางเดิมเพื่อไปให้ถึงรถโดยเร็วที่สุดเพราะดูเหมือนสติสัมปชัญญะของเพื่อนเธอคงหมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวได้แต่หวังว่าอย่าให้ใครมาพบเข้า แต่ดูเหมือนว่าฟ้าจะไม่รับคำขอร้องจากเธอ เมื่อมีเสียงร้องถามขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย

“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เสียงทุ้มที่ถามดังมาจากเบื้องหลังนั้น ทำเอาปณยาตื่นตระหนกในใจ ตายแน่ๆ มีคนมาเห็นจนได้ สาธุ อย่าเป็นคนรู้จักของพวกเราเลย หญิงสาวภาวนาในใจ ก่อนจะเอื้อมมืออีกข้างไปบีผมสั้นๆของเพื่อนให้หลุดจากการเซ็ทแล้วปกลงปิดใบหน้าหวังจะช่วยได้บ้างไม่มาก็น้อย ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวกลับไปตามเสียง แสงไฟตามทางเดิน ส่องใบหน้าคมคาย ทำให้ปณยาจำได้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้หวังดีในวินาทีที่เธอไม่ต้องการเป็นใคร

พ่อรูปหล่อจอมเจ้าชู้นี่เอง...

สมองวิ่งเร็วจี๋เพื่อหาคำตอบที่น่าจะสมเหตุสมผลมากที่สุดออกไป “เอ่อ...พอดีเพื่อนดิฉันหาห้องน้ำไม่เจอค่ะ”

รอยยิ้มกริ่มที่อีกฝ่ายส่งมา แสดงให้เธอรู้ว่าต่อมเจ้าชู้ของเขาคงจะเริ่มทำงานแล้ว ได้แต่ส่งยิ้มแหยๆตอบไป ถ้าเป็นเวลาปกติหญิงสาวคงมีวิธีรับมือที่ดีกว่านี้ แต่นี่.. เหอๆ ทั้งมึนของมึนเมา ทั้งมึนงงกับอาการของเพื่อนสนิท จะคิดออกก็คงเทพเกินไปแล้ว

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ยังรักษาความสุภาพไว้ได้พอตัว เมื่อบอกทางไปห้องน้ำอย่างเต็มใจบริการ มิได้กล่าววาจาล่วงเกินมากกว่านั้น

ปณยากล่าวขอบคุณและกำลังจะเดินหลีกไปได้แล้ว แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแม่คุณเพื่อนตัวดีเกิดมีมานะขึ้นมาอย่างปัจจุบัน “หญ้า....จ๋า รินนน...อยากเดินเอง”

หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนลอบมองชายหนุ่มที่มีแววแปลกๆปรากฏขึ้นในดวงตาทันทีที่ได้ยินเสียงนรินศา เธอไม่รุ้หรอกนะว่าทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า นาทีนี้เธอขอพาทั้งตัวเองและเพื่อนออกไปจากที่ตรงนี้โดยเร็วเสียก่อน ไม่สนใจว่าเพื่อนจะอุทธรณ์อยากเดินเองก็ขัดขืนด้วยประการทั้งปวง หญิงสาวส่งยิ้มที่แหยที่สุดของรอบปีให้พ่อรูปหล่อ แล้วจัดการ ‘ลาก’ เพื่อนตรงไปยังรถด้วยความเร็วสูงเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกดรีโมตเปิดประตูรถแล้วจับร่างบางของเพื่อยัดเข้าไปยังเบาะข้างคนขับ แล้วรีบวิ่งอ้อมไปประจำที่ ขับออกจากรีสอร์ทอย่างรวดเร็ว

หากปณยาหันกลับมามองสักนิด คงรู้สึกดีใจกว่าเดิมกับการตัดสินใจของตนเอง เพราะพ่อรูปหล่อของเธอ ยืนหันรีหันขวางมองหาพวกเธออยู่กลางลานจอดรถ!!


อ่านแล้วถูกใจกันมั้ยค้า...ขออภัยที่หายไปนานค่า กลับมาต่อแล้วฮับ
ตอนหน้า...บทพิสูจน์ที่พิริยะต้องการ...กอหญ้าจะจัดให้แล้วค่ะ มาดูกันค่ะว่า...CEOหนุ่มรูปงาม จะต้องเจออะไรบ้าง?? ^^



ฝากคุณส.ส.สาวแสนสวย เพื่อนสนิทของกอหญ้าด้วยนะค้า ^^v
“กลิ่นรัก...อบอวลหัวใจ”





[1] พันทาง : ผู้เขียน

[2] สีเทาอมเขียวอย่างสีเมล็ดสวาด



แจ่มจันทร์ขวัญฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2555, 04:07:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2555, 04:09:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1224





<< ตอน ๒ ฝากตัว...แลหัวใจ แต่ใครจะรับ?   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account