ดวงใจอนาคิน
...นีราเกิดมาพร้อมกับ 'หัวใจเพชร' สิ่งวิเศษที่จะช่วยล้างคำสาปและรอยแค้นระหว่างสองครอบครัว แล้วอนาคินจะทำเช่นไรเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาตามล่าหามานานนั้นอยู่ในร่างกายของเธอ หญิงสาวผู้เป็นที่รักซึ่งเขาสัญญาว่าจะปกป้องเธอไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่...


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: **:: ตอนที่ 1 ::**

1


ยุคปัจจุบัน กรุงเทพฯ
ภายในห้องนอนขนาดกะทัดรัดที่ทาทาบด้วยสีเหลืองไข่ไก่ไปทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลาเวนเดอร์จากขวดเจลปรับอากาศที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ช่วยส่งให้คนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหนังสือในมือยิ่งอารมณ์ดีขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ แสงไฟสีส้มนวลจากโคมไฟช่วยให้ตัวอักษรปรากฏชัดขึ้นแก่สายตา และดูเหมือนว่าเรื่องราวคงจะกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นก็ว่าได้ สาวน้อยตากลมโตจึงเปลี่ยนอิริยาบถจากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปเป็นลงไปนอนคว่ำหน้ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงนุ่มและกรีดร้องเบาๆ ราวกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังสือ หรือไม่ก็เป็นตัวเอกเสียเอง อะไรจะอินขนาดนั้นกันนะ พลันอารมณ์ฝันหวานคนเดียวก็มีอันต้องยุติลงเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เข้ามาได้เลยค่ะ” หญิงสาวร้องบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด
ประตูค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มแต้มที่มุมปากเดินเข้ามา ในมือมีนมอุ่นๆ หนึ่งแก้วถือติดมือมาด้วย

“แม่เอานมอุ่นๆ มาให้จ้ะ”

“ขอบคุณค่ะแม่” นีราหรือนิ้มรับแก้วนมมาถือไว้แล้วจิบเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าแม่ยิ้มๆ “แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมองนิ้มแปลกๆ”

“คนที่แปลกน่ะลูกมากกว่านะ อ่านนิยายอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”

นิชารินแกล้งเย้าลูกสาวเล่น ด้วยรู้ดีว่านีราเป็นนักอ่านนิยายตัวยง และถ้าเห็นแก้มแดงๆ แบบนี้ล่ะก็ รับรองได้เลยว่าต้องเป็นตอนที่พระเอกพูดหวานๆ กับนางเอกแน่ เธอไม่เคยห้ามลูกเรื่องนี้ ขอแค่แบ่งเวลาให้ถูกต้องก็พอ

นีราพยักหน้าน้อยๆ พลางอมยิ้มตาหยีอย่างออดอ้อนคนเป็นแม่

“นิยายของอนาคินอีกแล้วล่ะสิ”

“แหม... แล้วจะให้นิ้มอ่านของใครได้ล่ะคะ นี่นักเขียนในดวงใจของนิ้มเลยน้า แล้วนี่ก็เรื่องใหม่ด้วยค่ะ สนุกมากๆ เลย”

“จ้า... อะไรๆ ก็คุณอนาคินทั้งนั้นแหละ ว่าแต่ลูกเคยเจอเขาไหมล่ะ ตอนนี้ลูกก็ได้เป็นนักเขียนกับเขาบ้างแล้ว โอกาสที่จะได้เจอก็คงมีมากขึ้นสินะ ยังไงๆ ก็คนในวงการเดียวกัน”

“ทำไมเรียกว่าเขาล่ะคะ นามปากกาอนาคินก็จริง แต่อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้นะคะ นิ้มว่าบางที... อาจจะเป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็จิตใจดีมากๆ เลยก็ได้ค่ะ ถึงได้เขียนนิยายออกมานุ่มนวล อ่อนหวาน น่ารัก ซาบซึ้งขนาดนี้” พูดพลางทำตาหวานฉ่ำเพ้อฝัน

“นี่ๆ พอเถอะจ้ะ ชักจะเยอะไปแล้วนะเรา”

“ฮ่าๆ นิ้มล้อเล่นน่ะค่ะ แม่รู้ไหมคะว่าคุณอนาคินเนี่ยเป็นนักเขียนที่ลึกลับมากๆ ปกตินักเขียนเขาก็ทำตัวลึกลับกันอยู่แล้วนะคะ แต่คุณอนาคินเนี่ยสุดๆ เลย ไม่มีช่องทางไหนที่นักอ่านจะติดต่อได้เลยค่ะ แม้แต่บล็อกที่เอาไว้อัพเดตนิยายหรือเรื่องราวส่วนตัวก็ไม่มีนะคะ คงได้แต่ตามอ่านผลงานอย่างเดียวนี่แหละ นิ้มก็คงหมดหวังจะเจอเหมือนกัน แต่ดูสิคะ ขนาดไม่มีช่องทางให้แฟนคลับได้ติดต่อ แต่คุณอนาคินก็ยังเป็นนักเขียนนิยายรักหวานซึ้งที่ดังที่สุดในยุคนี้ สุดยอดไปเลยค่ะ นิ้มเองก็อยากเป็นแบบนั้นในสักวันหนึ่ง นักเขียนนิยายชื่อดัง ฮ่าๆ”

“โอ้โห นี่ขนาดว่าเขาลึกลับมากๆ นะเนี่ย ลูกแม่ยังบรรยายสรรพคุณซะขนาดนี้” การเย้าแหย่กันระหว่างแม่ลูกดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับครอบครัวนิรกุลกิตติพัฒน์ “นิ้ม... จริงๆ แล้วแม่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยจ้ะ”
นิชารินเปลี่ยนรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อมีโอกาส เพราะนี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอเข้ามาหาลูกตอนนี้

“เรื่องอะไรคะ เกี่ยวกับนิ้มหรือเปล่า”

นิชารินไม่ตอบ แต่กลับถามกลับด้วยคำถามที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหัวใจกระตุกวูบอีกครา

“ลูกไม่ได้กำลังมีความรักใช่ไหมจ๊ะ”

“อะ...เอ่อ... ทำไมแม่ถามแบบนั้นล่ะคะ แม่ไม่เชื่อใจนิ้มเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อลูก” นิชารินทอดเสียงอ่อนโยนพลางลูบเรือนผมนุ่มสลวยของลูกสาวเบาๆ “แม่แค่รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีน่ะ ลูกก็รู้ไช่ไหมว่าพวกเราไม่เหมือนคนอื่น แม่สังหรณ์ใจบางอย่าง แต่มันเลือนรางจนไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ความรู้สึกมันบอกว่าจะเกิดขึ้นกับลูก นิ้ม... ลูกต้องจำไว้นะว่าความรักคือสิ่งต้องห้ามสำหรับลูก แม่รู้ว่ามันเจ็บปวด แต่...”

“แม่ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ นิ้มเข้าใจ” หญิงสาววางแก้วนมลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วโผเข้าไปกอดแม่อย่างออดอ้อน “นิ้มไม่มีวันลืมหรอกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น มันเจ็บปวด ทรมาน และทำให้นิ้มเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้แม่กับพี่นรีช่วยไว้ นิ้มคงตายไปแล้ว”

แล้วนีราก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายในตอนนั้น เธอเติบโตมาเป็นสาวน้อยวัยใสโดยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้นมันคือพิษร้ายสำหรับเธอ...

ขณะนั้นเธอเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกาตอนปลาย อยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง โดยเฉพาะเรื่องของความรักแบบป๊อปปี้เลิฟที่เธอเห็นเพื่อนๆ ต่างก็มีกันหมดแล้ว และโชคชะตาของเธอก็มาถึง เมื่อมีรุ่นพี่ ม.6 คนหนึ่งนำดอกกุหลาบสีขาวมาให้เธอในวันวาเลนไทน์และสารภาพรักกับเธอ นีราทั้งตื่นเต้นระคนตกใจเพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และด้วยแรงเชียร์จากเพื่อนๆ รวมถึงอยากลองสัมผัสความรักสักครั้งในชีวิต ต่อมาไม่นานเธอจึงตกลงคบกับเขา จากที่คบเพราะปัจจัยภายนอก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงหกเดือนมันก็กลายเป็นความรักที่มาจากภายใน
ใช่... เธอตกหลุมรักรุ่นพี่คนนี้เข้าอย่างจังเลยล่ะ เพราะเขาทั้งเรียนดี กีฬาเด่น นิสัยก็เริด เพอร์เฟกต์ไปเสียทุกอย่าง

ขณะที่ความสัมพันธ์กำลังดำเนินไปตามครรลองของมัน จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกข้างซ้าย... หัวใจของเธอนั่นเอง จากแค่ธรรมดาๆ ก็กลายเป็นรุนแรงขึ้นทุกวัน บางคืนเธอเจ็บปวดจนต้องลงไปนอนดิ้นพราดๆ กับพื้นห้องแล้วเอามือกุมที่หน้าอกข้างซ้ายด้วยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง แต่ไม่เลย... ยิ่งนานวัน ดูเหมือนหัวใจอันเปราะบางของเธอจะถูกกระชากทึ้งออกมาทุกที และแล้วในที่สุดความก็แตกเมื่อแม่เคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอ แม่จึงเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพทุรนทุรายเจ็บปวดเจียนตายก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ

ในวันนั้นเองเธอจึงได้รู้ว่าตัวเองเกิดมาพร้อมกับสิ่งวิเศษที่ฝังอยู่ในร่างกาย มันคือสิ่งที่สวรรค์ลิขิตมาเพื่อแก้คำสาปร้ายซึ่งเกิดจากความแค้นของบรรพบุรุษเมื่อสองร้อยปีก่อน นั่นคือสิ่งใหม่ที่เธอแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แม่ผู้เป็นทายาทในรุ่นปัจจุบันมีพลังพิเศษหรือที่เรียกว่า ‘มนต์แห่ง White Dragon’ อยู่ในตัว และมันถูกถ่ายทอดมาถึงสายเลือดอย่างพี่สาวของเธอด้วย

ส่วนสิ่งวิเศษที่ว่าก็คือ ‘หัวใจเพชร’ หัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์และเป็นพรหมจรรย์ หัวใจที่ไม่อาจมอบให้กับชายใดได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอจะหาไม่ เธอไม่มีพลังพิเศษเหมือนแม่กับพี่สาว แต่กลับมีเจ้าหัวใจเพชรนี้มาแทน...
แม่เคยตั้งใจว่าจะรอให้เธออายุครบยี่สิบปีก่อนจึงค่อยบอก แต่มันก็ช้าไปแล้ว นอกจากนั้นแม่ยังบอกอีกว่าตอนนี้พวกฝ่ายตรงข้ามที่เป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลเธอคงกำลังตามหาหัวใจเพชรอยู่ เธอจึงควรดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเจออะไรที่ไม่ชอบมาพากลให้บอกท่านหรือพี่สาวทันที นับตั้งแต่นั้นมาเธอจึงลบคำว่า ‘ความรัก’ และ ‘คนรัก’ ออกไปจากใจ เธอมีแค่พ่อ แม่ คุณปู่ และพี่สาวก็เพียงพอแล้ว เธอไม่อยากทำให้แม่ต้องเป็นกังวลใจอีก ถ้าวันนั้นแม่ไม่เข้ามาเห็นและช่วยไว้ ในวันนี้อาจจะไม่มี นีรา นิรกุลกิตติพัฒน์ แล้วก็ได้ การครองตัวเป็นโสดก็สบายใจดีเหมือนกัน ไม่เห็นจะทุกข์ร้อนตรงไหนเลย จริงไหม?

“แม่เสียใจลูก ที่ลูกเกิดมาแล้ว...” นิชารินน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อยเมื่อนึกถึงโชคชะตาของลูกสาวคนเล็ก

“แม่...” นีราคลายอ้อมแขนแล้วแหงนมองหน้าแม่อย่างเป็นกังวล “แม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ มันไม่ใช่ความผิดของแม่สักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น มันเป็นลิขิตสวรรค์ไม่ใช่เหรอคะ มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว” กลับกลายเป็นเธอเสียเองที่ต้องคอยพูดปลอบโยนคนเป็นแม่

“แล้วถ้าแก่ตัวไป ถ้าพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ใครจะดูแลลูก โถ... ลูกแม่” นิชารินดึงนีราเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง

“หูย... แม่จะคิดไกลไปทำไมคะ ดูสิ นิ้มแข็งแรงจะตาย ไม่มีใครทำอะไรนิ้มได้อยู่แล้ว” พูดพลางผละจากอ้อมกอดแล้วทำท่าเบ่งกล้ามที่เป็นเพียงแขนเรียวเล็กเสียมากกว่าให้แม่ดู

“จริงๆ เลยนะเรา คนเขาเป็นห่วง” นิชารินใช้ปลายนิ้วแตะที่หัวตาเบาๆ แล้วก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด ลูกสาวเธอคนนี้โตขึ้นมากแล้วจริงๆ

“ฮ่าๆ อย่าห่วงเลยค่ะ เพราะนิ้มตั้งใจจะเกาะแขนเกาะขาพี่นรีไปตลอดชีวิตเลย”

“จ้า แต่ไปถามพี่เขาดูก่อนนะ ว่ายอมหรือเปล่า เอาล่ะ แม่ไม่กวนแล้ว อย่านอนดึกนักล่ะ เดี๋ยวตาจะเป็นหมีแพนด้า”

“ค่า... คุณแม่คนสวย”

นีราโบกมือบ๊ายบายแม่ที่เดินออกจากห้องไปแล้ว เมื่ออยู่ตามลำพัง ความคิดก็หวนกลับไปถึงเรื่องในอดีตอีกครั้ง ในเมื่อมันเป็นลิขิตจากสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นเธอคงต้องศึกษาชีวิตสาวโสดเอาไว้ให้มากๆ แล้ว ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ไหนๆ มันก็คือชะตาชีวิตของเธอที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่...


“นิ้มๆ มานี่หน่อย”
อนัชรินตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่กำลังจะจ่ายเงินค่าน้ำกระเจี๊ยบที่ร้านขายน้ำในโรงอาหารใต้ตึกคณะอย่างเร่งเร้าเสียเหลือเกิน เหมือนนีราจะต้องมาอยู่ตรงหน้าให้ได้ภายในสองวินาทีนี้

“อะไรกันริน แป๊บนึงสิ จ่ายตังค์ก่อน” นีราอดขำกับอาการตาโตลุกวาวและน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจของเพื่อนสาวไม่ได้

พอมาถึงโต๊ะแล้วก็พบว่าเพื่อนรักกำลังใช้มือลูบไล้ไปมาบนหน้าปกนิยายเรื่องใหม่ของนักเขียนคนโปรดของเธอ ‘อนาคิน’ อาการอ้าปากหวอตาลุกวาวยังคงปรากฏให้เห็นอยู่

“นิ้ม... เธออ่านนิยายของนักเขียนคนนี้ด้วยเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ คนนี้น่ะแรงบันดาลใจของเราเลยนะ เขาทำให้เราอยากจะเป็นนักเขียนบ้างล่ะ”

“และตอนนี้เธอก็ทำสำเร็จแล้วด้วย” อนัชรินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยประหนึ่งรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่าขณะที่ยังทำตาลุกวาวอยู่

“แหม... ยังซะหน่อย แค่เล่มแรกเอง ที่สำคัญเพิ่งจะตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ยังไม่รู้ฟีดแบ็กเลยว่านักอ่านจะชอบหรือเปล่า เรายังต้องฝึกฝนอีกเยอะเลยแหละ”
แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอพูดมาเลย เพราะถามไปอีกอย่าง เหมือนกำลังพูดกันคนละเรื่อง

“นิ้มอ่านนิยายของเขามานานหรือยัง?”

“ก็ตั้งแต่เรื่องแรกที่เขาเขียนเลยแหละ พอดีเห็นหน้าปกแล้วชอบ พอพลิกไปอ่านคำโปรยข้างหลังก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเป็นแฟนคลับของคุณอนาคินเรื่อยมา”

“ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่านิ้มชอบนักเขียนคนนี้”

ด้วยรู้สึกว่าเธอกับนีราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ปี 1 จนตอนนี้อยู่ปี 4 และใกล้จะเรียนจบอย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะการสอบภาคเรียนสุดท้ายเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตอนนี้เพียงรอเกรดออกและทำเรื่องขอจบเท่านั้น เธอจึงคิดว่าความสนิทน่าจะทำให้ตัวเองรู้เรื่องของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิททุกเรื่อง แต่แค่นักเขียนคนโปรดของเพื่อน เธอก็สอบตกเสียแล้ว

“อ้าว... แล้วเราจะรู้ไหมล่ะ” นีราแกล้งเย้าเพื่อนยิ้มๆ

“ไม่ได้นะ... เราต้องรู้ใจนิ้มทุกเรื่องสิ นี่เราสนิทกันจริงหรือเปล่า” อนัชรินทำหน้าเศร้าปากยื่นอย่างน้อยใจ

“เฮ้ย... ริน เวอร์ไปเปล่า ฮ่าๆ บางทีเราอาจจะลืมบอกรินไปน่ะนะ... คงจะเป็นอย่างนั้น”

นีรารู้นิสัยเพื่อนดีว่าชอบทำตัวเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจแค่ไหน เพราะรู้มาว่าอนัชรินเป็นน้องนุชสุดท้องในบ้าน มีพี่ชายคอยคุมเข้มถึงสองคน นิสัยขี้อ้อนและเอาแต่ใจแบบคุณหนูหน่อยๆ จึงเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งเธอชินเสียแล้ว ออกจะขำด้วยซ้ำไปที่บางครั้งเพื่อนก็โอเวอร์มากเกินเหตุ

“จริงนะ...”

“อื้อ... จริ๊ง” นีราแกล้งทำเสียงสูงใส่จนเพื่อนยิ้มออกมาได้

“เออ แล้วว่าแต่... นิ้มเคยเจอเขาไหม”

“ถามเหมือนแม่เลยนะเธอเนี่ย คุณอนาคินเขาลึกลับจะตาย แค่บล็อกเอาไว้อัพเดตนิยายหรือพูดคุยกับแฟนคลับเหมือนนักเขียนคนอื่นยังไม่มีเลย แล้วเราจะเคยเจอตอนไหนล่ะ”

“แล้วนิ้มอยากเจอเขาไหม” แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังทำเหมือนจะร้องไห้อยู่เลย

“อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพี่ชายริน” แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง ก็บอกแล้วว่าเพื่อนเธอคนนี้ชอบทำอะไรเกินจริงเสมอ ดูแววตานั่นสิ เป็นประกายระยิบระยับเชียว

“ใช่!”

คำตอบเดียวสั้นๆ แต่ทำเอานีราหายใจเข้าแล้วเกือบลืมหายใจออก จะบ้าเหรอ! ยัยเพื่อนโอเวอร์ของเธอดูจะโอเวอร์มากไปหน่อยนะวันนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทาง ไม่มีวัน ไม่... จริง

เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง

“ระ...ระ...รินว่าอะไรนะ”

“เราบอกว่านักเขียนคนนี้น่ะ ที่นามปากกาอนาคินเนี่ย” แล้วอนัชรินก็ยกหนังสือขึ้นมาประกอบการบรรยายให้เพื่อนที่กำลังตกตะลึงฟัง “เขาเป็นพี่ชายคนโตของเรา ชัดไหมจ๊ะ”

“ชะ...ชะ...ชัด”

“อะไรกัน ถึงกับติดอ่างเลยเหรอ นี่ดีใจหรือว่าเสียใจกันแน่เนี่ย”
นีราลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนตอบ “ไม่อยากจะเชื่อมากกว่า โลกมันจะกลมขนาดนี้เลยเหรอ”

“ใช่... บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตชัดๆ”

“นั่นมันชื่อเพลงไม่ใช่เหรอ”

“นั่นแหละน่า ขอยืมมาใช้หน่อย นิ้ม...” อนัชรินดึงมือเพื่อนขึ้นมากุมไว้ทั้งสองข้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใส ดวงตาเป็นประกายปิ๊งๆ “ไปเที่ยวบ้านเรานะ ที่ไร่ชาศุภกาญจน์ ไปเจอเขาไง คุณอนาคินของนิ้มน่ะ” แล้วก็ยิ้มปลาบปลื้มอยู่คนเดียว

“นี่ๆ เขาไม่ใช่ของเราสักหน่อย แต่... สรุปว่าเขาเป็นผู้ชายจริงๆ เหรอ”

ก็เธอคิดว่านักเขียนนิยายส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้หญิงนี่ แล้วเขียนได้หวานเชื่อมจนมดแทบขึ้นหนังสือขนาดนั้น นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเขาจะหน้าตาเป็นอย่างไร

“โหย... พี่ชายเราเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ฟันธง!”

“คือเราไม่ได้หมายความว่าพี่ชายรินจะเป็น... เอ่อ... เกเก้นะ เราแค่แปลกใจที่เขาเป็นผู้ชาย แต่เขียนนิยายได้หวานเลี่ยนสุดๆ ต่างหาก”

“เข้าใจๆ ก็พี่ชายเราเป็นคนโรแมนติกจะตาย คิดดูสิ ยิ่งนั่งเขียนอยู่ท่ามกลางไร่ชาเขียวขจีด้วยนะ พอหน้าหนาวก็มีหมอกลงจางๆ นั่งจิบชาร้อนๆ ไป เขียนนิยายไป โอ๊ย! เริดที่สุด เรื่องมันก็เลยออกมาหวานจนมดขึ้นแบบนั้นไง บรรยากาศมันมีส่วนนะ นิ้มไปสิ เผื่อจะได้อะไรดีๆ ในการเขียนเรื่องใหม่” ยังไม่วายวกกลับมาโน้มน้าวเพื่อนจนได้

“แต่บ้านรินอยู่ตั้งเชียงราย มันไกล๊ไกล แม่ต้องไม่ยอมแน่เลย”

“เดี๋ยวเราไปช่วยพูดให้เอง นะๆ ไหนๆ พวกเราก็กำลังจะเรียนจบกันแล้ว ถือเป็นการไปเที่ยวพักผ่อนไง”

“แต่...”

“หรือว่าไม่อยากเจอคุณอนาคิน ถ้านิ้มไปนะ คิดดูสิ นิ้มจะเป็นแฟนคลับคนแรกและคนเดียวที่ได้ลายเซ็นจากเขา ได้เห็นตัวเป็นๆ ของเขา ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขา ที่สำคัญนะ นิ้มอาจจะได้เทคนิคในการเขียนนิยายดีๆ ก็ได้นะ”

แหม... เพื่อนเธอคนนี้นี่ประชาสัมพันธ์เก่งจริงๆ น่าจะไปเรียนทางด้านนี้นะ มาเรียนทำไมคณะโบราณคดี มันช่างไม่เข้ากับอุปนิสัยใจคอเอาเสียเลย แต่พูดก็พูดเถอะ เธอเริ่มจะคล้อยตามแล้วล่ะ

นีรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ ถ้าได้เจอเขาจริงๆ เธอจะต้องทำตัวอย่างไรนะ ยังไม่ทันจะได้เจอหน้ากัน เธอก็เกร็งไปก่อนแล้ว อารมณ์เหมือนเขาเป็นซูเปอร์สตาร์เกาหลีก็ไม่ปาน แล้วในที่สุดหัวใจก็บอกว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตเลยก็ได้นะ เธอชื่นชอบผลงานของเขามากไม่ใช่เหรอ เอาสิ... ไปเถอะ มันอาจจะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เจอนักเขียนผู้ลึกลับคนนี้ก็ได้นะ

หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ
“โอเค้! นั่นล่ะ ถูกต้องที่สุด ถ้างั้นพรุ่งนี้เราจะไปที่บ้านนิ้มนะ ไปช่วยพูดกับแม่ให้ ว้าว! มันต้องสนุกมากแน่ๆ เลย เราไม่อยากกลับไปคนเดียวน่ะ เหงาตายเลย”

“ว่าไงนะ... นี่ตกลงว่าเอาเราไปเป็นเพื่อนแก้เหงาหรือว่าอยากให้เราเจอนักเขียนในดวงใจกันแน่”

“โอ๋ๆ อย่างอนสินิ้มเพื่อนรัก เราอยากให้เธอเจอพี่คินจริงๆ”

“พี่คินเหรอ?”

“อืม... นิ้มอาจจะยังไม่รู้ งั้นเราจะบอกความลับข้อแรกให้ก็แล้วกันนะ” ว่าแล้วก็เขยิบเข้าไปใกล้ๆ เพื่อนแล้วทำท่ากระซิบกระซาบอยู่ข้างหู “พี่คินใช้ชื่อจริงของตัวเองเป็นนามปากกาแหละ”

“หมายความว่า ‘อนาคิน’ ที่เขียนนิยายเรื่องนี้ก็คือ ‘อนาคิน’ พี่ชายของริน?”

“ถูกต้องนะคร้าบ” พูดพลางใช้นิ้วชี้ชี้ไปทางนีราเลียนแบบท่าทางพิธีกรคนดัง “พี่คินน่ารัก จริงใจ นิสัยดี มีเวลาให้ นิ้มเชื่อใจได้เลย”

“พูดอย่างกับโฆษณาขายพี่ชายตัวเองงั้นแหละ” นีราแซวขำๆ

“แล้วอยากซื้อหรือเปล่าล่ะ ฮ่าๆ”

“ไม่เอาหรอก แค่ได้เจอก็พอแล้ว”

“เอาเถ้อ... ได้เจอก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนคำพูดก็ยังทัน”

“เวอร์จริงๆ เลย” นีรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเอาคืนเพื่อนสาวอย่างไรดี ในที่สุดก็แกล้งถามออกไปว่า “เออ... ว่าแต่... นี่รินไม่ได้กำลังเพ้อเจ้อใช่ไหม เรื่องคุณอนาคินน่ะ”

“นิ้ม!!! นี่หาว่าเราโกหกเหรอ”

“ฮ่าๆ ก็ไม่แน่นี่นา”

แล้วสองสาวก็ผลัดกันต่อปากต่อคำอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านได้ หลังจากวันนี้นัดกันมาส่งโปรเจกต์สุดท้ายให้อาจารย์ที่ปรึกษา และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องสุดเซอร์ไพรซ์แบบนี้เกิดขึ้นด้วย


สนามบินสุวรรณภูมิ
“แม่อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ นิ้มไปเที่ยวนะ ไม่ได้ไปลำบากที่ไหน” นีรากระเซ้าแม่ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา

“ก็แม่เป็นห่วงนี่ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปไหนไกลขนาดนี้เลย แล้วดูสิ จะไปตั้งสามเดือน” แม่ก็คือแม่ จะไม่ให้เธอห่วงลูกได้อย่างไร ยิ่งนีราพิเศษกว่าคนอื่น เธอยิ่งต้องห่วงมากขึ้นเป็นธรรมดา

“นิ้มไม่เป็นไรหรอกค่ะ นิ้มจะดูแลตัวเองดีๆ”

“เถอะน่าคุณ อย่าให้ลูกเป็นกังวลเลย ลูกเพิ่งเรียนจบ ให้แกไปพักผ่อนตามประสาเถอะ อีกอย่างไปกับเพื่อนสนิทอย่างหนูริน ไม่เป็นไรหรอก”

กฤตภาคโอบไหล่ภรรยาไว้พลางพูดให้หายห่วง เขารู้เกี่ยวกับพลังพิเศษของเธอและสิ่งวิเศษที่เรียกว่าหัวใจเพชรในตัวลูกสาวคนเล็กมาตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะประหลาดใจอยู่บ้างที่ศตวรรษที่ 21 แล้วแต่ยังมีเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้อยู่ แต่ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย ความรักที่เคยมอบให้นิชารินตั้งแต่วันแรกที่คบกันเป็นอย่างไร วันนี้มันก็ยังคงไม่เสื่อมคลาย และโดยเฉพาะนีรา เขายิ่งหวงห่วงมากเป็นพิเศษเช่นกัน

“ใช่ค่ะแม่ ยัยนิ้มไม่เป็นไรหรอก”

นรีก็ช่วยสนับสนุนอีกแรง เธอเองก็หวงห่วงน้องสาวไม่ต่างจากพ่อกับแม่ แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารน้องสาวที่ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนไกลๆ เลยเพราะแม่ไม่อนุญาต กลัวจะเกิดอันตราย แต่ครั้งนี้ถือเป็นของขวัญที่เรียนจบแล้วก็แล้วกัน

เมื่อเห็นดังนั้นคนต้นเรื่องอย่างอนัชรินจึงเข้ามากุมมือของนิชารินไว้อย่างให้ความมั่นใจ ไม่ใช่แค่ทำไปอย่างนั้น แต่เธออยากให้แม่เพื่อนมั่นใจจริงๆ ว่านีราจะปลอดภัยและสบายดีเมื่อไปถึงที่นั่น เธอเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าคนที่ไร่ชา ศุภกาญจน์ใจดีทุกคน พวกเขาต้องต้อนรับขับสู้นีราอย่างดีแน่ และเธอนี่แหละที่จะคอยดูแลเพื่อนรักเอง

“คุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ รินจะดูแลนิ้มเอง กรุงเทพฯกับเชียงรายไม่ไกลกันหรอก
ค่ะ นั่งเครื่องแป๊บเดียวเอง” เธอยิ้มให้อย่างจริงใจ และก็ได้ผล...

“จ้ะ... งั้นน้าฝากนิ้มด้วยนะ” แล้วนิชารินก็หันไปกอดลูกรักอีกครั้งหนึ่งพลางกระซิบบอก “เที่ยวให้สนุกนะลูก”

“ค่ะแม่ นิ้มจะเอานิยายเรื่องใหม่มาฝากแม่แน่นอน”

“จ้า เดินทางปลอดภัยนะ”

****************************
ฝากด้วยนะค้าาา ^^



อนีรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2555, 17:47:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2555, 17:47:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1368





<< **:: บทนำ ::**   
ร้อยวจี 6 มิ.ย. 2555, 19:44:07 น.
น่าตื่นเต้นดีค่ะ มาต่อนะคะ


หมูอ้วน 7 มิ.ย. 2555, 15:02:01 น.
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account