กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 28

ตอนที่ ๒๘

วริณสิตาไม่สบายใจเลย สาวน้อยนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะวิตกถึงสร้อยที่หาย เธอรู้ว่ามันคงตกอยู่ที่งานบ้านคุณอมรแน่ แต่ปัญหาคือเธอจะหาทางไปตามหาสร้อยคืนได้ยังไง

“เฮ้อ!” สาวน้อยผ่อนลมหายใจหนักหน่วง แต่แล้ววูบหนึ่งที่ผุดขึ้น ก็คือภาพหน้าผู้ปกครองที่เด่นชัด

จริงสิ! วริณสิตาดีดตัวลุกผึงจากเตียงทันที ถ้าบอกคุณพีเขาคงจะช่วยเธอได้แน่เลย! ไวเท่าความคิด เด็กสาวแล่นลิ่วไปที่ประตู ทว่าพอเอื้อมมือจะคว้าลูกบิด ไอ้มือตัวเองที่พันผ้าพันแผลไว้ก็ทำให้ชะงักก่อนความจริงแสนร้ายจะผุดขึ้นในสำนึกไม่ปรานี

ทำไมเธอนี่ถึงได้เป็นคนที่มีแต่ปัญหา ตั้งแต่มา กี่เรื่องแล้วไม่รู้...

ความดีใจลิงโลดหดหาย ทิ้งไว้แต่ความหม่นในหัวใจเมื่อท้ายสุดความจริงที่แสนร้ายกาจนั่นก็ทำให้ต้องกลับมานั่งที่เดิมแล้วเริ่มต้นคิดใหม่ วริณสิตานอนคิดวุ่นวายจนรุ่งเช้าถึงได้รีบลงไปหานางบัวศรี เด็กสาวตั้งใจจะปรึกษา บอกเล่าปัญหา แล้วก็เผื่อว่าผู้ใหญ่อย่างป้าบัวศรีจะช่วยเธอได้ แต่ทว่า...

“ของมันหายไปแล้ว ป้าว่าเจ้าก็ทำใจเถอะ” นางบัวศรีบอกง่ายๆ ท่าทีห่วงใยใจดีดูจะหายไปทันทีที่วริณสิตาบอกว่าคิดว่าสร้อยน่าจะตกอยู่ที่ไหน

“แต่ว่า...ป้ารู้จักกับคุณช้อยไม่ใช่หรือจ๊ะ ป้าช่วยโทรศัพท์ขอร้องคุณช้อยให้ช่วยดูสร้อยให้จิ๊บหน่อยได้ไหมจ๊ะ หรือว่าขอให้คุณช้อยช่วยขออนุญาตคุณอมร ให้จิ๊บได้เข้าไปหาของๆจิ๊บเองก็ได้ นะจ๊ะ ช่วยจิ๊บหน่อยเถอะ” วริณสิตาเว้าวอน ไม่ยอมทำใจแม้แต่นิด ก็ของสำคัญขนาดนั้นจะให้ปล่อยวางได้ยังไง

“นะจ๊ะป้า ช่วยจิ๊บหน่อยเถอะนะ นะจ๊ะ”

“โอย! ถึงจะรู้จัก แต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขั้นจะกล้าไปใช้เขาแบบนั้นนะเจ้าจิ๊บ! อีกอย่าง กะอีแค่สร้อยเก่าๆป่านนี้ใครที่ไหนมันเก็บไปทิ้งแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้!”

วริณสิตาหน้าเสีย

“แต่ว่า...”
“เอ๊! นี่พูดไม่รู้เรื่องรึยังไง ไป! ออกไปเดี๋ยวนี้เลย วันนี้อย่ามาเกะกะ!”

เมื่อถูกเอ็ดตะโรต่อว่าอย่างไม่เคยโดนมาก่อน วริณสิตาก็จำต้องถอยออกมา น้ำตาปริ่มๆเมื่อคิดถึงว่า ถ้ามีใครเอาสร้อยเธอไปทิ้งแล้วจริงๆ...แล้ว...เธอจะทำไง...

ก็ของชิ้นเดียวที่เหลือสำหรับดูต่างหน้ายาย มันมีค่าสำคัญมากมายกับเธอนะ แล้วเธอจะทำยังไง?...คิดแล้วน้ำตาก็ไม่ใช่แค่ปริ่มๆที่ขอบตาอีกต่อไป แต่ร่วงผล็อยลงมาเพราะความเสียใจและ...ใจเสียที่สุดเลย


แต่ยังไงก็ตาม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาวริณสิตาก็ต้องกลับมาเจอหน้านางบัวศรีอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมาทานอาหารเช้ากับพีรพัฒน์ สาวน้อยก้าวเข้ามาในห้องด้วยอาการหงอยๆ ยิ่งเห็นนางบัวศรีที่กำลังจัดอาหารบนโต๊ะตรงหน้าพีรพัฒน์ วริณสิตาก็ยิ่งก้มหน้า

เด็กสาวเดินมานั่งอย่างเงียบๆ ส่วนคนเป็นแม่บ้านก็ไม่ต่างกัน นางทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารของนาง ไม่มียิ้มทักทายหรือเสียงสนทนาสดใสกับสาวน้อยอย่างเดิม กับบรรยากาศผิดแผกอย่างนี้ พีรพัฒน์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ชายหนุ่มนิ่วหน้าน้อยๆอย่างสงสัย

“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถาม แม้จะรู้อยู่บ้างว่าเปอร์เซ็นที่จะได้คำตอบยาวๆเกินกว่าคำว่า ‘เปล่า’ จากแม่สาวน้อยคงมีไม่เยอะ แต่เขาก็ถาม เผื่อๆฟลุ๊ก

แต่แน่แหละ ทันทีที่แม่สาวน้อยเริ่มก้มหน้า ผู้ปกครองก็ชัดว่า...

“เปล่าค่ะ...”
“อืม!” ชายหนุ่มส่งเสียงฮืมฮัมในลำคอ จังหวะนั้นนางบัวศรีกำลังตักข้าวใส่จานให้เขาพอดี พีรพัฒน์เลยเอ่ยขอบใจก่อนจะหันกลับไปยิงคำถามกับสาวน้อยอีก

“แล้วนี่เธอยังเจ็บแผลอีกมั้ย? มีเศษแก้วอะไรค้างในแผลเธออีกหรือเปล่า”

ถามไปก็อย่างงั้น จริงๆชายหนุ่มตั้งใจจะคอยสังเกตท่าทีของนางบัวศรีต่างหากว่าจะมีอะไรไหม แต่ผลคือ ‘ไม่’ นางบัวศรีเพียงตักข้าวเปล่าใส่จานให้วริณสิตาและไม่เอ่ยอะไรกับคนเจ็บทั้งสิ้น! วริณสิตาเองก็ยิ่งก้มหน้า ตอบ ‘ไม่ค่ะ’ ให้เขาอีกครั้งอย่างเบาๆก่อนจ้องมองเมล็ดข้าวเอาเป็นเอาตาย

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ

“อือ! ดีแล้วล่ะ” เสียงเขาว่า “ไม่เจ็บไม่มีก็ดีแล้ว แล้วป้าบัวศรีล่ะ วันนี้ไม่สบายอะไรไปหรือเปล่า?”

“ขะ...คะ?” คนที่ไม่เคยคิดว่าจะถูกถามถึงกับสะดุ้งทันที “คุ...คุณพี...ถามป้าว่าอะไรนะคะ?”

พีรพัฒน์เลิกคิ้วขึ้นนิด

“ผมถามว่า วันนี้ป้าไม่สบายอะไรไปหรือเปล่า ดูไม่สดชื่นนะ”
“เอ่อ...โธ่! ไม่ใช่หรอกค่ะ ป้า...ป้าก็แค่เหนื่อยๆนั่นแหละค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า

“กลับดึกมากหรือครับเมื่อคืน?”
“อ่า...ก็...ก็ดึกอยู่ล่ะค่ะ” คนสูงวัยกว่าตอบอ้อมแอ้ม ความจริงแล้วหลังจากเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นางบัวศรีก็แทบทำอะไรไม่ได้อีกจนคุณช้อยต้องบอกให้นางกลับ ซึ่งก็ไม่ได้ดึกกว่าเวลาที่พีรพัฒน์กลับสักเท่าไหร่

“ผมเองก็ต้องขอโทษป้าด้วยนะที่กลับมาก่อน เหตุการณ์มันฉุกเฉิน” พีรพัฒน์จงใจเอ่ยอีก ชายหนุ่มอยากดูปฏิกิริยา ว่าเมื่อเขาลากการสนทนามาจน ‘เฉียด’ เรื่องอุบัติเหตุเมื่อคืนขนาดนี้แล้ว นางบัวศรีจะมีอะไรพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่ทว่า...

“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าเข้าใจ”

พีรพัฒน์ได้แต่กะพริบตา

“อืม! งั้นป้าก็ไปพักเถอะ ผมคงไม่เอาอะไรเพิ่มแล้ว ไม่ต้องมาคอยดูรับใช้อะไรผมหรอก” พีรพัฒน์บอกยาว หนนี้เรียกได้ว่าจงใจเปิดโอกาสให้ไปเลยทีเดียว เพราะเขาก็อยากจะทดสอบกันเป็นขั้นสุดท้ายว่า นอกจากเขาที่เห็นว่าเป็นเจ้านายแล้ว นางบัวศรีจะห่วงใยอยากดูแลแม่สาวน้อยมือเดี้ยงนี่บ้างมั้ย?

“เอ่อ...งั้น...งั้นป้าก็ขอบคุณคุณพีค่ะ”

เป็นอันว่ามันมีความผิดปกติอย่างมากเกิดขึ้นจริง!

ชายหนุ่มเครียดขึ้นทันที เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างวริณสิตากับนางบัวศรี เขาจ้องมองสาวน้อยในปกครอง วริณสิตายิ่งดูจ๋อยและหงอยลงไปกว่าที่เคยอีกไม่รู้กี่เท่า

แล้วเขาจะทำยังไง? ดูท่าสองคนคงไม่มีใครจะยอมเล่าง่ายๆด้วย

พีรพัฒน์กระแทกลมหายใจ ผนวกกับไอ้ความลำบากที่ต้องเห็นแม่สาวน้อยนี่พยายามตักข้าวเข้าปากด้วยมือซ้ายข้างเดียว ผู้ปกครองหนุ่มก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ไหน มานี่ซิ” เสียงเขาว่า แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นไวปุบปับ เมื่อผู้ปกครองเล่นฉวยช้อนจากมือไปอย่างปุ๊บปั๊บก่อนจะตักข้าวแล้วยื่นมาตรงหน้า

สาวน้อยได้แต่กะพริบตา

“เอ่อ...เขาะ...ขอบคุณค่ะ”

ตอบเขาไปเบาๆก่อนเอื้อมมือจะไปรับช้อนข้าว แต่ทว่า...

“ถ้าจะมานั่งรับช้อนจากฉันทีละคำๆอย่างงี้แล้วอีกกี่ปีเราถึงจะกินข้าวเสร็จ หืม?”
“คะ?”

วริณสิตางงค้างทันที

“อ้าปาก”
“หา?”

สาวน้อยอุทานออกมา แต่หน้าผู้ปกครองนี่ จริงจังสุดๆ

“ฉันบอกให้อ้าปากไง”
“แต่ แต่ว่า”
“นี่คิดจะขัดคำสั่งผู้ปกครองเรอะ?”

เมื่อเจอคำถามแนวกล่าวหาวริณสิตาเลยได้แต่อ้าปากค้าง แต่นั่นกลับทำให้พีรพัฒน์ส่งช้อนข้าวเข้าปากเธอได้ซะงั้น!

สาวน้อยแทบจะแข็งค้าง เพราะนั่นคือครั้งแรกในชีวิตที่คน ‘ป้อน’ ข้าวให้ยามไม่สบาย ไม่ใช่ยายเธอ!

“อืม! อย่างงี้ค่อยว่าง่ายหน่อย” เสียงเขาพูด เหมือนจะอารมณ์ดีจนหัวเราะน้อยๆ นี่คงไม่รู้เลยใช่ไหมว่าใจสาวน้อยนี่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะไปแล้ว!

วริณสิตาหลุบตาลงต่ำทันที ไม่กล้าแม้แต่จะมองส่วนอื่นๆของร่างกายที่ไม่ใช่หน้าเขาเสียด้วยซ้ำ

พีรพัฒน์อมยิ้มขบขัน กับผิวแก้มที่ซับสีเลือดขึ้นนั้น ก็ทำให้เขารู้สึก...มีความสุขประหลาดๆ

“เอ้า! อ้าปากอีกสิ เร็ว”
“มะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนู...หนูทานเองได้” วริณสิตาอ้อมแอ้ม แต่แน่แหละ มันไร้ผล! ผู้ปกครองแกล้งดึงช้อนหนีและขณะที่เธอเอื้อมมือจะแย่งช้อนกลับ เขาก็คว้ามือเธอไว้ขวับทันที!

คราวนี้เลยหนักเลย!

“หึๆ” ผู้ปกครองยิ้มเจ้าเล่ห์ “อ้าปากซะดีๆ ยายเด็กดื้อ!”

กับสรรพนามนั้น สาวน้อยก็พิพักพิพ่วนบอกไม่ถูก ตอนนี้ใจนี่เต้นตูมอย่างกับจะหลุดมานอกอก! แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเมื่อผู้ปกครองไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเลยสักนิด สาวน้อยเลยต้องกลั้นใจ หลับตาแล้วอ้าปากไปพร้อมแอบภาวนาในใจ ขอให้ลิ้นตัวเองตายด้าน อย่ารับรู้รสชาติอะไรเลย!

แต่ทว่า...รสอะไรบางอย่างก็ซึมลึกลงไปในใจอย่างช่วยไม่ได้สักนิด...

วริณสิตารีบก้มหน้า หลุบตาลงอีกครั้ง

“อืม!” เสียงผู้ปกครองว่า “ถ้าไม่ดื้อเสียหน่อยน้า รู้มั้ยว่าเธอจะ...”

ดูเหมือนเขาจะจงใจหยุดคำพูดไว้แค่นั้นซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลให้คนฟัง...อยากรู้จนต้องทำใจกล้า เงยหน้าขึ้นมาถามเสียงอุบอิบว่า

“จะ...อะไรเหรอคะ?”
“ก๊อ...จะเป็นเด็กดีมากเลยไง!”

แล้วเสียงหัวเราะผู้ปกครองก็ปลิวว่อนขณะที่เด็กในปกครองต้องแอบหน้ามุ่ย ก็มันรู้สึกเหมือนตัวเองโดนแกล้งเข้าให้อีกแล้ว! แต่ทั้งยิ้มแป้นแร้นบนใบหน้ากับแววตาซุกซนอย่างผู้ใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ ก็ทำให้คนถูกแกล้งหวนนึกถึงผู้ปกครองคนนั้น

คน...ที่เหมือนจะนิ่งขึงไม่สนใจ
แต่สุดท้ายเขาก็พาเธอไปรู้จักบ้านสวน

คน...ที่เหมือนต้องการจะบังคับใจ
แต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้เธอได้เรียนในสิ่งที่ฝัน

ทั้งหมดนั่นก็คือ ‘เขา’ คนที่กำลังยิ้มร่าอารมณ์ดีกับการแหย่เธอได้ตอนนี้ สาวน้อยตัดสินใจทันที

“คุณพีคะ คือว่าหนูมี”
“อ๊าย! นี่มันอะไรกันคะพี?!”
เสียงแหลมปรี๊ดที่กรีดเข้าไปในแก้วหูส่งผลให้คนมีอะไรจะพูดต้องชะงัก สาวน้อยชักมือออกจากมือของพีรพัฒน์ทันที แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หทัยรักตรงปรี่เข้ามา สีหน้าบึ้งจัด

“รัก” พีรพัฒน์เอ่ยเรียกอาคันตุกะสาวเบาๆ แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่เบากับเขาสักนิด

“อะไรคะ!? นี่มันอะไรกัน!” สาวสวยว่า สะบัดหน้าจ้องมองวริณสิตาด้วยดวงตาแข็งกร้าว
“กะอีแค่แก้วบาด มันจะอาการหนักถึงขนาดต้องป้อนข้าวป้อนน้ำกันเลยเรอะ จะสำออยไปรึเปล่า!”

วริณสิตาเบิกตา ปกตินี่ความอดกลั้นเธอมักจะสูงมากเป็นพิเศษ นั่นเพราะยายสอนมา ว่าให้อดทนต่อคำดูแคลนของคน!
ก็ชีวิตขัดสนมันทำให้บางครั้ง ยายต้องไปหยิบยืมเงินจากเพื่อนบ้านมาเป็นค่าเทอมเธอบ้างเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้นเธอกับยายจึงต้องเผชิญถ้อยคำดูแคลนเสมอไม่มากก็น้อย ยายจึงคอยสอนเสมอ

‘จริงอยู่ที่เราจน แต่เราก็มีเกียรติของเรานะลูก’

แม้ตอนนั้นวัยจะยังไม่พ้นสิบขวบ แต่วริณสิตาก็จำได้ ว่าตัวเองยังเอียงคอถามไปเพราะไม่เข้าใจในคำว่า ‘เกียรติ’ ของยายนัก

‘เกียรติของเรา? ยังไงหรือจ๊ะ?’

รอยยิ้มบางๆเป็นอีกอย่างที่จำได้ดี น้ำเสียงนุ่มๆตอนยายพร่ำสอน อธิบายให้เธอเข้าใจ

‘ก็จิ๊บกับยาย สู้อดทนกันก่อนใช่ไหม เราสองคนช่วยกันทำงานหนักทุกอย่างตามเรี่ยวแรง ตามความสามารถของเราแล้วใช่ไหม เราจะพึ่งตนเองก่อนและไม่เคยขอร้องใครถ้าเรื่องนั้นไม่เหลือบากไปกว่าแรงของเราใช่ไหม นั่นคือเกียรติยังไงล่ะลูก เกียรติในแบบของคนจนอย่างเรา’

‘เกียรติ...ในแบบของเราเหรอจ๊ะ?’

‘ใช่แล้วลูก เกียรติในแบบของเรา แต่ถ้าวันหนึ่งมันถึงคราว ที่เราจำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นบ้าง เราก็ต้องรู้จักอดทนอีกเหมือนกัน จำเอาไว้นะลูก ยายจะสอน เกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น กับงานหนักละหนึ่งอย่าง แล้วก็ความโกรธอีกหนึ่งอย่าง ชนะโกรธก็เท่าชนะตน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดนะลูกนะ จำไว้’

นั่นละ! วริณสิตาจำขึ้นใจและใช้คำสอนของยายมาตลอด แต่กับวันนี้ นาทีนี้ และคำว่า ‘สำออย’ คำนี้ สาวน้อยก็ชักไม่แน่ใจ! เพราะมันดูจะเป็นคำกล่าวหาเลวร้ายที่เหยียบย่ำกันมากเกินไปแล้ว!

วริณสิตาเงยหน้าขึ้นมา จ้องตาหทัยรักด้วยแววกร้าว หนนี้คงพอที เธอจะไม่นั่งนิ่งๆให้ผู้หญิงที่สวยแค่รูปคนนี้ดูถูกอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่า...

“นี่คุณพูดอะไรออกมาหทัยรัก” เสียงทุ้มเข้มจัดที่ขัดขึ้นส่งผลให้สาวสวยสะบัดหน้ามาทันที วินาทีแรกหทัยรักเหมือนจะปรี๊ดแตกวีนหาเรื่อง แต่พอเห็นแววจริงจังในหน้าของพีรพัฒน์ หทัยรักก็เหมือนจะนึกอะไรได้

ใช่! ก็อุตส่าห์วางมาดเป็นไฮโซมาตลอด แล้วไหงจู่ๆดันสติแตก พ่นคำจัดจ้านร้านตลาดใส่หน้านังเด็กนั่นได้ไง

อ๊าย! ภาพพจน์ล่ะภาพพจน์?!

“เอ่อ...” สาวสวยต้องหาทางไปต่อทันที “โธ่! พี อย่ามองรักด้วยสายตาอย่างงั้นสิคะ!” คุณหนูมาดผู้ดีเริ่มโอดครวญ

“นี่รักอุตส่าห์เป็นห่วงนะคะถึงได้มาเยี่ยมเช้าขนาดนี้ แต่ดูซิ! ไม่เห็นมีใครสนใจรักสักคน ขนาดรักขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านแล้ว พียังไม่ได้ยินเลย แล้วจะไม่ให้รักน้อยใจได้ไงคะ?”

ว่าจบหทัยรักก็ฉวยโอกาสทรุดตัวลงนั่งข้างพีรพัฒน์ทันที น้ำตาใสๆประหนึ่งจะไหลเมื่อเชิดหน้า

“ใช่สิคะ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจรักแล้วนี่ คิดดูเถอะ วันนี้แม้แต่ทานอาหารเช้า คุณพ่อยังไม่เรียกรักสักคำ เพราะอย่างงี้ไงคะ รักถึงต้องบากหน้ามาหาพี”

ชายหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจหนักๆ ดูเหมือนหทัยรักเพิ่งจะให้เหตุผลในการมาบ้านเขาที่ขัดกันเองอยู่สองข้อ แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่รู้ จึงตั้งท่ากระเง้ากระงอดต่อ

“ฮึ! พีน่ะคงไม่รู้เลยสินะคะ ว่ารักรู้สึกยังไงที่ต้องกลายเป็นหมาหัวเน่า เพราะดันใจอ่อนกับคำพูดใครบางคนจนยอมให้คุณพ่อได้แต่งงานใหม่! คนใจร้าย!”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะรัก” พีรพัฒน์พูด ช่วยไม่ได้เลยที่ต้องเอ่ยไปเช่นนั้นเมื่อหทัยรักดันจะบ่งเสียอย่างงั้น ว่าที่ตนต้องตกอยู่ในสถานภาพ ‘ไม่ได้รับความสนใจ’ ก็เป็นเพราะเขาที่ไปช่วยคุณอมรพูด!

ชายหนุ่มรู้สึกยุ่งยากใจ และแน่นอนว่าโอกาสทองแบบนี้หทัยรักก็ไม่ยอมที่จะพลาด สาวสวยผินหน้ากลับมา นัยน์ตายังรื้น

“งั้นพีก็อย่าต่อว่ารักด้วยสายตาแบบนั้นสิคะ ตอนนี้รักไม่มีใครแล้วนะ”

พีรพัฒน์พูดไม่ออก ประโยคนั้นมันฟังเป็นคำออดอ้อนแนวมัดมือชกเสียจนรู้สึกแปลกปร่า ตัดสินใจหันไปมองเด็กในปกครองก็ดันได้เห็นว่า แม่สาวน้อยจ้องนั้นมา แล้วจู่ๆก็แกล้งเบือนหน้าเมินเขาซะอย่างนั้น!

อะไรกัน! อารมณ์นั้นชายหนุ่มหน้าบึ้งทันที
ก็ยายเด็กอวดดี! มีสิทธิ์อะไรมาเบือนหน้าใส่เขาแบบนี้เนี่ย?!

จังหวะนั้นนางบัวศรีกลับเข้ามาดูในห้องอาหารอีกครั้งพอดี หทัยรักจึงได้โอกาส หันไปสั่ง

“อ่อนี่ แม่บัวศรี เดี๋ยวไปจัดอาหารเช้าสำหรับฉันอีกชุดหนึ่งนะ แล้วต่อไปก็จัดมาทุกวันด้วยล่ะ เพราะฉันจะมาทานอาหารเช้ากับคุณพีทุกวัน เข้าใจนะ”

“อ่า...” นางบัวศรีได้แต่กะพริบตา เอ่ออ่ากับคำสั่งนั้น ก่อนจะหันไปมองเจ้าของบ้านว่าเขาจะเอ่ยอะไรต่อคำสั่งการของอาคันตุกะสาวหรือไม่ แต่เมื่อท้ายสุดพีรพัฒน์ไม่เอ่ยอะไร นางจึงได้แต่รับคำไปตะกกุกตะกัก
“อ่า...ค่ะๆ ได้ค่ะ”

หทัยรักยิ้มกว้าง หันกลับไปทางพีรพัฒน์

“ขอบคุณนะคะพี คุณเนี่ยใจดีกับรักที่หนึ่งเลย”

สาวน้อยได้แต่ก้มหน้า พยายามไม่นึกว่าพรุ่งนี้และ...ต่อไปอีกไม่รู้กี่เดือนกี่ปี มื้อเช้าของเธอจะเลวร้ายได้ขนาดไหน

แต่นั่นอาจเป็นการคาดการณ์ที่ช้าไป เพราะจริงๆมันเริ่มเลวร้ายมาตั้งแต่เมื่อห้านาทีที่สาวสวยคนนี้แหย่เท้าเข้ามาในบ้านนี้แล้วต่างหาก!

“อ่อ! นี่ เดี๋ยวซิแม่บัวศรี”
แล้วเสียงหทัยรักก็ขัดขึ้นอีกเมื่อนางบัวศรีกำลังจะออกไปจัดอาหารมาให้อีกชุดตามสั่ง แม่บ้านวัยหกสิบห้าได้แต่ชะงักแล้วหันกลับไปถาม

“เอ่อ...คะ? คุณรักต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือคะ?”

หทัยรักเชิดหน้า ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีกุหลาบเหยียดยิ้มชัดเมื่อเอ่ย

“เดี๋ยวช่วยพาวริณสิตาออกไปด้วยนะ เห็นอยู่ใช่มั้ยฮะ ว่าเขามือเจ็บ กินอะไรไม่สะดวก เพราะงั้นจะเอาไปป้อนข้าวป้อนน้ำที่ไหนก็ไป แต่อย่ามาปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นภาระเจ้าของบ้านเขาอย่างนี้ มันไม่เหมาะ เข้าใจรึเปล่า”

“ดิฉันอิ่มแล้วค่ะ!” วริณสิตาโพล่งขึ้นแล้วลุกทันที รู้ดีว่าการกระทำนั้นคงเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแน่ แต่ไม่ทันที่หทัยรักจะได้ฉวยโอกาสปรี๊ดแตก เสียงรถอีกคันที่แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านก็เป็นดั่งระฆังช่วยชีวิต

“ใครมา?”
“อ่า...งั้น งั้นเดี๋ยวอิฉันจะออกไปดูให้นะคะ” นางบัวศรีรีบว่า กะจะปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์เครียดๆ แต่ก็ไม่ทันที่นางจะได้ออกไปพ้นห้องอาหาร อาคันตุกะอีกคนที่มาใหม่ก็ดันถือวิสาสะเยี่ยมหน้าเข้ามาที่ประตูห้องอาหารแล้ว

พีรพัฒน์รู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูกทันทีขณะที่หทัยรักกลับรู้สึกสุดแสนปรีดาที่คนที่มาเป็นเด็กหนุ่มคนนี้

“อ้าว! นี่เธอเองหรอกเหรอเนี่ย มาได้ยังไงกันฮะ นายนนท์” หทัยรักทักเสียงใส การนนท์ดูจะชะงักไปนิด แต่ในที่สุดหนุ่มน้อยก็ยกมือไหว้

“สวัสดีครับ ผมมาเยี่ยมจิ๊บ”
“แหม! ไม่ต้องบอกก็รู้จ้ะ ขนมนมเนยซะกระเช้าใหญ่ขนาดนั้น” หทัยรักว่า แสร้งหันไปทางชายหนุ่ม

“นี่เห็นเย้วๆมาตั้งแต่เด็กนะคะพี เพิ่งจะรู้ว่าน้องชายรักเขาน่ารักก็วันนี้ ดูซิ รู้จักเป็นห่วงสาว!”

แล้วหทัยรักก็หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา ทั้งๆที่ไม่มีหน้าไหนอยู่ในอารมณ์จะยิ้มกับเจ้าหล่อนได้สักนิด!

การนนท์เดินเข้ามาหาวริณสิตา

“เอ่อ...จิ๊บเป็นไงมั่งล่ะ” หนุ่มน้อยถาม แต่แล้วเสียงแหลมๆก็ยังดังขึ้นอีก
“อุ๊ย! แหม ไม่ต้องใจร้อนจ้ะ พี่ว่าเธอออกไปหาที่นั่งคุยกันข้างนอกดีไหมจ๊ะ จะได้คุยกันได้ตามประสาไง!”

วริณสิตาสูดลมหายใจ พยายามมากมายที่จะอดกลั้น นาทีนั้นไม่หันไปมองผู้ปกครองแม้แต่นิด

“การนนท์ เราไปที่สนามกันมั้ย”
“อือ” และเมื่อเพื่อนหนุ่มพยักหน้า วริณสิตาก็หมุนตัวจะออกไป แต่ทว่า...

“อ้อ! วริณสิตาจ๊ะ ยังไงถ้ามือเธอเจ็บทานข้าวไม่สะดวกเนี่ย ลองให้นายนนท์เขาช่วยป้อนก็ได้นะ สนิทกัน คงไม่ขัดเขินกันหรอกมั้ง จริงไหมจ๊ะ?!”



เมื่อได้ทรุดตัวนั่งที่ชุดรับแขกสีขาวในสนาม วริณสิตาก็ทำหน้าไม่เสบยเอาเสียเลย เห็นอย่างนั้นการนนท์ก็ชักอยู่ไม่สุข

“เอ่อ...จิ๊บ...เป็นอะไรรึเปล่า” หนุ่มน้อยเลียบๆถาม
“หืม? แผลน่ะเหรอ ยังเจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วแหละ” วริณสิตาตอบ
เหมือนเธอจะเข้าใจว่าเขาถามเรื่องแผล แต่จริงๆแล้วการนนท์หมายถึงเรื่องคำพูดของหญิงสาวที่มีศักดิ์เป็นพี่เขาด้วย เพราะแม้ถ้อยคำที่หทัยรักพล่ามออกมาจะฟังหวานหูด้วยหางเสียงจ๊ะจ๋า แต่ต่อให้ใครหน้าไหนได้มาฟัง ก็รู้ทั้งนั้นว่าคนพูดมิได้พูดไปเพราะความเอ็นดูเลย

การนนท์ยิ้มเจื่อน

“อืม...พี่รักเขาก็เป็นอย่างงั้นแหละ ปากร้ายนิดๆ จิ๊บอย่าคิดมาก”

วริณสิตาได้แต่คลี่ยิ้มแผ่วๆ ไม่ใช่เรื่องวาจาร้ายๆของหทัยรักเท่านั้นที่รบกวนใจสาวน้อย แต่การนนท์ไม่รู้เรื่องนั้น ยิ่งเห็นเพื่อนสาวนั่งหงอยยิ่งกว่าอะไร ใจก็ยิ่งไม่ดี

“เอ่อ นี่! กินหนมมั้ย? อ่ะ!” ว่าแล้วก็จรลีแกะเปลือกช็อคโกแลตแท่งที่ตั้งใจเอามาฝากยื่นไปให้ แต่วริณสิตากลับมองมือหนาๆของเขาแล้วทำหน้าพิพักพิพ่วนไม่ไว้ใจส่งผลให้การนนท์ต้องร้อง

“ฮึย! บ้า แกะให้เฉยๆน่า เราไม่ป้อนจิ๊บหรอก ไม่เคยป้อนอาหารคน ปรกติป้อนแต่หมา” การนนท์ว่าเข้าไปนั่น แต่มันทำให้สาวน้อยหัวเราะกิ๊ก

“ขอบใจนะ” วริณสิตาว่าก่อนยอมรับช็อคโกแล็ตมากิน กินไปก็ครุ่นคิดว่าจะขอให้คนตรงหน้าช่วยเรื่องตามหาสร้อยดีไหม หลังจากที่โดนนางบัวศรีเอ็ดไป วริณสิตาก็ตระหนักว่า เธอคงต้องคิดให้มากขึ้นในการจะขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่ใช่สักแต่จะยึดความร้อนรนใจของตนเท่านั้น

“การนนท์...เธอช่วยอะไรเราสักอย่างได้รึเปล่า” วริณสิตากล่าวค่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าหนุ่มน้อยก็ตอบทันใด
“อืม! หลายอย่างก็ได้ ว่ามาสิ”

แล้ววริณสิตาก็เล่าเรื่องสร้อยคอที่หายซึ่งรบกวนใจเธออย่างหนักพร้อมปิดท้ายด้วยการขอให้การนนท์ช่วยเธอในเรื่องนี้

“โธ่! เรื่องแค่นี้ ทำไมจะไม่ได้เล่า”
“จริงนะ?”
“เอ้า! จริงดิ เราพาจิ๊บไปหาตอนนี้เลยยังได้”

วริณสิตายิ้มกว้าง เมื่อเห็นทางจะตามหาสร้อยคืนได้สาวน้อยก็ดีใจมากเสียจนเผลอตัวไปคว้ามือการนนท์ไว้ด้วยความขอบคุณ

“ขอบคุณนะการนนท์ ขอบคุณมากๆ”
“เอ่อ...มะ...ไม่เป็นไร” หนุ่มน้อยเกือบติดอ่าง แต่เมื่อตั้งสติได้ก็ตัดสินใจใช้โอกาส วางมือซ้อนมือบางๆของวริณสิตาก่อนจะเอ่ยอะไรปลื้มๆออกมา
“เพื่อนกัน เรายินดีอยู่แล้ว!”

สาวน้อยยิ้ม หนุ่มน้อยก็ยิ้มตอบ

“เออ! ว่าแต่ ต้องไปขออนุญาตคุณพีเปล่า ถ้าเราจะไปกันเนี่ย”
“อืม!” วริณสิตาพยักหน้า ดีดตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เมื่อตั้งใจจะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อขออนุญาตคุณพี แต่ทว่า...เพียงแค่หมุนตัวมา ร่างสูงสง่าของผู้ปกครองก็อยู่เบื้องหน้าเธอเสียแล้ว

เขาอยู่ตรงนั้น ด้านหลังวริณสิตากับการนนท์ นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่สีหน้าดูบึ้ง และแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ข้างกายจะขาดหทัยรัก สาวสวยนัยน์ตาวาววับ ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มพราย

“ต๊าย! ได้ยินแว่วๆ นัดกัน...จะออกไปเที่ยวกันหรือจ๊ะ?”

“เอ่อ...คือ” สาวน้อยอยากอธิบาย แต่ทว่า...

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะไปไหนกัน!” นาทีนั้นผู้ปกครองประกาศ “แต่ฉันไม่อนุญาต หมดเวลาเล่นของเธอแล้ววริณสิตา ส่งเพื่อนกลับแล้วตามไปที่ห้องทำงานฉันเดี๋ยวนี้ ถึงเวลาที่เธอต้องเรียนกับฉันตามสัญญาสักทีแล้ว!”

วริณสิตาอ้าปากค้าง และผู้ปกครองก็ไม่มีการอยู่รอฟังอะไรทั้งสิ้น เขาหมุนตัวกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าบึ้งจัด เพียงหทัยรักเท่านั้นที่หัวเราะคิกคักก่อนหันกลับมา ขยิบตาและส่งเสียงสำทับเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“เร็วนิดนึงนะจ๊ะ ฉันกับพีรออยู่!”
..............



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2554, 10:55:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2554, 10:55:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 3324





<< ตอนที่ 27   ตอนที่ 29 >>
Pat 4 พ.ค. 2554, 21:36:25 น.
^^ ไล่ทันแล้ว


ยี้ก้อยแม้วน้อยกลอยใจ 25 มี.ค. 2555, 03:36:56 น.
นังร้ายยยยยยมากก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account