กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 30

ตอนที่ ๓๐

พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาทันทีที่ได้ทรุดตัวลงนั่งหลังโต๊ะทำงาน แม้เสียง ‘เฮ่อ’ นั้นจะเป็นเพียงการเป่าลมออกจากปากค่อยๆ แต่รุ่งรวีเลขานุการิณีสาวใหญ่ที่ถือเอกสารตามหลังเอามาให้เขาก็ยังได้ยิน

“เหนื่อยหรือคะท่านประธาน” รุ่งรวีถามยิ้มๆ แต่คนถูกถามขยับตัวนิดๆทันที เขาไม่ได้ตอบรับเป็นวาจา แค่ยิ้มนิดๆคืนเลขาฯ แต่เท่านั้นรุ่งรวีก็รู้ เลขานุการิณีสาวใหญ่มองพีรพัฒน์อย่างเห็นใจ

“ประชุมบร์อดก็เป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ ขนาดคุณอังท่านยังเคยเครียดบ่อยๆเลยค่ะ” รุ่งรวีบอก ตัวเธอนั้นได้ทำหน้าที่เป็นเลขาฯให้คุณอังกาบมาตั้งแต่เอพีกรุ๊ปเริ่มก่อตั้ง จึงเข้าใจดีว่าเวลามีการประชุมและมีเรื่องถกกันในบร์อดผู้บริหารนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก โดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการใหญ่ เพราะถึงแม้จะใหญ่สุด แต่ก็ไม่ใช่จะเอาอะไรตามใจได้เสมอ เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานกรรมการใหม่ต้องมาเจอกรรมการร่วมเก่าๆที่มากกว่าทั้งอาวุโสและเจนจัดเขี้ยวลากดิน

“ท่านประธานจะรับกาแฟหรือขนมทานสักหน่อยไหมคะ ดิฉันจะไปจัดให้”
“ขอบคุณครับ”

เมื่อชายหนุ่มตอบรับรุ่งรวีก็ออกไป ไม่เกินห้านาทีเลขานุการิณีสาวใหญ่ก็กลับมาพร้อมกาแฟและคุกกี้จานเล็กๆก่อนจะออกไปอีกครั้งเพื่อให้พีรพัฒน์ได้อยู่ตามลำพัง

เมื่อได้อยู่กับความเงียบชายหนุ่มไม่ได้แตะต้องกาแฟหรือคุกกี้เนื่องจากรู้ตัวเองดีว่าของพวกนี้แก้เครียดให้เขาไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องถกในประชุมกรรมการบริหารเท่านั้นนี่ที่ทำให้เขาต้องคิด เรื่องอื่นที่มีอิทธิพลไมยิ่งหย่อนก็มี

พีรพัฒน์ผ่อนลมหายใจออกไปหนักๆเมื่อนึกถึงเด็กในปกครอง

สองวันมาแล้วที่เขากับแม่สาวน้อยนั่นไม่ได้พูดกันเลย

ใช่! ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันแต่มันก็มีอุปสรรคกั้นตลอด ไหนจะหทัยรักที่ดูจะเอาจริงเรื่องที่จะมาทานข้าวที่บ้านเขาทุกมื้อ แล้วไหนจะตัวแม่สาวน้อยเองนั่น ที่พอเจอะหน้าเขาก็เอาแต่ก้มงุด ไม่คิดจะพูดจะจากับเขาสักนิดล่ะ ทำอย่างกับว่าเขากลายร่างเป็นยักษ์เป็นมารไปแล้วอย่างนั้น!

คิดแล้วพีรพัฒน์ก็ได้แต่กระแทกลมหายใจออกไปอีก

ใช่! จริงอยู่ที่วันนั้นเขาโกรธ ทั้งโกรธทั้งโมโห แต่ว่า...เขาไปโมโหด้วยเหตุผลอะไรเล่า

นัยน์ตาคมเข้มหรี่แสงลงเมื่อได้มีเวลาครุ่นคิดกับตัวเองอยู่เงียบๆ

เขาโกรธเพียงเพราะมีเพื่อนเยี่ยมวริณสิตาอย่างงั้นรึ
หรือเขาโกรธ...เพียงเพราะวริณสิตาไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจที่หทัยรักพยายามสอน ทั้งๆที่...

ทั้งๆที่ถ้าไม่ต้องรักษาหน้า พีรพัฒน์ก็อยากจะสารภาพเหมือนกันว่า เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจศัพท์แสงด้านการบริหารทรัพย์สินของหทัยรักเลย!

“เฮ้อ! แย่จริง แย่จริงๆไอ้พีเอ๊ย” ชายหนุ่มได้แต่บ่นพร่ำกับตัวเองดังๆ ก่อนจะหยิบมือถือออกมาแล้วกดโทร.หาคุณดวงทิพย์ นี่อีกอย่าง เพราะเรื่องวุ่นต่างๆทำให้พักนี้เขาไม่ค่อยได้คุยกับแม่ได้ทุกวันเหมือนอย่างก่อน

“สวัสดีครับ” พีรพัฒน์เอ่ยทันทีที่ได้ยินเสียงนุ่มๆของมารดาเอ่ยรับสาย

“ว่ายังไงจ๊ะ?”
“คิดถึงน่ะสิครับ”

คุณดวงทิพย์ได้แต่หัวเราะเบาๆมาตามสาย จังหวะนั้นพีรพัฒน์ใส่ใจที่จะคุยกับคนเป็นแม่เสียมากกว่าจนไม่ได้ยินเสียงและไม่รู้ว่าหทัยรักนั้นถือวิสาสะเปิดประตูห้องทำงานเขาเข้ามาอีกแล้ว

“ไม่ได้ปากหวานนะครับ มีเรื่องจะคุยกับแม่ตั้งเยอะจริงๆ เย็นนี้ผมไปทานข้าวด้วยนะครับ จะพาลูกมือไปช่วยแม่ทำกับข้าวด้วยคนหนึ่ง”

สาวสวยยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้น กำลังจะก้าวเข้าไปหา แต่ทว่า...

“ครับ ผมก็ว่าวริณสิตาต้องคิดถึงแม่ สวนผัก แล้วก็ลูกชุบเหมือนกัน รับประกันได้เลย”

หทัยรักชะงักทันที ยิ้มกว้างหุบลงฉับ

“ครับ เย็นนี้เจอกันครับแม่”

สาวสวยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกตึงเครียดแผ่ซ่าน
หทัยรักเชิดหน้า รอให้พีรพัฒน์ได้หันมาเห็นว่าเธอน่ะยืนอยู่ตรงหน้าห้องเขา แต่ชายหนุ่มดูจะไม่รู้สึกสักนิด พีรพัฒน์มัวแต่ยิ้มให้มือถือก่อนที่จะกดโทร.ออกอีกครั้งทันที

“ป้าบัวศรี นี่ผมเองนะ อืม เดี๋ยวรบกวนป้าให้บอกลุงก้านด้วยว่าเย็นนี้ไม่ต้องไปรับวริณสิตา ผมจะไปรับเขาเอง จะพาเขาไปบ้านสวนน่ะ อืม ไม่ต้องเผื่อหรอก ใช่ คงทานข้าวเย็นที่นั่นเลย”

หทัยรักขบกรามแน่น เม้มปากจนบางเฉียบก่อนหมุนตัวออกมาจากห้องของพีรพัฒน์อย่างเงียบเชียบ ดวงตาสวยสาวเบิกกว้างและวาวโรจน์อย่างมุ่งมาด

จะรับไปทานข้าวงั้นเรอะ ฝันไปเถอะ!



การนนท์ได้แต่กะพริบตาอ้าปากหวอเมื่อเห็นวริณสิตาและพยุดาพากันหอบหนังสือออกมาจากห้องสมุดเป็นตั้งๆ

“โห...อีกตั้งสองเดือนกว่าไม่ใช่เหรอกว่าเราจะสอบกลางภาค ไหงเริ่มหอบหนังสือมาอ่านเป็นภูเขาอย่างงั้นเล่า ขู่กันเหรอเนี่ย” หนุ่มน้อยถาม แต่ถึงกระนั้นก็ยังลุกพรึ่บจากโต๊ะประจำ ตรงรี่เข้ามาช่วยปันหนังสือจากตั้งของวริณสิตาไป อากัปกิริยาแบบลำเอียงออกนอกหน้าอย่างนั้น ส่งผลให้สาวแว่นที่ก็ถือมาตั้งใหญ่เท่ากันนั้นเกิดอาการหมั่นไส้

“ไม่ใช่ย่ะ!” พยุดาว่าให้ “เนี่ย เป็นวิชาพิเศษที่จิ๊บต้องศึกษาต่างหาก”

“หืม?” การนนท์นิ่วหน้าทันที ก้มมองหนังสือที่ตัวเองแบ่งมาถือสามเล่ม “การบริหารทรัพย์สิน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เบื้องต้น คู่มือนักบริหารอสังหาริมทรัพย์ชั้นเลิศ เหอ อะไรอ่ะ?”

วริณสิตายิ้มหวานขณะวางหนังสือลงบนโต๊ะ

“ก๊อ...อีกหนึ่งหลักสูตรที่เราต้องเรียนไง” สาวน้อยบอก แต่การนนท์ก็ยังงงไม่หาย

“เฮ้ย! จริงอ่ะ จิ๊บไปสมัครไปเรียนบริหารอีกปริญญาเหรอ ทำไมเราไม่รู้”

“อ๊าว!” สาวแว่นแกล้งร้องสูง วางหนังสือที่ช่วยยืมจากห้องสมุดลงกองข้างๆกับวริณสิตาก่อนตอบกวนให้คู่ปรับว่า

“เพราะสมองปลาทองไม่สำคัญไง จิ๊บเลยไม่บอก”

“นี่ ใครเขาถามเธอฮะยายแว่น?!”

“ทำมะ?!”

“เฮ้อ!” สาวน้อยลากเสียงยาว “เธอสองคนเนี่ย ไม่เบื่อกันมั่งเหรอทะเลาะกันทุกวันเนี่ย”

“เชอะ!/เชอะ!”

แล้วหนุ่มน้อยกับสาวแว่นต่างก็สะบัดหน้าใส่กันเมื่อโดนดักคอ วริณสิตาอมยิ้มขันๆ หยิบหนังสือคู่มือนักบริหารอสังหาริมทรัพย์ชั้นเลิศขึ้นมาพิศดู

“เราไม่ได้สมัครปริญญาบริหารอะไรหรอกการนนท์” วริณสิตาพูด “แต่เราเคยให้สัญญาไว้ ที่คุณพีอนุญาตเขาให้เราเรียนเกษตรได้ แต่เราต้องแบ่งเวลาไปเรียนรู้งานของเอพีกรุ๊ปเพื่อช่วยเขาด้วยก็เท่านั้น”

“งั้นก็แปลว่านอกจากฟิสิกส์ เคมี ชีวะที่พวกเราต้องเรียนแล้ว จิ๊บยังต้องหาเวลามาเรียนไอ้พวกนี้ด้วย?”

“ก็ใช่น่ะสิ” สาวแว่นตอบให้ “เพราะงั้น จิ๊บถึงต้องการเพื่อนผู้ช่วยอย่างเราไง”

“ใช่” วริณสิตาตอบรับ พยุดาเป็นเพื่อนรักที่สุดที่เธอไว้ใจจึงคอยที่จะปรับทุกข์ให้ฟังเสมอ “แล้วอีกอย่างคือเราไม่มีความรู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์อะไรเลย คนที่สอนก็ค่อนข้างดุน่ะ เขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เวลาที่เรางงๆไม่รู้เรื่องด้วย”

เท่านั้นแหละหนุ่มน้อยนิ่วหน้าทันใด ใส่อารมณ์ทันที

“อะไร ดุเรอะ จะดุทำไม ไม่พอใจทำไม คราวหลังจิ๊บก็บอกไปเลยว่าคนไม่เคยเรียนค่ะ ไม่มีใครเทพขนาดตรัสรู้ตั้งแต่เกิดหรอก เฮ้ย! แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนสอนจิ๊บเนี่ยต้องไม่ได้เรื่อง ห่วยสุดๆ”

“เอ่อ...”

ฟังการนนท์ใส่มาก็ทำเอาวริณสิตาไม่กล้าบอกต่อเลยว่า ‘คนสอน’ ที่ตัวพูดถึงน่ะคือใคร วริณสิตาได้แต่ยิ้มเจื่อน

แต่เมื่อพูดถึงแล้วสาวน้อยก็อดจะนึกถึงไม่ได้ ตั้งแต่คำประกาศกลางโต๊ะอาหารวันนั้นก็ดูว่าสาวสวยคนนั้นคงเอาจริง เพราะเช้าเย็นก็เห็นนั่งทานข้าวตัวติดกับผู้ปกครองของเธอทุกมื้อ ยังมีเลยที่ผู้ปกครองเธอเอ่ย

‘รัก ถ้าคุณจะหนีหน้ามาทานข้าวที่บ้านผมตลอดมันคงไม่เหมาะแน่ คุณอาอมรกับคุณสายสุนีย์เขาจะรู้สึกยังไง’

‘หึ! ก็ช่างสิคะ จะรู้สึกยังไงก็ช่าง อยากไม่เห็นความสำคัญของรักนี่ เฉพาะนังนั่นน่ะ มันจะอึดอัดจนกระอักเลือดก็ช่างประไร รักไม่สนใจหรอก’

คำตอบนั้นยังติดชัดอยู่ในหัววริณสิตา

“การนนท์ เอ่อ...แล้ว...คุณสายสุนีย์ท่านเป็นยังไงบ้างเหรอ อยู่ที่บ้านคุณอมรน่ะ ท่านสบายดีมั้ย?”
“หืม? คุณสายน่ะเหรอ ก็คงสบายดีมั้ง จิ๊บถามทำไมล่ะ”

“ก็...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แต่พักนี้เราเห็นคุณหทัยรักเขามาทานข้าวกับคุณพีที่บ้านสุริยะธาดาทุกวันเลย แล้วคนที่บ้านวรโชติเขาจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“รู้สึกอะไรบ้าง” หนุ่มน้อยทวนคำ ทำหน้าไม่เข้าใจ
“แล้วเขาจะรู้สึกอะไรล่ะ” การนนท์ถามซื่อ ส่งผลให้พยุดาอดรนทนไม่ได้อีกตามเคย

“เฮ้อ! สมองปลาทองนี่จริงๆเล้ย” สาวแว่นส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ก่อนอธิบายขยายความให้
“รู้สึกอะไรของจิ๊บเนี่ยก็หมายถึงเขาจะรู้สึกกร่อยๆบ้างมั้ยไง ก็คุณสายสุนีย์เขาเพิ่งแต่งเข้าไปใช่มั้ยล่ะ แล้วพี่สาวนายก็ไปทำเมินไม่เห็นกินข้าวกับเขาสักมื้อ เขาน้อยอกน้อยใจบ้างไหมล่ะ?”

“อ๋อ...” การนนท์ลากเสียงยาวเมื่อเข้าใจ “ไม่รู้หรอก แต่เราว่าให้พี่รักเขาทำเป็นเมินคุณสายก็ดีแล้วนะ ดีกว่าอาละวาดบ้านแตก”

“อืม...เราก็แค่เป็นห่วงท่านเท่านั้นแหละ” วริณสิตาบอก แต่หนุ่มน้อยก็นิ่วหน้า ทำท่าครุ่นคิด

“เออ แปลกเนอะ จิ๊บรู้มั้ย วันนั้นที่เราไปหาสร้อยให้จิ๊บน่ะ คุณสายเขาก็ถามเรื่องจิ๊บนะ ละเอียดยิบเลย” การนนท์ว่า วริณสิตาได้แต่เบิกตาขึ้นน้อยๆ

“อะไรนะ เรื่องเราเหรอ?”

“ช่าย...เขาก็ถาม ว่าจิ๊บเป็นใคร ไปอยู่บ้านนั้นได้ไง เราก็เล่าไปตามที่จิ๊บเคยเล่าให้เราฟังนั่นแหละ คุณสายเขาฟังแล้วหน้างี้ซีดเลย สงสัยเขาก็คงเป็นห่วงจิ๊บเหมือนกัน วันนั้นถึงได้ตามมาเจอจิ๊บไง”

“จริงเหรอ” สาวน้อยคราง คลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยค่อยๆ “ดีจัง”

เมื่อเห็นเพื่อนดีใจยิ้มปลื้มได้พยุดาก็ดีใจด้วย สาวแว่นเข้าใจ วริณสิตานั้นอยู่แค่กับยาย ถ้ามีผู้ใหญ่ใจดีมาดีด้วยก็คงรู้สึกอบอุ่นแน่ๆ สาวแว่นผมเปียยิ้มกว้าง โอบไหล่เพื่อนซี้

“ดีซี” พยุดาบอก “ไม่แปลกหรอกนะที่ใครได้รู้จักจิ๊บแล้วจะเป็นห่วงเป็นใยจิ๊บอ่ะ ก็จิ๊บน่ะน่ารักออก ไม่เชื่อลองถามสมองปลาทองดูดิ่”

“ฮะ! อ่า...เอ่อๆ”

พยุดาหัวเราะกิ๊ก เมื่อโบ้ยไปแล้วคู่อริเกิดลิ้นตายกะทันหัน การนนท์หน้าแดงแป๊ดจนวริณสิตายังยิ้มขำ สาวน้อยเอ่ย

“ไม่หรอก คนที่เห็นเราแล้วเกลียดขี้หน้าก็มีนะน้อยหน่า”

“โหย ไม่มีหรอก” พยุดาเถียง “ใครมันจะบ้าแบบที่ว่าเจอหน้าปุ๊บก็เกลียดปั๊บล่ะ ไม่มีหรอก”

“ฮึ” สาวน้อยส่ายหน้าค้านควับๆก่อนสำทับ “มีสิ มีจริงๆนะ”

“ไม่มีหรอก”

“มี”

“เอ้า! งั้นใคร ไหนยกตัวอย่างดิ๊?”

“ก๊อ...” วริณสิตาชะงัก กำลังจะหลุดปากบอกว่าคุณหทัยรักไง แต่แล้วก็เกรงใจการนนท์ขึ้นมาเลยต้องกลับลำคิดหาตัวเลือกใหม่ แต่ทว่า...คำตอบที่จู่ๆก็ผุดขึ้นในใจก็ทำให้รู้สึกหม่นๆ

รอยยิ้ม...ค่อยหุบลง

“ว่าไงล่า ใคร ไหนบอกซิ แอ๋...เงียบๆแบบนี้ นึกไม่ออกเพราะมันไม่มีใช่มั้ยล่า ฮ่าๆ ก็เราบอกแล้วว่าจิ๊บอ่ะน่า”

“แม่เราไง”

คำตอบที่หลุดพรวดมาทำเอาพยุดาเข้าขั้นเหวอ

เออ! ก็ดันไปต่อล้อกับเพื่อนจนได้เรื่องสิน่า!

“เอ่อ...” พยุดาพูดไม่ออก การนนท์ถึงกับหลับตา กัดฟันสบถ ‘แว่นบ้าเอ๊ย!’
“เอ่อ...คือ...”

“ถ้าเขารักเรา เขา...คงไม่ทิ้งเราไปหรอกเนอะ”

“เง้ออออ จิ๊บ!” พยุดาโหยหวน “เราขอโทษนะ เราปากไม่ดีอีกแล้วอ่ะ ขอโทษ”

“นั่นสิ!” การนนท์รีบช่วย “จิ๊บอย่าไปสนใจเลย เรารับรอง ว่าโลกนี้มีคนอีกมากมายรักจิ๊บแน่ อย่างน้อยก็เรา!...กับยายแว่นไง”

วริณสิตามองหน้าหนุ่มน้อยทันใด แต่เสียงใสๆที่รีบพูดก็ดึงจุดความสนใจ

“ใช่ๆ แม้เราจะพูดมากปากพล่อยอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่ได้ตั้งใจเลยนะจิ๊บ เราขอโทษ”

“อืม!” วริณสิตาพยักหน้า หนนี้เป็นฝ่ายโอบไหล่พยุดาคืนบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอบอก “เรื่องมันตั้งนานแล้ว เราไม่คิดมากแล้วแหละ”

ทว่าภายใต้ยิ้มเศร้ากับนัยน์ตาหม่นๆ จะมีใครสักกี่คนที่เชื่อ แต่เพื่อนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไร และเสียงโทรศัพท์ของการนนท์ก็ดังขึ้นในนาทีนั้นด้วย หนุ่มน้อยได้แต่นิ่วหน้า มองชื่อเจ้าของสายที่เรียกเข้ามาก่อนที่จะยกโทรศัพท์แนบหู

“ครับ หวัดดีครับพี่รัก”

และมันก็ช่วยไม่ได้เลยที่ชื่อที่การนนท์เอ่ยออกมาจะดึงความสนใจของวริณสิตาไปในครั้งแรก สาวน้อยได้ยินเพื่อนสนทนา

“อ๋อ...อยู่ที่ลานอ่านหนังสือข้างหอสมุดน่ะครับ พี่รักมีอะไรรึเปล่า?”

วริณสิตาเบนสายตาจากการนนท์มาหาพยุดา ตั้งใจว่าจะคุยกับน้อยหน่าเพื่อที่ว่าจะได้เป็นการไม่เสียมารยาท
เพราะหากมองอย่างนั้นจะกลายเป็นการตั้งใจฟังการสนทนาของการนนท์ไป แต่ทว่า...

“หืม? จิ๊บน่ะหรือครับ อยู่สิครับ อยู่กับผมนี่ล่ะ!”
.............................

อ่ะ! ปารินนี่ คุยว่าจะอัพให้ทันกับที่บล็อกแก๊งค์นี่นา เป็นคนไม่รักษาคำพูดอีกแล้วน้า...เพราะว่า... มันเกิน อิอิ



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2554, 11:14:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2554, 11:14:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 4145





<< ตอนที่ 29   ตอนที่ 31 >>
innam 4 พ.ค. 2554, 11:42:13 น.
ตามเป็นกำลังใจคะ


SaiParn 4 พ.ค. 2554, 12:05:02 น.
555+ รออ่านอยู่จ้า ยัยตัวร้ายจ้องจะทำไรเนี่ย!!

ให้ลุงเข้าใจผิดอีกใช่ไหม ใช่ไหม ตาลุงก็ไม่เหมาะเป็นพระเอกยุคนี้เลย หูเบาตลอด อิอิ


สะเรนี 4 พ.ค. 2554, 12:17:48 น.
จะเป็นไงต่อเนี่ยยยย


จิงโกะ 4 พ.ค. 2554, 12:22:28 น.
55 เกินมานิดๆ หน่อยๆ ไม่ว่าหรอกจ้า ที่นี่อ่านสะดวกกว่า

อะ รอตอนต่อไปจ้า


ปาริน 4 พ.ค. 2554, 12:28:54 น.
คุณ innam : มาตามเก็บกำลังใจค่ะ วันนี้ฟ้าเปิด หน.ไม่อยู่ เลยลงพรวดๆถึงตอนล่าสุดเลย แต่ตอนต่อไปก๊อ....เอิ่ม...แฮะๆ ไปดีฟ่า ฟิ้วววววว

คุณสายป่าน : ๕๕๕ สงสัยลุงจะหลุดมาจากยุคหินใหม่ค่ะ เลยยังไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ เอิ๊กๆ เดี๋ยวต้องคอยลุ้นกันไปว่าเมื่อไหร่ลุงเค้าจะฉลาดซักกะที

คุณเสี่ยวเหม : นั่นสิ จะเป็นไงต่อเนี่ย คนแต่งยังคิดมุกต่อไปไม่ออกเลยค่ะ


ปาริน 4 พ.ค. 2554, 12:31:10 น.
อ้าว คุณจิงโกะ สวัสดีค่ะ


แพม 4 พ.ค. 2554, 13:12:38 น.
มารผจญ!

ปล. สงสัยสายสุนีย์เป็นแม่ของนางเอก คอนเฟิร์ม!


lovemuay 4 พ.ค. 2554, 13:34:49 น.
+55 คห.บน ชัวร์เลย


anOO 4 พ.ค. 2554, 16:30:17 น.
ยัยรักโผล่มาอีกแล้ว...นายพีเค้าอุตส่าห์คิดวิธีง้อสาว
เซ็งเลย (ดีใจจังที่ลงเกินจากในบล๊อคแก๊งค์)


Gingfara 4 พ.ค. 2554, 18:09:05 น.
ว้าววววว วันนี้ใจป้ำอัพหลายตอนเลยนะคะ
อิอิ ดีจัง ชอบค่ะๆ


Pat 4 พ.ค. 2554, 22:29:10 น.
ถูกแกล้ง(กีดกัน)อีกล่ะ เฮอะ ยายผู้ใหญ่รังแกเด็ก ยังงี้คุณพีต้องเป็นหลักให้หนูจิ๊บมากๆนะ ไม่ค่อยพูดเนี่ย เห็นแล้วขัดใจ


ree 5 พ.ค. 2554, 20:41:08 น.
เกินก็ดีน่ะสิ

หนูจิ๊บจะโดนแกล้งอะไรอีกเนี่ย สงสารการนนท์จังต้องถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ยัยรักแน่ๆ เลย


ปาริน 6 พ.ค. 2554, 13:18:47 น.
เปิดมาอีกที ตกใจ ตอนนี้คนอ่านยอมทักทายปารินเยอะเกินคาด

เอาไว้ลุ้นต่อกันอาทิตย์หน้านะคะ วันหยุดเยอะเชียว (แต่ปารินไม่ได้หยุดอ่ะ เสียใจๆ)


เจ้าชายน้อย 6 พ.ค. 2554, 23:58:15 น.
ตามติดและติดตามจ้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account