กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ
พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า
“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 31
ตอนที่ ๓๑
ทันทีที่มือถือส่งเสียงดังติ๊ดถี่ๆพีรพัฒน์ก็ตวัดแฟ้มเอกสารเปิดลงทันที เขาคว้าเจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมายุติการเตือนที่ตั้งไว้ ได้เวลาแล้วสำหรับวันนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อจัดการเก็บปากกาด้ามหรูในมือคืนแท่นวางพลางลุกขึ้นด้วยความกระฉับกระเฉง อดไม่ได้ที่จะยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อนึกเล่นๆว่า แม่สาวน้อยนั่นจะทำหน้ายังไงนะถ้าเห็นว่าเขาไปรอรับ
คิดแล้วก็อารมณ์ดีถึงขั้นอยากจะผิวปาก พีรพัฒน์หัวเราะเบาๆ จัดแจงล้วงกระเป๋าเอากุญแจรถมาถือตั้งแต่ยังไม่ออกมันจากห้องทำงานบนชั้นสิบห้านี่แหละ! แต่ทว่า...ก็ไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวยาวๆไปยังประตูจริงๆประตูบานนั้นก็เปิดผัวะ พีรพัฒน์ชะงักทันใด มองคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ด้วยสีหน้างงๆ
“กำลังจะกลับแล้วหรือคะ” หทัยรักเอ่ยเสียงเครียด
“อืม วันนี้ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะ” พีรพัฒน์บอก ตั้งท่าว่าจะเดินออกแต่ก็ไม่ทันกับหทัยรักที่เบียดตัวเข้ามาข้างในพร้อมถือวิสาสะปิดประตูเรียบร้อย
“เอ่อ คุณมีอะไรสำคัญหรือเปล่า?”
หทัยรักแสดงทั้งสีหน้าและแววตาขุ่นเครียดกว่าเก่าเมื่อย้อนถาม
“รีบมากหรือคะ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก” เขาบอก “อาจจะมีเวลาอยู่สัก...ห้านาที”
“ขอโทษนะคะที่ต้องรบกวนพีในเวลาที่พีมีธุระแบบนี้ แต่ว่ารักก็มีเรื่องค่ะ สำคัญมาก”
เพราะทีท่าที่ดูจริงจังขึงขังจนเข้าขั้นอึมครึมของสาวสวยตรงหน้า ก็ทำให้พีรพัฒน์รู้สึกว่ามันอาจจะมีอะไรคอขาดบาดตายจริง เขาเองก็เริ่มเครียดขึ้น
“เรื่องอะไรหรือ”
“รักกำลังสงสัยว่า จะมีใครบางคนกำลังยักยอกทรัพย์ของเอพีกรุ๊ปค่ะ”
“อะไรนะ?” พีรพัฒน์ครางขณะที่หทัยรักก็เดินมาหา กางเอกสารที่เอามาด้วยให้เขาดู
“มีตัวเลขบางตัวในบัญชีที่ผิดปรกติค่ะ แต่รักยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดแน่นหนา รักเลยอยากจะตรวจสอบให้ด่วนที่สุด แต่ว่า...” สาวสวยทำท่าอึดอัด
“แต่ว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกรรมการระดับสูงบางคนค่ะ รักไม่อยากให้กระโตกกระตาก เลยต้องมาขอให้พีช่วยรักตรวจดูเอกสารและหาหลักฐานในเรื่องนี้หน่อยได้มั้ยคะ รักไม่ไว้ใจใคร”
พีรพัฒน์รับเอกสารบัญชีที่หทัยรักอ้างว่ามีตัวเลขผิดปรกติมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันผิดปรกติจริงไหมถ้าไม่ได้ตรวจสอบจริงจัง แต่นั่นคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงแน่ ชายหนุ่มนิ่วหน้า ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
“แต่ผมนัดแม่ไว้ ว่าจะไปหาที่บ้านสวนเย็นนี้น่ะ”
“เลื่อนได้ไหมคะ”
“อืม” พีรพัฒน์พยักหน้า เพราะแน่นอนว่าถ้ามีการทุจริตยักยอกเกิดขึ้นจริง นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรง
“แต่ผมต้องโทร.ไปบอกลุงก้านให้ไปรับวริณสิตาที่มหาวิทยาลัยด้วย เพราะตอนแรกว่าจะรับเขาไปบ้านสวนด้วย”
“งั้นพีก็โทร.หาคุณป้าทิพย์เถอะค่ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ พีควรอธิบายกับท่านเอง ส่วนเรื่องไปรับวริณสิตาเนี่ย เดี๋ยวรักไปบอกคุณรุ่ง ให้ช่วยโทร.บอกนายก้านที่บ้านสุริยะธาดาให้ค่ะ” ว่าแล้วหทัยรักก็กุลีกุจอออกไปหาเลขาฯเขาหน้าประตู พีรพัฒน์ได้ยินสาวสวยเอ่ย
“คุณรุ่งคะ เอ๊ะ! ไปไหนกันนะคุณรุ่งนี่”
แล้วหทัยรักก็กลับมา สีหน้าคล้ายจะเครียด “คุณรุ่งไม่อยู่ที่โต๊ะน่ะค่ะ สงสัยจะไปห้องน้ำ งั้นรักเขียนโน้ตให้ดีกว่า” ว่าแล้วสาวสวยก็ฉวยกระดาษโน้ตเล็กๆมา เขียนเนื้อความลงไป ก่อนจะโบกโน้ตน้อยนั้นไหวๆให้ชายหนุ่มเห็น
“เดี๋ยวรักไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานเลขาฯพีนะคะ จะไม่เสียเวลา”
“ครับ ขอบคุณมาก” พีรพัฒน์ตอบก่อนจะหยิบมือถือมาโทร.หาคุณดวงทิพย์
สาวสวยก้าวยาวๆออกมาที่หน้าห้องอีกครั้ง มองชายหนุ่มที่หันหลังโทรศัพท์ไปแล้วก่อนจะยิ้มออกมา หทัยรักเชิดหน้า หรี่ตามองกระดาษโน้ตในมือ ก่อนเอื้อมไปหยิบสมุดโทรศัพท์หมายเลขสายในที่เจ้าของโต๊ะวางไว้บนโต๊ะ แปะกระดาษโน้ตลงไป แล้ววางสมุดโทรศัพท์คืนให้ที่เดิมเป๊ะ
รอยยิ้มมุมปากผุดพรายก่อนกระซิบทิ้งท้าย
“ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ คุณรุ่ง!”
.........................
ตั้งแต่วันแรกที่เยี่ยมเท้าเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยวริณสิตาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เลย ลุงก้านไม่เคยปล่อยให้เธอต้องรอแม้วินาที ทุกครั้งที่มาตรงนี้เธอจะพบคนรถใจดีรออยู่ แต่...ไม่ใช่สำหรับวันนี้เลย
สาวน้อยกะพริบตามองบรรยายกาศรายรอบให้จนแน่ จากการรอคอยจนอาทิตย์ลับขอบฟ้าและแสงสว่างนวลตาจากโคมไฟนีออนสว่างแทนเมื่อนั้นสาวน้อยก็เข้าใจ เสียงของหทัยรักที่พบกันเมื่อกลางวันยังดังชัดในหู
‘ที่จริงฉันก็ไม่ได้มีอะไรกับเธอหรอกนะ แต่ว่า เห็นคุณพีเขาบ่นให้ฟังอยู่ว่าเธอน่ะทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย ฉันก็เลยต้องมาดูว่าจริงไหม แล้วก็ไม่ผิดไปเลย มีเพื่อนรายล้อมหน้าหลัง ตกเย็นยังต้องมีคนขับรถมารับ หึ! นึกว่าตัวเองกลายเป็นคุณหนูไปแล้วจริงๆรึไงจ๊ะแม่สาวน้อย!’
นั่นสิวริณสิตา! สาวน้อยดันตัวลุกขึ้นจากม้านั่งที่นั่งอยู่ทันที ดวงตาหม่นๆเมื่อนึกขึ้นว่า นี่ตัวเองจะมาบื้อนั่งคอยให้คนเขามารับตั้งสองสามชั่วโมงอย่างนี้ทำไม จริงๆหลังจากประโยคนั้นของหทัยรัก แค่มาแล้วไม่เห็นใครมันก็น่าจะรู้แล้ว!
ก็แค่เด็กจนๆที่มาขออาศัยใบบุญ แล้วมันจะแปลกอะไรที่เขาจะบอกเลิกไม่ต้องให้ลุงก้านมาคอยรับ!
วริณสิตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อกดความรู้สึกข้างใน นึกถึงคำสอนของยายที่เคยบอก ‘ให้พึ่งตนเองก่อน และไม่ขอร้องใครถ้าเรื่องนั้นไม่เหลือบากไปกว่าแรง!’
ใช่! วริณสิตาคิดว่าตัวเองรู้แล้ว ว่าตัวเองพลาดอะไร
จริงอยู่ที่เธอไม่ได้ไปขอร้องให้เขาต้องสั่งใครมารับส่ง แต่เธอก็ไม่เคยค้านหรือบอกเขาว่าอยากจะเดินทางด้วยตัวของตัวเองเลยสักครั้ง
แล้วก็นี่ไง! โทษฐานของความผิดที่หลงลืม บกพร่องกับคำสอนของยาย มันคงส่งผลให้เขาต้องไประบายความไม่เอาไหนของเธอกับคนสำคัญ และทำให้สาวสวยคนนั้นมาดูถูกเธอได้ในที่สุด
ใช่! ใช่แล้ว เธอผิดเอง!
“ยายจ๋า...จิ๊บ...ขอโทษนะจ๊ะ” วริณสิตาพึมพำออกมา ยกมือขึ้นหมายจะจับรูปยายเรียกขานกำลังใจตามความคุ้นชิน แต่ทว่า...หนนี้ก็ไม่มีแล้ว สร้อยคอที่แขวนล็อกเก็ตรูปของยาย สาวน้อยชาวูบเข้าไปถึงหัวใจ
เธอ...ก็เป็นคนปลดสร้อยและล็อกเก็ตรูปยายเก็บใส่ตลับไม้เอาไว้เองนี่...
เมื่อถึงนาทีนี้ก็ช่วยไม่ได้เลยที่น้ำตาจะรื้นออกมา
วริณสิตา...เธอนี่มัน...บ้าที่สุด...
แต่ทว่า...แค่เพียงอึดใจสาวน้อยก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง หนนี้เพื่อเรียกขานพลังและความกล้า น้ำตาและความอ่อนแอไม่ใช่ทางแก้ของปัญหาเลย วริณสิตาเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย สาวน้อยตัดสินใจเอ่ยถามทางกับนักศึกษาคนหนึ่ง
“อ้อ! บางนาอ่ะเหรอ หนึ่งสองเก้าไง หนึ่งสองเก้าเลยน้อง ผ่านชัวร์ นั่นไงๆสายนั้นล่ะ”
“อ๊ะ! ขอบคุณนะคะ!” วริณสิตาแทบจะไม่มีเวลากล่าวขอบคุณรุ่นพี่ใจดีที่ช่วยบอกสายรถให้เลยเพราะรถเมล์สายที่ว่านั้นมาพอดีพร้อมๆกับที่ผู้โดยสารนับสิบก็กรูกันไปจ่อรอขึ้นตรงประตู
แน่นอนว่ากับการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกวริณสิตาเป็นคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปยืนอัดเป็นปลากระป๋อง ต้องห้อยกระเตงนานเกือบชั่วโมงกว่าผู้โดยสารจะบางลงจนพอจะมีที่นั่ง วริณสิตานั้นพยายามมองข้างทางตลอดเพื่อจะคอยดูทิวทัศน์คุ้นตา แต่ทว่า...ทั้งระยะทาง พิษสงรถติดและมลพิษบนท้องถนนก็เริ่มจะส่งผล
สาวน้อยแข็งใจกะพริบตา แต่ทว่า...มันก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนเผลอหลับไปในที่สุด
.........................
เป็นเวลากว่าสามทุ่มแล้วเมื่อพีรพัฒน์วางเอกสารหลักฐานการเงินปึ๊งสุดท้ายทับลงไปบนบัญชีเจ้าปัญหา เกือบห้าชั่วโมงกับการค้นหา ตรวจสอบและตรวจเทียบหลักฐานทุกอย่างอย่างละเอียดยิบเพียงเพื่อจะพบว่า มันไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับตัวเลขในบัญชีเลย ชายหนุ่มหลับตา ผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ รัก...รักคงวิตกมากไป เลยทำให้พีต้องมาเสียแรงเสียเวลาเสียนัดแบบนี้ รัก...ขอโทษนะคะ รักไม่ดีเอง” สาวสวยแสร้งโทษตัวเองทันทีว่ารู้สึกผิดนักหนาที่ทำให้พีรพัฒน์ต้องมาติดแหง็กอยู่นี่ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกไปอีกหน
“ไม่เป็นไรหรอก คุณทำเพราะเจตนาดีกับเอพีกรุ๊ป ผมจะโกรธได้ยังไง”
หทัยรักคลี่ยิ้มทันที
“จริงนะคะ”
“อืม”
แต่ทว่าสาวสวยก็ทำสลดอีก
“แต่ยังไงรักก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีล่ะค่ะ ยังไง...ให้รักเลี้ยงข้าวพีเป็นการขอโทษได้ไหมคะ?”
ชายหนุ่มทำท่าลังเล
“นะคะ นี่ก็สามทุ่มแล้ว เรายังไม่ได้ทานอะไรกันเลย ให้รักเลี้ยงข้าวพีเถอะ ไม่งั้นรักต้องรู้สึกผิดจนตายแน่เลย” หทัยรักว่าไปนั่น แต่พีรพัฒน์ก็ยังลังเล เพราะถ้าตกลงใจไปกว่าจะได้กลับถึงบ้านคงไม่ต่ำกว่าห้าทุ่ม
“เป็นห่วงเด็กในปกครองหรือคะ” จู่ๆหทัยรักก็เอ่ยถาม และเมื่อพีรพัฒน์หันมอง เจ้าหล่อนก็ยิ้มหวาน
“แหม...ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ป่านนี้น่ะวริณสิตาคงกินข้าว อาบน้ำแล้วเข้านอนสบายใจเฉิบไปแล้วมั้ง มีแต่เรานี่สิคะที่อาหารเย็นยังไม่ตกถึงท้องเลย นะคะพี รักหิวจนท้องกิ่วแล้ว นะคะ...”
พีรพัฒน์ชั่งใจ ไตร่ตรองตามสิ่งที่หทัยรักพูด และในที่สุด เขาก็ตอบ
“ครับก็ได้ มื้อนี้ผมยอมให้รักเป็นเจ้ามือ”
………………….
“ป้ายสุดท้ายคร้าบ! รถหมดระยะแล้วนะคร้าบ!”
วริณสิตาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกใกล้หู สาวน้อยเบิกตา ความง่วงงุนหายไปกลายเป็นความตระหนกตกใจเล็กๆเมื่อพบว่าผู้โดยสารสองสามคนสุดท้ายกำลังทะยอยเดินลงจากรถไปเสียแล้ว วริณสิตาหันมองเลิกลั่ก
“หมดระยะแล้วนะคร้าบ” เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกจากด้านท้ายของรถ สาวน้อยหันขวับ ถามกลับเสียงเบาหวิว
“อะ...อะไรนะคะ”
“หมดระยะแล้วครับ รถจะกลับเข้าอู่แล้ว” บอกเสร็จ กระเป๋ารถเมล์ก็ถือกระบอกตั๋วคู่ชีพเดินลิ่วผ่านหน้าเธอไปเก็บของต่างๆนานาหน้ารถข้างคนขับ ซึ่งมันก็เป็นอาณัติสัญญาณบ่งให้รู้ว่าอีกไม่เกินอึดใจแม้แต่กระเป๋าก็จะลงไปจากรถเหมือนกัน!
สาวน้อยสูดหายใจ พยายามตั้งสติ แต่มันก็ดูจะหนักหนาสาหัสเมื่อสภาพนั้นคือมืดค่ำ มิหนำซ้ำทิวทัศน์รอบกายก็ไม่คุ้นสักนิด วริณสิตาเลยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะรีบลุก แล้วรี่ลงจากรถตามหลังผู้โดยสารสามคนสุดท้ายที่ยังเห็นหลังอยู่ไวๆ อย่างน้อยในสามคนนั่นก็ยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย เธออาจขอความช่วยเหลือจากเขาได้ก็ได้ สาวน้อยรีบก้าวไวๆตามให้ทัน
“เอ่อ ขอโทษนะคะ จากตรงนี้ ไปแยกบางนา ไปยังไงคะ” วริณสิตาเอ่ยถาม สถานการณ์นี้ก็มีแต่ปากเท่านั้นที่จะช่วยให้ตัวเองรอด
หญิงวัยกลางคนที่ถูกถามทำสีหน้า มองวริณสิตาจากหัวจรดเท้าอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนช่วยบอกให้สั้นๆว่าแถวนั้นมีรถโดยสารอะไรสายไหนบ้างที่ผ่านจุดที่วริณสิตาต้องการแล้วรีบจ้ำจากไปอย่างไว สาวน้อยเข้าใจท่าทีนั้น เป็นเธอก็คงอดจะระวังไม่ได้หรอกถ้ามีคนแปลกหน้ามาถามตอนค่ำมืดอย่างนี้
วริณสิตายืนหงอย คอยชะเง้อดูรถอยู่ที่ป้ายอย่างกระวนกระวายอยู่ไม่สุข แต่รอแล้วรอเล่ารถก็ยอมไม่มาสักที และเวลาแต่ละนาทีบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่ล่วงผ่านก็ยิ่งบีบ ยิ่งคั้น หัวใจสาวน้อย ให้ต้องพยายามสะกดกลั้น ทั้งความกลัว ความหิว น้ำตา และความคิดที่แสนร้ายกาจว่า นี่มันปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่เธอยังหลงทางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ส่วนไหนของกรุงเทพฯก็ไม่รู้ แล้วก็...
ไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะนึกเป็นห่วงเธอ...
หนนี้ก็สุดจะห้าม แค่ความตระหนกที่หลงทาง อาจเลวร้ายเทียบได้ไม่ถึงครึ่งของความจริงข้อนั้น! ไม่มีใครเป็นห่วงเธอ! สาวน้อยนึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นของนางบัวศรี ดึกขนาดนี้เธอยังไม่ถึงบ้าน แล้วป้าบัวศรี...จะไม่นึกอะไรบ้างเลยหรือ...
วริณสิตาสูดหายใจ รีบปาดน้ำตาทิ้งไป สั่งตัวเองว่าห้ามร้องไห้!
ใช่! ร้องไม่ได้ สถานการณ์อย่างนี้ยิ่งร้องไห้ยิ่งอันตรายใหญ่!
วริณสิตาหันมองไปยังที่นั่งรอรถตรงป้าย ก็นับว่ายังโชคดีอยู่หรอกที่ป้ายรถเมล์นี้ไม่ถึงกับเปลี่ยวเพราะไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวรอรถ แต่ยังมีหญิงสาวสองคนกับผู้ชายวัยกลางอีกหนึ่งคนนั่งรออยู่ที่ป้ายนั้นให้พอใจชื้นได้ วริณสิตาจึงตั้งหน้าตั้งตามองรถต่อไป แต่ทว่า...ไม่กินเวลาเกินกว่าห้านาทีเลย จู่ๆสาวสองคนที่แอบหวังให้อยู่เป็นเพื่อนก็จัดการโบกแท็กซี่ แล้วก็ขึ้นกันไปง่ายๆเสียอย่างนั้น!
เพราะงั้นตอนนี้มันหนักกว่าการอยู่ลำพังคนเดียวเสียอีก
วริณสิตาตัดสินใจทันที สาวน้อยล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพาย ตั้งใจจะคว้าสมุดจดเบอร์โทรศัพท์กับกระเป๋าใส่เงินออกมา แล้วเธอจะไปโทรศัพท์หาพยุดาที่ตู้สาธารณะ
สถานการณ์อย่างนี้น้อยหน่าต้องให้คำแนะนำดีๆกับเธอได้แน่! แต่ทว่า...
‘ตุ้บ!’
เสียงกระเป๋าใส่เครื่องเขียนใบเล็กของเธอที่ตกกระทบพื้นเพราะดันร่วง หลุดออกมาจาก ‘ช่อง’ ที่มันไม่ควรจะมีตรงก้นของกระเป๋าผ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้วริณสิตา เพิ่งจะรู้ตัวว่า
กระเป๋าผ้าที่ตัวสะพาย มีรอยมีดกรีดไว้เป็นทางยาวเลย!
............
อ่ะ! คราวนี้จบตอนจริงๆค่ะ (สองวันเเต่งได้แค่นี้ ง่า...หนึ่งพารากราฟ T-T) เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า
ทันทีที่มือถือส่งเสียงดังติ๊ดถี่ๆพีรพัฒน์ก็ตวัดแฟ้มเอกสารเปิดลงทันที เขาคว้าเจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมายุติการเตือนที่ตั้งไว้ ได้เวลาแล้วสำหรับวันนี้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆเมื่อจัดการเก็บปากกาด้ามหรูในมือคืนแท่นวางพลางลุกขึ้นด้วยความกระฉับกระเฉง อดไม่ได้ที่จะยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อนึกเล่นๆว่า แม่สาวน้อยนั่นจะทำหน้ายังไงนะถ้าเห็นว่าเขาไปรอรับ
คิดแล้วก็อารมณ์ดีถึงขั้นอยากจะผิวปาก พีรพัฒน์หัวเราะเบาๆ จัดแจงล้วงกระเป๋าเอากุญแจรถมาถือตั้งแต่ยังไม่ออกมันจากห้องทำงานบนชั้นสิบห้านี่แหละ! แต่ทว่า...ก็ไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวยาวๆไปยังประตูจริงๆประตูบานนั้นก็เปิดผัวะ พีรพัฒน์ชะงักทันใด มองคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ด้วยสีหน้างงๆ
“กำลังจะกลับแล้วหรือคะ” หทัยรักเอ่ยเสียงเครียด
“อืม วันนี้ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะ” พีรพัฒน์บอก ตั้งท่าว่าจะเดินออกแต่ก็ไม่ทันกับหทัยรักที่เบียดตัวเข้ามาข้างในพร้อมถือวิสาสะปิดประตูเรียบร้อย
“เอ่อ คุณมีอะไรสำคัญหรือเปล่า?”
หทัยรักแสดงทั้งสีหน้าและแววตาขุ่นเครียดกว่าเก่าเมื่อย้อนถาม
“รีบมากหรือคะ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก” เขาบอก “อาจจะมีเวลาอยู่สัก...ห้านาที”
“ขอโทษนะคะที่ต้องรบกวนพีในเวลาที่พีมีธุระแบบนี้ แต่ว่ารักก็มีเรื่องค่ะ สำคัญมาก”
เพราะทีท่าที่ดูจริงจังขึงขังจนเข้าขั้นอึมครึมของสาวสวยตรงหน้า ก็ทำให้พีรพัฒน์รู้สึกว่ามันอาจจะมีอะไรคอขาดบาดตายจริง เขาเองก็เริ่มเครียดขึ้น
“เรื่องอะไรหรือ”
“รักกำลังสงสัยว่า จะมีใครบางคนกำลังยักยอกทรัพย์ของเอพีกรุ๊ปค่ะ”
“อะไรนะ?” พีรพัฒน์ครางขณะที่หทัยรักก็เดินมาหา กางเอกสารที่เอามาด้วยให้เขาดู
“มีตัวเลขบางตัวในบัญชีที่ผิดปรกติค่ะ แต่รักยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดแน่นหนา รักเลยอยากจะตรวจสอบให้ด่วนที่สุด แต่ว่า...” สาวสวยทำท่าอึดอัด
“แต่ว่า เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกรรมการระดับสูงบางคนค่ะ รักไม่อยากให้กระโตกกระตาก เลยต้องมาขอให้พีช่วยรักตรวจดูเอกสารและหาหลักฐานในเรื่องนี้หน่อยได้มั้ยคะ รักไม่ไว้ใจใคร”
พีรพัฒน์รับเอกสารบัญชีที่หทัยรักอ้างว่ามีตัวเลขผิดปรกติมาดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันผิดปรกติจริงไหมถ้าไม่ได้ตรวจสอบจริงจัง แต่นั่นคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงแน่ ชายหนุ่มนิ่วหน้า ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
“แต่ผมนัดแม่ไว้ ว่าจะไปหาที่บ้านสวนเย็นนี้น่ะ”
“เลื่อนได้ไหมคะ”
“อืม” พีรพัฒน์พยักหน้า เพราะแน่นอนว่าถ้ามีการทุจริตยักยอกเกิดขึ้นจริง นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรง
“แต่ผมต้องโทร.ไปบอกลุงก้านให้ไปรับวริณสิตาที่มหาวิทยาลัยด้วย เพราะตอนแรกว่าจะรับเขาไปบ้านสวนด้วย”
“งั้นพีก็โทร.หาคุณป้าทิพย์เถอะค่ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ พีควรอธิบายกับท่านเอง ส่วนเรื่องไปรับวริณสิตาเนี่ย เดี๋ยวรักไปบอกคุณรุ่ง ให้ช่วยโทร.บอกนายก้านที่บ้านสุริยะธาดาให้ค่ะ” ว่าแล้วหทัยรักก็กุลีกุจอออกไปหาเลขาฯเขาหน้าประตู พีรพัฒน์ได้ยินสาวสวยเอ่ย
“คุณรุ่งคะ เอ๊ะ! ไปไหนกันนะคุณรุ่งนี่”
แล้วหทัยรักก็กลับมา สีหน้าคล้ายจะเครียด “คุณรุ่งไม่อยู่ที่โต๊ะน่ะค่ะ สงสัยจะไปห้องน้ำ งั้นรักเขียนโน้ตให้ดีกว่า” ว่าแล้วสาวสวยก็ฉวยกระดาษโน้ตเล็กๆมา เขียนเนื้อความลงไป ก่อนจะโบกโน้ตน้อยนั้นไหวๆให้ชายหนุ่มเห็น
“เดี๋ยวรักไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานเลขาฯพีนะคะ จะไม่เสียเวลา”
“ครับ ขอบคุณมาก” พีรพัฒน์ตอบก่อนจะหยิบมือถือมาโทร.หาคุณดวงทิพย์
สาวสวยก้าวยาวๆออกมาที่หน้าห้องอีกครั้ง มองชายหนุ่มที่หันหลังโทรศัพท์ไปแล้วก่อนจะยิ้มออกมา หทัยรักเชิดหน้า หรี่ตามองกระดาษโน้ตในมือ ก่อนเอื้อมไปหยิบสมุดโทรศัพท์หมายเลขสายในที่เจ้าของโต๊ะวางไว้บนโต๊ะ แปะกระดาษโน้ตลงไป แล้ววางสมุดโทรศัพท์คืนให้ที่เดิมเป๊ะ
รอยยิ้มมุมปากผุดพรายก่อนกระซิบทิ้งท้าย
“ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ คุณรุ่ง!”
.........................
ตั้งแต่วันแรกที่เยี่ยมเท้าเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยวริณสิตาไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนี้เลย ลุงก้านไม่เคยปล่อยให้เธอต้องรอแม้วินาที ทุกครั้งที่มาตรงนี้เธอจะพบคนรถใจดีรออยู่ แต่...ไม่ใช่สำหรับวันนี้เลย
สาวน้อยกะพริบตามองบรรยายกาศรายรอบให้จนแน่ จากการรอคอยจนอาทิตย์ลับขอบฟ้าและแสงสว่างนวลตาจากโคมไฟนีออนสว่างแทนเมื่อนั้นสาวน้อยก็เข้าใจ เสียงของหทัยรักที่พบกันเมื่อกลางวันยังดังชัดในหู
‘ที่จริงฉันก็ไม่ได้มีอะไรกับเธอหรอกนะ แต่ว่า เห็นคุณพีเขาบ่นให้ฟังอยู่ว่าเธอน่ะทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นเลย ฉันก็เลยต้องมาดูว่าจริงไหม แล้วก็ไม่ผิดไปเลย มีเพื่อนรายล้อมหน้าหลัง ตกเย็นยังต้องมีคนขับรถมารับ หึ! นึกว่าตัวเองกลายเป็นคุณหนูไปแล้วจริงๆรึไงจ๊ะแม่สาวน้อย!’
นั่นสิวริณสิตา! สาวน้อยดันตัวลุกขึ้นจากม้านั่งที่นั่งอยู่ทันที ดวงตาหม่นๆเมื่อนึกขึ้นว่า นี่ตัวเองจะมาบื้อนั่งคอยให้คนเขามารับตั้งสองสามชั่วโมงอย่างนี้ทำไม จริงๆหลังจากประโยคนั้นของหทัยรัก แค่มาแล้วไม่เห็นใครมันก็น่าจะรู้แล้ว!
ก็แค่เด็กจนๆที่มาขออาศัยใบบุญ แล้วมันจะแปลกอะไรที่เขาจะบอกเลิกไม่ต้องให้ลุงก้านมาคอยรับ!
วริณสิตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อกดความรู้สึกข้างใน นึกถึงคำสอนของยายที่เคยบอก ‘ให้พึ่งตนเองก่อน และไม่ขอร้องใครถ้าเรื่องนั้นไม่เหลือบากไปกว่าแรง!’
ใช่! วริณสิตาคิดว่าตัวเองรู้แล้ว ว่าตัวเองพลาดอะไร
จริงอยู่ที่เธอไม่ได้ไปขอร้องให้เขาต้องสั่งใครมารับส่ง แต่เธอก็ไม่เคยค้านหรือบอกเขาว่าอยากจะเดินทางด้วยตัวของตัวเองเลยสักครั้ง
แล้วก็นี่ไง! โทษฐานของความผิดที่หลงลืม บกพร่องกับคำสอนของยาย มันคงส่งผลให้เขาต้องไประบายความไม่เอาไหนของเธอกับคนสำคัญ และทำให้สาวสวยคนนั้นมาดูถูกเธอได้ในที่สุด
ใช่! ใช่แล้ว เธอผิดเอง!
“ยายจ๋า...จิ๊บ...ขอโทษนะจ๊ะ” วริณสิตาพึมพำออกมา ยกมือขึ้นหมายจะจับรูปยายเรียกขานกำลังใจตามความคุ้นชิน แต่ทว่า...หนนี้ก็ไม่มีแล้ว สร้อยคอที่แขวนล็อกเก็ตรูปของยาย สาวน้อยชาวูบเข้าไปถึงหัวใจ
เธอ...ก็เป็นคนปลดสร้อยและล็อกเก็ตรูปยายเก็บใส่ตลับไม้เอาไว้เองนี่...
เมื่อถึงนาทีนี้ก็ช่วยไม่ได้เลยที่น้ำตาจะรื้นออกมา
วริณสิตา...เธอนี่มัน...บ้าที่สุด...
แต่ทว่า...แค่เพียงอึดใจสาวน้อยก็สูดหายใจเข้าปอดลึกๆอีกครั้ง หนนี้เพื่อเรียกขานพลังและความกล้า น้ำตาและความอ่อนแอไม่ใช่ทางแก้ของปัญหาเลย วริณสิตาเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย สาวน้อยตัดสินใจเอ่ยถามทางกับนักศึกษาคนหนึ่ง
“อ้อ! บางนาอ่ะเหรอ หนึ่งสองเก้าไง หนึ่งสองเก้าเลยน้อง ผ่านชัวร์ นั่นไงๆสายนั้นล่ะ”
“อ๊ะ! ขอบคุณนะคะ!” วริณสิตาแทบจะไม่มีเวลากล่าวขอบคุณรุ่นพี่ใจดีที่ช่วยบอกสายรถให้เลยเพราะรถเมล์สายที่ว่านั้นมาพอดีพร้อมๆกับที่ผู้โดยสารนับสิบก็กรูกันไปจ่อรอขึ้นตรงประตู
แน่นอนว่ากับการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกวริณสิตาเป็นคนสุดท้ายที่ได้ขึ้นไปยืนอัดเป็นปลากระป๋อง ต้องห้อยกระเตงนานเกือบชั่วโมงกว่าผู้โดยสารจะบางลงจนพอจะมีที่นั่ง วริณสิตานั้นพยายามมองข้างทางตลอดเพื่อจะคอยดูทิวทัศน์คุ้นตา แต่ทว่า...ทั้งระยะทาง พิษสงรถติดและมลพิษบนท้องถนนก็เริ่มจะส่งผล
สาวน้อยแข็งใจกะพริบตา แต่ทว่า...มันก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนเผลอหลับไปในที่สุด
.........................
เป็นเวลากว่าสามทุ่มแล้วเมื่อพีรพัฒน์วางเอกสารหลักฐานการเงินปึ๊งสุดท้ายทับลงไปบนบัญชีเจ้าปัญหา เกือบห้าชั่วโมงกับการค้นหา ตรวจสอบและตรวจเทียบหลักฐานทุกอย่างอย่างละเอียดยิบเพียงเพื่อจะพบว่า มันไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับตัวเลขในบัญชีเลย ชายหนุ่มหลับตา ผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ รัก...รักคงวิตกมากไป เลยทำให้พีต้องมาเสียแรงเสียเวลาเสียนัดแบบนี้ รัก...ขอโทษนะคะ รักไม่ดีเอง” สาวสวยแสร้งโทษตัวเองทันทีว่ารู้สึกผิดนักหนาที่ทำให้พีรพัฒน์ต้องมาติดแหง็กอยู่นี่ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกไปอีกหน
“ไม่เป็นไรหรอก คุณทำเพราะเจตนาดีกับเอพีกรุ๊ป ผมจะโกรธได้ยังไง”
หทัยรักคลี่ยิ้มทันที
“จริงนะคะ”
“อืม”
แต่ทว่าสาวสวยก็ทำสลดอีก
“แต่ยังไงรักก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีล่ะค่ะ ยังไง...ให้รักเลี้ยงข้าวพีเป็นการขอโทษได้ไหมคะ?”
ชายหนุ่มทำท่าลังเล
“นะคะ นี่ก็สามทุ่มแล้ว เรายังไม่ได้ทานอะไรกันเลย ให้รักเลี้ยงข้าวพีเถอะ ไม่งั้นรักต้องรู้สึกผิดจนตายแน่เลย” หทัยรักว่าไปนั่น แต่พีรพัฒน์ก็ยังลังเล เพราะถ้าตกลงใจไปกว่าจะได้กลับถึงบ้านคงไม่ต่ำกว่าห้าทุ่ม
“เป็นห่วงเด็กในปกครองหรือคะ” จู่ๆหทัยรักก็เอ่ยถาม และเมื่อพีรพัฒน์หันมอง เจ้าหล่อนก็ยิ้มหวาน
“แหม...ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ป่านนี้น่ะวริณสิตาคงกินข้าว อาบน้ำแล้วเข้านอนสบายใจเฉิบไปแล้วมั้ง มีแต่เรานี่สิคะที่อาหารเย็นยังไม่ตกถึงท้องเลย นะคะพี รักหิวจนท้องกิ่วแล้ว นะคะ...”
พีรพัฒน์ชั่งใจ ไตร่ตรองตามสิ่งที่หทัยรักพูด และในที่สุด เขาก็ตอบ
“ครับก็ได้ มื้อนี้ผมยอมให้รักเป็นเจ้ามือ”
………………….
“ป้ายสุดท้ายคร้าบ! รถหมดระยะแล้วนะคร้าบ!”
วริณสิตาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกใกล้หู สาวน้อยเบิกตา ความง่วงงุนหายไปกลายเป็นความตระหนกตกใจเล็กๆเมื่อพบว่าผู้โดยสารสองสามคนสุดท้ายกำลังทะยอยเดินลงจากรถไปเสียแล้ว วริณสิตาหันมองเลิกลั่ก
“หมดระยะแล้วนะคร้าบ” เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกจากด้านท้ายของรถ สาวน้อยหันขวับ ถามกลับเสียงเบาหวิว
“อะ...อะไรนะคะ”
“หมดระยะแล้วครับ รถจะกลับเข้าอู่แล้ว” บอกเสร็จ กระเป๋ารถเมล์ก็ถือกระบอกตั๋วคู่ชีพเดินลิ่วผ่านหน้าเธอไปเก็บของต่างๆนานาหน้ารถข้างคนขับ ซึ่งมันก็เป็นอาณัติสัญญาณบ่งให้รู้ว่าอีกไม่เกินอึดใจแม้แต่กระเป๋าก็จะลงไปจากรถเหมือนกัน!
สาวน้อยสูดหายใจ พยายามตั้งสติ แต่มันก็ดูจะหนักหนาสาหัสเมื่อสภาพนั้นคือมืดค่ำ มิหนำซ้ำทิวทัศน์รอบกายก็ไม่คุ้นสักนิด วริณสิตาเลยไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะรีบลุก แล้วรี่ลงจากรถตามหลังผู้โดยสารสามคนสุดท้ายที่ยังเห็นหลังอยู่ไวๆ อย่างน้อยในสามคนนั่นก็ยังมีผู้หญิงอยู่ด้วย เธออาจขอความช่วยเหลือจากเขาได้ก็ได้ สาวน้อยรีบก้าวไวๆตามให้ทัน
“เอ่อ ขอโทษนะคะ จากตรงนี้ ไปแยกบางนา ไปยังไงคะ” วริณสิตาเอ่ยถาม สถานการณ์นี้ก็มีแต่ปากเท่านั้นที่จะช่วยให้ตัวเองรอด
หญิงวัยกลางคนที่ถูกถามทำสีหน้า มองวริณสิตาจากหัวจรดเท้าอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนช่วยบอกให้สั้นๆว่าแถวนั้นมีรถโดยสารอะไรสายไหนบ้างที่ผ่านจุดที่วริณสิตาต้องการแล้วรีบจ้ำจากไปอย่างไว สาวน้อยเข้าใจท่าทีนั้น เป็นเธอก็คงอดจะระวังไม่ได้หรอกถ้ามีคนแปลกหน้ามาถามตอนค่ำมืดอย่างนี้
วริณสิตายืนหงอย คอยชะเง้อดูรถอยู่ที่ป้ายอย่างกระวนกระวายอยู่ไม่สุข แต่รอแล้วรอเล่ารถก็ยอมไม่มาสักที และเวลาแต่ละนาทีบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่ล่วงผ่านก็ยิ่งบีบ ยิ่งคั้น หัวใจสาวน้อย ให้ต้องพยายามสะกดกลั้น ทั้งความกลัว ความหิว น้ำตา และความคิดที่แสนร้ายกาจว่า นี่มันปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่เธอยังหลงทางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ส่วนไหนของกรุงเทพฯก็ไม่รู้ แล้วก็...
ไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะนึกเป็นห่วงเธอ...
หนนี้ก็สุดจะห้าม แค่ความตระหนกที่หลงทาง อาจเลวร้ายเทียบได้ไม่ถึงครึ่งของความจริงข้อนั้น! ไม่มีใครเป็นห่วงเธอ! สาวน้อยนึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นของนางบัวศรี ดึกขนาดนี้เธอยังไม่ถึงบ้าน แล้วป้าบัวศรี...จะไม่นึกอะไรบ้างเลยหรือ...
วริณสิตาสูดหายใจ รีบปาดน้ำตาทิ้งไป สั่งตัวเองว่าห้ามร้องไห้!
ใช่! ร้องไม่ได้ สถานการณ์อย่างนี้ยิ่งร้องไห้ยิ่งอันตรายใหญ่!
วริณสิตาหันมองไปยังที่นั่งรอรถตรงป้าย ก็นับว่ายังโชคดีอยู่หรอกที่ป้ายรถเมล์นี้ไม่ถึงกับเปลี่ยวเพราะไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวรอรถ แต่ยังมีหญิงสาวสองคนกับผู้ชายวัยกลางอีกหนึ่งคนนั่งรออยู่ที่ป้ายนั้นให้พอใจชื้นได้ วริณสิตาจึงตั้งหน้าตั้งตามองรถต่อไป แต่ทว่า...ไม่กินเวลาเกินกว่าห้านาทีเลย จู่ๆสาวสองคนที่แอบหวังให้อยู่เป็นเพื่อนก็จัดการโบกแท็กซี่ แล้วก็ขึ้นกันไปง่ายๆเสียอย่างนั้น!
เพราะงั้นตอนนี้มันหนักกว่าการอยู่ลำพังคนเดียวเสียอีก
วริณสิตาตัดสินใจทันที สาวน้อยล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพาย ตั้งใจจะคว้าสมุดจดเบอร์โทรศัพท์กับกระเป๋าใส่เงินออกมา แล้วเธอจะไปโทรศัพท์หาพยุดาที่ตู้สาธารณะ
สถานการณ์อย่างนี้น้อยหน่าต้องให้คำแนะนำดีๆกับเธอได้แน่! แต่ทว่า...
‘ตุ้บ!’
เสียงกระเป๋าใส่เครื่องเขียนใบเล็กของเธอที่ตกกระทบพื้นเพราะดันร่วง หลุดออกมาจาก ‘ช่อง’ ที่มันไม่ควรจะมีตรงก้นของกระเป๋าผ้า ซึ่งนั่นก็ทำให้วริณสิตา เพิ่งจะรู้ตัวว่า
กระเป๋าผ้าที่ตัวสะพาย มีรอยมีดกรีดไว้เป็นทางยาวเลย!
............
อ่ะ! คราวนี้จบตอนจริงๆค่ะ (สองวันเเต่งได้แค่นี้ ง่า...หนึ่งพารากราฟ T-T) เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2554, 11:26:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2554, 22:11:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 3963
<< ตอนที่ 30 | ตอนที่ 32 >> |

Auuuu 12 พ.ค. 2554, 11:43:58 น.
ยายหทัยรักเอ้ยยยยย ถ้านางเอกเราเป็นอะไรไปจะทำยังไง แกล้งอะไรไม่แกล้ง ==
ยายหทัยรักเอ้ยยยยย ถ้านางเอกเราเป็นอะไรไปจะทำยังไง แกล้งอะไรไม่แกล้ง ==


panon 12 พ.ค. 2554, 13:02:02 น.
หนูจิ๊บจ๋าสู้ๆๆนะคุณพี่นี่คงจะไม่บื้อมากไปหว่านี้อีกนะเบื่อจังชอบทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลกเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย
หนูจิ๊บจ๋าสู้ๆๆนะคุณพี่นี่คงจะไม่บื้อมากไปหว่านี้อีกนะเบื่อจังชอบทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่สุดในโลกเนี่ยยยยยยยยยยยยยยย

แพม 12 พ.ค. 2554, 15:09:58 น.
พระเอกโง่ทุกเรื่องเลย เฮ้อ =3 ไม่เจอพระเอกที่ตามทันนางร้ายเลย นางเอกก็....เจอกันที่อู่รถละกัน
พระเอกโง่ทุกเรื่องเลย เฮ้อ =3 ไม่เจอพระเอกที่ตามทันนางร้ายเลย นางเอกก็....เจอกันที่อู่รถละกัน

เจ้าชายน้อย 12 พ.ค. 2554, 18:17:02 น.
ตายล่ะหว่าแล้วจะกลับยังไงล่ะทีนี้
ตายล่ะหว่าแล้วจะกลับยังไงล่ะทีนี้

Gingfara 12 พ.ค. 2554, 19:04:13 น.
อิอิ รอมากมายค่ะ
อิอิ รอมากมายค่ะ

SaiParn 12 พ.ค. 2554, 19:49:22 น.
อร๊ายยยยยยยยยยย หนูจิ๊บจะเป็นไงบ้างหนอ
อร๊ายยยยยยยยยยย หนูจิ๊บจะเป็นไงบ้างหนอ

lovemuay 12 พ.ค. 2554, 20:03:50 น.
จะดูหน้าหทัยรัก ตอนนี้รู้ว่าคุณพีเป็นห่วงนางเอกแค่ไหน เอาให้อิจฉาตาแตกไปเลย ชิๆ
ส่วนหนึ่งรู้สึกนางเอกหยิ่งๆ มองโลกในแง่ร้ายจังเลยค่ะ แลดูไม่ค่อยน่ารัก น่าสงสารเลยอ่ะ =3-
จะดูหน้าหทัยรัก ตอนนี้รู้ว่าคุณพีเป็นห่วงนางเอกแค่ไหน เอาให้อิจฉาตาแตกไปเลย ชิๆ
ส่วนหนึ่งรู้สึกนางเอกหยิ่งๆ มองโลกในแง่ร้ายจังเลยค่ะ แลดูไม่ค่อยน่ารัก น่าสงสารเลยอ่ะ =3-

ปูสีน้ำเงิน 12 พ.ค. 2554, 20:05:15 น.
ยัยหนูจิ๊บนี่น่าสงสารจัง
ยัยหนูจิ๊บนี่น่าสงสารจัง

wind 12 พ.ค. 2554, 21:23:23 น.
ร้ายกาจมากๆ เมื่อไรพระเอกจะรู้และตามทันเนี่ย เฮ้อ
ร้ายกาจมากๆ เมื่อไรพระเอกจะรู้และตามทันเนี่ย เฮ้อ


ใบบัวน่ารัก 13 พ.ค. 2554, 12:45:29 น.
ถามจริง ไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่หรือไม่ทันมารยา ยัยรักหรือไงคุณ พี
อาไร โง่จริงๆ
ยังจิ๊บก็มีอะไรก็บอก ๆ คุณพีไปบ้าง ไม่ใช่นางเอกสมัย30ปีที่แล้วนะ
สู้ ๆ ซะบ้าง เจ้าน้ำตา ใข้ไม่ได้
ถามจริง ไม่รู้สึกว่าตัวเองโง่หรือไม่ทันมารยา ยัยรักหรือไงคุณ พี
อาไร โง่จริงๆ
ยังจิ๊บก็มีอะไรก็บอก ๆ คุณพีไปบ้าง ไม่ใช่นางเอกสมัย30ปีที่แล้วนะ
สู้ ๆ ซะบ้าง เจ้าน้ำตา ใข้ไม่ได้

maplezaa 13 พ.ค. 2554, 17:14:07 น.
ร้ายกาจมากกกกกกกกกก สงสารหนูจิ๊บอ่ะ
ร้ายกาจมากกกกกกกกกก สงสารหนูจิ๊บอ่ะ

pattisa 14 พ.ค. 2554, 09:18:39 น.
ยัยรักนี่ตลก ไม่น่าชื่อรักเลยแฮะ น่าจะชื่อร้าย! อิจฉาแม้กระทั่งเด็ก :/
ยัยรักนี่ตลก ไม่น่าชื่อรักเลยแฮะ น่าจะชื่อร้าย! อิจฉาแม้กระทั่งเด็ก :/

สะเรนี 14 พ.ค. 2554, 09:39:54 น.
คุณพีนี่มีคุณสมบัติการเป็นพระเอกจริงๆ เชื่อคนง่าย โดยเฉพาะนางร้าย 555
รออ่านว่าจะเป็นไงต่อค่า
คุณพีนี่มีคุณสมบัติการเป็นพระเอกจริงๆ เชื่อคนง่าย โดยเฉพาะนางร้าย 555
รออ่านว่าจะเป็นไงต่อค่า