เก็บหัวใจไว้ใกล้ๆ เธอ
การแอบรักใครสักคนมันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เว้นเสียแต่ว่าคนที่เราแอบรักจะเป็น...เพื่อนสนิทของเราเอง

Tags: เรื่องสั้น แอบรัก เพื่อนสนิท

ตอน: ครึ่งแรก

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นกลางดึกหลังจากคนที่นอนอยู่บนเตียงก้าวเข้าไปอยู่ในความฝันได้เกือบสองชั่วโมงเพราะมีสอบวิชากฎหมายวันพรุ่งนี้ มือใหญ่ควานหาสะเปะสะปะทั้งใต้หมอนและบนลิ้นชักข้างเตียงทั้งๆ ที่ยังคงหลับตาอยู่ รู้สึกแปลกใจที่ปกติตนเองมักจะวางไว้ข้างหูแต่วันนี้กลับหาไม่เจอ

เจ้าของโทรศัพท์วางศีรษะของตัวเองลงบนหมอนอีกครั้ง พยายามไม่สนใจตัวกำเนิดเสียงที่กำลังรบกวนเขาอยู่ตอนนี้เพราะคิดว่าอีกซักครู่คนที่ติดต่อมาคงเลิกไปเอง แต่มันกลับไม่เป็นไปตามคาด

เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่องและไม่ยอมหยุดจนเขาต้องลุกขึ้นมามองหาเจ้าตัวปัญหาว่าเอาไปวางทิ้งไว้ตรงส่วนไหนของห้อง แล้วเขาก็เจอมันกระพริบอยู่บนตู้เย็นมุมหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างระอาไม่จำเป็นต้องดูเบอร์ที่ขึ้นอยู่ก็รู้ว่าเวลานี้จะเป็นใครไปไม่ได้ที่จะโทรมารบกวนเขาได้ขนาดนี้

“มีอะไรคุณนาย” เสียงใหญ่กรอกลงไปด้วยอารมณ์คนถูกขัดใจเวลานอน

“ปอนด์รถเราสตาร์ทไม่ติดอีกแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “โธ่ เราขอโทษที่โทรมากวน แต่รถมันสตาร์ทไม่ติดจริงๆ เราพยายามแล้วจะกลับหอก็กลับไม่ได้เนี่ย”

“แล้วตอนนี้ขิมอยู่ที่ไหน” ปลายสายบอกตำแหน่งที่ตัวเองอยู่และอาการของรถเสร็จสรรพ น้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิดราวกับคนเพิ่งรอดตาย “สงสัยแบตหมด ไม่ค่อยได้ใช้หรือไงหาทำไมแบตมันถึงไม่ชาร์จ”

“ก็ไม่ค่อยได้ไปที่ไหนนี่ วันนี้มาอ่านหนังสือกับเพื่อนก็เลยขับมา”

“เออๆ ห้านาทีเดี๋ยวไป รออยู่ตรงนั้นนะอย่าไปไหน ไม่งั้นก็เข้าไปนั่งในรถ จะตีสามอยู่แล้วไม่รู้จักกลับหอ” ปลายสายพูดโต้ตอบกลับมาอีกเล็กน้อยก่อนจะวางไป ปอนด์บิดขี้เกียจไล่ความง่วงออกก่อนจะเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำแล้วเดินมาหยิบกุญแจรถยนต์พร้อมสายชาร์จลงไปยังรถตัวเอง ยังดีที่หอพักที่ตัวเองอยู่ไม่ใช่หอพักในมหาวิทยาลัยที่มีเวลาปิดและเปิดอย่างเป็นระเบียบ ถ้าเป็นเช่นนั้นเห็นทียัยตัวปัญหาคงต้องนอนในรถทั้งคืนเป็นแน่

เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นท่ามกลางความเงียบและตึกที่ยังคงมีไฟดวงเล็กๆ เปิดอยู่สองสามดวง ขิมยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงรถตัวเอง แทบจะเปิดประตูไปกระโดดกอดคนที่กำลังเก็บสายชาร์จอยู่ที่กระโปรงรถ

“ขอบใจนะ” เธอตะโกนแหวกอากาศ ปอนด์กลับตอบเพียงแค่พยักหน้าแล้วบอกเธอให้ขับรถกลับดีๆ เพียงเท่านั้น แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับหอพักของตัวเอง

คืนนั้นขิมยืนยิ้มกับตัวเองในกระจกไม่ยอมเข้านอน รถเจ้าปัญหาถูกจอดไว้อย่างดีในที่จอดที่ทางหอพักจัดไว้ให้ส่วนตัวเธอนั้นยังคงนึกถึงความใจดีของปอนด์ที่แม้จะผ่านมากี่ปีก็ยังไม่เคยเปลี่ยน

ปอนด์ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกันโดนบังเอิญที่โรงยิมเธอไปดูการแข่งขันบาสภายในมหาวิทยาลัยระหว่างคณะต่างๆ แต่ดันทะเล่อทะล่าเดินไม่สังเกตว่าลูกบาสที่ทีแรกอยู่ในสนามนั้นกำลังลอยมาทางเธอแล้วหัวเธอก็ดันมีแรงดึงดูดระหว่างลูกบาสแรงเสียงด้วย ลูกบอลยางนั้นพุ่งลงตรงศีรษะเธอพอดีไม่มีขาดไปสักเซนฯ เดียว

ขิมจำได้ว่ามีผู้ชายคนนึงวิ่งเข้ามาหาเธอขอโทษขอโพยเธอยกใหญ่แล้วพาไปคลินิกในมหาวิทยาลัย พอหมอที่ตรวจบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาคนนั้นถอนหายใจโล่งอกแต่เธอก็ยังคงได้ยินคำขอโทษหลุดออกจากปากเขาอยู่ดี ขนาดว่าเธอบอกแล้วบอกไม่เป็นไรอีกหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดจนเธอต้องบอกว่าเสนอให้เขาเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษแทนนั่นแหละเขาถึงยอม

หลังจากวันนั้นมาเธอกับปอนด์ก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างทุกวันนี้ เวลาเธอมีปัญหาเธอมักจะคิดถึงปอนด์เป็นคนแรกเสมอ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรถเสียแต่แม้กระทั่งเครียดเรื่องสอบขิมก็ยังคุยกับปอนด์ก่อน ทั้งๆ ที่คุยกับเพื่อนที่คณะน่าจะดีกว่า

สำหรับปอนด์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างขิมกับเขาคืออะไรนั้น ขิมไม่อาจคาดเดาได้แต่ถ้าหากถามขิมแล้วหญิงสาวตอบได้ทันทีว่าเธอคิดกับชายหนุ่มมากกว่าเพื่อนอย่างแน่นอนมันไม่ใช่รักแรกพบแต่มันคือความผูกพัน ขิมรู้จักกับปอนด์นานพอที่จะรู้ว่าปอนด์ไม่ใช่คนดีขนาดพ่อพระแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดที่พอจะเป็นฆาตกรฆ่าใครได้

รูปคู่ใบเดียวที่ยังคงถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของกระเป๋าสตางค์ เป็นรูปใบเดียวกับที่เธอและปอนด์ถ่ายคู่กันตอนนัดกันไปกินข้าวหลังจากที่ต่างคนต่างสอบกลางภาคเสร็จ ซึ่งถ่ายจากกล้องจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง ทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กล้องไม่สนใจอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแววตาของขิมที่ส่งผ่านกล้องนั้นดูมีความสุขอย่างปิดไม่มิด

มือบางลูบใบหน้าของชายหนุ่มในรูปเบาๆ ก่อนจะยกขึ้นปิดปากหาวกว้างเนื่องจากเวลาล่วงเข้าวันใหม่ได้หลายชั่วโมงแล้ว ยังดีที่ช่วงนี้อาจารย์แทบไม่นัดเรียนเนื่องจากใกล้สอบปลายภาคของชั้นปีที่สาม ขิมจึงมีเวลาอ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องคอยระวังว่าพรุ่งนี้จะมีเรียนหรือไม่ ร่างบางเริ่มซุกตัวในผ้าห่มหนาปล่อยให้เครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ของมันไปอย่างเงียบๆ เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนปิดในที่สุด หญิงสาวหลับพร้อมกับรูปใบนั้นที่เธอวางไว้ข้างหมอน


“ขิม” เสียงทุ้มคุ้นเคยเรียกเจ้าของชื่อให้ละความสนใจจากหนังสือตรงหน้า พอขิมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเธอก็เห็นปอนด์ยืนอยู่ในระยะห่างพอสมควรผมปกคลุมศีรษะยังคงยุ่งกระเซอะกระเซิงเช่นทุกวัน หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นไม่ค่อยชอบใจในทรงผมที่ดูไม่เป็นทรงของชายหนุ่มเท่าไหร่แต่ก็อดยอมรับกับตัวเองไม่ได้ว่าเพราะปอนด์เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ไม่ใช่เหรอเธอจึงหลงรักอย่างไม่ทันรู้ตัว

“ปอนด์ มีอะไรเหรอ”

“จะสี่โมงเย็นแล้วนะยังนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกเหรอ” ข้อมือขาวยกขึ้นดูเวลาตามที่คนมาใหม่ท้วง หญิงสาวอุทานเบาๆ อย่างตกใจเล็กน้อยว่าเธอใช้เวลากับหนังสือเล่มนี้ตั้งครึ่งวันแถมยังอ่านไม่จบอีกด้วย

“อ่านไม่ทันแล้วน่ะสิเลยต้องรีบอ่าน”

“ขิมเรียนเภสัชฯ จริงรึเปล่า ขนาดเราเรียนนิติฯ เรายังอ่านไม่เท่าขิมเลยนะ” คนถามถูกค้อนเขวี้ยงใส่วงเบ้อเริ่ม ขิมรู้ตัวเองดีว่าหญิงสาวไม่ใช่คนหัวดีอะไรนัก แต่ที่สอบเข้าคณะนี้ได้ก็เพราะความขยันเสียมากกว่า

การแข่งขันในคณะเภสัชศาสตร์ไม่ได้ต่างจากคณะอื่นสักเท่าไหร่ แต่ระดับอาจจะสูงกว่านิดหน่อยตรงที่ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาเรียนเป็นคนที่เก่งอยู่แล้วแค่เพียงอ่านนิดหน่อยก็เข้าใจ แต่ไม่ใช่เธอที่ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถกว่าจะได้คณะนี้มาเพื่อให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ

“ใครจะเก่งสู้ปอนด์ได้ล่ะ ขนาดเรียนบ้างไม่เรียนบ้างเกรดยังสูงเลย ถ้าเกิดตั้งใจเรียนเกรดไม่สี่จุดศูนย์ศูนย์เลยเหรอ”

“โธ่เอ๊ย มันฟลุ๊คต่างหากเราก็แค่อ่านตรงกับที่ออกข้อสอบแค่นั้นเอง” คนเรียนเก่งยักไหล่พูดอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ขิมรู้ดีว่าคนตรงหน้าอ่านหนังสือมากแค่ไหนเพียงแค่ไม่อ่านให้ใครเห็นเท่านั้น หญิงสาวทำท่าจะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อแต่มือใหญ่กลับยื่นมาปิดมันลงฉับ ทำเอาคนขยันเงยหน้าขึ้นสายตาเอาเรื่องเรียกคนทำเสียงต่ำ

“ปอนด์”

“ไปกับเราดีกว่า อีกสองอาทิตย์กว่าจะสอบ” หญิงสาวเลิกคิ้วกับคำชวนแกมบังคับนั้นอย่างแปลกใจเพราะปกติปอนด์ไม่ใช่คนที่จะบังคับเธอไปไหนหากไม่จำเป็นจริงๆ

“ไปไหน”

“เถอะน่า แต่ไปรถขิมนะรถเราเพิ่งเอาเข้าอู่เมื่อเช้า”

“รถเป็นอะไร” ขิมถามอย่างสงสัย ร้อยวันพันปีรถของคนตรงหน้าไม่เคยป่วยสักครั้ง เมื่อคืนก็ยังดีๆ อยู่

“โดนชนน่ะ ออกจากหอมาได้นิดเดียว คันที่อยู่ข้างหลังยังไงก็ไม่รู้สอยตูดซะเละเลย” เจ้าของรถเล่าไปกระแทกเสียงไป หญิงสาวรู้ว่าปอนด์รักรถมากแค่ไหนขนาดล้างรถยังไม่ไว้ใจให้คาร์แคร์ที่ไหนได้แตะ ต้องหาเวลาล้างเองขัดเองอยู่ร่ำไป

“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า”

“เราไม่เป็นอะไร ไม่มีบาดแผล ปกติดีทุกอย่าง”

“เราหมายถึงรถ” ปอนด์ยืนชะงัก มองหน้าคนที่กำลังเก็บของอย่างเอาเรื่อง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสแทนคำพูดของคนถาม นิ้วเรียวชี้หน้าคาดโทษใส่คนที่ห่วงรถมากกว่าเจ้าของ และแม้ขิมจะเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังคงยืนหัวเราะเบาๆ อยู่ที่เดิมไม่ยอมเดินนำไปที่รถ จนเขาต้องเดินไปคว้าแขนเพื่อให้เดินนำเธอไปที่รถแทน

ขิมมองมือที่จับอยู่ที่แขนนั้นแล้วเดินตามอย่างเงียบๆ ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นราวกับมีคนตีกลองรัวอยู่ข้างใน ปอนด์มักทำอะไรให้เธอหวั่นไหวได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เธอยังคงหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายแค่เพราะการกระทำทั้งหมดมาจากผู้ชายคนนี้เพียงคนเดียว

กุญแจที่มีตัวการ์ตูนน่ารักห้อยอยู่ถูกวางลงบนมือใหญ่ เมื่อปอนด์แบมือมาตรงหน้าและบอกกับเธอว่าเขาจะเป็นคนขับไปเองจะได้ไม่ต้องเสียเวลาบอกทางให้ยุ่งยาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทั้งสองคนเพราะปอนด์มักขับรถเธออยู่บ่อยครั้ง ในเวลาที่อยากออกไปที่ไหนสักแห่งแต่ไม่อยากเอารถออกมา และเธอชินกับการกระทำนี้มานานแล้ว แต่กับเพื่อนของเธอที่คณะหญิงสาวมักได้รับสายตาสงสัยและอยากรู้จากเพื่อนเสมอเวลาที่ปอนด์เดินมาหาเธอถึงคณะ ทั้งที่คณะของปอนด์เรียกได้ว่าอยู่ไกลถึงอีกฝั่งของมหาวิทยาลัย

“บอกเราได้หรือยังว่าจะพาไปที่ไหน” เจ้าของรถผู้ซึ่งไม่รู้เลยว่าคนขับรถกำลังจะพาเธอไปที่ไหนเริ่มจะหมดความอดทนกับความสงสัยของตัวเอง เมื่อปอนด์เริ่มพาเธอขับรถออกห่างจากในตัวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางเริ่มไม่มีบ้านคน มีเพียงกอหญ้าเตี้ยๆ เรียงรายปลิวไสวตามลมและต้นไม้ใหญ่เพียงไม่กี่ต้น

หญิงสาวเริ่มตื่นตระหนก เธอไม่แน่ใจว่าคนที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ เธอในตอนนี้รู้ในความรู้สึกเธอหรือไม่ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถห้ามได้ ในเมื่อเขากำลังพาเธอมาที่ไหนสักแห่งที่เธอไม่เคยมาและไม่รู้จัก

“ปอนด์จะพาเราไปไหน” ในที่สุดขิมก็ตัดสินใจถามอีกครั้ง และครั้งนี้เธอได้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาแทนคำตอบ นั่นก็มากพอที่จะทำให้เธอใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แม้ปอนด์จะเป็นผู้ชายที่เธอไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้ แต่ขิมก็ไม่ได้ลืมว่าปอนด์คือผู้ชาย “ระ เรา เราว่าปอนด์พาเราออกมาไกลเกินไปแล้วนะ”

ขิมหันมาพูดเสียงสั่นกับคนทำหน้าที่ขับรถ ภายในความืดหญิงสาวเห็นได้เพียงไหล่ของชายหนุ่มกำลังขยับขึ้นลงเหมือนร้องไห้ แต่ความจริงแล้วชายหนุ่มกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แล้วความตกใจก็มากขึ้น เมื่อจู่ๆ ปอนด์หักพวงมาลัยเข้าข้างทางก่อนแล้วจึงหันมาพูดกับคนที่กำลังคิดไปไกล

“กำลังคิดอะไรอยู่” นิ้วชี้เรียวผลักหน้าผากเล็กเหมือนต้องการเรียกสติของขิมให้กลับมา และมันก็ได้ผลมือเล็กยกขึ้นลูบป้อยๆ ตรงหน้าผากก่อนจะแว้ดเอากับคนที่ทำร้ายเธอ

“ก็จะพาไปไหนล่ะ บอกกันก่อนไม่ได้หรือไงทางนี้เราไม่เคยมาด้วย เป็นใครก็กลัวทั้งนั้นแหละ” เขามองหน้าคนพูดส่ายหัวระอาก่อนจะหัวเราะลั่นรถกับความคิดพิเรนทร์ของหญิงสาว

“ไม่พาไปทำอะไรหรอกน่า ทำไม่ลงจริงๆ” มือเล็กซัดผัวะเอากับไหล่กว้างทันทีที่เขาพูดจบประโยค จากนั้นจึงไล่ให้ปอนด์หันไปขับรถต่อ ใช่ว่าจะไว้ใจมากขึ้นแต่ความไว้ใจที่หายไปเมื่อกี้กลับมาแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ต่างหาก หญิงสาวยิ้มแล้วนึกถึงประโยคที่ชายหนุ่มพูด

อย่างน้อยปอนด์ก็คง ทำ ‘อะไร’ ไม่ลงอย่างที่พูดจริงๆ

นั่งรถกันมาพักใหญ่แต่สองข้างทางยังเป็นวิวเช่นเดิมเหมือนตอนที่เพิ่งขับออกมา จนขิมชักเริ่มจะสงสัยมากขึ้นว่าทำไมถึงยังไม่ถึงที่หมายเสียที

“ปอนด์” เธอเรียกเพื่อนสั้นๆ และเพื่อนก็ตอบกลับเธอมาด้วยเสียงที่อยู่ในลำคอ “นานแล้วนะยังไม่ถึงอีกเหรอ”

“เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ เบื่อแล้วเหรอ” ขิมส่ายหน้าเร็วๆ เป็นคำตอบ หากข้างๆ เธอยังมีผู้ชายที่ชื่อปอนด์อยู่ ต่อให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เธอก็ไม่เบื่อ แต่ที่เธอถามเพราะเห็นชายหนุ่มขับมาไกลมากแล้วมากกว่า

ภาพวิวทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากที่มีเพียงกอหญ้าเตี้ยๆ และไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่แต่ตอนนี้ต้นไม้สูงใหญ่กลับเรียงรายอยู่สองข้างทางและบ้านไม้อีกสองสามหลังที่ตั้งอยู่ไกลห่างออกไปจากถนนเล็กน้อยราวกับต้องการความเงียบสงบอย่างมาก

ท้องฟ้าที่เคยสว่างตอนนี้กลายเป็นมืดสนิท พร้อมกับรถที่ค่อยๆ รถความเร็วลงทีละน้อยๆ จนกลายเป็นหยุด ขิมมองออกไปเบื้องหน้ารถ เธอเห็นบ้านหลังเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่กับแม่น้ำที่กลายเป็นสีดำสนิท หญิงสาวรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติได้เป็นอย่างดีเมื่อลงจากรถ

แมลงต่างส่งเสียงกันอื้ออึงราวกับสนทนากันอยู่ อีกทั้งใบไม้ที่ไหวเอนตามสายลมเห็นแล้วทำเอาหญิงสาวยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว ขิมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดทักทายพระจันทร์ที่ส่องสว่างและดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติที่ไม่ได้เห็นมานาน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับตัวหนังสือ

“ไปทางนู้นกันเถอะ”

เสียงทุ้มเอ่ยดึงความสนใจเธอออกจากสิ่งรอบตัว ชายหนุ่มเดินนำเธอไปยังบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นเพียงหลังเดียว ตาที่โตอยู่แล้วของขิมโตขึ้นไปอีก เมื่อมองเข้าไปในตัวบ้านแล้วเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งลับมีดอยู่บนตั่งตัวเตี้ย มีเพียงแสงเทียนเท่านั้นที่คอยส่องสว่างให้กับบ้านทั้งหลัง หญิงสาวรีบหลบอยู่หลังคนตัวโตกว่าทันทีที่เขาหยุดเดิน มันจะดูเหมือนในหนังที่เคยดูมากยิ่งขึ้นไปอีก หากชายชราคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ และถามด้วยเสียงเนิบๆ

“มีอะไร” ขิมเลิกคิ้วกับแผ่นหลังของปอนด์ ไม่คิดว่าจะได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด

“จะมาขอเช่าเรือไปดูหิ่งห้อยน่ะครับลุง”

“มากี่คน”

“สองครับ” ‘ลุง’ เหลือบตาขึ้นมองอีกครั้งแล้วเงียบไป มีเพียงเสียงของมีดที่กำลังไถลกับหินและแสงเทียนเท่านั้นที่บอกได้ว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังนี้ “อ้อ แล้วก็กล้องอีกตัวนึง”

ขิมเอี้ยวตัวมองหน้าปอนด์ เห็นกล้องตัวที่ชายหนุ่มมักติดตัวไปไหนมาไหน เลยพอจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าเขาพาเธอมาทำอะไร ชายหนุ่มมักพาเธอไปหาที่ถ่ายรูปเสมอ โดยเฉพาะหากพรุ่งนี้เป็นวันหยุด แต่ปกติเขาจะบอกเธอก่อนมากกว่าจะให้เธอมาเซอร์ไพรซ์เมื่อถึงสถานที่เช่นวันนี้ อีกทั้งเจ้าของสถานที่ก็ยังดูน่ากลัวไปนิด
เอ่อ... ความจริงก็ไม่นิดหรอกนะ น่ากลัวอยู่มากทีเดียว

“เรืออยู่ข้างบ้านชั่วโมงละสามร้อย”

“สามร้อย!” ขิมตกใจกับราคาจนเผลอตะโกนมันออกมาเสียงดังทำให้เสียงลับมีดที่เคยดังอยู่เงียบหายไปพร้อมกับใบหน้าเจ้าของบ้านที่สงสายตาดุมาทางเธอ

“มีปัญหาหรือนังหนู ถ้าไม่ไปก็กลับไปซะ” ชายชราพูดจบก็หันไปจัดการกับมีดในมือต่อ แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่คิดอะไรมาก

“สามร้อยก็สามร้อยครับลุง เรืออยู่ข้างบ้านใช่ไหมครับเดี๋ยวผมจัดการเอง” ชายหนุ่มยื่นแบงค์ร้อยสามใบที่เตรียมมาให้ชายชรา ก่อนจะผละออกไปยังทิศทางที่เขาบอกโดยมีขิมเกาะชายเสื้ออยู่แน่น


ความเงียบปกคลุมรอบพื้นที่ราวกับเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้หากเจ้าของไม่อนุญาต มีเพียงเสียงจักจั่นและแมลงต่างๆ ที่มักส่งเสียงร้องหาคู่และออกหากิน อ้อ และอีกอย่างคือเสียงพายของเรือกระทบกับน้ำเป็นจังหวะ ปอนด์พายเรืออย่างชำนาญจนขิมเองสงสัยว่าทำไมเธอไม่เคยรู้ว่านเขาพายเรือเป็น แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป หญิงสาวนั่งมองความมืดตามรายทางที่มีทั้งต้นไม้สูงใหญ่ไหวตามลมเย็น จนเธอชักเริ่มหนาวขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ปอนด์ แถวนี้มีหิ่งห้อยจริงๆ เหรอ” ขิมถามเสียงเบา หันมองบรรยากาศรอบตัว เธอชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าแถวนี้มีแค่หิ่งห้อยหรือมีอย่างอื่นที่เหนือธรรมชาติอยู่ด้วย

“มีสิ ถ้าถึงที่อยู่ของมันเดี๋ยวขิมก็เห็นเองแหละ”
เรือยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างคนสองคนราวกับต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ขิมเหลือบมองหน้าคนพายเรือเล็กน้อย เห็นเหงื่อผุดขึ้นมาตามหน้าผาก บอกให้รู้ว่าชายหนุ่มเริ่มเหนื่อยจากการพายเรือ แต่ก็ยังคงพายโดยไม่ปริปากบ่น

อาจเพราะลืมตัวหรือโดยตัวอะไรเข้าสิงก็สุดรู้ หญิงสาวยื่นมือเข้าไปซับเหงื่อคนตรงหน้าอย่างเบามือทำเอาปอนด์ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่ขิมทำ แม้ว่าทั้งคู่ถึงแม้จะสนิทกันมากเท่าไหร่ เขาและเธอก็ไม่เคยแสดงออกในลักษณะนี้มาก่อน

“เอ่อ..ขอโทษ เห็นว่าปอนด์คงเหนื่อยน่ะเหงื่อออกเต็มหน้า เราเลย... เช็ดให้ เอ่อ... อ่ะ เช็ดซะ พายเรือมาตั้งไกลเหนื่อยแย่เลยเนอะ” คนลืมตัวหัวเราะแหะๆ ทำทีไม่รู้เรื่อง มือเล็กยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยให้คนตรงหน้าแก้เก้อ ชายหนุ่มตอบแค่เพียงเสียงอืมที่ซ่อนอยู่ในลำคอ ทำให้หลังจากนั้นทั้งคู่จึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

พายเรือมาได้ซักพักทั้งคู่ก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมน้ำ ซึ่งเป็นต้นเดียวเท่านั้นที่มีแสงเล็กๆ เคลื่อนไหวอยู่รอบต้น ขิมเพ่งมองเล็กน้อยก่อนจะตาโตขึ้นด้วยความประหลาดใจกับแหล่งที่มาของแสง หิ่งห้อยนับพันยังคงหลงเหลืออยู่ที่นี่อย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่เธอคิดว่าพวกมันใกล้สูญพันธุ์ไปแล้ว คนตัวเล็กมัวแต่ชื่นชมภาพสวยตรงหน้า ไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้เรือที่พาเธอมานั้นจอดนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าต้นไม้ต้นนี้แล้ว

“ขิม” เจ้าของชื่อหันหน้าตามเสียงเรียกแล้วจึงได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ตามมาในระยะเวลาเกือบจะเดียวกัน หิ่งห้อยพวกนี้ทำให้เธอลืมคนที่พาเธอมาไปเสียสนิท

“ทำไมถึงพาเรามาที่นี่” หญิงสาวถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ชายหนุ่มกดชัตเตอร์รัวจนหนำใจกับภาพแสงหิ่งห้อยตรงหน้า

“ขิมว่ามันสวยไหมล่ะ” คนถูกถามพยักหน้ารับคำ ภาพตรงหน้าสวยมากจนเธอนึกว่าหลงอยู่ในโลกเทพนิยายที่ไม่มีอยู่จริง สวยจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

“นั่นแหละ เราอยากให้ขิมได้เห็น”
ขิมมองคนพูดอย่างไม่เชื่อในหูตัวเองว่าคนตรงหน้าจะพูดแบบนี้เป็น ไหนจะแววตาที่มีอารมณ์บางอย่างซ่อนอยู่นั่นอีก ทั้งอ่อนโยน หวานเชื่อมและ... โอยยย อย่ามองแบบน้านนนน ขิมโอดโอยอยู่ในใจ ก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะเกรงว่าจะเป็นลมตายไปเสียก่อน

“ขิม” เสียงทุ้มดังขึ้นเพื่อดึงหญิงสาวกลับสู่โลกแห่งความจริง หญิงสาวเบนสายตาไปยังต้นไม้ใหญ่อีกครั้งและตอบรับคนเรียกด้วยเสียงอืมในลำคอ “ดูนี่” มือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าในลักษณะปิดทับกันอยู่ราวกับมีอะไรอยู่ข้างใน ขิมเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจในมือคู่นั้น

“อะไรน่ะ”

“เข้ามาใกล้ๆ สิ” ขิมมองอย่างไม่ไว้ใจ หากในมือนั้นเป็นสิ่งที่กระโดดได้หรือกัดเธอได้จะทำอย่างไร “มันไม่กัดหรือกระโดดใส่ขิมหรอกน่ายื่นหน้ามา”

แน่ะ... ตานี่มีหูทิพย์ญาณทิพย์หรือยังไงนะถึงได้ยินที่เธอคิดอยู่ข้างใน
แต่หญิงสาวยอมขยับเข้าไปหาอีกฝ่าย แถมยังเผลอเงยหน้าขึ้นจ้องตาหวาน เหมือนเธอและเขาหลุดออกไปอีกโลก

“นี่ ดูนี่”

มือใหญ่ยื่นเข้ามาใกล้หน้าขิมขึ้นไปอีก เรียกสายตาของหญิงสาวให้จ้องมาที่มือเขาแทนที่จะเป็นหน้า ชายหนุ่มเปิดมือออกพร้อมกับมีตัวกำเนิดแสงตัวเล็กๆ บินออกมาช้าๆ ขิมมองตามหิ่งห้อยตาไม่กระพริบ ราวกับรู้เจ้าหิ่งห้อยตัวเล็กดันบินไปหาคนที่จับมันขังอยู่ในอุ้งมือเมื่อครู่ ทำให้เธอสบตาปอนด์อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ขิมชะงักเล็กน้อยใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เมื่อเห็นสายตาที่ปอนด์ส่งมา ก่อนจะรีบหลบมันอย่างรวดเร็ว โดยการหันไปมองหิ่งห้อยบนต้นไม้แทน

พอถ่ายรูปจุดนั้นจนพอใจ ปอนด์ก็เอ่ยปากชวนขิมพายเรือที่ยังเนินดิน จุดที่สามารถเอาเรือไปจอดและลงไปยืนได้ ขิมตื่นเต้นกว่าตอนนั่งอยู่บนเรืออย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามขยับเข้าไปใกล้จุดของหิ่งห้อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วพอหันกลับมาหาเพื่อนสนิท หญิงสาวกลับเห็นเขากำลังตั้งใจปรับโฟกัสกล้องเพื่อถ่ายอะไรซักอย่างอยู่ ภาพนั้นอยู่ในสายตาของขิมและมันกำลังถูกเก็บไว้ในส่วนหนึ่งของความทรงจำของเธอ

“ขิม” หญิงสาวตื่นจากภวังค์หันไปตามเสียงนั้น เธอเห็นชายหนุ่มกำลังกวักมือเรียกเธอไหวๆ แล้วก้าวเท้าออกไปทันทีลืมนึกไปว่าที่เธอยืนอยู่คือเนินดินเล็กๆ ที่ไม่สามารถก้าวไปไหนแบบไม่ทันระวังได้และ...

ตู้ม! ครึ่งล่างของขิมลงสู่น้ำเรียบร้อย
หญิงสาวก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มแหยกับคนที่ยืนค้ำหัวเธออยู่ตรงจุดที่เธอเคยยืน ปอนด์ไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ ชายหนุ่มยืนมองเพื่อนสาวผ่านเลนส์กล้องก่อนจะกดชัตเตอร์เป็นสัญญาณบอกหญิงสาวว่าภาพของเธอถูกเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อย

ขิมทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนตะโกนเรียกชื่อเจ้าของกล้องเสียงดัง แต่มีหรือปอนด์จะยอม ชายหนุ่มยังกดชัตเตอร์ไว้อีกสองสามรูป เมื่อเห็นหน้าของขิมกำลังเหวี่ยงได้ที่ แต่หลังจากนั้นก็ต้องยอมหยุดและยื่นมือลงไปเพื่อช่วยดึงเพื่อนขึ้นมา
ดีที่ขืนตัวไว้ทัน ไม่อย่างนั้นทั้งเขาและกล้องคงจะไปนอนคุยกับปลาเช่นเดียวกับขิม เพราะหญิงสาวทำการดึงแขนเขาให้ตามลงมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เพื่อให้เขาเสียการทรงตัว

“กล้องมันแพงนะขิม เล่นอะไรน่ะ”

“เปล่า” คนที่อยู่ในน้ำยืนกรานปฏิเสธราวกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่รู้ทัน ปอนด์ดึงยืดตัวเองขึ้นจากมือที่เคยยื่นไปเมื่อครู่กลับเป็นยืนเท้าเอวและเหล่หญิงสาวอย่างเอือมระอา

“อยากจะแช่อยู่ในน้ำจนเช้าใช่ไหม” สายตาที่ส่งมาอย่างเป็นต่อ ทำให้หญิงสาวแอบขัดใจเล็กๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยื่นมือขึ้นไปพร้อมกับสายตาอ้อนวอนราวกับลูกแมวตัวน้อย นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ปอนด์ต้องรีบดึงหญิงสาวขึ้นมาจากน้ำ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“กลับกันเถอะ จะครบชั่วโมงแล้ว” หญิงสาวพยักหน้าและเดินตามอย่างว่าง่าย คราวนี้ไม่พลาดที่จะมองทางข้างหน้าก่อนก้าวขาออกไปเพราะไม่อย่างนั้นคงได้เปียกอีกรอบเป็นแน่

ชายหนุ่มเดินมาเพื่อบอกชายชราเจ้าของสถานที่ว่าพวกเขาจะกลับแล้ว แต่คำแรกที่ชายชราทักขึ้นกลับเป็นคำว่า ‘อ้าว’ เมื่อเหลือบไปเห็นร่างเล็กเดินเปียกลากน้ำตามมาด้วยเป็นทาง ทักเสร็จชายชราก็เหลือบมองยังคนร่างสูงที่ยืนอยู่ราวกับใช้สายตาแทนคำถาม

“ตกน้ำนิดหน่อยครับ พอดีขิมเค้าเดินไม่ระวัง”

“ดีนะที่แถวนั้นมันไม่ลึก” ชายชราพูดเสียงแหบราวกับเป็นห่วง ทั้งที่ก่อนจะเข้าไปเขายังไล่พวกเธอสองคนอยู่เลย ขิมสะกิดหลังปอนด์ให้เอ่ยลาได้แล้ว เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ชายชราจะไม่ได้ลับมีดแล้วก็ตามแต่เธอก็ยังคงกลัวสายตาและเสียงแหบนั่นอยู่ดี

“พวกผมกลับก่อนนะครับ” ชายชราไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเดินเข้าไปในตัวบ้านและปิดประตูอย่างเงียบเชียบ


“ดูท่าทางลุงแกไม่ค่อยอยากคุยกับใครเลยเนอะ” ขิมเปรยขึ้นเมื่อทั้งสองเข้ามานั่งในรถกันเรียบร้อยแล้วพร้อมออกเดินทางกลับหอพัก “ว่าแต่ปอนด์รู้จักที่นี่ได้ยังไงอ่ะ เราว่ามันลึกลับมากเลยนะ”

“เรากับพี่ชายเคยขับรถหลงมาแถวนี้น่ะ แล้วก็ไปเจอตรงที่ลุงเค้าอยู่พอดีเลยรู้ว่ามีหิ่งห้อย แต่ตอนนั้นน่ะไม่ได้เอากล้องมาด้วย เลยไม่ได้ถ่ายแค่เห็นเฉยๆ ว่าหิ่งห้อยมันเยอะมาก” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ พลันนึกถึงหิ่งห้อยที่บินกันอย่างสนุกสนานราวกับอยู่ในงานเต้นรำและสายตาคู่นั้น ขิมยิ้มเมื่อนึกเลยไปถึงสายตาของปอนด์ที่ส่งมาทำเอาใจเต้นแรงอย่าฉุดไม่อยู่ หญิงสาวเหลือบมองคนขับเล็กน้อยก่อนจะหลบหันมองหน้าต่างเมื่อรู้ว่าตนเองถูกจับได้

“มีอะไรรึเปล่า” ปอนด์ถามขึ้นขณะที่ตามองทางข้างหน้าด้วยความที่ทางมืดดังนั้นเขาจึงต้องระวังขึ้นอีกหลายเท่าเห็นด้วยหางตาว่าศีรษะเล็กๆ นั้นส่ายไปมาเป็นเชิงปฎิเสธ

“แน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามองหน้าเรายังจะเปล่าอีก”

“เปล่าจริงๆ ไม่มีอะไร ขับรถไปเถอะน่าถึงหอปอนด์แล้วเรียกด้วยนะ เราจะนอน” ไม่มีเสียงตอบรับจากทางฝั่งคนที่ขับรถอยู่ แต่หากขิมรู้ปอนด์รับรู้ทุกคำที่เธอพูด
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเอนตัวลงนอนเรียบร้อยแล้ว มือใหญ่จึงเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุให้ดังท่ามกลางความเงียบเบาๆ พอกล่อมให้คนง่วงได้นอนอย่างสบายใจ ก่อนจะหันมามองทางและจดจ่อสมาธิกับการขับรถเหมือนเดิม


‘ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าเพื่อนคนหนึ่งมันแอบมันคิดอะไรไปไกลเกินกว่าเพื่อนกัน’

เพลง ช่างไม่รู้เลย บอย พีชเมเกอร์


เพลงที่ดังขึ้นเพื่อให้ทำลายความเงียบ ทำเอาคนที่บอกว่าง่วงอยู่เมื่อครู่หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวลืมตาโพลงฟังเพลงโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนให้คนขับรู้ว่าเธอไม่ได้หลับ ปอนด์จะรู้บ้างไหมว่าเธอกำลังอยากเป็นมากกว่าเพื่อน อยากยืนข้างๆ ตลอดเวลาและ... อยากเป็นคนสำคัญที่สุดของเขา

นอกจากเพลงที่บั่นทอนความรู้สึกของขิมไปแล้ว ยังมีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาหาปอนด์อีกด้วย ชายหนุ่มพูดด้วยถ้อยคำสุภาพอย่างเช่นทุกที มีหัวเราะบ้างเล็กน้อย
คำถามแรกที่เกิดขึ้นในหัวของขิมคือ... ใคร

การที่แอบฟังอยู่พักหนึ่งทำให้เธอจับได้ว่าปลายสายเป็นผู้หญิง... ผู้หญิงอย่างนั้นหรือ อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกใจหายขึ้นมาเสียดื้อๆ มือขาวจับที่จับประตูแน่นพยายามแสดงว่าเธอกำลังนอนอยู่

“อ๋อ พี่ออกมาข้างนอกน่ะ มีอะไรรึเปล่า” หากฟังไม่ผิด ขิมได้ยินเสียงเล็กๆ ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ราวกับออดอ้อนคนที่กำลังคุยด้วยอย่างน่ารัก เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูได้ดีทีเดียว

“ได้สิ พรุ่งนี้เจอกันก็แล้วกันนะครับ วันนี้พี่คงถึงหอดึก”

น้ำตาคนแอบฟังตกข้างในจนแทบล้นทะลักออกมาข้างนอก ขิมได้ข้อสรุปตอนนี้เอง... ระหว่างเธอกับเขาคงไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เธอคิดไปเองคนเดียว โดยที่ปอนด์ไม่ได้รู้สึกอะไรเกินคำว่าเพื่อนแม้แต่น้อย
โอเค เธอจะหยุดเรื่องราวทั้งหมดไว้ตรงนี้ แต่นี้ต่อไประหว่างเขาและเธอจะเหลือเพียงขอบเชตของคำว่า...

เพื่อน.... เพื่อนเพียงเท่านั้น

ปอนด์วางสายโทรศัพท์ของผู้หญิงปริศนาคนนั้นไปแล้ว ขิมเลยแกล้งขยับตัวเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเธอกำลังจะตื่น หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ เหลือบมองคนขับเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้ามองความมืดที่โรยตัวอยู่ด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับความเงียบที่ยังคงฟุ้งกระจายอยู่ข้างในรถ

อันที่จริงก่อนที่จะลืมตาขิมพยายามบอกตัวเองว่าให้ทำตัวตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ยินเรื่องที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อครู่และขอให้ทุกอย่างย้อนเวลากลับไปราวกับเรื่องที่เธอได้ยินไม่เคยเกิดขึ้นแต่... เธอทำไม่ได้ เธอทำใจให้ไม่คิดถึงสายตาก่อนหน้านี้ที่แม่น้ำ เธอยังคงจำมันฝังใจ สายตาอ่อนโยนขนาดนั้นทำให้เธอคิดเตลิดไปว่ามีความหวัง

แล้วเขาพังทลายมันลงในเวลาเพียง...หนึ่งนาที หนึ่งนาทีที่เขาคุยโทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อ้าว ตกลงนอนไปแล้วหรือยัง หรือเราคุยโทรศัพท์เสียงดัง” ชายหนุ่มยังคงถามไถ่ราวกับมันเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ การกระทำหลายๆ อย่างที่ได้รับจากปอนด์ทำให้เธอคิดได้ เขาอาจแสดงออกแบบนี้เป็นปกติกับเพื่อนทุกคนก็เป็นได้ แม้ว่าเธอไม่อยากยอมรับในข้อนี้ก็ตาม

“อือ จิตหลุดไปแป็บนึง ว่าแต่เมื่อกี้ใครโทรมาเหรอ” ถามออกไปแบบนั้นแล้ว ขิมแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียตรงนี้ เธอมีสิทธิ์อะไรไปถามเขาแบบนั้นกัน

“อ๋อ รุ่นน้องที่คณะน่ะ” หญิงสาวหันมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มด้วยสายตาสงสัย แต่ใครจะรู้ว่าข้างในใจเธอสลายจนแทบแหลกละเอียดไปแล้ว นี่ถ้าเธอไม่บังเอิญได้ยินแล้วถามเขาก็จะยังไม่บอกอะไรใช่ไหม เขาคงจะปล่อยให้เธอเป็นเพื่อนที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้สินะ

ขิมก้มหน้ามองมือตัวเองแล้วคิดอย่างน้อยใจในสิ่งที่ปอนด์ปิดบัง แล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้หันมาพูดกับเธอ “ไว้พรุ่งนี้จะแนะนำให้รู้จัก”
หัวใจที่ชาหนึบอยู่แล้วตอนนี้เธอรู้สึกว่าความรู้สึกมันดำดิ่งมากกว่านั้นหลายเท่า

เป็นช่วงเวลาที่ขิมไม่อยากให้เกิดขึ้นมาที่สุดในขีวิตเลยก็ว่าได้ ขิมพลิกตัวนอนคว่ำแล้วมองนาฬิกาที่วางอยู่ข้างเตียง ก่อนจะกดใบหน้าตัวเองให้จมลงไปกับหมอนหนุนใบโตราวกับจะงอแงให้ใครได้รู้บ้างว่าเธอไม่อยากไปตามนัด

เมื่อวานพอปอนด์ขับรถของเธอไปจนถึงหอของเขาเรียบร้อยชายหนุ่มก็ถือโอกาสนัดเวลาและสถานที่ทานข้าวกลางวัน ตามที่เขาได้เอ่ยไว้ว่าจะแนะนำรุ่นน้องที่คณะให้เธอรู้จัก และยังกำชับเธอนักหนาว่าห้ามสายเด็ดขาด แต่เขาดันไม่ถามเธอสักคำว่าเธออยากรู้จักรุ่นน้องของเขาคนนี้หรือเปล่า รุ่นน้องที่ขโมยของรักของเธอไปโดยที่เธอไม่ทันได้รู้ตัวสักนิด

ขิมเดินเข้าไปในร้านอาหารแล้วกวาดตามองหาเจ้าของนัด ความจริงมันไม่ได้ยากเลยสักนิด ในเมื่อทุกเวลาแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่คนเยอะแค่ไหนก็ตามขิมมักหาปอนด์เจอเป็นคนแรกเสมอ หญิงสาวกลืนน้ำลายที่จุกคออยู่ลงไปพร้อมกับก้าวไปยังโต๊ะอาหารนั้นอย่างช้าๆ ราวกับเธอคิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงฝัน และอยากลืมตาตื่นก่อนที่จะพบกับความจริงบางอย่าง

ผู้หญิงที่นั่งอยู่ก่อนแล้วในตำแหน่งข้างๆ ปอนด์ส่งยิ้มอย่างเปิดเผยให้เธอทันที เมื่อเธอเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ ขณะเดียวกันเธอก็ทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้นยิ้มตอบกลับได้อย่างฝืดเฝื่อนเหลือเกิน

ความยากมันอยู่ตรงที่จะยิ้มอย่างไรให้ดูเหมือนจริงใจมากที่สุดนั่นแหละ
ยิ้มออกไปแล้ว พลันขิมก็คิดได้ว่าเธอควรจะแสดงให้ดีกว่านี้หน่อย ก่อนที่ปอนด์และรุ่นน้องคนนี้จะสงสัยว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเธอกำลังผิดปกติ

“รอนานมั้ย” ประโยคพื้นฐานสำหรับคนมาสายกว่าเวลาหลุดออกจากปาก เมื่อหญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ แต่ปอนด์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากส่ายหัวปฏิเสธ
คนมาสายแอบสำรวจหญิงสาวข้างตัวชายหนุ่มเงียบๆ ผู้หญิงที่มีเครื่องหน้าเข้ากันดีราวกับพระเจ้าสรรสร้าง บวกผิวขาวและผมยาวสลวยสีดำสนิทช่างทำให้เธอดูราวกับเจ้าหญิงที่และดูน่าทะนุถนอม บอบบาง ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าชายตลอดเวลา แม้แต่เวลานั่งอย่างนี้ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะสูงเกินร้อยหกสิบ แล้วไหนจะมือเล็กที่คอยตีแขนใหญ่อย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มนั่นอีกล่ะ

คนที่กำลังสังเกตผู้หญิงคนหนึ่งในใจเริ่มขุดคุณบัติของตัวเองออกมาบ้าง ผู้หญิงที่ผมยุ่งตลอดเวลาเพราะมักจะยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองด้วยเคยชิน และไม่เคยจัดอยู่ในทรงเรียบร้อย ผิวที่ไม่ดำแต่ก็ไม่ได้ขาวเป็นหยวกกล้วยน่ามอง จะมีก็แต่ความสูงนี่แหละที่พอชนะได้หน่อย

แต่ดูเหมือนเธอจะเกิดผิดยุคผิดสมัยไปสักหน่อย ผู้ชายเดี๋ยวนี้มักจะชอบผู้หญิงตัวเล็กๆ ชนิดพกพาไปไหนมาไหนง่าย ดูจากผู้หญิงตรงหน้า ปอนด์ของเธอเช้าช่ายผู้ชายแบบนั้นพันเปอร์เซ็นต์

ส่วนความอ่อนหวาน แม้ตัวเองไม่ได้ห้าวหาญมาจากไหน ขิมยังคงเป็นผู้หญิงที่สามารถทำงานบ้านได้โดยไม่กระดาก แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ออดอ้อนออเซาะผู้ชายได้ตลอดเวลา ดังเช่นที่ผู้หญิงตรงหน้ากำลังทำ ขิมกัดริมฝีปากตัวเองฉับเมื่อรู้สึกว่ายัยเด็กตรงหน้ามีคุณสมบัติอย่างที่ชายต้องการราวกับนางฟ้านางสวรรค์

นี่มันตั้งใจปั้นมาชัดๆ ...

“ขิม ขิม เฮ้ ขิม” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อ พร้อมกับเอามือปัดขึ้นลงเพื่อเรียกสติเธอ “เป็นอะไรน่ะ มาถึงก็นั่งเหม่อ” เมื่อถูกทักจึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว หญิงสาวรีบเก็บอาการที่เป็นอยู่ก่อนหน้า แล้วหันไปปฏิเสธเพื่อน เลยไปถึงพูดกับคนที่นั่งข้างๆ ชายหนุ่ม

“เอ่อ เปล่าๆ น้องชื่ออะไรนะคะ”

“เกรซค่ะอยู่ปีหนึ่ง พี่ขิมเป็นเพื่อนกับพี่ปอนด์นานแล้วเหรอคะ” เด็กสาวเอ่ยถาม คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธออยากรู้เรื่องราวของคนรักไว้บ้าง เพราะอย่างไรเกรซก็ต้องระวังเพื่อนผู้หญิงทุกคนของปอนด์ โดยเฉพาะเภสัชกรหญิงคนนี้ ที่เกรซเห็นว่าเธอสนิทกับเขามากที่สุดในหมู่เพื่อน

“ก็ตั้งแต่ปีหนึ่งน่ะค่ะ”

“พี่ปอนด์ทานนี่สิคะ ร้านนี้เขาอร่อย” คำตอบของขิมไม่ได้รับการสนใจอีก เกรซหันไปส่งรอยยิ้มหวานให้ปอนด์อย่างที่ขิมที่นั่งตรงข้ามเห็นว่ามัน... หยาดเยิ้มและ... ดูเลี่ยนมากเป็นพิเศษ
เธอพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง ว่าเด็กคนนี้ตั้งใจจะแสดงความเป็นเจ้าของให้เธอได้รับรู้ และเป็นสัญญาณบอกได้ดีว่าอย่ามายุ่งกับแฟนของเธอ ขิมแอบถอนหายใจเล็กน้อยไม่ให้อีกสองคนรู้สึกนึกลำบากใจ อย่างไรเสียตั้งแต่รู้จักกันมา ปอนด์ก็ยังไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้สักที... มันทำให้เธอทำตัวไม่ถูก

“อ่านหนังสือถึงไหนแล้วขิม”

เสียงทุ้มเอ่ยถาม และขิมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องผิดปกติอะไรที่เพื่อนจะถามกัน แต่เธอกลับเห็นสายตาไม่พอใจของหญิงสาวอีกคนที่ถึงพยายามจะกลบอย่างไรก็ไม่มิดแลมาทางเธอเล็กน้อย

“เมื่อคืน กลับไปถึงห้องก็หลับเลย เพิ่งตื่นมาอ่านตอนเช้าได้ไม่เท่าไหร่” มือที่กำลังตักข้าวเข้าปากของเกรซชะงักค้างกลางอากาศก่อนจะวางมันลงในจานที่เดิมที่เพิ่งยกมันขึ้นมา

“เมื่อวานพี่ปอนด์ไปกับพี่ขิมมาเหรอคะ” น้ำเสียงที่เด็กสาวใช้ทำให้ขิมขมวดคิ้วทันควัน มันดูหาเรื่องอย่างไรพิกล แต่ดูเหมือนคนถามยังคงไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงที่ใช้มันดูไม่ให้ความเคารพกับคนที่มีฐานะเป็นรุ่นพี่สักเท่าไหร่ เกรซยังคงมอ



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2555, 00:45:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2555, 12:09:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1442





   ครึ่งหลัง (จบ) >>
คิมหันตุ์ 12 มิ.ย. 2555, 01:37:16 น.
อ่าว พ่อหนุ่มคนนี้ ชักจะยังไงๆ นะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account