เก็บหัวใจไว้ใกล้ๆ เธอ
การแอบรักใครสักคนมันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข เว้นเสียแต่ว่าคนที่เราแอบรักจะเป็น...เพื่อนสนิทของเราเอง

Tags: เรื่องสั้น แอบรัก เพื่อนสนิท

ตอน: ครึ่งหลัง (จบ)

ช่วงเทศกาลสอบของมหาวิทยาลัยนั้นมักจะกินเวลาไปสองสัปดาห์เสมอ ซึ่งนั่นหมายถึงแค่วันที่สอบแต่ถ้าหากจะนับรวมกับเวลาที่ใช้อ่านหนังสือด้วย เชื่อแน่ว่าแต่ละคณะคงไม่ต่ำกว่าเดือนครึ่งแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิดเช่นขิม

หญิงสาวยังคงหาที่เงียบๆ เพื่อทำสมาธิและจดจ่ออยู่กับบทเรียน โดยขอตัวแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่คณะ เพราะไม่อยากให้อะไรมารบกวนสมาธิของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่รบกวนเธอที่สุดในเวลากลับเป็นใบหน้าของใครบางที่คนที่ยังคงวนเวียบอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันนานเป็นอาทิตย์แล้วก็ตาม

ขิมเข้าใจดีว่าเมื่อเพื่อนเริ่มมีแฟนก็คงอยากจะใช้เวลาอยู่กับแฟนมากกว่าอยู่กับเพื่อนอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ขิมถอนหายใจเฮือกใหญ่กับเรื่องหนักใจของตัวเอง หากเธอยังคงรู้สึกแบบนี้ เธอยังคงเสียใจอยู่กับเรื่องนี้ การสอบที่จะถึงเธอจะผ่านมันไปง่ายๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่เคยมีสมาธิพอที่จะอ่านหนังสือให้จบได้ภายในหนึ่งวันเลยสักครั้ง

มือบางปิดหนังสือเล่มหนาดังฉับ ยกแขนขึ้นมาวางในลักษณะท้าวคางแล้วจ้องไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เธอหวังเพียงแค่ สักนาทีที่ชายหนุ่มที่เธอคิดถึงจะเดินผ่านตรงนี้ มากับเด็กคนนั้นก็ได้แต่ขอแค่เดินผ่าน ผ่านมาให้เธอได้เห็นหน้า เพื่อเพิ่มพลังในการอ่านหนังสือบ้าง ก่อนที่เธอจะคิดถึงเขาไปมากกว่านี้

ความคิดถึงเป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด แม้มันไม่ได้ทำร้ายเธอให้เจ็บที่ร่างกาย แต่มันกลับทำให้เธอเจ็บแปลบที่หัวใจ เจ็บทุกครั้งที่นึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรกับเด็กสาวคนนั้น ซึ่งความจริงแล้วเด็กนั่นหน้าเลยอายุจริงๆ ไปมากโข ดูแก่แดดมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

“ต๊าย ชะนี” เสียงแหลมบาดแก้วหูดังขึ้นข้างหลังทำให้เธอต้องหลุดออกจากภวังค์โดยไม่ตั้งใจและหันไปนิ่วหน้ามองพร้อมเอาเรื่องแต่กลับต้องชะงักค้างไป ปากที่เตรียมพ่นคำต่างๆ นานาหุบลงฉันเมื่อเห็นว่าคนที่ทักเป็นใคร

“จี๊ด” หญิงสาวเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ เพื่อนสาวคนสนิทของปอนด์นั่นเองที่ทำเอาแก้วหูของเธอแทบแตกด้วยเสียงแหลมนั่น หากหญิงสาวยังไม่ได้พูดอะไรต่อจักรหรือจี๊ดก็รีบสวนกลับมาทันควันราวกับนั่งทางใน

“พอไอ้ปอนด์มีแฟนหล่อนก็เลยหัวเน่าล่ะสิ” ช่างเป็นคำทักทายที่เจ็บปวดอะไรเช่นนี้ หญิงสาวร้องครางอยู่ในอก นึกอยากหาอะไรมาฟาดไอ้คนทักให้พูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยจริงๆ “คิดถึงมันจนร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยหรือเปล่ายะ ชะนี”

ขิมกลอกตาขึ้นฟ้าชักเอือมระอากับเพื่อนสาวคนนี้มากขึ้นไปอีก เมื่อมันเล่นพูดแทงใจดำเธอถึงสองครั้งสองคราติดกัน หญิงสาวยังคงเงียบทำราวกับเธอไม่มีตัวตนจนจี๊ดต้องพาร่างตัวเองมานั่งอยู่ตรงหน้า แล้วมองตาปริบๆ

“แหม ทำเป็นเงียบ ฉันพูดแทงใจดำล่ะสิ”

“ยายจี๊ด!” ในที่สุดก็ทนมันไม่ไหวจริงๆ ขิมอุทานชื่อคนพูดด้วยเสียงแหลมๆ บ้าง มือเล็กจับสันหนังสือแน่นจนขึ้นข้อขาว นึกอยากจะทุ่มเล่มนี้ใส่คนตรงหน้าให้สลบ
ไปเลย แต่ก็ได้แค่นึกเพราะอย่างไรเธอก็ไม่กล้าพอที่จะทำมัน “ถ้ามาแล้วพูดแบบนี้ แกจะไปไหนก็ไปเลยไป ไปไกลๆ เลยนะ”

“แหม แกใจเย็นๆ สิยายขิม ฉันน่ะรู้นะว่าแกกำลังรู้สึกยังไง” คนโดนอ่านใจสะดุ้งเฮือกหันขวับไปทำตาถลนกับคนที่บอกว่าอ่านใจออก หรือมันจะรู้ว่าเธอกำลังคิดไม่ซื่อแต่ก็ไม่น่าสิ... มันจะรู้ได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยแสดงออกอะไรให้รู้เสียหน่อย “นี่ ไม่ต้องขมวดคิ้ว มีอะไรบ้างบนโลกใบนี้ที่กระเทยไม่รู้”

กระเทยรอบรู้มองขิมอย่างผู้ชนะ จี๊ดไม่ทำอะไรมากไปกว่าการส่งสายตาไปยังยายผู้หญิงที่นั่งทำหน้ายุ่งอยู่ราวกับจี๊ดไปล่วงรู้ความลับระดับชาติก็ไม่ปาน

“แกรู้อะไรมายายจี๊ด” ขิมถามเสียงเข้ม ความจริงคือเธอไม่อยากให้ใครรู้ความรู้สึกเธอทั้งนั้น หญิงสาวอยากจะเก็บมันไว้ให้นานที่สุด เธอกลัวว่าหากชายหนุ่มรู้เข้าผลร้ายจะตามมาภายหลัง

“ฉันน่ะรู้หมดนั่นแหละตั้งแต่แกแอบหลงรัก... ” คนเป็นเพื่อนสาวกำลังจะร่ายยาวให้เจ้าของเรื่องทราบอย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเป็นฉากๆ แต่ก็ต้องหยุดชะงักไว้เมื่อขิมเริ่มปรามเสียงดังพร้อมกับใบหน้าที่บึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ

โอเค... เธอเป็นกระเทยแต่อย่างน้อยก็รู้จักกาละเทศะ รู้อะไรควรอะไรไม่ควรล่ะน่า

“เอาเถอะ ฉันจะหยุดพูดก็ได้แต่แกก็ต้องเลิกทำท่าซังกะตายแบบนี้ได้แล้วนะ ไอ้ใครหน้าไหนที่มันไม่สนก็ช่างหัว แกไปอ่อยผู้ชายกับฉันดีกว่า ไปเร็ว”

กองหนังสือที่วางระเกะระกะเกลื่อนโต๊ะถูกเก็บลวกๆ ด้วยมือใหญ่อย่างผู้ชายแต่ดันมีสีแดงแปร๊ดแต้มอยู่ที่ปลายนิ้ว อีกทั้งเพื่อนเธอมันยังเด่นมากอย่างไม่น่าให้อภัย ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งเหมาะกับกระโปรงสั้นและเสื้อรัดติ้วที่ขยับตัวทีเห็นไปถึงลำไส้ใหญ่

ความจริงระหว่างเธอกับจี๊ดสลับเพศกันก็น่าจะดี ชีวิตคงจะง่ายขึ้นโขเลย แต่ก็อีกนั่นแหละเกิดมาแล้วทุกคนย่อมมีเส้นทางเป็นของตัวเอง นึกแล้วก็อิจฉายายจี๊ด ขิมแอบถอนใจเล็กๆ เมื่อคิดถึงชีวิตตัวเอง เป็นแบบยายจี๊ดก็ดีไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมากมาย อยากทำอะไรก้ทำได้เลยไม่ต้องแคร์ใครทั้งนั้น

กระเทยสาวพาขิมเดินมาจนถึงเขตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ผู้หญิงทุกคนในมหาวิทยาลัยทราบกันดีว่าเป็นคณะที่รวมไว้ซึ่งความกะล่อน ปลาไหล เจ้าชู้ หัวงู รวมไปถึงเครื่องใช้ในครัวอย่าง ‘หม้อ’ หรืออะไรที่นอกจากนี้ก็แล้วแต่ ผู้หญิงที่ไม่เปรี้ยวจริงไม่ควรเดินมาเฉียดแม้แต่เซนต์เดียว

ทั้งคู่เดินวนอยู่ในเขตคณะนี้พักใหญ่ ก่อนจะนั่งพักที่โรงอาหารของคณะ ตลอดทางที่เดินมาทำให้ขิมลงความเห็นได้ว่ายายจี๊ดนั้นเป็นกระเทยผู้กล้าแกร่งที่สุดในสามโลก เรียกอย่างนั้นคงไม่ผิด

ตลอดทางที่ทั้งสองเดินเข้ามาคณะนี้คนชวนเธอมายังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดส่งสายตาให้กับผู้ชายที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักวินาที จนบางคนแทบจะอ้วกกองตรงนั้น อีกทั้งยังไม่วายสอนวิธีส่งสายตาให้กับเธออีกด้วย ช่างเป็นกระเทยผู้รักเพื่อนเสียจริง

“นี่จี๊ด ฉันว่ากลับเถอะคนเขามองเรากันทั้งโรงอาหารแล้วนะ” ขิมท้วงเพื่อนเบาๆ หลังจากดูดน้ำที่เพิ่งซื้อมาไปแล้วครึ่งแก้ว ไม่ใช่เพียงแค่หน้าตาที่เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเด็กคณะนี้แต่ชุดกราวน์เภสัชที่เธอใส่อยู่มันทำให้เป็นจุดเด่นได้ไม่ยากเลยต่างหาก แต่ถึงจะท้วงอย่างนั้นขิมก็รู้ดีว่าเธอชักจูงจี๊ดไม่ได้เลยสักนิดด้วยเห็นจากกริยาที่ยังคงส่งสายตาชม้อยชม้ายไปรอบๆ ทิศนั่น

“นั่งด้วยคนได้มั้ยครับ” ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง จี๊ดรีบหันขวับตามเสียงทุ้มที่เอ่ยขออนุญาตส่วนเธอก็ได้แต่เงยหน้าส่งสายตางงงวยไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ เรื่องนี้อาจจะจบลงอย่างรวดเร็วหากจี๊ดไม่เอ่ยอนุญาตให้ชายหนุ่มนั่งคุยกับเราได้แถมอยู่ๆ ดันคุยกันถูกคอเสียด้วย

ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่สนทนากับจี๊ดอย่างถูกคอ ตั้งแต่เรื่องเรียนไปจนถึงร้านอาหารรอบๆ มหาวิทยาลัย เลยไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในจังหวัดและจังหวัดข้างเคียง

ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันทำให้ขิมได้มีโอกาสลองสังเกตชายหนุ่มคนที่เข้ามานั่งด้วยอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่เธอยอมรับเลยว่ามีเสน่ห์มาก ยิ่งถ้าประกอบกับรอยยิ้มจริงใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าด้วยแล้ว เป็นผู้หญิงที่ไหนก็คงต้านไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างของชายหนุ่มที่ดูเป็นคนแข็งแรงอย่างนักกีฬา ผิวไม่ได้ขาวมากอย่างคนที่ออกแดดเป็นประจำ สรุปโดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้มีครบทุกอย่างที่พอจะดึงดูดสายตาจากเพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดี

“ขิม...ยายขิม!” เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเพื่อนตะโกนชื่อตัวเองเข้ามาให้หูอย่างไม่ปราณี หญิงสาวหันหน้าไปหาเพื่อนด้วยใบหน้าที่ยังตกใจอยู่

“อะไรจี๊ด แกจะเรียกฉันเสียงดังอะไรนักหนาอยู่กันแค่นี้”

“แหมจะเรียกเสียงดังอะไรนักหนา ก็ถ้าเรียกแล้วแกหันมาตอบหรือรู้สึกตัวเลยฉันคงไม่ต้องเรียกเสียงดังขนาดนั้นหรอกย่ะ ว่าแต่แกถอดจิตไปไหนมายะ ไม่ได้ฟังที่ฉันกับคินคุยกันเลยใช่มั้ย” จี๊ดใส่เพื่อนสาวเป็นชุด เล่นเอาขิมหน้าเสียแวบหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เพื่อนพูดชื่อใครสักคนที่เธอไม่รู้จัก

“คิน?” ขิมทวนคำเพื่อนอย่างสงสัยเพื่อให้เพื่อนของเธอไขให้กระจ่าง “คินไหนของแก”

“นั่นไง ยายนี่ไม่ได้ฟังจริงๆ ด้วย คินก็คนที่นั่งอยู่หน้าแกนี่ไง นี่คิน ภาคินเขาเรียนอยู่วิศวะนี่แหละปีเดียวกับเรา” ขิมฟังเสร็จถึงยิ้มแหยส่งไปให้เจ้าของชื่อ นึกขอโทษอยู่ในใจลึกๆ ที่มัวแต่มองหน้าเลยไม่ได้สนใจว่าพูดอะไรกันอยู่ แขนเล็กถูกยกขึ้นมาเพื่อดูเวลาอย่างหาข้ออ้างออกจากบริเวณนั้น

“จี๊ดกลับกันเถอะฉันนัดเพื่อนที่คณะไว้จะติวหนังสือกัน” หญิงสาวบอกเพื่อนแล้วลุกขึ้นก่อนที่เพื่อนจะทันได้ท้วงอะไร ขิมหันไปมองภาคิน เธอเอ่ยลาตามมารยาทก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมเพื่อนสาว

“เดี๋ยวครับ” สองสาวจำต้องหยุดเมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกอยู่ข้างหลัง แต่แทนที่จะหันไปด้วยกันกลับมีเพียงจี๊ดเท่านั้นที่หันกลับไปตามเสียงรั้ง ชายหนุ่มจึงตะโกนไปหาหญิงสาวทั้งคู่อีกครั้งด้วยเสียงที่ดังพอที่จะส่งไปถึงสองคนที่ยืนห่างออกไป

“เอ่อ ผมขอเบอร์ขิมได้มั้ยครับ”

คนถูกขอเบอร์ซึ่งๆ หน้าขมวดคิ้วมุ่น โตมาจนเข้ามหาวิทยาลัยขนาดนี้เธอก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าชายหนุ่มต้องการอะไร หญิงสาวคิดว่ามันเร็วไปหน่อยกับการตะโกนขอเบอร์มาอย่างนี้ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับไม่คิดอย่างนั้นจี๊ดยืนกรี๊ดเบาๆ กับความใจกล้าของชายหนุ่มนึกอยากจะตะโกนบอกเบอร์โทรศัพท์ตัวเองไปให้แทนยายผู้หญิงงมโข่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

“เอาไปทำไมคะ” บอกแล้วว่าเธอไม่ใช่คนโง่ที่โตมาขนาดนี้แล้วจะไม่รู้เอาเสียเลยว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร แต่แค่เธออยากรู้ว่าเขาจะกล้าได้มากแค่ไหนก็เท่านั้น แล้วคำตอบที่ได้กลับทำให้เธอต้องหัวเราะออกมาเบา อย่างห้ามไม่อยู่

“เอ่อ เผื่ออยากรู้เรื่องยาน่ะครับ”

“อยากรู้เรื่องยาภาคินเดินไปถามเภสัชที่เขาขายยาอยู่ที่ร้านน่าจะได้คำตอบดีกว่าขิมบอกนะคะ” หญิงสาวทำท่าจะดึงเพื่อนสาวเดินออกไปอีกครั้ง แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม ภาคินยังคงพยายามเผื่อหญิงสาวจะใจอ่อนแล้วบอกตัวเลขสิบตัวนั้นมาให้ แต่แล้วความคิดที่กำลังจะเดินตามกลับต้องหยุดลงเมื่อขิมหันมาพูดประโยคนึง ก่อนเดินจากไป

...เอาไว้เจอกันอีกหนแล้วกันขิมจะบอกเบอร์โทรศัพท์ให้แล้วกันนะ

ไม่ต้องหันไปมองจี๊ดก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังจะทำสีหน้าอย่างไร ชะนีข้างกายเธอนี่ก็เหลือเกินกับอีแค่เบอร์โทรศัพท์จะให้ไปเลยก็ไม่ได้ยังจะมาลีลาอยู่นั่น กระเทยสาวทำเสียงฮึดฮัดขัดใจกับการกระทำของเพื่อนที่ช่างรักนวลสงวนตัวเสียเหลือเกินจนกระเทยอย่างเธอเริ่มรับไม่ได้

“นี่ชะนีผู้สูงศักดิ์ ผู้ชายเค้าขอเบอร์ทำไมจะต้องเล่นตัวขนาดนี้หืม” พอเดินออกมาอยู่ที่ระยะห่างจากโรงอาหารที่เดินจากมาพอสมควรผู้ช่วยนางเอกคนสวยก็เริ่มสวดในทันที “ทำเป็นต้องเจอกันครั้งที่สองถึงจะให้ แล้วถ้าเกิดมันไม่ได้เจอกันขึ้นมาจะทำยังไง”

“ไม่เจอก็ไม่เจอสิพูดกันสองสามคำแกจะให้ฉันยื่นเบอร์โทรศัพท์ให้ไปเลยงั้นเหรอ”

“อย่ามาทำเป็นพูดดียายชะนีอกหัก หล่อนน่ะคิดว่ายังมีหวังกับไอ้ปอนด์อยู่น่ะสิ ยังคิดจะรอมันอยู่ใช่มั้ย ตอบฉันมาตามตรง” คราวนี้ขิมถึงกับต้องหยุดเดินเพราะคำพูดของเพื่อนสาว หญิงสาวหันมามองเพื่อนพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าเอวราวกับกำลังจะหมดความอดทนกับอะไรบางอย่าง

“จี๊ดแกฟังฉันนะ... ฉันแอบรักเพื่อนสนิทและคบเป็นเพื่อนกันมาเกือบสี่ปี” ตอนนี้พูดไม่พูดเปล่า ขิมยังย่างกรายเข้าไปหาเพื่อนด้วยท่าทางหาเรื่องที่หาดูได้ไม่ง่ายนักจากเธอแล้วพูดต่อ “แล้วฉันก็เพิ่งอกหัก... ไม่สิ ฉันเพิ่งผิดหวังจากมันมาเมื่อไม่กี่วัน ฉันไม่ใช่คนดีอะไรมากมายแต่จะให้ฉันเข้าไปแย่งปอนด์คืนมามันก็ไม่ใช่เรื่อง”

ขิมหยุดเว้นวรรคหายใจครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อโดยไม่ให้เพื่อนมีโอกาสแทรกเถียงขึ้นมา “อีกอย่างฉันไม่ใช่เทวดาที่ไหนที่จะสามารถทำใจเรื่องนี้ได้เร็วมากมาย แต่ตอนนี้แกกลับจะให้ฉันให้เบอร์โทรศัพท์กับใครก็ไม่รู้ ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะมาไม้ไหนอะไรยังไง แกไม่กลัวฉันเสียใจอีกเหรอไงแค่นี้มันยังไม่พอใช่มั้ย”

จี๊ดเงียบไปพักหนึ่งระหว่างทางที่เดินนั้นเธอไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าคำพูดของเพื่อนที่ยังดังก้องอยู่ในหู ความรู้สึกผิดเริ่มเกาะกุมหัวใจเล็กน้อย เธอเข้าใจดีว่าคนอกหักต้องการเวลาแค่ไหนที่พอจะสามารถทำใจได้แต่เธอก็แค่หวังดีไม่อยากให้เพื่อนเศร้านาน

“แกกำลังกลัวนะขิม” เสียงที่เคยถูกบีบให้เล็กกลับมาใหญ่เหมือนเสียงผู้ชายอีกครั้งเมื่อต้องพูดเรื่องจริงจัง ขิมตกใจเล็กน้อยกับเสียงเพื่อนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“แกไม่ได้ขอเวลาทำใจอย่างที่แกพูด แต่แกกำลังใช้เวลาทั้งหมดสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองต่างหากใช่มั้ยตอบฉันมา”

“นี่เสียงจริงๆ ของแกเหรอ” แทนที่จะตอบในคำถามที่เพื่อนถามแต่ขิมกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่เสียงของเพื่อนสาวแทนสำหรับเพื่อนที่คบกันมานานพอๆ กับที่หญิงสาวเป็นเพื่อนกับปอนด์ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าขิมกำลังเลี่ยง

“หล่อนช่วยตอบคำถามของฉันก่อนได้มั้ยแล้วจะถามนอกเรื่องอะไรก็ค่อยว่ากันนังชะนีนี่”

“ฉัน... ฉันไม่ได้กลัว” คนถูกกล่าวหาปฏิเสธเสียงสั่นนึกหาข้อโต้เถียงที่จะนำไปสู้ไม่ออก “ฉันไม่ได้กลัวจริงๆ ฉันแค่ยังไม่พร้อม”

“แล้วเมื่อไหร่แกจะพร้อม หรือจะรอให้ฉันทำพิธีขึ้นคานให้แกหือ จะเอายังไง”

“จะพร้อมเมื่อไหร่ก็ช่างฉันเถอะน่า แกจะมาคาดคั้นเอาอะไร ฉันก็บอกเพื่อนใหม่แกไปแล้วไง ว่าเจอกันครั้งที่สองฉันถึงจะให้เบอร์ แกจะเอาอะไรกับฉันอีก” ในเมื่อเถียงอะไรไม่ได้จนเกือบจนมุม ขิมจึงต้องใช้วิธีโวยวายให้วงแตกแล้วเดินหนีให้เพื่อนสาวตามไม่ทันแทน เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็หาเหตุผลให้อีกฝ่ายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องรอเจอกันอีกครั้งเธอถึงจะให้ทั้งที่ความจริงมันเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธเขาเพราะอย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าชาตินี้อย่างไรก็ไม่ได้เจอกันอีกแล้วแน่นอน

หลังจากเดินหนีเพื่อนสาวผู้หวังดีมาได้ ขิมก็รีบจ้ำอ้าวมาจนถึงที่นั่งอ่านหนังสือประจำของเธอ จนได้มานั่งคิดอะไรหลายๆ อย่าง

อย่างที่จี๊ดว่า... เธอคงกลัวจริงๆ กลัวที่จะต้องเจ็บอีก การรักใครสักคนแล้วต้องพบกับความผิดหวัง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านมันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หญิงสาวรีบปัดเรื่องที่วุ่นวายทั้งหมดออกจากความคิดแล้วกลับมามีสมาธิกับของตรงหน้าแทน มือบางเปิดเอกสารของวิชาที่จะสอบเป็นวิชาแรกพยายามเพ่งสมาธิไปที่ตัวหนังสือทั้งหมด โดยไม่สนใจว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมาบ้าง ในเวลานี้เธอเพียงอยากขอให้สิ่งที่เธออ่านนั้นซึมเข้าสมองเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพียงเท่านั้น การใจจดใจจ่อกับสิ่งๆ หนึ่งนั้น ทำให้ขิมไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

“ขยันจริงๆ เลยนะครับ สุดสวย” เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่คุ้นหูและคุ้นใจมากที่สุด คนถูกทักให้รู้สึกตัวเลยเงยหน้าขึ้นทันควัน ปากกาแทบร่วงจากมือแต่ดีที่มีสติจับไว้ได้ทัน ขิมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเกิดขึ้นกับเธอทั้งๆ ที่เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่เจอปอนด์พักใหญ่ แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะชอบแกล้งเธอเล่น ขนาดที่ว่าเธอเพิ่งตั้งใจกับตัวเองเมื่อครู่ แต่ดูสิคนที่เธออยากหนีหน้าที่สุดกลับมายืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้า แถมถือวิสาสะนั่งกับเธอโดยที่ไม่ได้เชิญอีกด้วย

“ปอนด์... ” ขิมพูดชื่อขึ้นมาราวกับละเมอแต่หลังจากนั้นเธอก็ดึงสติของเธอให้กลับมาเกือบครบ หญิงสาวนั่งคุยกับคนที่เธอต้องการหนีอย่างปกติแต่ก็นั่นแหละคนที่เคยสนิทกันหากอีกฝ่ายมีอะไรผิดปกติทำไมจะไม่รู้ ปอนด์หรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสงสัยแล้วเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วง

“มีอะไรหรือเปล่าขิม ทำไมวันนี้ขิมดูแปลกๆ”

“ปละ เปล่านี่ เราไม่ได้มีอะไร ปอนด์นั่นแหละสงสัยอะไรกัน” คนบอกว่าเปล่าหากแต่หลบสายตาคนตรงหน้าเป็นพัลวันกลัวว่าเขาจะจับได้ว่าเธอกำลังรู้สึกผิดปกติกับเขา

“เปล่าแล้วหลบตาทำไม” ปอนด์ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มยื่นมือไปจับคางขิมเพื่อเชยมันขึ้นก่อนแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหยดน้ำตาที่กำลังคลออยู่ สายตาหญิงสาวที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกถึงการตัดพ้อและเสียใจจนชายหนุ่มใจหาย

เกมสบตากันนั้นเล่นได้ไม่นานฝ่ายหญิงก็เป็นคนหลบตาอีกครั้ง คราวนี้ไม่หลบเปล่าๆ ขิมเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน หนังสือ และเอกสารรวมเข้ากองเดียวแล้วหอบทั้งหมดเดินหนีปอนด์ออกมาก่อนที่เธอจะหลุดพูดอะไรออกไปให้ชายหนุ่มลำบากใจ


ภาพน้ำตาคลอเบ้าของขิมยังคงติดตาปอนด์อยู่อย่างที่ไม่ยอมลบออกจากความทรงจำ เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้หญิงสาวเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่เขารู้ได้อย่างนึงว่าตอนที่เห็นอาการนั้นเขาใจหายวาบ น้อยครั้งนักที่จะเห็นน้ำตาของเพื่อนสาวคนนี้เพราะถ้าหากไม่ใช่เรื่องเรียนและเรื่องที่บ้านใครก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นหยดน้ำใสๆ รินออกจากตาของเธอ แต่สิ่งที่เขาเห็นดูเหมือนขิมกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ แถมเรื่องนี้เธอไม่ยอมปริปากพูดกับเขาสักคำ ทั้งที่ปกติเขารู้แทบทุกอย่างในชีวิตของหญิงสาว

“พี่ปอนด์คะ พี่ปอนด์” มือเล็กที่เขย่าแขนเขาอยู่ทำให้เขารู้สึกตัวจากภวังค์ความคิดที่เกิดขึ้น

“ว่าไงครับ” ปอนด์มองเข้าของมือเล็กนั้นก่อนจะเลิกคิ้วถาม “เขย่าแขนซะพี่ตกใจเลย”

“ก็แหม พี่ปอนด์มัวแต่เหม่อคิดถึงใครอยู่ล่ะคะ เกรซเรียกตั้งนานสองนาน” คนเหม่อไปไกลได้แต่ส่งยิ้มแหยให้ เป็นเพราะเขามัวแต่คิดถึงขิมเลยไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าแฟนสาวกำลังเรียกเขา “เกรซจะให้พี่ปอนด์อธิบายเนื้อหาตรงนี้ให้หน่อยน่ะค่ะ เกรซอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ”

นิ้วเรียวสวยชี้ไปที่จุดที่ต้องการให้แฟนหนุ่นอธิบายให้ฟัง ปอนด์อ่านเพียงสองสามนาทีเท่านั้นแล้วอธิบายให้เกรซฟังได้อย่างชัดเจน สมาธิเขากลับมาได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นแทนที่จะหลุดไปไกลกับเพื่อนสาวคนสนิท ที่หลังจากวันนั้นที่เขาเห็นน้ำตาของเธอก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ไม่มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาตอนดึกๆ แล้วพอเขาโทรไปเธอก็ไม่เคยรับสายเลยสักครั้ง

ปอนด์เริ่มคิดได้ว่าที่หญิงสาวเป็นเช่นนั้นเขาน่าจะเป็นต้นเหตุ เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงติดต่อเขามาเหมือนเช่นเคย ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอแล้วนิ่งไป รูปที่เขาตั้งไว้บนนั้นกลับไม่ใช่รูปเกรซที่เป็นแฟนสาวแต่กลับเป็นใบหน้าของเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังยิ้มให้กับหิ่งห้อยนับร้อยตัว โดยไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่ามีใครแอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้

โทรศัพท์เครื่องนี้เขาไม่เคยให้ใครได้แตะทั้งนั้น แม้แต่จักรที่เป็นเพื่อนสนิทกันมา
ตั้งแต่มัธยมก็ตาม เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่คืออะไร ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับ การแสดงออกต่างๆ ย่อมไม่เคยเกิดขึ้นหากไม่เผลอจริงๆ เหมือนอย่างวันที่ไปดูหิ่งห้อยกับขิมวันนั้น แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งควรจะแสดงออก

“พี่ปอนด์คะ” ชายหนุ่มรู้สึกถึงมือเล็กเขย่าที่แขนเขาอีกครั้ง ปอนด์หันมองหน้าแฟนสาวด้วยหน้าตาขมวดคิ้วสงสัย รีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงใส่กระเป๋ากางเกงทันที “พี่ปอนด์ใจลอยไปไหนอีกแล้วคะ หรือว่ามัวแต่คิดถึงพี่ขิมอยู่ เกรซเรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน”

ประโยคที่แฟนสาวพูดทำเอาเขาสะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป ชายหนุ่มเริ่มเบื่อหน่ายกับความขี้หึงขี้ระแวงของแฟนสาวอย่างเต็มขั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรที่ไหนกับขิมก็ตาม เกรซมักจะเกิดอาการระแวงขึ้นมาอย่างที่เขาก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องระแวงเขากับขิมมากมาย แต่อย่างว่า... ผู้หญิงบางคนมักจะมีเซ้นส์ในเรื่องแบบนี้แรงอย่างช่วยไม่ได้

“พี่กำลังคิดว่าจะพาเกรซไปกินข้าวเย็นร้านไหนดี” คำตอบเรียบๆ ที่ออกจากปากชายหนุ่มทำเอาแฟนสาวรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานทันควัน แล้วถามต่ออย่างเสียงหวาน

“แล้วคิดออกรึยังคะ”

“วันนี้พี่ว่าจะพาเราไปร้านอาหารญี่ปุ่นหลังมอไปไหม” คนกำลังงอนอยู่ยิ้มออกทันควัน อาการไม่พอใจที่ปอนด์เพิกเฉยเธอเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้ยินว่าคนรักจะพาเธอไปทานอาหารเย็นที่ไหน

จริงอยู่ที่เธอกับปอนด์เป็นแฟนกันแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยนัก จึงมีแค่เพียงกลุ่มเพื่อนสนิทของทั้งคู่เท่านั้นที่รู้เรื่องราวระหว่างเธอกับปอนด์
แต่เย็นนี้ทุกคนต้องรู้ เกรซหมายมาดในใจ


ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยนั้นได้รับความนิยมจากนักศึกษาอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นร้านที่ต้นตำรับอย่างคนญี่ปุ่นมาเปิดเองทำเอง ทำให้อาหารที่ออกมามีรสชาติอร่อยแปลกใหม่ไม่เหมือนกันร้านอาหารที่เปิดกันโครมๆ อยู่บนห้างสรรพสินค้าหลายสาขา

อีกทั้งราคายังถูกกว่ากันเกือบครึ่ง เด็กมหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีรายได้ จึงชอบชักชวนกันไปกินเป็นพิเศษ แถมข่าวต่างๆ ที่ว่าใครคบกับใคร ใครเลิกกับใครหรือใครกำลังตามจีบดาวคณะอยู่ก็มักจะมาจากร้านนี้แทบทั้งนั้น

ดังนั้นหากต้องการให้ผู้หญิงทั้งหลายที่แอบชอบ แอบกรี๊ดปอนด์รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของเธอคงจะต้องเปิดตัวกันที่ร้านเย็นนี้นี่แหละ

เกรซเดินตามชายหนุ่มเข้ามาในร้านก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่ายแล้วเปิดเมนูเลือกดูอย่างใจเย็น ปอนด์คงไม่เห็นว่าเธอแอบยิ้มกริ่มอยู่กับเมนูเมื่อเหลือบไปเห็นว่านักศึกษาบางกลุ่มภายในร้านต่างเริ่มซุบซิบกัน ตั้งแต่เธอและปอนด์เดินเข้ามา
ฉะนั้นหลังจากวันนี้ไปคงมีคนรู้เรื่องระหว่างเธอกับเขามากขึ้นตามลำดับ วันนี้นอกจากจะได้กินอาหารอร่อยแล้ว เธอยังทำให้คนอื่นไม่มายุ่งกับแฟนของเธออีกได้อีกด้วย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว

กลุ่มเพื่อนและผู้หญิงที่มหาวิทยาลัยซุบซิบกันว่าถูกใจแล้ว คนที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาทำให้เกรซยิ้มถูกใจกว้างขึ้นไปอีก ขิมเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง เสื้อชอปที่ฝ่ายนั้นสวมอยู่บอกได้ดีว่าเขาไม่ได้อยู่คณะเดียวกับสาวรุ่นพี่คนที่เป็นเพื่อนสนิทกับแฟนของเธอ ที่ทำให้เธอระแวงทุกครั้งเวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยผู้หญิงด้วยกันก็พอจะมองกันออก

เกรซรู้สึกได้ว่าขิมต้องคิดกับปอนด์ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่นอน แต่กับปอนด์นี่สิเธอมองไม่ออกเลยจริงๆ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อชายหนุ่มตกลงคบกับเธอ ทำให้เธอมั่นใจขึ้นมาได้บ้างว่าเขาคงไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสาวคนสนิท

“อุ๊ย นั่นพี่ขิมนี่คะพี่ปอนด์” หญิงสาววางรายการอาหารที่อยู่ในมือลงแล้วชี้ไปยังทิศทางทางเข้าร้านแทน เพื่อให้แฟนหนุ่มของตนเองได้รู้ว่าเพื่อนสาวมากับใครบางคนที่เธอไม่รู้จัก “มากับใครก็ไม่รู้นะคะ ดูท่าทางจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาเสียด้วย”

ภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้ปอนด์นิ่งไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว ก่อนจะดึงสติกลับมาคุยกับเกรซได้ ถึงช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้เจอขิม แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักเพื่อนขิมทุกคนและรู้ดีว่าเธอไม่เคยมีเพื่อนอยู่คณะวิศวะ ดังนั้นการที่เธอเดินมากับใครสักคนที่เขาไม่รู้จักคนๆ นั้นไม่น่าใช่เพื่อนปกติที่ขิมจะไปไหนมาไหนด้วย

ปอนด์กำหมัดแน่นที่ใต้โต๊ะพยายามอดทนให้ถึงที่สุดเพราะอย่างน้อยตรงหน้าเขาก็คือคนที่เขากำลังคบด้วย เขาควรให้เกียรติเกรซ และถ้าหากขิมจะคบใครสักคนนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขาไม่ควรเห็นแก่ตัวจนเกินไป

“พี่ปอนด์เป็นอะไรรึเปล่าคะหน้าตาน่ากลัวจัง” คำทักของเกรซทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว คลายหมัดที่กำแน่นอยู่ใต้โต๊ะออก แล้วส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“เปล่าครับ สั่งอาหารเถอะพี่หิวแล้ว”


เธอเห็นแล้วล่ะ... ขิมก้มหน้าตัวเองบังคับให้มองพื้นไว้เพื่อไม่ให้เห็นภาพบาดตาที่อยู่ตรงหน้า

หลังจากวันที่เธอบอกภาคินไปว่าเจอกันครั้งที่สองเธอถึงจะยอมติดต่อด้วย ใครจะรู้ว่าถัดจากวันนั้นเพียงวันเดียวเธอจะเจอเขาอีกครั้งที่โรงอาหารของคณะ... ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระพรหมไม่ได้ทำงานแม้แต่น้อย ทั้งหมดนั้นภาคินลิขิตเองล้วนๆ

ชายหนุ่มเดินเข้ามาทักเธอต่อหน้าเพื่อนสาวของเธอทั้งหมดที่นั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหารของคณะ หลังจากเรียนภาคเช้าเสร็จ ภาพที่ภาคินเดินเข้ามาทักแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธอ เพื่อกดเบอร์โทรศัพท์สร้างเสียงกรี๊ดกร๊าดให้บรรดาเพื่อนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้หญิงสาวจึงต้องบอกเบอร์โทรศัพท์มือถือไปอย่างไม่เต็มใจนัก แต่หากคิดในทางที่ดีก็ถือว่าได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน

ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้เพื่อนใหม่ของเธอเป็นคนเลือก ภาคินโทรศัพท์มาชวนเธอเพื่อออกมาทานอาหารเย็นด้วยกัน หากเป็นเวลาปกติเธอคงจะปฏิเสธเขาไปแล้ว แต่ชายหนุ่มดันโทรมาตอนเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่... ที่นี้เลยรู้กันเกือบครึ่งชั้นปีว่าเธอคุยกับใครและใครชวนเธอไปไหน เพื่อนสาวทั้งหลายเลยพร้อมใจกันคะยั้นคะยอเธอกันจนสุดความสามารถราวกับได้รับสินบนมาเป็นเครื่องสำอางค์ชุดใหญ่

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยเย็นวันนี้ชายหนุ่มเลยมานั่งรอเธออยู่หน้าตึกของคณะพร้อมมอเตอร์ไซด์ของเขา ภาคินในเสื้อชอปสีน้ำเงินเหมือนเช่นวันที่เธอเจอเขาครั้งแรกในคณะวิศวะสิ่งยิ้มให้เธอพร้อมกับนัยน์ตาที่พราวระยับจนคนมองต้องหลบตาด้วยความไม่คุ้นชินกับเพศตรงข้าม

“สั่งอะไรดีครับขิม” มือใหญ่ยื่นรายการอาหารมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม(อีกแล้ว) หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตาพร่าไปกับเสน่ห์ของภาคินไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับขิม... ในเมื่อเธอมีอีกคนอยู่จนเต็มหัวใจหญิงสาวจึงไม่เหลือพื้นที่สักนิดที่จะเก็บความรู้สึกดีๆ นี้ไว้ได้

ความจริงขิมอยากจะบอกกับคนที่พาเธอมาเหลือเกินว่าเธอกินอะไรไม่ลงและไม่อยากจะสั่งอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้วเห็นใครบางคนนั่งหันหลังอยู่ในร้าน แผ่นหลังที่คุ้นเคยนั้นเห็นที่ไหนเธอก็จำได้ว่าเป็นหลังของปอนด์ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าเธออยากจะเข้าไปนั่งแทนสาวรุ่นน้องแค่ไหนแต่ตอนนี้ที่ทำได้คือเพียงนั่งแอบมองอยู่ไกลๆ

ซูชิและยำสาหร่ายที่วางอยู่ตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้ต่อมอยากอาหารดีขึ้นเลยสักนิด ขิมยังคงใช้ตะเกียบที่ถืออยู่เขี่ยทุกอย่างที่วางอยู่แต่ไม่ได้คีบเข้าปากเลยสักอย่าง

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ขิม ขิมครับ” ไม่ได้เรียกเพียงอย่างเดียวภาคินยกมือขึ้นมาสะกิดที่แขนให้หญิงสาวรู้สึกตัวด้วย

“เอ่อ ภาคินถามเราว่าอะไรนะ”

“เราถามว่าขิมเป็นอะไรรึเปล่าครับ เราไม่เห็นขิมกินอะไรเลยหรือว่าไม่หิว”

“อ๋อ ไม่ได้เป็นอะไรแค่ไม่ค่อยหิวน่ะ แต่อาหารร้านนี้อร่อยดีนะขิมเคยมากับเพื่อน”

คำว่าเพื่อนเบาลงเองตามความรู้สึก เพื่อนที่เธอเคยมาด้วยที่ร้านนี้จะเป็นใครได้อีก ถ้าไม่ใช่คนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะไกลๆ ตรงนั้น หญิงสาวเริ่มนั่งอยู่ในร้านนี้ไม่ไหว ความทรงจำที่เคยมีด้วยกันระหว่างเธอกับปอนด์มันมากเกินไป ตลอดระยะเวลาที่เป็นเพื่อนกันมาเขาและเธอเรียกได้ว่าตัวแทบจะติดกันเลยก็ว่าได้ และหากว่าปอนด์ยังไม่มีเจ้าของระยะห่างระหว่างเธอและปอนด์คงไม่มากขนาดนี้

แม้แต่ปลาดิบก็หลอกล่อให้ขิมปัดความคิดเรื่องปอนด์ออกไปไม่ได้...

อาหารบนโต๊ะไม่ได้พร่องลงไปเลยสักนิด ในเมื่อคนนึงเอาแต่เขี่ยของที่อยู่ในจาน ส่วนอีกคนก็คอยมองอย่างเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา นั่งได้ไม่นานภาคินจึงชวนหญิงสาวเปลี่ยนบรรยากาศไปที่อื่น ที่เขาคิดว่าน่าจะทำให้ขิมสดชื่นขึ้นโดยที่หญิงสาวไม่ขัดเลยแม้แต่น้อย


ต้นไม้ไม่ว่าต้นเล็กต้นใหญ่ต่างก็ให้อากาศบริสุทธิ์ และอากาศบริสุทธิ์นี้เองที่ทำให้คนเราผ่อนคลายได้ทุกเมื่อ เวลาได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ร่มเงาและอากาศเย็นที่เกิดขึ้นทำให้อาการของคนที่ว้าวุ่นและร้อนรุ่มในหัวใจเย็นลงทันตาเห็น อีกทั้งยังมีเวลาคิดอย่างอื่นที่ไม่ทำร้ายตัวเองได้อีกเยอะ

ขิมนั่งมองเด็กตัวเล็กๆ สองสามคนวิ่งเล่นกันสุนัขตัวโตพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์แล้วยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เด็กตัวเล็กๆ ราวกับผ้าขาวที่ไม่มีสีแต่งแต้มดูบริสุทธิ์และสดใสไม่ต้องมีเรื่องกลุ้มใจอะไรมากมาย เธออยากลองกลับไปเป็นเด็กแบบไม่ต้องกังวลหรือคิดเรื่องอะไรดูบ้าง แต่ปัญหามันอยู่ที่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ยังทำไทม์แมชชีนย้อนเวลาไม่ได้ เธอเลยต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่ต้องโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยไปอย่างนี้

“สบายใจขึ้นมั้ยครับ”

ขิมเหลือบมองคนที่หย่อนตัวเองลงนั่งข้างๆ แล้วปรับโฟกัสไปยังข้างหน้าเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยปากตอบคำถามแม้ว่าคำตอบที่ได้จะไม่ค่อยตรงกับคำถามนักก็ตาม “ที่นี่สดชื่นดีนะคะ ต้นไม้เยอะลมเย็นแถมร่มรื่นอีกต่างหาก”

“ครับ เอ่อ ขิมครับเอ่อคือ ผมจะ...เอ่อ จะ”

ดูเหมือนคำที่ภาคินกำลังจะพูดออกมามันช่างยากเย็นนัก ใช่ว่าขิมจะไร้เดียงสาไม่รู้ไม่เอาเสียเลยว่าภาคินต้องการจะพูดอะไร โตมาได้ขนาดนี้ก็คงต้องมีช่วงวัยเด็กที่ริอ่านมีความรักกันบ้าง

แต่สำหรับเธอนั้น... ภาคินยังไม่ใช่

ใช่ว่าภาคินไม่ใช่คนดีหรือพึ่งพาไม่ได้แต่เพราะภายในหัวใจเต็มแล้วต่างหาก ขิมไม่เคยคิดเหลือพื้นที่ใจหัวใจไว้ให้ใครคนอื่นอีก

“เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้เถอะนะ” คำพูดของขิมราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจของภาคินอย่างแรง ความรัก ไม่สิ ความรู้สึกดีที่เขาเพิ่งเริ่มได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่กลับโดนป้ายห้ามเข้ามาวางกันไว้เสียแล้ว “เป็นเพื่อนกันแบบนี้มิตรภาพมันนานกว่าคบกันในฐานะอื่นเยอะเลยนะภาคิน”

ภาคินนิ่งเงียบไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมานอกจากเสียงลมหายใจ เขาเข้าใจดีกับคำพูดของหญิงคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คำว่าเพื่อนยังไงความสัมพันธ์ก็ยาวกว่าคำว่าคนรักอยู่แล้ว แต่การที่หมดหวังตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นนี่สิ... เสียศักดิ์ศรีเด็กวิศวะชะมัดเลย ภาคินถอนหายใจเล็กน้อยกับความพ่ายแพ้ของตนเอง

“ขิมมีคนที่ขอบอยู่แล้วสินะ” ขิมอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะกลับมายิ้มเช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ปล่อยให้ภาคิดพูดไปเรื่อยๆ “เกี่ยวกับที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเมื่อกี้รึเปล่า เราเห็นขิมเงียบไปเลย”

“ไม่หรอก เราทำตัวเองทั้งหมดนั่นแหละ ไม่มีใครทำอะไรเราทั้งนั้น”

“โอเค ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว ถ้างั้นเราจะไม่เซ้าซี้ แต่ว่าหลังจากนี้ขิมมีอะไรไม่สบายใจก็บอกเราได้เสมอเลยนะ” น้ำเสียงคนพูดเศร้าลงไปเล็กน้อยจนขิมต้องหันมอง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจริงใจ “ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วไง”


ริมบึงเล็กในมหาวิทยาลัยที่ประจำของที่ทั้งขิมและปอนด์มักจะมานั่งเล่นนั่งคุยกันเวลาว่างจากการเรียนหรืออ่านหนังสือ วันนี้มีเพียงปอนด์เท่านั้นที่นั่งชันเข่า ไหล่ตกมองไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย พร้อมกับถอนหายใจเป็นระยะ ข้างตัวมีกระเป๋าสตางค์ที่เปิดไว้โชว์รูปของขิมหราอยู่... ในนั้นเป็นรูปที่เขาได้จากการแอบถ่ายตอนหญิงสาวมัวแต่ตื่นเต้นกับหิ่งห้อยจำนวนมากในลำธาร

ปอนด์กำลังนั่งรอเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมที่เขาโทรศัพท์ทั้งเรียก ทั้งบังคับและขอร้องให้มันรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เพื่อนอย่างเขาจะมีอันเป็นไป... โอเค ความจริงแค่ขู่เขาไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้นแน่นอน ชีวิตที่บุพการีให้มามีค่ากับเขามากกว่าสิ่งอื่นใด อีกอย่างความฝันที่เขาเคยหวังว่าจะเป็นอัยการยังไม่สำเร็จเพราะฉะนั้นเขายังจะตายไม่ได้เด็ดขาด

รออยู่ไม่นานชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดบริเวณใกล้ๆ ที่เขานั่งอยู่ ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องหันไปดูว่าเป็นเพื่อนรักของเขาแต่นอน

“มาแล้วเหรอไอ้จักร” ผู้มาใหม่ถอนหายใจอย่างที่ไม่รู้จะเหนื่อยยังไง จี๊ดหรือจักรเคยบอก เคยแย้งเพื่อนอยู่เสมอว่าไม่มีคนชื่อจักรอีกต่อไป หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแต่เพื่อนคนนี้มันก็ยังคงเรียกติดปาก ชนิดที่ว่าถ้าไม่นับคนที่บ้านก็มีมันนี่แหละที่ยังเรียกเขาด้วยชื่อเดิม

“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าฉันชื่อจี๊ด ไม่มีไอ้จักรเพื่อนสนิทแกอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แล้วนี่เป็นอะไรใครตายหรือไงถึงได้โทรศัพท์เรียกกระเทยมา”

“นี่ไอ้จักรก็ข้าเป็นเพื่อนเอ็งมานาน เรียกเอ็งอย่างนี้จนติดปากแล้วจะให้เปลี่ยนเรียกชื่ออื่นได้ยังไงวะกระดากปาก”

ป่วยการจะแย้ง...คนมีสองชื่อถอนหายใจอีกครั้งกับความดื้อรั้นของเพื่อนสนิท ตาที่กรีดด้วยอายไลน์เนอร์คมเฉียบเหลือบไปเห็นรอยแดงๆ บนหน้าคล้ายรอยนิ้วมือคน ยังไม่ทันที่จะถามอะไรออกไปจี๊ดก็ยื่นมือออกไปจับใบหน้าเพื่อนบิดมาให้เห็นรอยชัดๆ แล้วร้องเสียงดังราวกับโดนเสียงเอง

“ไอ้ปอนด์นี่แกไปโดนใครตบมา... ดูสิเนี่ยเป็นรอยขนาดนี้พ่อคุณเอ๊ย แล้วนี่ทายาหรือยังเจ็บมากไหม” ไม่ว่าเปล่าจี๊ดยังจับคางเพื่อนบิดไปบิดมาถือโอกาสสำรวจให้ครบว่ามีรอยมากกว่านี้อีกไหม

“พอก่อนมั้ยไอ้จักร ตกลงนี่เอ็งเป็นเมียข้าหรือยังไง ถามเป็นชุดขนาดนี้”

“แล้วไปโดนใครตบมา” เอาสิ ไหนๆ ก็หาว่าเธอเป็นเมียอยู่แล้ว จี๊ดเลยขอทำหน้าที่เมียสมมติตามคำพูดของมันหน่อยแล้วกัน แหมมมมม ก็เพื่อนเธอหน้าตาใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่

“น้องเกรซน่ะสิ”

“ว้ายตาย อกอีแป้น แกไปปล้ำเด็กนั่นหรือไงถึงโดนตบมาขนาดนี้”

“เปล่า... ฉัน.....” ปลายเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ ทำให้จี๊ดต้องเอียงศีรษะเข้าหา แต่ไม่ว่าจะเอียงเข้าไปใกล้ยังไง เธอก็ไม่ได้ยินอยู่ดีว่ามันพูดอะไร จนต้องโวยวายเล็กน้อยว่าให้พูดอีกครั้งแบบดังๆ “ฉันบอกเลิกน้องเค้า ดังพอหรือยัง”

เอากับมันสิพอพูดเบาก็เบาเสียจนแทบไม่ได้ยินอะไรเลยแต่กดเร่งเสียงเท่านั้นแหละ ประโยคเมื่อกี้คงดังไปอีกฝากของบึงเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง แต่ถึงยังไงจี๊ดก็ด่าเพื่อนไม่ออก เธอพอจะดูออกว่าเพื่อนรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทำแบบนั้นลงไป

“แล้วทำไมถึงเลิก แกไม่ได้ชอบเค้าเหรอไง”

“เปล่า” จี๊ดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มันบอกว่าเปล่านี่หมายถึงอะไร เปล่าคือไม่ใช่ว่าไม่ได้ชอบหรือเปล่าที่ว่าไม่ได้ชอบเด็กนั่นจริงๆ “ฉันไม่ได้ชอบน้องเค้า แค่รู้สึกว่าน่ารักดี”

โอเค ทุกอย่างจบ เคลียร์ในตัวคำตอบแต่ยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่นิดหน่อย ในเมื่อไม่ได้ชอบแล้วจะคบทำไมให้เสียเวลา

ดูเหมือนปอนด์จะรู้คำถามที่อยู่ในใจของเพื่อน ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบเรื่อยราวกับไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นยินดี “ฉันแค่ไม่อยากถลำลึกลงไป แค่อยากจะรักษามิตรภาพระหว่างฉันกับขิมเอาไว้เลยทำอะไรโง่ๆ ลงไปแบบนั้น”

มือสวยกว่ามือผู้หญิงยกขึ้นทาบอกแต่กลับพูดอะไรไม่ออก จี๊ดไม่รู้จะสรรหาคำด่าคนที่อยู่ตรงนี้อย่างไรให้เจ็บแสบเท่ากับที่เพื่อนเขาทำร้ายจิตใจผู้หญิงถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันขนาดนี้

“ไอ้โง่” สองพยางค์สั้นๆ ที่พ่นออกมาอย่างเนิบช้าแต่เน้นชัดถึงความหมาย จนปอนด์ต้องหันมามองหน้าคนพูดสองคำนั้นออกมา “ไอ้โง่ งี่เง่า ซื่อบี้อ ฉันไม่รู้จะด่าแกยังไงแล้วนะไอ้ปอนด์ สมองมีไว้แค่ท่องกฎหมายหรือยังไง ถึงไม่สังเกตอะไรรอบตัวสักนิดว่าใครรู้สึกกับแกยังไงบ้าง”

เฮ้อ ได้พูดยาวเหยียดแล้วสบายใจ จี๊ดนึกอยากจะใช้นิ้วผลักหัวมันแรงๆ อีกสักทีในฐานะที่มีสมองแต่ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์

“แกหมายความว่ายังไงไอ้จักร”

“คิดเอาเองบ้างสิยะ คิดทบทวนดูดีๆ ว่าแกทั้งสองคนเคยแสดงความรู้สึกให้กันรู้หรือเปล่า กลัวอะไรไม่เข้าท่า นี่ถ้าชะนีนั่นมันตกลงจะคบกับวิศวกรหล่อล่ำขึ้นมาจะเสียใจ ภาคินไม่ใช่ขี้ๆ นะยะ เป็นคนดีหล่อรวยถึงไม่ใช่เกียรตินิยมแต่อนาคตไกลมากกกกก เจ๊บอกไว้ก่อน” จี๊ดลากเสียงมากให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้ เพื่อการันตีว่าผู้ชายคนนั้นดีไร้ที่ติโดยแท้จริง

“แล้วขิมรู้จักไอ้หมอนั่นได้ยังไง”

“ก็ฉันไง” พูดออกไปแล้วถึงนึกได้ว่าไม่ควรแสดงความเก่งกาจในตอนนี้ ตอนที่ปอนด์มันพร้อมจะตกมันได้ทุกเมื่อ

“ไอ้เพื่อนเวร ทำไมมึงทำอย่างนี้หือไอ้จักร แนะนำให้รู้จักขิมได้ยังไง”

นั่นไง สรรพนามที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ เริ่มทำให้จี๊ดรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง กระเทยสาวชักห่วงในสวัสดิภาพของตัวเอง สายตาเริ่มสอดส่องหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน จะได้ไม่พลาดหากไอ้เพื่อนตรงหน้ามันเกิดคลั่งขึ้นมาจริงๆ

“กะ ก็ใครใช้ให้แกคบกับชะนีใจแตกแบบนั้นก่อนล่ะ รู้รึเปล่าว่าขิมมันก็มีหัวใจ มันเจ็บเป็นนะยะ รักก็ไม่ได้รักเขาแล้วยังจะเอาอะไรอีกยะ ถึงฉันจะเป็นเพื่อนแก แต่ขิมมันก็เพื่อนฉันเหมือนกันชะนีเงียบๆ อย่างมัน แกจะให้มันลุกขึ้นมาวีนแตกแล้วบอกว่ารักแกงั้นเหรอ จ้างให้มันก็ไม่พูดหรอก”

ภาพขิมน้ำตาคลอวาบขึ้นมาอีกครั้งในความคิดเขา อย่างที่จี๊ดบอกว่าขิมไม่มีทางลุกขึ้นมาโวยวายหรือกรี๊ดกร๊าดออกมาให้เขารู้แน่นอนว่าข้างในใจขิมคิดอะไรอยู่ วันนั้นเขาเลยเห็นเพียงแค่หยดน้ำตาแล้วเธอก็เดินหายไปไม่ติดต่อเขาอีก จนเขาเห็นเธออีกครั้งกับผู้ชายคนอื่นที่เขาไม่เคยรู้จัก

“โว้ยยยยยยย” เสียงที่ปอนด์ตะโกนออกมาทำด้วยความอัดอั้นพร้อมกับมือที่ขยี้ผมตนเองจนยุ่งไปทั้งหัวทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกอกตกใจแทบกระโจนหนีกลัวว่าเพื่อนจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาจริงๆ “ข้าจะทำยังไงดีวะไอ้จักร เอ็งช่วยข้าคิดหน่อยดิ”

“ไม่รู้ ฉันอยู่ฝ่ายชะนีซื่อบื้อ แกจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ ไม่รู้ว่าป่านนี้ตกลงอะไรกับนายภาคินไปหรือยัง”

อีกครั้งที่ชื่อผู้ชายคนอื่นมีผลกับการตัดสินใจของปอนด์ ชายหนุ่มยกมือขึ้นดูเวลาแล้วคิดได้ว่าป่านนี้ขิมคงอยู่ที่คณะกำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบ

“นั่นแกจะไปไหน” กระเทยสาวถามเพื่อนอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าปอนด์กำลังจะเดินไปที่รถเหมือนกำลังจะขับรถไปไหน

“ไปหาขิม”

“คิดได้แล้วเหรอว่าจะพูดยังไง”

“เออน่า ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่าว่าจะพูดอะไร เอ็งจะไปไหนก็ไปไป๊”
แหม หลอกถามกระเทยเสร็จก็จะเฉดหัวส่งกันเลยนะ ไอ้ทนายซื้อบื้อ จี๊ดนึกค่อนขอดเพื่อนในใจเกือบเผลอภาวนาขอให้มันอย่าได้หาชะนีที่มันรักเจอ แต่ก็กลัวบาปกรรมจะวกเข้าหาตัวเสียเปล่าๆ เลยได้แต่มองค้อนจนรถของเพื่อนลับสายตาไป

นางฟ้าคนนี้ช่วยสุดชีวิตแล้วนะชะนี ที่เหลือจัดการเอาเองแล้วกันย่ะ

ท้องฟ้าทาด้วยสีดำมาได้สักพักแต่ขิมยังคงนั่งอยู่ที่หน้าคณะ หลังจากขอให้เพื่อนใหม่อย่างภาคินขับมอเตอร์ไซด์มาส่งที่นี่ เพราะรถเธอก็ยังจอดอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ข้างหน้าเป็นหนังสือเปิดไว้ก็จริงแต่หากถามว่าความรู้ไหลเข้าหัวสักกี่ตัว ขิมตอบได้ทันทีว่าไม่มีเลยสักนิด

สมาธิหายไปหมดหลังจากเห็นภาพบาดตาในร้านอาหารเมื่อเย็นที่ผ่านมา และยังไม่หายไปจากความคิด จนเธอไม่รู้จะปัดมันออกได้อย่างไร ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ มีเพียงเสียงปากกาเคาะอยู่กับหนังสือเล่มหนาบวกกับเสียงถอนหายใจของขิมเท่านั้น

“มานั่งมืดๆ อยู่ตรงนี้ยุงไม่กัดเหรอไง” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำเอาปากกาที่อยู่ในมือหล่นราวกับไม่มีแรงไปเสียดื้อๆ หญิงสาวหันกลับไปมองต้นกำเนิดเสียงแล้วเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่เบาๆ

“ค่ำๆ มืดๆ มาหาเรามีอะไรรึเปล่า”

“เปล่า ไม่มีอะไรมาหาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วเหรอ”

“ก็ ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ แต่หมายความว่าไม่ไปอยู่กับเอ่อ...กับแฟนเหรอ”

ไม่รู้เขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าท้ายเสียงที่ขิมถามมีน้ำเสียงปนความน้อยใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะฉีกยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนมองเขาอยู่

“แฟนที่ไหนตอนนี้ไม่มีแล้ว” ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าไปใกล้หญิงสาวอีกนิด จนขิมเห็นรอยที่ยังแดงเป็นรอยมืออยู่ที่ข้างแก้ม ขิมอุทานเบาๆ แล้วเผลอยื่นมือไปลูบรอยข้างแก้มนั้น ก่อนจะรีบชักมือออกอย่างคิดได้ว่าไม่ควร

แต่ก็ไม่ทัน... มือใหญ่ของปอนด์ยกขึ้นมาจับไว้เสียก่อนแล้วจับไว้แน่นจนขิมดึงออกมาไม่ได้ “รีบเอาออกทำไม จับไว้ก่อนก็ได้”

“นี่ ที่นี่มันในคณะนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันไม่ดี ไหนจะน้องเกรซแฟนของปอนด์อีก ปล่อยมือเราก่อน”

“ บอกแล้วไงว่าไม่มีแฟนแล้ว ขิมนี่ยังไงนะ” เขาเอ่ยอย่างไม่ค่อยถูกใจคำพูดของหญิงสาวนัก เกือบแล้วเชียว เกือบจะมองค้อนเธอเหมือนที่หญิงสาวเคยทำบ่อยๆ

“มีไม่มีไม่รู้หรอกนะ แต่นี่มันในคณะ ปล่อยมือเรานะปอนด์”

“ไม่ปล่อย นอกจากขิมจะบอกว่าขิมจะเก็บของแล้วกลับหอกับเรา”

“เฮ้ย เราเอารถมาจะกลับกับปอนด์ทำไม”

“ไม่กลับกับเรา เราก็ไม่ปล่อย ว่ายังไงฮึ” คราวนี้ไม่ถามเปล่าปอนด์เล่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนขิมต้องหลับตาปี๋ มีเพียงลมหายใจเท่านั้นที่ทำให้หญิงสาวรู้ว่าหน้าของปอนด์ยังไม่ถอยห่างไปไหน

“กะ กลับก็ได้ เรากลับกับปอนด์ก็ได้ แต่ ชะ ช่วยถอยห่าง อะ ออกไปก่อนได้มั้ย ทำบ้าอะไรเนี่ย ผีเข้าเหรอไง”

อร๊ายยยยย หายใจไม่ออก ขิมร้องอยู่ข้างใน ไม่รู้วันนี้ปอนด์นึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงล้อเล่นกับจิตใจเธอแบบนี้ อย่าให้หลุดไปได้ก็แล้วกัน หลุดไปเธอจะรีบเก็บของวิ่งขึ้นรถเลย คอยดูเถอะ!

ได้ซะที่ไหนล่ะ... คนหายใจไม่ออกอยู่เมื่อครู่กลายเป็นต้องมานั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถที่ไม่ใช่ของตัวเองแบบนี้ พอตกลงกันเสร็จเรียบร้อย ปอนด์ปล่อยมือเธอเป็นอิสระ หญิงสาวก็รีบเก็บของอย่างที่ตนเองคิดแต่หากพอจะวิ่งไปที่รถกลับหากุญแจรถตัวเองไม่เจอเสียอย่างนั้น ขิมพยายามหากุญแจแบบไม่ให้มีพิรุธในกระเป๋าก็แล้วบนโต๊ะก็แล้วแต่ไม่มี.... กุญแจรถชองเธอหายไป

‘หานี่อยู่เหรอ’ มือใหญ่ยื่นกุญแจแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าเธอ กุญแจที่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นกุญแจรถของเธอเอง แต่กลับคว้ามันไว้ไม่ได้ ในเมื่อพอเอื้อมมือคว้ากุญแจกลับดิ้นได้เสียอย่างนั้น

‘เอ๊ะ ปอนด์ เอากุญแจเราคืนมา’

‘ไม่คืน บอกแล้วไงว่าเราไปส่ง’

‘แล้วรถ...’

‘ช่างมันเถอะน่า จอดไว้อย่างนี้ไม่หายหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาพร้อมเราก็ได้’

แล้วปอนด์ก็ชนะเธออีกตามเคย...


“จะพาเราไปไหนอีกล่ะ” ขิมถามภายใต้ความเงียบที่เกิดขึ้นในรถ หลังจากเธอรู้แล้วว่าคนขับพาเธอออกนอกเส้นทาง... ทางนี้ไม่ใช่ทางกลับหอพักของเธอ แต่คนขับกลับไม่ยอมพูดอะไรนอกจากหันมายิ้มให้แล้วหันกลับไปขับรถต่อ

สองข้างทางที่เริ่มคุ้นเคยเหมือนเคยมา แต่ขิมกลับนึกไม่ออกว่าที่ไหนกันแน่ที่ปอนด์กำลังจะพาไป ข้างทางเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และหญ้าสูงขึ้นอยู่รกครึ้ม หญิงสาวพยายามนั่งนึกเงียบๆ มองสองข้างทางเป็นระยะจนเริ่มนึกได้ว่าคราวที่แล้วเส้นทางนี้เป็นทางไปดูหิ่งห้อย

“นี่ จะพาไปดูหิ่งห้อยก็บอกสิ ทำมามีลับลมคมใน”

“ว้า ไม่กลัวเหมือนคราวที่แล้วแล้วเหรอ กะจะหลอกให้กลัวซักหน่อย”
อีตาบ้านี่...ขิมมองค้อนคนขับอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก นึกอยากจะทุบคนขับที่พูดแซวเธอให้พูดไม่ออกมันตรงนี้แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด เพราะปอนด์กำลังขับรถพาเธอไปเจอหิ่งห้อยหลายร้อยตัวเหมือนคราวที่แล้ว

เธอชอบหิ่งห้อย...

“ปอนด์ รอยบนหน้าน่ะเอ่อ... โดน เอ่อ... ” อยากจะถามแต่กลับพูดไม่ออกเสียเอง เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนเธอบอบช้ำมามากหรือเปล่า ที่ห่วงนี่ทางจิตใจหรอกนะไม่ใช่ทางร่างกาย

“รอยนี้น่ะเหรอ โดนน้องเกรซตบน่ะ แบบไม่ยั้งแรงเลยนะ”

ปอนด์พูดกลั้วหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นหลังจากกินอาหารญี่ปุ่นเสร็จ เขาก็พาน้องเกรซไปหาที่เงียบๆ คุย เขาขอโทษและสารภาพเรื่องทั้งหมดว่าความจริงเขาไม่ได้รักอะไรน้องเกรซ ชายหนุ่มเพียงแค่อยากจะอยู่ห่างๆ ขิมไว้เพราะไม่อยากให้มิตรภาพที่มีอยู่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่แย่กว่านั้น

น้องเกรซฟังเขาพูดทั้งน้ำตา หลังจากนั้นเขาก็เลยได้ฝ่ามือเป็นของตอบแทนกับสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมด หลังโดนตบหูเขาแทบไม่รับรู้เสียงอื่นนอกจากเสียงเปรี๊ยะที่เกิดขึ้นตอนฝ่ามือนุ่มๆ ของน้องเกรซกระทบโดนที่หน้าของเขาฉาดใหญ่

“สมน้ำหน้า” คำพูดที่ซ้ำเติมลงมาทำให้ปอนด์เริ่มหน้ามุ่ยลงกับการที่หญิงสาวไม่เข้าข้าง

ขับรถไปสักพัก พอถึงบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่เช่นเดิมเหมือนคราวที่เคยมาครั้งก่อน คราวนี้ถึงแม้ว่าคุณลุงคนนั้นจะไม่ได้นั่งลับมีดเหมือนคราวที่แล้ว แต่เธอก็ยังเดินจับชายเสื้ออยู่ข้างหลังปอนด์เช่นเคย น้ำเสียงเนิบแต่ดูดุนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม เธอคิดเล่นๆ ว่าจะมีสักครั้งไหมที่ลุงจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงใจดีราวกับซานตาคลอสบ้าง แต่คงได้แค่คิด เพราะตอนนี้ปอนด์พาเธอลงมานั่งอยู่ในเรือเตรียมพร้อมไปดูหิ่งห้อยอีกครั้ง จ่ายค่าชั่วโมงสามร้อยบาทเช่นเคย

“รู้รึเปล่าว่าทำไมเราถึงพามาที่นี่” คนถูกถามไม่พูดอะไรนอกจากส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ แล้วหย่อนมือราน้ำไปตามทางอย่างที่ไม่รู้จะเอามือวางไว้ที่ไหน “เพราะที่นี่ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มีแค่เรากับขิม”

“อี๋ น้ำเน่า”

หมดกัน... ความโรแมนติกที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ปอนด์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหนื่อยใจกับคนตรงหน้าเหลือเกินเพราะถึงแม้ว่าขิมจะไม่ใช่ผู้หญิงก๋ากั่นอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้สวยหวานอย่างที่ผู้หญิงควรจะเป็นนัก เธอเรียบร้อยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่จะรู้สึกดีกับคำพูดแบบนี้ที่หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตัวลอยไปแล้ว

ก่อนที่ปอนด์จะได้พูดอะไรต่อเขาก็พาขิมและตัวเองมาถึงที่ที่หิ่งห้อยรวมตัวกันอยู่ตรงนี้ เหล่าแมลงเปล่งแสงได้ต่างเต้นระบำกันอย่างสนุกสนานดังเช่นทุกครั้ง และถึงแม้จะเป็นครั้งที่สองที่มาแต่ขิมก็ยังคงตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นอยู่ดี หญิงสาวก้าวลงจากเรือตามคำบอกของปอนด์ก่อนเขาจะเอาเรือไปผูกไว้ที่ตอไม้อันหนึ่งที่ใกล้บริเวณนั้นแล้วเดินกลับมาสมทบ

ปอนด์จับข้อมือหญิงสาวแล้วดึงให้เดินตามตนเองไปยังจุดที่เป็นเนินดินพอให้ยืนสองคน ขิมมองมือที่จับแขนเธออยู่อย่างด้วยใจเต้นโครมคราม บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเหมือนกับอะไร แต่ถ้าจะให้เธอวัดจริงๆ ตอนนี้เหมือนหัวใจเธอกำลังจะทะลุออกมาจากร่างกาย

ด้วยความเป็นจริงแล้วเธอก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองให้มากมายนัก แต่การแสดงออกในวันนี้ของปอนด์ถ้าบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่แสดงออกเกินเพื่อนคงไม่ใช่ แค่เพียงระยะสั้นๆ เมื่อครู่ที่กลับมาคุยกันอีกครั้งทำให้เธอรู้ความรู้สึกอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ปอนด์หยุดเดินแล้วหันกลับมามองเธอด้วยสายตาแทนความรู้สึกทั้งหมด มือใหญ่ที่จับแขนเธออยู่เหมือนครู่เลื่อนลงไปจับมือสองข้างแทน

“ขิม” สายตาที่พราวระยิบระยับของปอนด์ส่งผ่านมายังขิมราวกับจะแทนความรู้สึกทั้งหมดที่ปอนด์มีอยู่ ทุกสิ่งรอบตัวล้วนเงียบสนิทราวกับรอฟังอะไรบางอย่างจากปากของชายหนุ่ม ตอนนี้เธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเธอว่ามันดังมากแค่ไหน “ขิม”

“อะ อะไรล่ะ เรียกอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมาสิ”

ปอนด์หัวเราะในลำคอ ดูเอาเถอะตอบกลับมาอย่างนี้จะให้โรแมนติกต่อยังไงไหว แล้วไม่ใช่แค่การตอบแบบไม่มีความหวานเจือปน ตอนนี้หญิงสาวยังเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตามองพื้นไม่ยอมสบตาเขานั่นอีก บางทีเขาก็ไปไม่เป็นเหมือนกันนะ

“นี่ พื้นมันมีอะไรให้มองนักหนา มองตรงนี้สิ เงยหน้าขึ้นมา” ว่าแล้วมือใหญ่ก็เชยคางเล็กนั่นให้เงยหน้าขึ้นมาไม่ใช่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาจากเขาเช่นนี้

สายตาของขิมที่เงยขึ้นมาสบกับตาสื่อความหมายของปอนด์ ชายหนุ่มเห็นความลังเลไม่มั่นใจอยู่ในนั้นจนแทบจะล้นออกมา นัยน์ตาที่สั่นระริกและน้ำตาที่คลออยู่พร้อมจะหยดลงมาได้ทุกเมื่อทำให้ปอนด์ต้องสูดลมหายใจลึกอีกครั้งก่อนพูดสิ่งสำคัญ

“ขิม เราสองคนมาคบกันนะ คบแบบที่เป็นแฟนกันไม่ใช่เพื่อนกันเหมือนทุกวันนี้ได้มั้ย”

“อะ อะไรนะ ปะ ปอนด์พูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า”

“รู้สิ สติเราครบสมบูรณ์มากที่สุดเลยด้วย เราขี้ขลาดมาพอแล้ว เราเคยกลัว กลัวว่าจะเสียขิมไปถ้าหาเราพูดเรื่องนี้ออกไป แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าความกลัวนี่แหละที่กำลังจะทำให้เราเสียขิมไป นะเป็นแฟนกันนะขิม”

ตอนนี้ระบบการรับรู้ของขิมได้หลุดออกจากวงโคจรไปแล้ว สติที่เคยมีอยู่เลือนหายไปด้วย หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงตั้งแต่ประโยคแรกที่อยู่ดีๆ ปอนด์ก็ชวนเป็นแฟนกันดื้อ ใครจะรู้ว่าทั้งคู่ใจตรงกันมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครกล้าเริ่มพูดก่อนอย่างจริงๆ จังๆ จนเกือบทำให้เสียโอกาสไป มัวแต่หลอกตัวเองไปวันๆ เพราะกลัวเสียความเป็นเพื่อนระหว่างกัน

“ถ้าไม่ตอบเราจะถือว่าขิมตกลงนะ” คนที่กำลังเบลอได้ที่ตอนนี้กลายเป็นใบ้ไปชั่วขณะ หญิงสาวหาลิ้นตัวเองไม่เจอไปเสียแล้วจึงต้องใช้การพยักหน้าแทนคำพูดทั้งหมด

ปอนด์ยิ้ม ยิ้มกว้างราวกับคนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งชุดใหญ่ ชายหนุ่มเขย่ามือคนที่เพิ่งกลายมาเป็นแฟนสาวหมาดๆ ถามวนไปวนมาว่าจริงนะ เป็นจริงๆ นะ แล้วก้มลงหอมแก้มนวลฟอดใหญ่อย่างที่อยากทำมาตลอด แถมยังเป็นการปลุกขิมขึ้นมาจากภวังค์อีกด้วย สติหญิงสาวถูกเรียกกลับมาทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกรุกรานพื้นที่ส่วนตัวบนใบหน้าและก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มลงมาอีกครั้ง ที่นี้เธอดูจากสายตาเขาแล้วรู้ทันทีว่าเล็งที่ริมฝีปากไว้แน่นอน

ทว่าก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองจะเจอกัน ปากของปอนด์ได้เจอกันมือของขิมเสียก่อน หญิงสาวขู่ด้วยสายตาเป็นเชิงว่าถ้าหากก้มลงมามากว่านี้ได้มีเรื่องแน่นอน แต่ใครล่ะจะยอม

“โธ่ นิดเดียวเอง นะ นะ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้วนะ”

“ไม่ได้” เสียงเล็กยื่นคำขาด “แอบหอมแก้มไปแล้วไง ได้คืบจะเอาศอกเดี๋ยวเถอะ”

“ใจร้าย”

เสียงอ่อยที่ลอยเข้าหูมาทำให้ขิมนึกไปถึงเด็กชายตัวเล็กๆ คนนึงกำลังนั่งหันหน้าเข้ามุมมืดมุมหนี่งแล้วเขี่ยพื้นดูน่าสงสารเสียเต็มประดา แต่พอเหลือบดูหน้าคนพูดแล้วจากสงสารตอนนี้เธอกลายเป็นหมั่นไส้แทนอย่างช่วยไม่ได้


“กลับกันเถอะ นี่ก็นานแล้วนะพรุ่งนี้อาจารย์นัดเรียนอีก”

คนพามายินยอมแต่โดยดี แต่ใครจะรู้ว่าพอจะหันหลังกลับไปยังเรือที่มัดไว้ก็มีคนใจดียื่นหน้ามาหอมแก้มสากๆ เบาๆ แต่กลับทำให้ปอนด์นิ่งไปเกือบนาที ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองทำหน้าไม่เชื่อว่าผู้หญิงตรงหน้าจะกล้าทำจริงๆ

“ทำตัวอย่างนี้ เดี๋ยวก็จับปล้ำมันเสียตรงนี้ไม่ให้กลับเลยดีมั้ย”

“ทะลึ่ง”

สองคำที่หลุดจากริมฝีปากบางพร้อมรอยยิ้มทำให้ปอนด์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แฟนของเขาช่างน่ารักเสียจริงให้ตายเถอะ

ทั้งคู่เดินเถียงกันมาตลอดทางตั้งแต่ขึ้นฝั่งมาจนถึงบ้านของลุงเจ้าของเรือ แต่ถึงจะเถียงกันยังไงมือคู่นั้นก็ยังคงจับกันไม่ปล่อยราวกับว่าถ้าหากปล่อยแล้วใครคนใดคนหนึ่งจะลอยหายไป ลุงเจ้าของเรือมองภาพนั้นด้วยความสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ขอบคุณนะขิม” ปอนด์เอ่ยปากขึ้นเมื่อทั้งคู่เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยพร้อมเดินทางกลับไปพักผ่อน

“ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่องอะไร เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ขอบคุณที่ไม่เปลี่ยนใจไปรักคนอื่นไง ถ้าขิมเปลี่ยนใจเราคงขาดใจตาย”

“อูยยย น้ำเน่า ไม่เอาแล้วเราง่วง ขับรถไปนะถึงหอเราแล้วปลุกด้วยนะ”

ปอนด์ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกนอกจากหัวเราะเบาๆ กับคำเฉไฉของคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ จะพูดให้ซึ้งให้หวานเสียหน่อยแม่เจ้าประคุณก็เล่นขัดคอไปเสียทุกครั้ง ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาในความเลี้ยวเก่งของหญิงสาว แต่เอาเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเก็บไว้หยอดบ่อยๆ จะได้ไม่เบื่อ

ปอนด์ที่ขับรถอยู่เงียบๆ ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่นอนหันหน้าออกนอกหน้าต่างอยู่กำลังยิ้มไม่หุบกับคำพูดต่างๆ ที่พูดออกมาของเขาและพร้อมจะเก็บไปฝันดีได้ทุกถ้อยคำเลยทีเดียว

==============================================

จบแล้วค่ะ ^^

ต้องขอบคุณผู้มีอุปการะคุณทุกท่านนะคะ (ก็เว่อร์กันไป ฮี่ๆๆ) ที่อ่านเรื่องนี้จนจบ
เรื่องนี้มีแค่สองครึ่งนะคะ เพราะว่าเป็นเรื่องสั้น

แต่ยังไงหากคิดว่ามิณทิมาควรจะปรับปรุงตรงไหนอย่างไร ขอคอมเมนต์หน่อยนะคะ มิณทิมาจะได้เอามาปรับปรุงค่ะ

ปล. ตอนนี้ซุ่มเขียนเรื่องยาวอยู่ ถ้าได้ประมาณนึงแล้วจะเอามาลงขอความเห็นอีกนะคะ :"))



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2555, 14:31:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2555, 14:31:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1496





<< ครึ่งแรก   
คิมหันตุ์ 12 มิ.ย. 2555, 16:51:52 น.
ตอนแรกนึกว่าเรื่องยาว....สนุกดีจ้า


มิณทิมา 12 มิ.ย. 2555, 18:20:52 น.
เรื่องยาวแปะโป้งไว้ก่อนนะคะ แฮ่ๆๆๆ

ถ้าโอเคแล้ว จะเอามาลงให้อ่านค่า


mhengjhy 12 มิ.ย. 2555, 18:50:27 น.
สนุกค่า


เทียนจันทร์ 12 มิ.ย. 2555, 21:12:52 น.
โดนใจมาก ๆ เลยล่ะ
ทำให้นึกถึงตัวเอง แต่เรื่องจริงไม่ได้จบแบบนี้หรอก มันเศร้าซึมลึก


pattisa 13 มิ.ย. 2555, 14:12:41 น.
สนุกค่ะ :)
ปล ไอ้จักร เอ๊ย ยัยจี๊ดน่ารักดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account