วนาลีสีดำ
ปริศนา..ฆาตกรรม หนามชนวนชั้นดีกำลังรอคอยการล้างลบมลทินครั้งสำคัญ ความสะพรึงกลัวยังคงคละคลุ้งในเงามืด..เพราะ "มัน"..พรางตัวอยู่ ณ ที่แห่งนั้น..วนาลี!!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑ คดีแรก

รถแอมบูแลนช์จอดสนิทเทียบฟุตปาธริมทาง หญิงสาวในชุดแจ๊กเก็ดสีดำท่าทางทะมัดแทมงป้องมือขึ้นเหนือระดับสายตา ก่อนจะก้าวลงจากรถ เสียงประตูถูกปิดดังแว่วหู ตามด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยอีกสองรายลงมายืนอยู่เบื้องหลัง หนทางยาวไกลเมื่อนับการเดินด้วยเท้าทำให้ความปราดเปรียวของผู้นำลดฮวบ พลอยกุมภาถอนใจเฮือก แหงนมองกำมะหยี่สีดำสนิทในคืนเดือนแรมอย่างอ่อนใจ หรี่ตาลงเมื่อพบว่าต้องบุกเข้าไปกันสามคนอีกเกือบห้าร้อยเมตร แสงไฟฉายจากที่ไกลบอกให้รู้ว่ามีตำรวจสี่นายยืนรอต้อนรับอยู่หน้าภูเขาลูกใหญ่ พฤกษาแถบนั้นขึ้นครึ้มดีอยู่หรอก ทว่ายามวิกาลเช่นนี้เงาดำทะมึนโอบล้อมรอบอ่าว รัตติกาลกลืนกินสรรพสิ่งทั้งปวงในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ปากทางเข้าที่ต้องลอดผ่านช่องเขานั้นไปก็แทบมองไม่เห็น

“ตายแน่ลูกพี่...แน่ใจหรือว่าเดินเท้า” ชายในเสื้อแจ๊กเก็ดสีเดียวกับคนที่ถูกเรียกว่า ลูกพี่ เอ่ยปากเป็นคนแรก หลังจากที่ทุกคนยืนคอตกกันไปหลายอึดใจ จนกระทั่ง แอมบูแลนช์เคลื่อนห่างออกไปเพื่อหาที่จอดเหมาะเจาะกว่านี้

“เออสิแก ผู้กำกับกำชับมาว่าเจ้าของรีสอร์ทเขาห้ามไว้” หัวหน้าทีมชี้แจง แต่ลูกน้องยังคงทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม เธอจึงขยายความต่อ “ห้ามเอารถ หรือยานพาหนะใดๆรุกล้ำเข้าทางหน้าอ่าว...อ่าวพฤกษานี่ละมั้งถ้าฉันจำชื่อไม่ผิด”

“เขาไม่ให้เข้าหน้าอ่าว แล้วทำไมเราไม่ไปหลัง..เอ”ลูกน้องหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างล่ำสันอีกคนเสนอความเห็นขึ้นบ้าง ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “ผมหมายถึงด้านหลังที่เป็นทางเข้ารีสอร์ท เคยขับรถผ่านบ่อยๆ เห็นถนนลาดยางเอาไว้อย่างดีเสียด้วย ลานจอดรถก็อยู่แค่ปากทางเข้า”

“นี่..ไอ้วัตร โง่หรือเซ่อยะ เหตุมันเกิดในป่าสมุนไพร ใกล้ทางออกสู่อ่าวพฤกษาที่เรายืนอยู่นี่” พลอยกุมภาชี้หน้า ทำท่าขึงขังขัดกับร่างแบบบาง และดวงหน้าหวานของเธอ “แกจะไปจอดไหมล่ะ นั่งรถไปอีกสองโล อ้อมโลกไปโน่น มีลานจอดรถให้จอดงามๆ แต่ต้องเดินเท้าทะลุรีสอร์ทไปอีกสิบโล”

“ลูกพี่แน่ใจเหรอว่าเพิ่งกลับจากลาสเวกัส” วัตรทำหน้างงยกมือเกาศีรษะ “พวกผมอยู่ที่นี่ตั้งสามปี ยังรู้เส้นทางในวนาลีไม่ถึงครึ่งของพี่พลอยเลย”

“ระดับนี้แล้วย่ะ...แผนท่งแผนที่มีไว้ทำอะไร สถานที่ในเขตปราณฯที่เราต้องรับผิดชอบน่ะ ว่างๆก็หัดศึกษาไว้บ้างซี” พลอยกุมภาว่าพลางทำหน้าภาคภูมิใจ ชี้แม่โป้งเข้าอกตัวเอง “มันถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ”

“คร้าบบบ พี่พลอยคนเก่ง” สองหนุ่มหน้าเหี้ยมพร้อมใจกันยกมือท่วมหัว ผู้หญิงคนนี้ออกจะเก่งเกินตัว จนบางครั้งก็น่าหมั่นไส้เข้าขั้นรุนแรง

“ขอบใจ..ไปเหอะ ผู้กำกับบอกว่างานนี้ด่วนจี๋ หนทางแค่นี้ถือว่าเด็กๆ ไอ้วัตร ไอ้ชาย หยิบไฟฉายแล้วนำทางไปซักที ยังไงฉันก็คนแปลกที่ พวกแกรู้ดีกว่าฉันอยู่แล้ว”

สองลูกน้องรีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แล้วออกเดินทางไปด้วยใจที่ฮึดสู้กว่าทีแรก เมื่อสำนึกในหน้าที่เริ่มอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ลมเย็นคราวนี้หนาวเหน็บยะเยือกใจเกือบถึงขีดสุด พลอยกุมภาเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหนาวกว่านี้มาแล้วก็จริง ทว่าอากาศหนาวแบบทะเลยามราตรี ที่ให้ความรู้สึกแห้งเหือดเหมือนผีตายซาก ขัดกับความเป็นคลื่นทะเลที่น่าจะหอบเอาความชื้นอย่างที่เคยชิน คืนนี้คลื่นซัดฝั่งรุนแรงจนดูน่ากลัว แม้อยู่ในความมืด แต่ส่ำเสียงของกระแสน้ำยักษ์ใหญ่ถาโถมเข้ามาอย่างชัดเจน โสตประสาทหญิงสาวก็ทำงานได้ดีเสียเหลือเกิน แม้แต่เสียงสุนัขก็ยังเห่าหอน โหยหวนจนขนลุกเกรียว เพิ่งรู้เหมือนกันว่าทะเลพฤกษามีสุนัขหลบพำนักอยู่มากขนาดส่งเสียงเซ็งแซ่ได้ถนัดหู อ่าวพฤกษา..ทะเลที่มีแมกไม้เขียวครึ้มปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ แม้มืดดำขนาดนี้ก็ยังพอนึกภาพออกได้ ว่ารุ่งสางความเขียวขจีจะมาเยือนในไม่ช้า

หญิงสาวไม่คิดเลย ว่าเพียงวันแรก ทันทีที่เท้าเหยียบลงผืนแผ่นดินไทย ความอ่อนเพลียจากการนั่งเครื่องบินข้ามทวีปอเมริกามายังเอเชียยังไม่ทันสร่าง งานก็เข้าเสียแล้ว ผู้กำกับสน.ปราณบุรีโทรเข้ามือถือของเธอได้อย่างไรไม่รู้ แต่เดาว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลคงเป็นคนจัดการเรื่องให้ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ร้องขอให้แพทย์นิติเวชคนเดียวในเมืองอย่างเธอ มาช่วยชันสูตรพลิกศพคดีผัวฆ่าเมียกลางป่าชื่อดังประจำถิ่น ที่ทุกคนในย่านนี้รู้จักกันดีในนาม “วนาลี” กลางคืนดึกสงัดเช่นนี้ผู้กำกับท่านก็ไม่อยากใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอมากนักหรอก แต่น้ำเสียงเว้าวอนที่ไม่น่าจะหลุดมาจากปากของบุคคลน่าเกรงขามอย่างท่านก็ทำให้เธอกลืนคำปฏิเสธลงไปในลำคอเสียหมดเกลี้ยง

“คุณหมอต้องมานะครับ ขอร้องเถิด ถึงไม่ใช่คดีแปลกใหม่อะไร แต่ระบบตำรวจยังไงก็ต้องทีมเวิร์คกับหน่วยงานนิติเวช คดีมันถึงจะปิดลงได้แบบบริบูรณ์ และเพื่อความเป็นมาตรฐานสากล คุณหมอคนเก่งคงไม่ใจร้าย ปล่อยให้ตำรวจไทยอย่างผมต้องทำงานเคว้งอยู่ฝ่ายเดียวนะครับ”

แล้วเธอก็ทำได้เพียงรับคำในตอนตีสองครึ่งพอดิบพอดี เลือดนักสู้อย่างเธอไม่เคยหวั่นเกรงการทำงานแม้ในยามวิกาลอยู่แล้ว ตอนเรียนเฉพาะทางด้านนิติเวชที่ลาสเวกัส หนักกว่านี้ยังทำมาแล้ว โหดซาดิสกว่านี้อีกหญิงสาวก็ยังไหว โชคดีที่เมื่อแรกรู้ว่าตัวเองต้องมาประจำที่รพ.ใหญ่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธุ์ เธอก็ศึกษาเส้นทางและสถานที่สำคัญชื่อเสียงดีในเมืองอย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เรียกว่าทำการบ้านมาดีอย่างนั้นเถอะ...แต่ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าความจริงแล้ว ผู้กำกับก็ทำเก๋คุมมาตรฐานตำรวจไทยไปยังงั้น ที่จริงคงไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือแพทย์เวรคนไหนยอมไปปฏิบัติหน้าที่ เลยต้องมาเกลี้ยกล่อมเอากับเธอ

ยังดีที่พอบึ่งรถออกจากที่พักในหาดส่วนตัวใกล้เขากะโหลก ตรงไปหน้าห้องฉุกเฉินของรพ. เจอเข้ากับรุ่นน้องเก่าอย่างวัตร กับชาติชาย สองคนนี้เป็นทีมเจ้าหน้าที่งานอุบัติเหตุ ที่เคยสนิทสนมกับหญิงสาวตั้งแต่สมัยเรียนแพทย์ที่เมืองไทย และสองคนนั้นเรียนอยู่คณะสาธารณสุข แต่มีใจรักในงานฉุกเฉิน ท้าทาย ด้วยความที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็ถือว่ามีผู้ชายร่างใหญ่สักคนสองคนร่วมทางไปด้วยจะปลอดภัยกว่า และที่สำคัญ เธอเป็นผู้หญิงที่สองหนุ่มนับถือเป็นลูกพี่ จึงยอมตามมาเป็นองครักษ์ให้ด้วยความเต็มใจ..

“สวัสดีครับคุณหมอ เชิญข้างในเลยครับ พวกผมกั้นซีนล้อมไว้ให้แล้ว” นายจ่าสิบคนหนึ่งรีบกุลีกุจอมาต้อนรับหน้าปากทางเข้าป่า เมื่อเห็นพลอยกุมภาเดินนำชายหนุ่มอีกสองคนมาถึงช่องเขาเรียบร้อยแล้ว

“ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะคะ คงต้องรบกวนคุณตำรวจนำทางเข้าไปด้วยค่ะ ดิฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้เส้นทาง” พลอยภุมภาบอกอย่างอ่อนน้อม นายตำรวจยิ้มชื่นชมโดยไม่ปิดบัง ก่อนจะผายมือแล้วเดินนำเข้าไป

พงหญ้ารกชัดที่เดินฝ่าเข้าไปนั้นมีหนามเกี่ยวกระหวัดโดยรอบ โชคดีที่นิติเวชสาวเตรียมตัวมาดี เธอสวมรองเท้าบู๊ทยาวถึงเข่า กางเกงหนังสีดำถูกซ่อนไว้ในรองเท้ามิดชิด สีสันเครื่องแต่งกายของเธอในคืนนี้แทบจะกลืนหายไปกับความรกร้างในป่าบรรยากาศลึกลับ ถ้าเพียงเธออยากนึกสนุกเข้ามาทำอะไรก็ตามในป่าแห่งนี้ ก็คงจะพรางตัวได้ไม่ยาก ตำรวจคนแรกเดินนำเข้าไปพร้อมกับใช้วัตถุมีคมบางอย่างถางต้นหญ้าสูงระเกะระกะแหวกทางให้ผู้ตามเดินไปได้อย่างไม่ลำบากนัก งูเงี้ยวคงจะหลบซ่อนตัว และพร้อมจะพิฆาตทุกชีวิตที่บุ่มบ่ามเข้ามาได้ทุกเมื่อหากไม่ระวังตัวให้ดี ทว่าคนอย่างพลอยกุมภาเคยชินเสียแล้วกับการผจญภัยในป่า อะเมซอนเธอก็เคยหาเรื่องไปทัศนศึกษามาแล้ว เรื่องอะไรกับแค่ป่าเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศไทย ศิลปะการป้องกันตัวทั้งคนทั้งสัตว์เธอมีพร้อมสรรพ

ตะเกียงสว่างไสวส่องให้เห็นสถานที่เกิดเหตุอยู่รำไร พื้นที่รกร้างเมื่อครู่ค่อยกลับกลายเป็นโล่งเตียน จากการจัดสัดส่วนพื้นที่ให้เหมาะกับการใช้งาน และอาจเป็นมุมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาทัศนาอีกมุมหนึ่งของรีสอร์ท หญิงสาวประเมินเช่นนั้นเมื่อเข้ามาถึง

ทุกสายตาจับจ้องมาที่เป้าหมายเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสี่ห้านายที่ยืนคุมที่เกิดเหตุมองพลอยกุมภาอย่างทึ่ง แม้แต่สายตาผู้คนที่ยืนล้อมวงเบียดกันแน่นเอี้ยดบริเวณนั้น คะเนแล้วน่าจะเป็นคนของวนาลี ยังละความสนใจจากศพใต้ต้นไทรใหญ่เบื้องหน้า แล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจไม่ต่างกัน...ต่างคนคงนึกไม่ต่างกันว่า หญิงสาวคงจะหลุดออกมาจากทีมเอฟบีไอในภาพยนตร์สืบสวนดังที่คุ้นตาดีในหมู่คอหนัง

“แพทย์หญิงพลอยกุมภารายงานตัวค่ะผู้กำกับ นี่ใช่มั้ยคะศพชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ที่ท่านว่า” หญิงสาวไม่อยากพิรี้พิไรนานมากนักจึงรีบแนะนำตัว และเข้าประเด็นด่วนจี๋ สายตาทึ่งๆพวกนั้นน่ะเหรอ..เธอเคยชินมามากแล้วที่ต่างประเทศ..แต่เธอคิดว่าสายตาแบบนั้นมักมองมาเวลาเกิดเรื่องก๋าๆ หรือมีอะไรผิดพลาดเสียมากกว่า ยังไงก็ช่างเถอะ..งานตรงหน้าสำคัญกว่า ไม่มีสาระอะไรที่จะต้องวอกแวกเรื่องอื่น

“เดี๋ยวครับ คุณหมอเข้าชันสูตรศพคนเดียวเท่านั้นครับ ไอ้น้องสองคนหลังไม่ต้อง” ผู้กำกับกองตำรวจส่งเสียงเตือนเมื่อเห็นวัตรกับชาติชายทำท่าจะข้ามเส้นกั้นฉากเข้าไปยุ่มย่ามกับศพ สายตาของนายตำรวจใหญ่บ่งบอกความดูถูกอย่างไม่ปิดบัง แถมด้วยความไม่ไว้วางใจอีกเป็นกระบุง พลอยกุมภาหันขวับมาอย่างเสียอารมณ์ทันที..ทำนองลูกน้องข้าใครอย่าซ่ามาหยาม !

และสายตาของเธอก็ทำให้ท่านผู้นั้นขยับตัวด้วยความอึดอัด

“วัตรกับชายผ่านการอบรมหลักสูตรการชันสูตรศพมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากเป็นศพที่ตายโดยไม่ใช่การฆาตกรรม หรือฆ่าตัวตาย ดิฉันจะส่งเขาทั้งสองมาทำงานแทนก็ยังได้ เพราะฉะนั้นท่านคงเข้าใจนะคะ..ว่าคุณสองคนนั้นมีสิทธิ์ตามดิฉันเข้าไปโดยไม่มีข้อสงสัย” พลอยกุมภาเน้นหนักในคำว่า ‘คุณ’ ชัดเจน ตำรวจผู้ใหญ่ผู้น้อยในที่นั้นหน้าเสียไปตามๆกัน และในทางกลับกันสองลูกน้องหน้าเก๋าก็ยิ้มย่องผ่องใสยืดอกอย่างเต็มภาคภูมิก่อนจะเดินข้ามเส้นเหลืองนั้นไปด้วยความมั่นใจเป็นเท่าตัว ใครบางคนหัวเราะคิกมาตามลมทำเอาผู้กำกับหันขวับไปทำตาดุใส่ด้วยความไม่พอใจ

ความเงียบเข้าปกคลุมทุกสรรพสิ่ง เสียงงึมงำของพลอยกุมภาดังพอได้ยินกันสามคน เธอชี้บาดแผลที่ตรวจพบตามตัวผู้ตายทุกจุด พร้อมกับสั่งให้ลูกน้องสองคนถ่ายรูปเก็บไว้อย่างละเอียดทุกเม็ด เสียงร่ำไห้จากญาติผู้ตายครวญครางเข้ามารบกวนสมาธิการทำงานเป็นระยะ แต่ความเป็นมืออาชีพก็ทำให้พลอยกุมภาตั้งหน้าดำเนินการของตัวเองต่อไปจนกว่าจะเสร็จ

สภาพศพตรงหน้า เป็นศพชายวัยฉกรรจ์ ผิวขาว รูปร่างผอม สูงประมาณ 170 ซม. ผมสั้นเกรียนสีดำ มีรอยสักรูปมังกรบริเวณต้นแขนขวา สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำตาลเข้ม กางเกงยีนขายาวสีน้ำเงิน อยู่ในท่านอนตะแคงขวา ศีรษะคาอยู่บนต้นขาข้างซ้ายของศพหญิงสาว ซึ่งมีผิวสีขาวเหลือง รูปร่างสมส่วน ผมยาวถึงกลางหลัง สวมเสื้อแขนตุ๊กตาสีครีม กระโปรงผ้าฝ้ายยาวถึงเข่า แต่ถลกขึ้นมาจนเห็นต้นขาข้างซ้าย อยู่ในท่านอนหงาย คราบเลือดแห้งกรังประปรายอยู่ทั่วตัวผู้ตายทั้งสอง เศษใบไม้แห้งรอบบริเวณ และโคนต้นไทรกึ่งกลางที่เกิดเหตุมีคราบเลือดเกาะติดเป็นหย่อม

บาดแผลที่พบมีเพียงรอยกระสุนปืน ที่ศพหญิงสามนัด บริเวณลำคอ ลิ้นปี่ และต้นแขนซ้าย พบรูเข้าสามรู รูออกเพียงสองรู สันนิษฐานว่ามีกระสุนปืนฝังในหนึ่งนัด ฝ่ายชาย พบทางเข้ากระสุนที่ขมับซ้ายเป็นวงใหญ่ และทางออกที่ขมับขวา เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากการยิงตัวตายในระยะประชิด หลังจากฝ่ายชายยิงฝ่ายหญิงจนเสียชีวิตแล้วฆ่าตัวตายตาม ระยะเวลาการตายประเมินจากการแข็งทั้งตัวของศพทั้งสอง และร่องรอยการตกสู่เบื้องต่ำที่หลังของโลหิต ประมาณว่าเสียชีวิตมาแล้วภายใน 8-12 ชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติมจากตำรวจ ที่ได้สำรวจสถานที่เกิดเหตุกันคร่าวๆรอบบริเวณที่ศพนอนอยู่ ก่อนที่ทีมแพทย์นิติเวชจะมาถึง รายงานว่าพบกระสุนปืนตกอยู่ที่เศษใบไม้แห้งสามกระสุน ตรงกับการชันสูตรของแพทย์ที่น่าจะมีกระสุนฝังในหนึ่งกระสุน

พลอยกุมภาพลิกศพตรวจไปเรื่อยๆ พร้อมกับบอกรายละเอียดของศพให้วัตรกรอกลงใบชันสูตร ทั้งสามระวังความปลอดภัยให้กับตัวเองและป้องกันการบิดเบือนของวัตถุพยานพร้อมสรรพด้วยการใส่ทั้งถุงมือยาง และสวมถุงพลาสติกไว้ที่เท้าทั้งสองข้าง เมื่อสำรวจจนเป็นที่พอใจว่าเก็บรายละเอียดได้ครบเม็ดแล้ว พลอยกุมภาก็เงยหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืนทรงตัวช้าๆ ผู้กำกับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรอคำตอบอยู่แล้ว นัยน์ตาดำขลับของหญิงสาวมีเพลิงวูบไหวขึ้นมาในเสี้ยววินาทีหนึ่ง กำลังจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยั้งไว้ทัน เปลี่ยนความตั้งใจเป็นถามออกไปว่า

“ไม่ทราบว่า..ผู้กำกับได้หลักฐานอะไรนอกเหนือจากลูกกระสุนสามนัดกับปืนลูกโม่หนึ่งกระบอกอีกหรือเปล่าคะ”

ตำรวจผู้ใหญ่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขาล้วงซองจดหมายจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาฉบับหนึ่งแล้วยื่นให้หญิงสาว

“ญาติผู้ตาย...ฝ่ายชาย พบจดหมายลาตายวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ในห้องนอนของเขา” ผู้กำกับเอ่ยแบบไม่มีแววเครียดในน้ำเสียง..สีหน้าของเขาบอกชัด..คดีนี้ปิดไม่ยาก!

“หรือคะ...แปลก” คำหลังหญิงสาวเอ่ยเพียงแผ่วเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า ตำรวจวัยกลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“มีอะไรหรือคุณหมอ”

“อ๋อ..ปะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” พลอยกุมภาบอกปัดแล้วรับจดหมายมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว เนื้อความในนั้นบอกถึงความอัดอั้นของฝ่ายชาย ว่าได้เสียอยู่กินกับฝ่ายหญิงมาหลายปี รู้ดีว่าคบกันแบบปิดบังญาติมิตร แต่ฝ่ายชายก็รักฝ่ายหญิงมาก รับไม่ได้ที่เธอนอกใจไปมีชู้กับศัตรูหมายเลขหนึ่งของตน จึงขอโทษญาติที่ใกล้ชิดทุกคน และรวมไปถึงญาติฝ่ายหญิงที่เขาจำเป็นต้องทำเพราะทนรับสภาพตัวเองไม่ได้..ไม่อยากถูกเมียที่รักสุดหัวใจสวมเขาให้

ถึงแม้มูลเหตุจะดูธรรมดาและเกลื่อนกลาดตามข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มานมนาน แต่ตำรวจผู้ใหญ่กลับเอ่ยขึ้นมาเป็นการตัดบท และสรุปเรื่องราวแบบขอไปที

“คุณหมอคงเห็นตรงกันว่าเป็นคดีผัวฆ่าเมีย แล้วก็ฆ่าตัวตายตาม หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เราคงไม่ต้องสืบค้นอะไรให้วุ่น”

“แต่ดิฉันคิดว่า..” พลอยกุมภากำลังจะแย้ง แต่ก็ไม่ทันเสียงดังแสดงอำนาจข่มอยู่ในทีของเขา เหมือนต้องการบอกเธอกลายๆว่าทำหน้าที่ของตัวเองแค่นั้นพอ อย่ามาแย่งซีนตำรวจ

“คุณหมอชันสูตรแล้วมีอะไรนอกเหนือจากข่ายที่ผมคิดไว้หรือเปล่าครับ”

หญิงสาวจึงได้แต่ตอบสั้นๆ อย่างพยายามควบคุมอารมณ์มากที่สุด

“บาดแผลกระสุนปืนทั้งหมดสี่นัด ฝังในหนึ่งนัด”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย ญาติคนใดติดใจจะส่งศพไปผ่าชันสูตรเพิ่มเติมไหมครับ” เขาไพล่ถามไปถึงญาติหลายคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล

ตกลงกันเองอยู่พักใหญ่ ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งก็เดินก้าวออกมา หลายคนเดาว่าคงเป็นตัวแทนของคำตอบที่ตำรวจต้องการ

“พวกเราไม่ติดใจอะไรแล้วครับ...สองคนนี้เขามีพิรุธมานาน สองสามวันก่อนนทีเขาก็..เอ่อ ผมหมายถึงศพผู้ชายน่ะครับ ท่าทางซึมเศร้า เก็บตัว เมื่อวานเขาก็หายไปทั้งวัน เจอกันอีกทีก็เป็นอย่างที่คุณตำรวจเห็นนี่แหละครับ” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเจือความเศร้าอยู่ไม่น้อย แววตาอาลัยอาวรณ์เหลือบมองไปยังศพทั้งสองก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ

“ถ้าอย่างนั้น..คุณหมอ..มีอะไรจะแย้ง..เอ่อ เสนออีกไหมครับ” ท่าทางของตำรวจวัยกลางบ่งบอกว่างานนี้สบายหมู แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะสืบค้นอะไรต่อให้ชีวิตยุ่งยากเกินความจำเป็น พลอยกุมภาไม่สบอารมณ์อยู่มาก ที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่างเขาทำเหมือนจะปัดความรับผิดชอบไปง่ายๆ เอาสบายใส่ตัวโดยไม่ทำหน้าที่ของตนให้เต็มความสามารถ แต่เธอจะทำอะไรได้เล่า..ในเมื่อรู้ดีถึงระบบในประเทศ การชันสูตรพลิกศพในไทยใช้ระบบตำรวจ ให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ประสานงานกับแพทย์ จะพูดกันตรงๆก็คือต้องได้รับคำสั่ง และความคิดเห็นจากตำรวจเสียเป็นแกนหลัก ในการที่จะชันสูตร หรือจะผ่าศพอะไร ก็ต้องได้รับการสั่งการลงมาอีกที ไม่เหมือนอเมริกาที่ใช้ระบบโคโรเนอร์ หรือระบบศาล ยิ่งไปกว่านั้นที่หญิงสาวต้องการให้เป็นอย่างในอังกฤษ ใช้ระบบแพทย์สอบสวนที่ ทำให้แพทย์อย่างเธอได้มีสิทธิ์มีเสียง และมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่...

“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ หมดหน้าที่ดิฉันแล้วใช่ไหมคะ” พลอยกุมภาเอ่ยเสียงเรียบ ทำไมท่านผู้นั้นจะไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ด้วยอำนาจในการตัดสินใจที่มีมากกว่าหลายเท่าตัว เขาจึงไม่ยี่หระต่อปฏิกิริยาของใครทั้งสิ้น

“ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันในวันนี้ โดยเฉพาะคุณหมอพลอย..ผมขออนุญาตเรียกอย่างนี้นะครับ จะได้เป็นกันเองมากขึ้น” นายตำรวจใหญ่ว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำให้หญิงสาวยิ่งไม่ชอบใจท่านผู้นี้ขึ้นไปอีก อยากจะซัดหมัดลุ่นๆให้เป็นรางวัลสักตั้ง แต่ด้วยมารยาทก็เอ่ยไปเพียง

“ตามสะดวกเถอะค่ะ ไม่มีอะไรแล้วคงต้องขอตัว” พลอยกุมภาถอดถุงมือถุงเท้าแล้วโยนลงถุงพลาสติกที่สองลูกน้องเตรียมรอรับอยู่แล้ว หญิงสาวเหนื่อยเต็มที เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่ทำเอาทรุดได้ง่ายๆ อยากรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เป็นไปได้เธออยากย้ายงานเลยเสียด้วยซ้ำ “ไป..วัตร..ชาย เรากลับกันได้แล้ว หมดหน้าที่”

คุณหมอสาวให้เกียรติเพื่อนร่วมงานเสมอ จะเปลี่ยนสรรพนามเป็นไอ้ หรือ แก เมื่ออยู่กันตามลำพัง เพื่อความคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เธอถือว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติและหวงแหนศักดิ์ศรีของตนไม่แพ้กัน

“นี่ครับนาย...ศพคุณนกยูง ทางนี้ครับ” เสียงโหวกเหวกฝ่าความเงียบ และสถานการณ์ที่ทำท่าจะเรียบร้อยพับใส่กล่องไปได้ในค่ำคืนนี้ พลอยกุมภาชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองหาที่มาของเสียง ชายชราในชุดชาวเลเดินแหวกผู้คนในความมืด เชื้อเชิญให้ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวตามมาดูสถานที่เกิดเหตุ น่าแปลกที่หลายคนรีบเปิดทางให้เขาอย่างนอบน้อม ท่าทีมีความเคารพนับถืออยู่ไม่น้อยราวกับเป็นคนสำคัญของสถานที่แห่งนี้

“นายคงไม่เชื่อที่ผมพูด ผมเลยต้องพามาดูให้เห็นกับตา ไอ้นทีมันเลวชาติขนาดหนัก มันฆ่าคุณนกยูง ..มัน..มันทำได้ลงคอ..โธ่คุณนกยูง ไม่น่าเลย” เสียงห้าวในตอนแรกกลับกลายเป็นแหบพร่าลง ชายผมหงอกทรุดลงแทบเท้าศพผู้หญิงหน้าตามีเค้าว่าคงสวยไม่น้อยคนนั้น ทำท่าจะเป็นลมล้มพับเสียให้ได้

ไฟตะเกียงฉายให้เห็นร่างสูงในความสลัวเรืองยืนนิ่ง ดวงหน้าเข้มขรึมก้มลงมองภาพศพเบื้องหน้าอย่างปราศจากอารมณ์ใดๆ หรือท่าจะมีใครสังเกตไปมากกว่านั้น คงเห็นเงาวูบไหวในดวงตาเพียงนิดเดียว เขานิ่งงันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายลมหายใจเข้าออก ทุกคนในที่นั้น เบนความสนใจไปที่ชายหนุ่มแต่เพียงผู้เดียว เหมือนรอคำตอบ หรือคำบอกกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งจากปากของเขา...พลอยกุมภานึกในใจว่าเขาคงเป็นคนสำคัญทีเดียว อย่างน้อยก็มากกว่าเธอ

“ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น..” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด น้ำเสียงเรียบนิ่งดุจน้ำใสไม่กระเพื่อม

หญิงสาวไม่เข้าใจคนอย่างเขาเลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มเป็นคนไร้หัวใจหรืออย่างไร..และเธอก็แทบช็อคเมื่อประโยคถัดมาของเขายิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นในความรู้สึกของเธอ

“ธรรมดาโลก.”



พลอยกุมภากลับถึงบ้านพักริมหาดส่วนตัวประมาณตีสี่ ดึกจนแทบเช้าขนาดนี้แล้วเธอยังไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย นอนเหยียดขาบรรเทาความเมื่อยขบอยู่บนเตียงที่แม่บ้านจัดฟูกปูที่นอนเป็นผ้าขาวสะอาดไว้ให้อย่างเรียบร้อย ความเย็นเฉียบของอากาศภายในห้องทำให้เธอต้องลุกขึ้นไปปิดสวิทซ์เครื่องปรับอากาศชั้นดี ก่อนจะเดินไปหมุนบานเกล็ดหน้าต่างพอให้ลมธรรมชาติผ่านเข้ามาโดยไม่ลังเล ม่านสีขาวปล่อยชายไหวตามแรงลมเล็กน้อย กระไอเย็นยามนี้เย็นสบายกว่าตอนอยู่ในป่าลึกลับนั่นมาก เสียงคลื่นซัดกระทบฝั่งเพียงแว่วหู ไม่รุนแรงเหมือนทะเลในอ่าวพฤกษาที่มีแต่ความน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้ไปเยือน หญิงสาวยืนมองลอดหน้าต่างออกไปด้วยแววตาเลื่อนลอย ภาพความเย็นชาของชายผู้นั้นยังคงติดตา แล้วก็ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของเธอยิ่งนัก คิ้วสีน้ำตาลอ่อนเรียวขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด...ให้ตายเถิด ไม่เคยเจอใครในโลกเย็นชืด แล้วก็ไร้อารมณ์ได้ขนาดนั้น

“คนไม่มีหัวใจหรือไงนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง มนุษย์ทุกคนควรมีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ควรรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เธอเรียนรู้มาแบบนั้นตั้งแต่ยังจำความได้ ...เห็นใครเดือดร้อนไม่ได้ เธอต้องยื่นมือเข้าไปช่วย หรือเรียกร้องความยุติธรรมให้ทุกรายไป หากไม่เกินวิสัย และอยู่ในบทบาทหน้าที่ของตน แต่นี่อะไร...ญาติตัวเองแท้ๆยังเฉยเมยได้ลงคอ

“เฮ้อ..ช่างเขาปะไรสิ ไม่ใช่เรื่องของตัวสักหน่อย” เมื่อรู้สึกว่าตัวเองชักจะอินกับเรื่องชาวบ้านเขามากไปแล้ว พลอยกุมภาจึงรีบสะบัดความนึกคิดนั้นทิ้ง เดินลากเท้ากลับไปนอนก่ายหน้าผากที่เตียงดังเดิม

ความคิดเรื่องคนอื่นเลือนหายไปทีละน้อย ความยุ่งยากใจกับเรื่องส่วนตัวลอยเข้ามาแทนที่ หญิงสาวจำได้ว่าตัวเองเกิดเมืองไทย แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบ้านเกิดของตัวเองมายาวนานถึงยี่สิบสามปี เรียนจบแพทย์พอดิบพอดีในปีสุดท้าย ครอบครัวเธอเป็นครอบครัวพ่อค้าใหญ่ กิจการค้าเพชรและพลอยของบิดาเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ทว่าผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองกลับไม่พอใจในความั่งคั่งของตน เมื่อมีญาติห่างๆจากลาสเวกัสมาเยี่ยมเยียนและชี้ช่องทางในการค้าอัญมณีที่อเมริกา และได้รู้ว่ากิจการของครอบครัวจะก้าวไปได้ไกลมากขึ้นอย่างแน่นอน บิดาของเธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากกิจการใหญ่ตามคำแนะนำของญาติผู้นั้น เดือดร้อนถึงลูกสยามที่รักประเทศสุดใจอย่างเธอ ต้องอพยพตามไปยังที่อยู่ใหม่ในลาสเวกัสของบิดามารดา และที่นั่นเองที่เธอเลือกเรียนต่อเฉพาะทางในสาขานิติเวชศาสตร์ จนจบการศึกษาเสียที่นั่น หญิงสาวมีพี่ชายอยู่คนเดียว และพี่ชายของเธอก็ชอบงานท้าทายไม่ต่างไปจากเธอเลย และในเมื่อเป็นชายชาตรีหน้าตาหล่อเหลา กำยำล่ำสันขนาดนั้นจึงหนีไม่พ้นอาชีพที่เธอชื่นชมอยู่ไม่น้อย แต่ต้องต่อท้ายว่าในต่างประเทศนะ...ใช่ พี่ชายสุดที่รักเรียนเป็นตำรวจ แล้วก็ใจกล้าพอจะหนีบิดามารดากลับมาทำงานที่เมืองไทยทันทีที่เรียนจบ สร้างความไม่พอใจให้พ่อค้าเพชรเป็นอย่างมาก เหตุผลที่พี่ชายหนีมาทำงานที่บ้านเกิด แทนที่จะเข้าร่วมกับหน่วยซีเอสไอในอเมริกา ก็เพราะต้องการกลับมาพัฒนาระบบของประเทศ พี่ชายเธอเป็นคนหัวก้าวหน้า และเป็นนักพัฒนาตัวยง สาเหตุที่ทำให้เธอต้องมานั่งทบทวน และปวดหัวกับความผิดของตัวเองในครั้งนี้ก็คือ การหนีกลับมาทำงานที่นี่...เพื่อหวังจะเป็นนักพัฒนาที่กล้าแหวกประเพณีเก่าๆดูบ้าง

...แต่ดูท่าจากงานวันแรกของเธอ...คงจะจัดการยากเข้าขั้นรุนแรง!

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะโคมไฟดังขึ้นข้างเตียง พลอยกุมภาเกือบจะเคลิ้มหลับไปพร้อมกับความฟุ้งซ่านวกวนของตัวเองเสียแล้ว หากเพื่อนสนิทตัวดีไม่ส่งเสียงรบกวนมาตามสาย

“โทร.มาทำไมดึกดื่นเนี่ยพัฒน์ ฉันกำลังจะนอนพอดีเลย” หญิงสาวต่อว่า

“อะไรยัยขี้เซา...กลับมาทั้งทีแทนที่จะอยากคุยกับเพื่อนเก่าให้หายคิดถึง” พิพัฒน์ย้อนทีเล่นทีจริง น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูสดชื่นเหมือนตื่นนอนตั้งนานแล้ว

“โอย..ก็แกคุยกับฉันไปแล้วนี่ตอนอยู่บนเครื่องน่ะ ถ้าจะเลี้ยงรับล่ะก็นะ พรุ่งนี้เช้าถึงเย็นฉันไฟเขียวตลอด แกรีบบึ่งจากกรุงเทพฯ มารับฉันไปกินภัตตาคารหรูๆได้เลย”

“โห แกนี่เห็นแก่กินไม่เปลี่ยนเลยนะ เออน่ะ..ฉันไปแน่ ว่าแต่วันนี้งานเข้าไม่ใช่เหรอ เป็นไงสนุกมั้ยงานที่นี่” พลอยกุมภาอยากจะตะโกนออกไปดังๆให้แก้วหูคนฟังแตกเสียเหลือเกิน ว่ายังมีน่ามาถามกันได้...

“หนุกกับผีสิแก...” หญิงสาวมีเรื่องที่อยากระบายกับเพื่อนซี้มากมาย และเธอก็แน่ใจว่าจิตแพทย์คนเก่งอย่างพิพัฒน์ต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ชั้นดีให้เธอได้เสมอ

ปลายสายรอฟังการปลดปล่อยอยู่นานทีเดียว..คงเป็นเพราะพลอยกุมภาเรียบเรียงไม่ถูกว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน มาอีหรอบนี้เพื่อนหนุ่มเดาได้ทันทีว่างานของหญิงสาวเข้าเค้าว่าไม่น่าจะอภิรมย์เท่าใดนัก

“เจอดีเข้าหรือไงครับเพื่อน” คำถามนั้นเป็นตัวจุดชนวนให้สิ่งที่พลอยกุมภาอยากซ่อนมันไว้ลึกสุดใจ ฉายวาบเข้ามาอีกครั้งในความคิด...ความเย็นเยียบของสถานที่..และคนที่นั่นยังตรึงอยู่ไม่จาง

“ใช่...” น้ำเสียงบอกบุญไม่รับ ก่อนจะเน้นย้ำเสียงเครียด “เจอผีไม่มีหัวใจ!”







ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2555, 07:48:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2555, 07:48:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1206





   บทที่ ๒ อิสซาเบล มอร์แกน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account