มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 4 (ครบ 100% แล้วค่ะ)

รบกวนอ่านตั้งแต่ต้นอีกครั้งนะคะ เพราะมีแก้ไขดัดแปลงและเพิ่มเติมด้วยค่ะ
อ่านแล้วขอคอมเม้นต์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

ตอนที่ 4



วิวตึกรามบ้านช่องที่ใหญ่โตและสวยงาม ซึ่งสะท้อนความเจริญของสังคมเมืองกรุงนั้นไม่สามารถดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มเจ้าของห้องทำงาน ‘ประธานกรรมการ’ ของธนาคารพัฒนทรัพย์ได้เลย ภัทร์พัฒนภิรมย์ ชายหนุ่มในวัย 35 ปี นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานกว่าสิบนาทีแล้ว ชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาซึ่งเป็นที่ดึงดูดใจทั้งของเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม เพราะมีโครงหน้าที่ได้สัดส่วน คิ้วเรียวเข้มที่ตัดกับสีผิวที่ค่อนข้างขาว แม้ว่าชายหนุ่มจะคล้ำขึ้นบ้างจากการเล่นกีฬากลางแจ้งแล้วก็ตาม ริมฝีปากหยักหนาและจมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกัน และที่เด่นที่สุดบนเครื่องหน้าที่สามารถดึงดูดเสน่ห์จากสาวแท้และเทียมได้ก็เห็นจะเป็นดวงตาที่ไหวระริก ดูเซ็กซี่ โดยเฉพาะเวลาที่เจ้าของต้องการจะโปรยเสน่ห์ใส่เหยื่อที่ได้พบ และในเวลาเดียวกันเมื่อเหยื่อเผลอไปสบตาเข้าดวงตาคู่นั้นก็ดูเว้าวอนน่าหลงใหล สาว ๆ หลายต่อหลายคนจึงตกหลุมพรางของมนต์เสน่ห์ที่มีพลังน่าค้นหาจนถอนตัวไม่ขึ้นมานักต่อนักแล้ว แต่ในวันนี้ชายหนุ่มที่ทรงเสน่ห์ทั้งจากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา และจากการแต่งกายที่ดูดีมีรสนิยมเหมาะสมกับฐานะเจ้าของธนาคารใหญ่ กลับมีหน้าตาที่เคร่งเครียดเหมือนคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่แก้ไม่ตก ชายหนุ่มนั่งขบกรามจนเป็นรอยนูนอย่างคนที่กำลังใช้ความคิดในเรื่องสำคัญ ดวงตาคู่เดิมมองออกไปไกลไร้จุดหมายนั้นดูหม่นหมองราวกับคนที่อยู่ในห้วงของความทุกข์.....ทุกข์ที่เขาเป็นคนก่อขึ้นเอง แต่ผลของมันทำให้คนที่เขารักต้องมาเจ็บปวดกับการกระทำของเขาไปด้วย

ภาพของภรรยาสาวและสวย ที่นอนหลับคุดคู้อยู่บนโซฟาในห้องนอนลูกชายทั้งสองเมื่อคืนนั้น ยังคงติดตาตรึงใจเขาอยู่ ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าพริมาคงนอนร้องไห้จนหลับไปอีกหนึ่งคืน คราบน้ำตาบนหมอนอิงเป็นเครื่องยืนยันความคิดของเขาได้ นับตั้งแต่วันที่เธอได้รับรู้ความจริงที่โหดร้ายซึ่งก็ผ่านมาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว พริมาก็ย้ายตัวเองไปนอนกับลูก ๆ และทุกคืนหลังลูกหลับแล้วเธอก็คงนั่งร้องไห้คนเดียวและเดียวดาว เธอไม่ได้ต่อว่าเขาเลย เธอไม่พูดไม่ด่าทอไม่โวยวายตีโพยตีพาย พริมายังคงเป็นพริมาคนเดิม เธอเพียงถามเขาทั้งน้ำตาว่า

‘ปริมทำอะไรผิดคะ ทำไมพี่โป๊ปถึงทำกับปริมกับลูกแบบนี้’

นั่นสิ ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ภัทร์เองก็บอกไม่ได้ จะเป็นเพราะความสวยหรือความสาวกว่าของผู้หญิงอีกคน หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ค่อย ๆ ก่อตัว หรือเพราะความเอาใจใส่ที่คนใหม่มีให้มากกว่า ภัทร์เองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขาสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็มีความเป็นลูกผู้ชายพอ เมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบ ปัญหาของธนาคารที่ว่ายาก ๆ ยังไม่เท่าปัญหาหนักอกข้อนี้ ข้อที่เขาเป็นคนตั้งโจทย์ขึ้นมาเอง แต่ก็ยังหาคำเฉลยให้ตัวเองไม่ได้

เขาเองก็รู้สึกผิด รู้สึกเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ คนที่เขาเลือกมาเป็นคู่ชีวิต เลือกมาเป็นแม่ของลูกต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ เขามั่นใจว่าเลือกพริมามาเป็นคู่ชีวิตเพราะความรัก และในวันนี้เขาก็ยังรักเธอ เมื่อได้มาเห็นพริมาที่แอบนั่งร้องไห้ในกลางดึกของคืนแรกที่ได้รู้เรื่องนั้น เขาก็ยิ่งสงสารเธอ เธอไม่ยอมร้องไห้ให้ใครเห็น เธอนั่งร้องไห้จนตัวโยนเพราะพยายามข่มเสียงไม่ให้ดัง เพราะกลัวลูกจะตื่นมาเห็น เขาได้แต่แอบยืนมองด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน เพราะความที่ต้องรับผิดชอบคนใหม่ เขาจึงเป็นผู้ทำร้ายคนเก่า ภัทร์ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นสองมือแกร่งคู่เดิม....คู่เดียวกับที่เคยใช้ตระกองกอดเธอมาแล้ว เข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่ในความมืด หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา เพราะครั้งนี้สองมือของเขาไม่ได้สะอาดเหมือนที่ผ่าน ๆ มา มันมีมลทินเสียแล้ว เขาผิดและเขาก็ยอมรับ เขาจึงยอมให้เธอเป็นคนตัดสินใจ และเขาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของเธอ....พริมาขอแยกทางกับเขา เธอขอจบชีวิตคู่ของเราสองคน พริมาบอกกับเขาเมื่อวานทางโทรศัพท์ว่า

‘ปริมขอย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดโดยจะพาลูก ๆ ไปด้วย และทุกสุดสัปดาห์พี่โป๊ปก็สามารถไปรับลูกกลับมาค้างที่บ้านได้ ปริมขอเวลาขยับขยายสักพัก เพราะที่คอนโดมีอะไรต้องปรับปรุงอีกเยอะ แต่ปริมก็จะเร่งช่างให้ทำให้เร็วที่สุด พอทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวแล้ว ปริมจะไปจดทะเบียนหย่าให้ ปริมไม่ขออะไร ไม่ต้องการอะไร ปริมขอแค่ลูก ๆ ต้องอยู่กับปริม ปริมไม่ได้พรากลูกไปจากพี่เพราะปริมไม่เคยคิดจะแยกลูกออกจากพ่อ แต่ปริมขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก ๆ ปริมขอแค่นี้หวังว่าพี่โป๊ปจะให้ปริมได้’ ภัทร์รู้ดีว่าระหว่างที่สนทนากันนั้นภรรยาของเขาต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมา หญิงสาวจบบทสนทนาที่สั้นและกระชับอย่างรวบรัดว่า

‘ต่อจากนี้ไปเรายังคงเป็นพ่อและแม่ของลูก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับลูก ปริมจะให้พี่โป๊ปได้รับรู้ในทุกเรื่อง พี่โป๊ปจะมีสิทธิ์ได้ช่วยตัดสินใจและเฝ้าดูพวกแกเติบโตไปพร้อม ๆ กันกับปริม พี่โป๊ปยังเป็นพ่อของพวกแกเสมอ สิ่งที่เกิดขึ้น......จะเปลี่ยนแปลงแค่เราสองคน และมันจะต้องไม่ส่งผลถึงลูกมากไปกว่านี้ สุดท้ายนี้ปริมขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่โป๊ปได้ทำให้ปริมตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และปริม.......ขออโหสิให้พี่โป๊ปด้วยค่ะ เรื่องของเราจบกันแค่นี้ ต่อจากนี้ไปเราจะช่วยกันเลี้ยงลูก ๆ และดูแลให้พวกแกเติบโตขึ้นมาอย่างดีที่สุด ปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ให้มันผ่านไป แต่อย่าให้มันเกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก ปริมเจ็บแค่ไหนปริมทนได้ แต่ถ้าลูกต้องเจ็บ ปริมคงทนไม่ได้’

ภัทร์ถอนหายใจก่อนที่จะหลับตาลง ชายหนุ่มนั่งเอนหลังไปกับพนักพิงของเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง เขาเป็นพ่อที่แย่มาก เป็นสามีที่เลว เขาเป็นคนทำครอบครัวของตนเองพังทลายอย่างยับเยิน

‘ทำไม! ทำไม! ทำไมเขาถึงไม่รู้จักคิดก่อนทำ ทำไมถึงปล่อยให้ปัญหามันเลยเถิดจนแก้ไม่ได้แบบนี้ โธ่โว้ย!’ ชายหนุ่มได้แต่สบถอยู่ในใจ และค่อย ๆ หลับตาลงอย่างอ่อนล้า

‘เขาคงบ้าไปแล้ว’ คงเป็นอย่างที่ภัทราน้องสาวของเขาที่ไปดูงาน ‘แฟชั่นวีค’ ในยุโรปโทรศัพท์มาต่อว่าเขาจากอีกฟากหนึ่งของโลกทันทีที่รู้เรื่อง

‘พี่โป๊ปบ้าไปแล้วเหรอ!!! พี่ทำเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย!!! พี่เป็นพ่อคนแล้วนะ ทำไมไม่รู้จักคิด ทำไมไม่แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรควร ที่สำคัญ.....พี่ทำร้ายเพื่อนรักของปั๊ปนะ ทำร้ายแม่ของลูกพี่ด้วย ถ้าอยู่ใกล้ ๆ นะ ปั๊ปจะจัดการให้น่วมเลย บ้าชะมัด!!! อายุอานามก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ ทำไปได้ยังไง ไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลัง เป็นไงล่ะกับผลที่ตามมาน่ะ โอ้ย! อยากจะบ้าตาย แล้วนี่พ่อกะแม่ว่าไงบ้าง’ ภัทราใส่เป็นชุดอย่างไม่ยั้ง หญิงสาวคงต้องการพักเหนื่อยจากการตะเบ็งเสียงใส่เขาในยกแรก เลยถามถึงบิดามารดาแทน และเมื่อเขาตอบไปว่า

‘พวกท่านก็ให้พี่กะปริมคุยกันเอง เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว’ ภัทร์บอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ อย่างคนท้อแท้

‘เฮ้อ! แล้วคราวนี้พี่โป๊ปจะทำยังไง ปริมมันคงไม่ยอมหรอก ใครจะทำใจไปยอมรับได้ เรื่องแบบนี้สำหรับผู้หญิงเราน่ะ เป็นเรื่องใหญ่เชียวละ โดนคนรักหักหลังและทรยศแบบนี้’ ภัทราพูดโดยไม่คิดจะถนอมน้ำใจคนฟังแม้แต่น้อย และมันก็ได้ผลชะงักนัก เพราะพี่ชายคนก่อเรื่องถึงกับสะอึกเมื่อโดนตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ

‘นี่พี่คิดจะจริงจังกับเขาเหรอ ถึงปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้น่ะ คาสโนว่าสิ้นลายก็ทีนี้ล่ะ หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ เลยนะพี่โป๊ป เวรกรรมอะไรของปริมมันนี่ กว่าจะได้เป็นแฟนกัน กว่าจะรักกันลงตัวได้ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ แถมไอ้ความเจ้าชู้ของพี่น่ะจะทำให้เลิกรากันตั้งกี่ครั้งเข้าไปแล้ว นึกว่าแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวจนมีลูกตั้งสองหน่อเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนนิสัยคนเราได้ เปล่าเลย เวรกรรมของปริมมันจริง ๆ’ ภัทรายังคงต่อว่าและบ่นยืดยาวซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ ภัทร์เลยต้องตัดบทเพราะยิ่งปล่อยให้น้องสาวพูด มันก็ยิ่งเข้าตัวเขา

‘พี่ก็เลยว่าจะให้ปั๊ปลองพูดกับปริมให้หน่อย เผื่อปริมจะยอมฟังปั๊ปบ้าง’

‘โอ้ย! ปั๊ปไม่เอาด้วยหรอก ปั๊ปน่ะอยู่ข้างปริมนะพี่ ยิ่งเรื่องแบบนี้ด้วย ปั๊ปจะไปพูดอะไรกับมันได้ ถึงปั๊ปจะเคยเตือนมันเรื่องความเจ้าชู้ของพี่ไว้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ตาม ฮึ! ผิดคำพูดซะที่ไหนละ เป็นตายร้ายดียังไงปั๊ปก็ไม่พูดให้พี่หรอกนะ เรียนผูกได้ก็ต้องเรียนแก้เองสิ ยิ่งพี่โป๊ปเป็นฝ่ายผิดอยู่เห็น ๆ ปั๊ปคงช่วยอะไรไม่ได้หรอก แล้วนี่ปริมมันว่าไงบ้างล่ะพี่โป๊ป’ ภัทราเป็นห่วงเพื่อนซี้ที่อยู่ในฐานะพี่สะใภ้อีกหนึ่งตำแหน่ง

‘ปริมยังไม่ยอมคุยกับพี่เลย พี่ถึงจะให้ปั๊ปช่วยยังไงล่ะ แค่บอกให้ปริมเขาคุยกับพี่หน่อย จะต่อว่าจะด่า จะเอายังไงก็ได้ ขอแค่ให้ปริมพูดออกมา นี่ปริมเล่นปิดปากเงียบ หน้าพี่เขาก็ไม่ยอมมอง ดีหน่อยถ้าอยู่ต่อหน้าลูกก็ยังยอมพูดด้วยบ้าง แต่ก็ถามคำตอบคำหรอกนะ เฮ้อ! พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว จนปัญญาจริง ๆ คราวนี้’ ภัทร์สารภาพอย่างหมดหวัง

‘สมน้ำหน้า!!!’ ภัทราซ้ำเติมพี่ชายอย่างไม่สงสารหรือเห็นใจแต่อย่างใด ดีที่ยังมีมารยาทและสามัญสำนึกอยู่บ้าง เลยละข้อความต่อมาไว้ในใจแทน ‘อยากแส่หาเรื่องดีนักนี่นา’

‘ทีก่อนทำละไม่คิดให้ดี แล้วนังนั่นมันมีอะไรดีนักหนา สู้ปริมไม่ได้สักอย่าง พี่โป๊ปนะพี่โป๊ป เดี๋ยวคงโดนไม่ท่านผู้ว่าฯ ก็คุณหมอเปรมมาดักยิงหัวเข้าหรอก ไปทำลูกสาวทำน้องสาวเขาเสียใจขนาดนั้น เคยรับปากอะไรไว้ในวันแต่งงานน่ะ จำได้บ้างไหมฮะ เฮ้อ! เวรกรรมจริง ๆ เล้ย พลอยทำให้น้องนุ่งลำบากไปด้วย แล้วต่อไปปั๊ปจะไปเข้าหน้าพวกท่านติดได้ยังไง เดี๋ยวคุณอาบุรินทร์คงมารับทั้งเมียพี่ทั้งลูกพี่ให้ย้ายไปอยู่ที่ประจวบฯด้วยกันหรอก เอ....หรือว่าคุณภัทร์ พัฒนภิรมย์ จะดีใจดีละคะที่เมียไม่อยู่ ลูกก็ไม่มี ตัวเองก็จะได้ย้ายไปอยู่กับนังนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย ไม่ต้องเกรงใจใครอีกต่อไป จะทำอะไรก็ไม่มีก้าง...’ ภัทรากระแหนะกระแหนอย่างไม่เกรงใจ

‘ปั๊ป!!!’ ภัทร์ชักโกรธเมื่อน้องสาวเริ่มก้าวล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว จึงโพล่งตัดบทด้วยน้ำเสียงที่คนฟังรู้ดีว่าถึงเวลาต้องหยุดเสียที

‘ขอโทษค่ะ’ ภัทราตอบเสียงอ่อย ๆ เมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรหรอกไป อย่างไรเสียคนปลายทางก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ อย่างไรเธอก็ต้องเคารพนับถือและเกรงใจบ้าง

‘ปั๊ปไม่ได้ตั้งใจจะลามปามพี่โป๊ป แต่อารมณ์โกรธแทนปริมมันพาไป ปั๊ปสงสารปริมน่ะค่ะ เรื่องมันใหญ่โตถึงขนาดนี้แล้ว นี่ก็ไม่รู้ว่าปริมได้ปรึกษาหรือพูดคุยกับใครแล้วบ้าง อีกตั้งหลายวันกว่าปั๊ปจะได้กลับ เดฟเองก็ยังไม่เสร็จธุระทางนี้ ไม่รู้ว่าต้องเลื่อนตั๋วหรือเปล่าเลย เอาเป็นว่าปั๊ปจะลองคุยกับปริมดูแล้วกันนะคะว่าปริมเขาจะเอายังไงต่อไป อุ้ย! แค่นี้ก่อนนะพี่โป๊ป เดฟกลับมาแล้ว ปั๊ปต้องลงไปรับเขาก่อน แล้วถ้าปั๊ปติดต่อปริมได้เมื่อไร ปั๊ปจะรีบโทรมาบอกพี่แล้วกันนะ แค่นี้นะคะ’ ภัทรารีบกล่าวลา

‘อือ ไปเถอะ ยังไงพี่ก็ขอบใจปั๊ปมากนะ พี่คงต้องฝากความหวังไว้กับปั๊ปแล้วล่ะ’ ภัทร์พูดจากใจจริง

‘ไม่รับฝากค่ะ!!!’ ภัทราวางหูโทรศัพท์ใส่พี่ชายทันที

************************



ภัทร์ถอนหายใจอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วชายหนุ่มเองก็จำไม่ได้ เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พลันสายตาก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่รูปแต่งงานที่เป็นหนึ่งใน 3 รูปที่อยู่ในกรอบเดียวกัน....รูปซ้ายสุดเป็นรูปของ ด.ช. ภัทรดนัย ลูกชายคนโตของเขา เด็กชายตัวน้อยยิ้มร่าในท่านั่ง หลังพิงเข้ามุมอยู่บนโซฟาหรูของบ้าน เขาถ่ายรูปนี้ในวันที่ลูกชายครบ 1 ขวบพอดิบพอดี ถัดมารูปใบกลาง คือ รูปแต่งงานของเขาและพริมา เจ้าบ่าวในสูทสีดำและเจ้าสาวในชุดที่ตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้จากฝรั่งเศสทั้งตัว พริมาดูทั้งสวย หวานและเซ็กซี่ในคราวเดียวกัน....ในวันนั้นใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมในความงามของเจ้าสาวอย่างไม่ขาดปาก ใคร ๆ ก็บอกว่าเขาโชคดีที่สามารถพิชิตหัวใจเธอได้ เพราะหญิงสาวมีชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ดาหน้าเข้ามาเสนอตัวให้เธอได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นบรรดาคุณหมอเพื่อน ๆ ของพี่ชาย รุ่นพี่นักแบดมินตันร่วมคณะ หรือเพื่อนร่วมงานของเธอเอง ซึ่งมีทั้งกัปตันเครื่องบินและเหล่าสจ๊วตหนุ่มหล่อ แต่หญิงสาวก็เลือกเขาเป็นคำตอบสุดท้ายของหัวใจ.....ส่วนรูปสุดท้าย คือ รูปของ ด.ช. พัทธดนย์ ลูกชายคนเล็กที่นั่งยิ้มยิงฟันขาว 2 ซี่ เขาถ่ายรูปนี้เองกับมือในวันที่ลูกชายเพิ่งจะลุกนั่งได้เองในวัยเพียง 8 เดือนเศษเท่านั้น ทั้ง 3 รูปเป็นรูปที่พริมาเลือกมาใส่กรอบให้เขา และนำมาวางไว้ในห้องทำงานของเขาด้วยตัวเธอเอง

‘เอาไว้ดูเวลาที่พี่โป๊ปคิดถึงพวกเรานะคะ’

ภัทร์ยังจำได้ดีว่าพริมาหอบเอากรอบรูปนี้มาแวะให้เขาในวันลอยกระทงเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะเธอตั้งใจออกมาหาซื้อกระทงเพื่อนำไปลอยกับลูก ๆ ที่บ้านในคืนนั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ภัทร์ก็หวนนึกไปถึงวันลอยกระทงครั้งแรกของเขากับพริมาสองคน......

หลังจากเฝ้าดูขบวนแห่นางนพมาศของคณะต่าง ๆ ที่ต่างก็ประดับประดาและตกแต่งรถขบวนกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครยอมน้อยหน้าใครเพราะแต่ละคณะต่างก็ออกแบบความคิดและลงมือทำด้วยความประณีตเพื่อหวังเรียกคะแนนจากคณะกรรมการให้ได้มากที่สุดผ่านหน้าไปแล้ว ภัทร์และเพื่อนสนิทอีก 2 คนก็เดินมุ่งหน้าไปยังคณะอักษรฯ ตามคำชวนของแม่น้องสาวตัวดีที่คะยั้นคะยอให้เขาต้องแวะมาให้ได้

เมื่อมาถึงบริเวณของคณะอักษรฯ ชายหนุ่มทั้งสามก็ได้ยินเสียงเพลงไทยลูกทุ่งดังผ่านเครื่องขยายเสียงมาจากทางเวทีที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวซึ่งตั้งอยู่หน้าตึกของคณะ ซึ่งแม้เสียงเพลงจะดังอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังถูกกลบไปด้วยบรรดาเสียงของเหล่านิสิตคณะนี้ที่ต่างก็ทั้งตะโกนและตะเบ็งให้ได้ยินจากซุ้มต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่โดยรอบ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าจำเป็นต่างพยายามตะโกนแข่งกับเสียงเพลงจากลำโพงเพื่อร้องเรียกและชักชวนให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้เข้ามาอุดหนุนสินค้าและการละเล่นของตน ไม่ว่าจะเป็นซุ้มไอศกรีมแท่งแบบโบราณที่ต้องใส่ถังสแตนเลสแล้วเขย่าไปมา หรือข้าง ๆ กันที่เป็นซุ้ม ‘ไอศกรีมสบู่’ หลากรสให้ได้เลือกซื้อหา ซุ้มถัดมาคือซุ้มบรรดาขนมไทยนานาชนิดที่เรียงรายต่อกันมาเป็นหางว่าว เช่น ขนมครกทั้งแบบดั้งเดิมและแบบทรงเครื่องที่มีทั้งข้าวโพด ฟักทอง และเผือกโรยหน้าให้ได้เลือกสรรตามใจชอบ ขนมไทยตระกูลทองทั้งหลายที่ยกโขยงมากันครบ ทั้งทองหยอด ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอดและทองม้วน ถัดมาก็เป็นซุ้มผัดไทยหอยทอด ซุ้มขนมเบื้องญวน ซุ้มลูกชิ้นปิ้งและหมูย่าง ซุ้มข้าวเหนียวส้มตำและไก่ทอด ซุ้ม ก๋วยเตี๋ยวเรือ เป็นต้น ซึ่งบรรดาซุ้มเหล่านี้จะมีพี่ ๆ ปี 2 ขึ้นไปเป็นผู้ดูแล ส่วนน้อง ๆ ปี 1 ที่ไม่ได้ร่วมเดินขบวนก็ต้องแบ่งหน้าที่กันไป บ้างก็ไปอยู่ที่ซุ้มการละเล่น ซึ่งมีการละเล่นแบบไทยให้เลือกเล่นอยู่มากมาย แต่ที่มีคนมุงดูอยู่มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นซุ้มสาวน้อยตกน้ำ เพราะมีน้อง ๆ ปี 1 ผลัดกันขึ้นไปนั่งอยู่ปากถังน้ำขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้เล่นได้โยนลูกบอลใส่เป้า หากผู้เล่นมีฝีมือและโยนได้แม่นตรงเป้า สาวน้อยที่โชคร้ายก็ต้องตกลงไปในถังน้ำให้ตัวเปียกมะลอกมะแลก ซึ่งเป็นที่สนุกสนานถูกใจของคนดูและผู้เล่น เมื่อกลุ่มของภัทร์เดินมาถึงซุ้มสาวน้อยตกน้ำนั้น สาวน้อยที่กำลังนั่งและทำท่าทางหวาดหวั่นอยู่บนปากถังนั้นก็คือ วรปรัชญ์ ที่วันนี้โดนพวกรุ่นพี่ ‘นางฟ้าจำลองทั้งหลาย’ จับแต่งชุดไทยห่มสไบเฉียงอย่างสวยงามแล้วบังคับให้มานั่งเป็นสาวน้อยให้หนุ่ม ๆ คณะอื่น ๆ ได้ทดสอบความแม่นยำของฝีมือปาเป้าของตนเอง วรปรัชญ์แกล้งร้องวีดว้ายเมื่อผู้เล่นเริ่มโยนลูกบอล จึงเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูและเพื่อน ๆ พี่ ๆ ร่วมคณะได้ไม่น้อย

‘ว้าย! ว้าย! ว้าย! สงสารกันบ้างสิคะ น้ำในถังหนาวจะแย่ เดี่ยวหนูก็ไม่สบายกันพอดี’ วรปรัชญ์แกล้งโอดครวญแต่ก็ไม่ได้รับความเห็นใจจากผู้เล่นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังตั้งใจและพยายามมากขึ้นที่จะปาให้โดนเป้า แต่พอปาพลาดเป้าเข้าหลายครั้งจนลูกบอลไปโดนตัวสาวน้อยแทนที่จะเป็นเป้าซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของคนปาหรือเปล่า สาวน้อยที่ชักเจ็บตัวก็โวยวายออกมาว่า

‘ก่อนจะปาน่ะ ช่วยดูตาม้าตาเรือก่อนนะคะ ปาเป้านะคะ ไม่ใช่ปาคน!!!’ วรปรัชญ์จีบปากจีบคอพูด แล้วต่อท้ายว่า

‘ถ้าใครปามาโดนอีก สาวน้อยคนนี้จะวิ่งไปตบ....จูบ จะโดนตบจูบ ๆ เลยนะคะ’ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นทำให้จำนวนไทยมุงมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก จะเรียกว่าวรปรัชญ์เป็นตัวชูโรงของซุ้มนี้ก็ว่าได้

‘ไอ้โป๊ป ไหนวะน้องสาวแก’ หนึ่งในเพื่อนที่มาด้วยกันถามภัทร์ขึ้น

‘กูก็ไม่รู้ว่ะไอ้เอก นี่ก็มองหาอยู่’ ภัทร์ตอบ และทันใดนั้นวรปรัชญ์ที่หันมาเห็นพี่ชายของเพื่อนร่วมคณะ จึงตะโกนร้องทักว่า

‘พี่โป๊ป ๆ ปั๊ปมันอยู่บนเวทีน่ะค่ะ’ วรปรัชญ์บอกกับภัทร์ตามคำสั่งที่ภัทราได้สั่งไว้

ภัทร์พยักหน้าขอบคุณให้วรปรัชญ์ และเมื่อมองไปยังด้านหลังของวรปรัชญ์ เขาก็ได้เห็นพิชญธิดาที่หันมายกมือไหว้ทักทายอย่างอ่อนน้อมและส่งยิ้มมาให้ หญิงสาวก็อยู่ในชุดไทยเฉกเช่นเดียวกับวรปรัชญ์ แตกต่างกันที่ว่า พิชญธิดาเปียกมะลอกมะแลกไปเรียบร้อยแล้ว เธอคงเป็นหนึ่งในบรรดาสาวน้อยที่ต้องผลัดและสลับกันมาทำหน้าที่ตกน้ำนั่นเอง ภัทร์หันไปโบกมือและยิ้มทักทายให้หญิงสาวแล้วจึงเดินนำพรรคพวกตรงไปยังเวที ที่ขณะนี้มีเสียงเพลง ‘สาวรำวง’ กำลังบรรเลงเบา ๆ อยู่ บนเวทีภัทร์และเพื่อนทั้งสองก็ได้เห็นบรรดาสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มนิสิตปี 1 ของคณะนี้ประมาณสิบกว่าคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางเป็นแถวเรียงกันอยู่ด้านข้างเวที สาว ๆ เหล่านั้นต่างก็แต่งกายด้วยชุดหางเครื่องหลากสีสัน ตัวเสื้อที่มีแขนยาวถึงข้อศอกและกระโปรงเย็บติดกันเป็นชั้น ๆ มีความยาวระเพียงขาอ่อนเท่านั้น ทุกนางจึงต้องใส่ถุงน่องสีดำมาพลางขาขาวซึ่งก็ดูตัดกันได้ดีกับกระโปรงของแต่ละคนที่มีสีสันสดใส ภัทร์มองไล่บรรดาสาวรำวงที่เพิ่งจะได้กลับไปนั่งพักเหนื่อยบนเก้าอี้ เพื่อรอให้หนุ่ม ๆ ทั้งหลายนำพวงมาลัยมาคล้องคอให้ออกไปเต้นรำด้วยกันในรอบต่อไปอีก ภัทร์มองไล่ไปอย่างช้า ๆ เพื่อหาน้องสาวเพราะไฟบนเวทีไม่ได้สว่างมากนัก แถมแต่ละนางก็แต่งแต้มสีสันบนใบหน้ากันทั้งนั้น ในที่สุดเขาก็เห็น

‘นั่นไง น้องสาวกู คนที่ใส่ชุดสีส้มอะ’ ภัทร์บอกเพื่อน ๆ พลางชี้นิ้วประกอบ

‘สวยดีนี่หว่า’ เพื่อนที่ชื่อเอกกล่าวชม

‘เออ ทั้งสวยทั้งแสบเหมือนกับสีชุดนั่นแหละ’ ภัทร์อธิบายอย่างขัน ๆ

‘แล้วพวกเราจะเต้นกันสักเพลงไหมละ เดี๋ยวกูเดินไปซื้อพวงมาลัยให้ อุดหนุนคณะอักษรฯ เขาหน่อย ไหน ๆปีนี้เขาก็เอาสาวจริงมารำวง ไม่เหมือนตอนพวกเราอยู่ปี 1 ที่เอาแต่พวกกะเทยมาให้เต้นด้วย’ ชายหนุ่มอีกคนที่ชื่อต้นเอ่ยถามพรรคพวกพร้อมรำลึกความหวังให้ฟัง

‘เอาดิ ไหน ๆ ก็มากันแล้ว’ เอกตอบ

‘ว่าไงไอ้โป๊ป กูโค้งน้องสาวมึงเต้นสักเพลงได้ไหมวะ’ เอกถามอย่างทีเล่นทีจริง

‘แล้วแต่มึงสิ กูไม่หวงหรอก ถ้ามึงไม่กลัวแฟนมึงรู้ ก็เรื่องของมึง’ ภัทร์ที่ใจจริงก็แอบหวงน้องสาวอยู่ลึก ๆ รีบดักคอเพื่อนสนิทที่ขึ้นชื่อเรื่องกลัวแฟน ชายหนุ่มจึงเอ่ยชื่อแฟนเพื่อนที่อยู่คนละมหา’ลัยขึ้นมาอ้าง

เอกที่ได้ยินชักภัทร์ตอบ ชักออกอาการหนาว ๆ เมื่อได้ยินชื่อแฟนสาว แต่ก็ยังตอบกลับไปอย่างยียวนกวนบาทาคนเป็นพี่ชายว่า

‘ฟ้ามันคงไม่ว่าไรหรอกมั้ง มันก็แค่เต้นรำสนุก ๆ ที่สำคัญ ฟ้ามันจะรู้ได้ไง ถ้าพวกมึงไม่บอก’

‘สรุปว่าเต้นใช่ไหม งั้นกูเดินไปซื้อพวงมาลัยก่อนนะ คนละพวงก่อนแล้วกัน ถ้าพวกมึงติดใจค่อยว่ากันใหม่’ ต้นพูดเสร็จก็เดินตรงไปยังโต๊ะขายพวงมาลัยที่อยู่ทางด้านขวาของเวที ซึ่งมีรุ่นพวกพี่ปี 3 เจ้าของคณะเป็นคนขายพวงมาลัย ชายหนุ่มเดินกลับมาพร้อมกับพวงมาลัยดาวเรืองในมือ 3 พวง ที่เขาได้แจกจ่ายให้เพื่อนทั้งสองคนคนละพวง ก่อนที่ทั้ง 3 จะออกเดินไปยังบันไดด้านข้างเวทีเพื่อขึ้นไปคล้องคอคู่เต้น

ขณะที่ภัทร์เดินตามไปเพื่อนทั้งสองไปนั้น พลันสายตาของเขาก็หันไปเห็นหญิงสาวในชุดหางเครื่องสีฟ้าอ่อนที่กำลังเดินออกมาจากด้านหลังเวที แค่เห็นแวบแรกเขาก็จำได้ทันที เพื่อนสนิทของน้องสาวที่เขาเคยอาสาไปส่งที่คอนโดเมื่อไม่นานมานี้....พริมา วันนี้หญิงสาวดูสวยและแปลกตาไปมาก อาจเป็นเพราะชุดที่สวมใส่ที่ถึงแม้เธอจะมีถุงน่องดำช่วยพลางขาแล้วก็ตาม แต่เขาและชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังได้เห็นเรียวขายาวที่โผล่พ้นชายกระโปรงสั้นอย่างชัดเจน

‘ขาสวย เรียวยาว และคงขาวมากถ้าไม่มีถุงน่อง’

พริมาเองก็หันมาเห็นภัทร์เช่นกัน หญิงสาวจึงโบกมือทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวสุดท้าย พริมาไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มหวานที่เจ้าตัวใช้ทักทายพี่ชายเพื่อนนั้น ได้ทำให้คนที่ได้รับถึงกับตะลึง มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงพิธีกรบนเวทีประกาศว่า

‘เชิญเลยคะ ๆ รอบนี้ใครมีพวงมาลัยแล้วก็เชิญเลือกคู่เต้นน้อง ๆ หางเครื่องปี 1 ของเราได้เลยค่ะ สด ๆ ซิง ๆ ทั้งนั้น ฮ่าๆๆๆ กติกาของเรามีอยู่ว่า ท่านจะดูและเต้นได้เท่านั้นนะคะ ห้ามจับ ห้ามคลำน้อง ๆ หางเครื่องของเรานะคะ ฮ่า ๆๆๆ’ แล้วพิธีกรสาวร่างอวบและรวยอารมณ์ขันก็ร่ายแร็บออกมาว่า

‘จะพูด จะคุย เราไม่ว่า จะขอเบอร์ เราก็ไม่ว่า แต่ขอแล้ว อย่าลืมโทรมา แต่ขอแล้ว อย่าลืมโทรมา อย่าให้รอเก้อนะคะพี่ขา อย่าให้รอเก้อนะคะพี่ขา ไม่งั้นจะว่า สาวอักษรฯไม่เตือน!!!’ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากผู้คนที่ได้ฟังกันถ้วนหน้า

ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ สองขายาวของภัทร์ก็พุ่งตรงไปที่สาวน้อยรอยยิ้มหวานกระชากใจเขาทันที ภัทร์ยื่นพวงมาลัยให้พริมาอย่างไม่ลังเล แต่ต้องชะงักคำพูดที่จะกล่าวทักทายเมื่อมีเสียงแทรกขึ้นมาขัดว่า

‘พี่โป๊ป!!! น้องอยู่ตรงนี้ทั้งคน ทำไมไม่มาโค้งฮะ’ ภัทราแกล้งแซวพี่ชาย ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็ยื่นมือไปรับพวงมาลัยจากหนุ่มน้อยปี 1 ต่างคณะที่เดินเข้ามาโค้งเธอก่อนที่เอกจะเดินเข้ามาถึงอย่างหวุดหวิด ภัทร์ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกะน้องสาว เขาหันมาบอกกับพริมาว่า

‘พี่มาตามสัญญาแล้วนะครับ’ ภัทร์รีบหยอดคำหวาน

‘เอ....แล้วสาวรัฐศาสตร์มาด้วยกันไหมละคะ’ พริมาดักทาง

‘รัฐศาสตร์มี รัฐศาสตร์ต้องมา ถ้ารัฐศาสตร์ไม่มา แสดงว่ารัฐศาสตร์ไม่มี’ ภัทร์ตอบโดยใช้ลีลาเจ้าชู้ประตูดิน ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มปนอาการขำขันจากหางเครื่องปี 1 ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี เมื่อเพลง ‘สาวรำวง’ เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง บรรดาสาวรำวงต่างก็เดินออกไปกลางเวทีโดยมีหนุ่ม ๆ คู่ของตนเดินตามไปด้วย ภัทร์ชวนพริมาพูดคุย

‘น้องปริมเต้นกี่เพลงแล้วครับ’

‘ปริมเพิ่งขึ้นมาเต้นนี่ล่ะค่ะ เมื่อกี้มีหางเครื่องเยอะ ปริมเลยเป็นแค่ตัวสำรอง เพิ่งจะได้ขึ้นมาตอนที่พวกเพื่อน ๆ เขาขอลงไปพักนี่เองค่ะ สาวรำวงหาเงินเข้าคณะได้เยอะ พวกพี่ ๆ เขาเลยให้สลับกันพัก กว่าจะได้เลิกคงเกือบห้าทุ่ม’ พริมาอธิบาย

‘งั้นพี่ก็เป็นคู่.....เต้น คนแรกของปริมสิครับ’ ภัทร์รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

‘ค่ะ พี่โป๊ปจะเหมาทุกรอบด้วยไหมละคะ’ พริมาแกล้งถามโดยไม่รู้ตัวว่าได้ชี้โพรงให้กระรอกเสียแล้ว

‘ถ้าปริมยอมเต้นกับพี่ทุกเพลง พี่ก็จะเหมาทุกรอบเลย’ ภัทร์สบตาซึ้ง

‘จริงดิ’ พริมาถามกลับแต่เสมองไปทางอื่นแทน

‘จริงครับ’ภัทร์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมสายตาที่ประสานมากับคู่เต้น จนพริมาถึงกับออกอาการประหม่า หญิงสาวจึงรีบพูดว่า

‘ปริมหมายถึง พี่โป๊ปก็แค่ซื้อพวงมาลัยแล้วมาให้ปริม แต่ไม่ต้องเต้นกับปริมน่ะค่ะ ปริมก็จะได้นั่งสบาย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยต่างหากล่ะคะ ฮิๆๆ’ พริมาเอาตัวรอดได้ทัน หญิงสาวรีบเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาทันที

‘แล้วพี่โป๊ปไม่ลอยกระทงเหรอคะ’

‘ว่าจะลอยตอนห้าทุ่ม’

‘นัดใครไว้คะ สาวคณะไหน’ พริมาถามด้วยความซื่อ

‘สาวอักษรฯครับ’ ภัทร์บอกด้วยแววตาระยิบระยับ

‘คนไหนคะ พี่ปีไหนเอ่ย เผื่อปริมรู้จัก’ พริมาพยายามพูดให้เสียงดังขึ้น เพราะเห็นภัทร์ไม่ค่อยได้ยินจึงต้องขยับตัวเข้ามาเธอ

‘ก็นัดน้องปริมไงครับ’ ภัทร์ตอบสวนทันทีด้วยเสียงอ่อนหวานออดอ้อน และเมื่อเห็นอาหารเหวอของคู่สนทนา ชายหนุ่มก็กล่าวเพิ่มเติมว่า

‘ก็น้องปริมบอกเองว่าคงเต้นเสร็จประมาณห้าทุ่ม พี่ก็จะรอลอยกระทงกับน้องปริมตอนห้าทุ่มไงครับ’

‘ตกลงนะครับ เดี๋ยวห้าทุ่มพี่มารอที่หน้าเวที ห้ามเบี้ยวนะครับ ลอยกระทงกันแล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโดเอง’ พริมาได้แต่ยิ้มแหย ๆ พลางคิดหาทางหนีทีไล่ให้รอดพ้นจากกรงเล็บของหม่าป่าเจ้าเล่ห์ หญิงสาวไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะกลัวจะเข้าตัวมากไปกว่านี้ จึงได้แต่เต้นไปเงียบ ๆ จนหมดเพลง และไหว้ขอบคุณภัทร์ก่อนที่จะแยกไปนั่งพัก

ส่วนฝ่ายภัทร์ก็รีบจ้ำอ้าวลงจากเวทีแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะขายพวงมาลัยทันที ชายหนุ่มพูดอะไรบางอย่างกับนิสิตปี 3 ที่ขายพวงมาลัยอยู่ ก่อนที่คนทั้งคู่จะหันมามองหางเครื่องในชุดสีฟ้าที่กำลังนั่งคุยอย่างออกรสชาติกับหางเครื่องในชุดสีส้ม

สรุปว่าคืนนั้นพริมาไม่ต้องลุกออกมาเต้นรำคู่กับใครอีกเลย เพราะสาวน้อยปีหนึ่งมีพวงมาลัยคล้องคออยู่ตลอดเวลา พวกเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ร่วมคณะได้แต่ส่งสายตาล้อเลียนมาให้ไม่เว้นแม้แต่ภัทราเพื่อนสนิท ซึ่งก็ทำให้หญิงสาวได้แต่นั่งก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าสบตาใคร ไม่ใช่เธออายพวกเพื่อน ๆ หรือพี่ ๆ แต่พริมาอายชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าเวที คนที่จ่ายค่าพวงมาลัยให้เธอทุกรอบต่างหาก

ยิ่งใกล้เวลาห้าทุ่มพริมายิ่ง กระสับกระส่าย และเมื่อพิธีกรซึ่งก็เป็นนิสิตปี 3 เช่นกันประกาศว่า

‘เราขอปิด สาวรำวง เพียงแค่นี้นะคะ เพราะตอนนี้เราเลยจุดคุ้มทุนมามากแล้วค่ะ ฮ่า ๆๆ อะล้อเล่น ไม่ใช่ค่ะ เราจะได้ให้น้อง ๆ ปี 1 ของเราได้พักบ้าง ได้ไปเกมบ้าง หรือไปกินขนมกันบ้าง ส่วนใครที่มีนัดจะไปลอยกระทงกันนั้น ก็จะได้ไปลอยเสียที เพราะอีกฝ่ายก็ยืนรอยืนเฝ้ามานานแล้ว ใช่ไหมจ๊ะนายโป๊ปจ๋า’



************************

หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ค่ะ



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2555, 23:48:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 มิ.ย. 2555, 03:18:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2117





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 4 ครบแล้วนะคะ >>
พนาศิลป์ 15 มิ.ย. 2555, 08:48:52 น.
พลาดไปทำเค้าท้อง หรือแค่ไปนอนด้วยล่ะเนี่ย แล้วหล่อนเป็นใครเอ่ย เลียขาหรือเปล่า^^
ทีแรกคิดว่านายโป๊ปจะหมดรักนางเอกแล้วไปหาใหม่


แล่นแต๊ 16 มิ.ย. 2555, 20:12:01 น.
น่าจะโดนปั๊ปสวดให้นานกว่านี้หน่อยนะนายโป๊ป ไม่ไหวเล้ย


violette 25 มิ.ย. 2555, 23:06:46 น.
หวังว่านายโป๊ปจะไม่ใช่พระเอกนะคะ เกลียดมัน พลาดไปทำเค้าท้องใช่มั้ยคะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบขนาดนี้หรอก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account